คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ชิ้นที่ 2
ชิ้นที่2
“... ว่าไงพี่?” นัชชี่ถามหลังจากกดรับสาย
“....... นัชชี่”
“เฮ้ย... เป็นอะไร” นัชชี่เปลี่ยนท่าทีทันทีที่ได้ยินเสียงจากปลายสาย... เสียงใสๆของเฟลอร์สั่นเครือ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงสะอื้น
นัชชี่ไม่พูดอะไร นอกจากถือสายรออย่างเงียบๆ ออกจะตกใจกับเสียงแบบนั้น ทั้งๆที่ก่อนจากกันวันนี้ ยังบอกว่ามีเรื่องจะเมาท์ - - - ควรจะเป็นเรื่องสนุกๆไม่ใช่เหรอ
“จำที่พี่เล่าให้ฟังได้ไหม... ที่บอกว่าพ่อกับแม่อยากให้ไปเจอกับผู้จัดการร้านอาหารญี่ปุ่น” เฟลอร์เอ่ยขึ้นหลังจากหยุดร้องไห้ มีเพียงเสียงสะอื้นเล็กน้อย
“จำได้”
“พี่เห็นหน้าเค้าแล้ว”
“อาฮะ...?”
“พี่จะทำไงดีนัชชี่....... เค้า... เหมือนคาซุคุงมากๆ... เหมือนจนตกใจ........”
“ว่าแล้ว...”
“แล้วพรุ่งนี้... พี่ต้องไปเจอเค้าแล้ว...... ที่ร้านจะซอฟท์โอเพนนิ่ง....... พี่ไม่กล้าไปเลยนัชชี่........”
“... ไปสิพี่... ไม่ได้ไปดูตัวซะหน่อย... ไม่ใช่คาซุคุงซะหน่อย... ใช่ไหมล่ะ”
“.................................. ถ้าไปแล้วร้องไห้ล่ะ”
“ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันไม่ดีกว่าเหรอ... คิดซะว่า ไปเปิดหูเปิดตาแบบคนปกติ... เนอะ”
บรรยากาศภายในร้านอาหารดูสบายๆกว่าที่คิดไว้นัก การตกแต่งด้วยสีเขียวออกจะแปลกตาไปเสียหน่อย แต่ก็ทำออกมาได้ลงตัวเลยทีเดียว เฟลอร์ใช้สายตาสำรวจไปรอบๆร้านพลางเดินตามพ่อไปติดๆ
“อ๊ะ มาพอดีเลย นี่ครับ ลูกสาวผม”
หญิงสาวชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวต่อ แล้วรีบเงยหน้าขึ้นมอง
“สวัสดีครับ!” ‘เขา’ ยิ้มจนตาหยีขณะที่ยกมือขึ้นไหว้
แค่นั้นก็ทำเอาน้ำตาเอ่อ เธอรีบก้มหน้าแล้วโค้งตามธรรมเนียมญี่ปุ่น
“ฮานะค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก” เฟลอร์ควบคุมเสียงของตัวเองให้อยู่กับที่ ขณะที่แนะนำตัวเป็นภาษาญี่ปุ่นกับอีกฝ่าย
“อ้า! ฮานะจังพูดภาษาญี่ปุ่น... ได้เหรอครับ” เขาถามต่อ ท่าทางจะตื่นเต้นและดีใจมาก แต่ฝ่ายที่ถูกถามกลับไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา แต่กลับทำทีเป็นก้มหัวอีกครั้ง
“ได้แต่คำง่ายๆค่ะ... พูดได้นิดหน่อย”
“อ... ครับ” เขาลดความกระตือรือร้นลงเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติจากหญิงสาวตรงหน้า
“พ่อคะ... เฟลอร์จะไปเดินดูรอบๆห้างก่อนนะคะ สวยดี”
“เอาสิ... แล้วเดี๋ยวพ่อโทรเรียก”
สิ้นคำพ่อ เฟลอร์รีบเดินออกจากร้านอาหารญี่ปุ่นทันทีโดยไม่หันมาลาคนที่เพิ่งจะได้รู้จัก มาซากิมองตามไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ ชั่วขณะหนึ่งตอนที่เธอเดินผ่านเขา คล้ายกับมีน้ำตาไหลลงมา ก่อเป็นคำถามในใจที่ทำให้อยากเดินไปถามเสียเดี๋ยวนั้น
โชคดีที่ห้างเพิ่งเปิดได้2วัน จึงยังไม่มีคนพลุกพล่าน เฟลอร์เลือกไปยืนตรงหน้าต่างที่อยู่ตรงหน้าห้าง หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตาที่ทำท่าว่าจะไม่หยุดไหล
ไม่ไหว... เหมือนจนเกินไป...
