กินรีหลงฝูง (MINV) - นิยาย กินรีหลงฝูง (MINV) : Dek-D.com - Writer
×

    กินรีหลงฝูง (MINV)

    ขออำนาจพระศรีรัตนตรัย พระพุทธ พระคุณทั่วทั้งโลกา ทรงเมตตาประทานพรแก่โอรสข้าให้พ้นภัยจวบจนอายุขัยแก่เฒ่าเป็นผงธุลี

    ผู้เข้าชมรวม

    618

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    618

    ความคิดเห็น


    16

    คนติดตาม


    90
    จำนวนตอน :  2 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  11 ส.ค. 62 / 23:31 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


     เพลิงไฟโชติช่วงสูงขึ้นเหนือฟ้าเอื้อมแตะจันทรา เสียงทุกข์ทรมาณโถมทับด้วยลูกระเบิดเปลวไฟและเสียงคมดาบระงมก้องทั่วพื้นที่อาณา เมืองคิมเดอร์เบียนครั้งหนึ่งเคยสุกสกาวราวจันทราเต็มใบ บัดนี้ย่อยยับไม่เหลือซากคล้ายจันทราครึ่งดวง เมฆหมอกปิดทั่วม่านฟ้าไร้ซึ่งแสงจันทร์ หญิงสาวในชุดเส้นไหมสีทองนวลละเอียด เครื่องแต่งกายตกแต่งด้วยอัญมณีเพชรจิณดา บัดนี้โดนโคลนดำสาดบดบังแสงอร่ามมิต่างกับถ่านหินผุผง ศรีษะและร่างกายถูกคลุมด้วยผืนผ้าดำกำมะหยีปกปิดใบหน้า ฝ่ามือขาวซีดโอบกอดเด็กชายทารกสามเดือนไว้ในอก เหยียบย่ำพื้นพสุธาเปลือยเปล่าปราศจากรองพระบาทมารองรับ


    “แง้..แง้”


    “เงียบก่อนคนดี เพลานี้หาใช่เพลาเสวยน้ำนมจากพระถันไม่” หญิงสาวประคองโอรสคนเดียวของเธอขึ้นมาแนบหน้านวลถ่ายทอดความรัก ความหวงแหนและความเจ็บปวดผ่านหยาดน้ำตาล่วงหล่นลงแก้มบริสุทธิ์ของทารกในอ้อมกอด


    “เร็วเถอะเพคะ หากช้ากว่านี้หม่อมฉันเกรงว่าจักไม่ทันกาล” หญิงสาวในชุดเส้นไหมสีสดหากแต่ร่างกายไม่ได้ตกแต่งด้วยเครื่องประดับมีมูลค่ายกมือรั้งร่างของคนเป็นแม่ให้ย่ำเท้าต่อไป


    “มันอยู่ตรงนั้น!!!


    “วิ่งเพคะ”  เสียงตะโกนพร้อมแสงควันไฟจากไม้เชื้อเพลิงเคลื่อนไหวเข้ามาใกล้ หญิงสาวดันร่างคนเป็นนายให้วิ่งออกไป ก่อนที่นางอุ้มลูกจะรู้สึกตัวว่าเร่งฝีเท้าออกมาเพียงลำพัง


    “หม่อมฉันจักหลอกล่อพวกโยธิเปียไว้ตรงนี้ พระมหเสีทรงหนีไปตามคำชี้นำของดวงดาวทิศอุดร จักพบเจอแหล่งธารน้ำและเรือคอยท่าพาพระองค์หนีไป รีบไปเสียเถอะเพคะ ก่อนที่เมฆหมอกบนนภาจักมืดมิดปิดหนทาง”


    “ข้าทิ้งเจ้ามิได้คาร่า” พระมเหสีน้ำตาอาบใบหน้าย่ำเท้ากลับมาหาสาวใช้ หากแต่โดนมือเรียวอีกฝ่ายกันท่าผลักออกไป


    “ไปเถอะเพคะ กลุ่มโจรกำลังเคลื่อนทัพมาตรงนี้แล้ว”


    “คาร่า..”


    “ปกป้องพระมเหสีและพระราชโอรสในอ้อมอกให้พ้นภัย นับว่าเป็นหน้าที่อันทรงเกียรติของข้าราชบริวารต้อยต่ำอย่างหม่อมฉันแล้วเพคะ”


    “ข้าไปมิได้คาร่า”


    “ไปเถอะเพคะ ทรงนำพาพระโอรสหนีไปให้ไกล”


    “ฮึก ข้าขออธิษฐานต่อพระแม่จันทรา โปรดเมตตานำพาข้าและเจ้ามาพบเจอกันอีกครา มิว่าจักภพนี้หรือภพหน้า” แมลินดาขบปากช้ำ มองคาร่าถือท่อนซุงป้องกันภัย นัยต์ตาสีฟ้าแวววาวดั่งดวงดาวนับร้อยพันจ้องมองคาร่าแทนคำขอบคุณ


    “ทูลลาเพคะพระมเหสี” คาร่าถอนสายบัวสะกดกลั้นความเสียใจไว้ในอ้อมอก มองดูแผ่นหลังของแมลินดาผู้ที่เธอรักดั่งสายเลือดเดียวกันวิ่งหายเข้าไปในป่าไม้ทึบเบื้องหน้าจนเลือนลาง


    “มิอาจรับได้หรอกเพคะ หม่อมฉันต่างหากขออฐิษฐานต่อพระแม่จันทรา ทรงเมตตาชี้แสงสว่างให้ทั้งสองพระองค์หนีรอดไปจนพ้นภัย” คาร่าพึมพำหวังให้สายลมช่วยพัดกลบแรงอฐิษฐานของแมลินดาก่อนหน้านี้ให้หมดไป


    ฉึก

    สิ้นเสียงอฐิษฐานคันสรธนูก็ปักเข้าที่กลางตัวของคาร่า โลหิตสีแดงฉานไหลแทรกซึมทั่วบาดแผลฉกรรจ์ก่อนจะไหลหยดลงบนพื้นพสุธาพร้อมกับเปลวไฟยอดประสาทวังพังถล่มลงมาดังทั่วก้องบริเวณอาณา


    เสียงโห่ร้องดีใจของโยธิเปียแว่วไกลมาถึงหูแมลินดา เธอรีบย่ำฝ่าเท้าในความมืดเหยียบย่ำกิ่งไม้คมคายบาดเท้าให้โลหิตไหลหยดเป็นทาง หันหลังกลับมองเป็นกังวล ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าแกร่งและไม้คบเพลิงเคลื่อนไหวเข้ามาใกล้ แมลินดากำลังไร้ซึ่งหนทางไม่ต่างกับสามีของเธอ


    แดเนียลปกป้องเมืองแห่งนี้ด้วยความจงรักภักดี ทิ้งชีวีมิไร้ตัวกลัวตาย

    เฉกเช่นเดียวกับแมลินดาในตอนนี้ เธอต้องปกป้องโอรสในอ้อมกอดให้พ้นภัยตามคำบอกลาของสามี


    เสียงธารน้ำไหลเข้ามาในหู เมื่อเร่งฝีเท้าเข้าไปหัวใจดับวูบมิต่างกับเปลียวเทียนที่กำลังมอบดับ แห่งนี้มีธารน้ำจริงเฉกเช่นคาร่าบอก หากแต่เรือคอยท่าถูกทำลายเสียจนย่อยยับมิอาจพาตนและคนในอ้อมอกหนีไปได้


    แมลินดากำลังไร้ซึ่งไม้ตอก เธอกำลังจะถูกฆ่าภายในไม่ช้านี้เฉกเช่นสามีของเธอ หากแต่โอรสของเธอต้องรอด


    ตะกร้าไม้ไผ่ภายในมีผลไม้ดิบเตรียมพร้อมบนเรือในยามหนี กลับแต่ตอนนี้ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป แมลินดารีบคว้าตะกร้าสานมาเทผลไม้ออกจนหมดสิ้น ฉุดรั้งผ้าดำกำมะหยีคลุมกายมาพับไว้ก่อนจะวางลูกน้อยสุดหวงแหนยิ่งกว่าลมหายใจลงไปอย่างอ่อนโยน


    ดวงตาของทารกปรือมองสะท้อนแสงจันทราดั่งรับรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มือแดงก่ำยกขึ้นหามารดาหยั่งขออ้อมกอดอันอบอุ่นเป็นครั้งสุดท้าย ริมฝีปากแดงฉ่ำมีคราบน้ำนมติดมิได้ร้องโวยวายเหมือนอย่างเคย


    “โอรสของข้า”


    “...”


    “บุญวาสนานำพาเรามาพบกันแต่เพียงเท่านี้”


    “...”


    “สร้อยไหมทองคำบริสุทธิ์เส้นนี้หากอยู่กับตัวเจ้ามิมีผู้ใดมาฉกฉวยไป จักบอกว่าเจ้าเป็นผู้ใดมาจากไหน”


    แมลินดามือสั่นไหวถอดสร้อยคอของตนคล้องเข้าที่วงแขนของโอรสกระทบแสงจันทร์เงาวับ หากแต่จะไม่ปลอดภัย แมลินดาจึงจัดผ้าคลุมขึ้นมาใหม่ให้ไร้ซึ่งแสงเงา


    “...”


    “หากแต่สร้อยตัวตนหายไป จักมีปานรูปแสงดาวนภาลัยอยู่ตรงหัวไหล่ซ้ายเฉกเช่นบิดาเจ้า บ่งบอกว่าเจ้าคือโอรสของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่ครั้งหนึ่งเคยปกครองอาณาจักรเส้นไหมสีทอง”


    “...”


     “ข้าแต่แมลินดาผู้บำเพียรศีลอารธนามาทุกเหมันตฤดู ขออำนาจพระศรีรัตนตรัย พระพุทธ พระคุณทั่วทั้งโลกา ทรงเมตตาประทานพรแก่โอรสข้าให้พ้นภัยจวบจนอายุขัยแก่เฒ่าเป็นผงธุลี” 


    แมลินดาคลายมือจากตะกร้าไม้ปล่อยให้พระแม่คงคานำทางแก่ผู้เป็นที่รักลอยพ้นออกไปจากภัยอันตรายเบื้องหลังทั้งปวง



     “ลาก่อนวาเนียลูกข้า ขอให้เจ้าเติบใหญ่แล้วหวนกลับคืนสู่เมืองคิมเดอร์เบียน กอบกู้ทุกอย่างที่เป็นของเจ้าคืน”

    B
    E
    R
    L
    I
    N
    ?

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น