ฝ่ามือยกขึ้นทาบบนกระจกที่เริ่มเย็นเพราะอากาศข้างนอก ลมหายใจที่รดลงบนแผ่นกระจกเกิดเป็นไอขึ้นมา นิ้วเรียววาดเป็นตัวอักษรญี่ปุ่นช้าๆ
‘かずくん’ (คาซุคุง)
น้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้ต้องหยิบผ้าเช็ดหน้ามาใช้อีก - - - เฟลอร์ยืนอยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกมอง มาซากิแปลกใจกับท่าทีของเธอเป็นอย่างมาก ยิ่งเห็นท่าทีเหมือนคนอมทุกข์แล้วยิ่งไม่เข้าใจ ทำไมพ่อของเธอถึงบอกว่าเฟลอร์เป็นเด็กร่าเริงสดใส แต่ภาพที่เขาแอบมองอยู่นี่ไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย ดูราวกับคนสิ้นหวังในชีวิตก็ไม่ปาน
ขณะที่กำลังมองอยู่ จู่ๆเธอก็รับโทรศัพท์แล้วรีบเดินกลับมาที่ร้าน มาซากิจึงหลบไปอีกทาง
“ว่าไงคะพ่อ” ใบหน้าเศร้าหมองที่เขาเห็นเมื่อกี๊หายไป แทนที่ด้วยเสียงใสและรอยยิ้ม
“คุณดาเขาอยากจะให้ลูกมาช่วยงานที่ร้าน... เป็นงานพิเศษตอนเย็นน่ะลูก... ว่าไงล่ะเฟลอร์”
หญิงสาวมองหน้าผู้เป็นพ่อ สีหน้าของพ่อไม่เปิดโอกาสให้เธอได้บอกปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย เฟลอร์กลั้นใจอึดหนึ่งก่อนจะเอ่ยตกลง
“ถ้าเข้ามาตอนสักทุ่มนึงก็ได้ใช่ไหมคะ”
“ได้ๆ! ว่างก็เข้ามานะ ลุงอยากให้ช่วย” คุณดาเจ้าของร้านพูดอย่างอารมณ์ดี เฟลอร์ได้แต่ยิ้มไปด้วยทั้งๆที่ในหัวรู้สึกเหมือนมีคนเอาค้อนมาทุบ
นี่หมายความว่าเธอจะต้องพบหน้ากับมาซากิทุกวัน แค่คิดก็อยากกระโดดจากดาดฟ้าของที่นี่เสียเดี๋ยวนี้ - - - ไม่นานก็ถึงเวลากลับ เฟลอร์ลาทุกๆคนที่ร้าน จนมาถึงมาซากิ
“สวัสดีค่ะ จากวันนี้ไปก็ขอฝากตัวด้วยนะคะ” หญิงสาวโค้งลงอย่างสุภาพและรีบเดินตามพ่อไปโดยไม่รอฟังหรือมองหน้าอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เขามองภาพเธอที่ดูเร่งรีบจนลับสายตาไป เก็บความสงสัยไว้ในใจ ยังไงก็ต้องร่วมงานกัน ถ้าไม่ทำให้อึดอัดมาก มาซากิก็คงจะปล่อยไปอย่างนี้
เฟลอร์ค่อยๆหย่อนตัวลงในอ่างอาบน้ำที่มีไอร้อนอยู่บนผิวน้ำ ยกแขนขึ้นตีน้ำเบาๆ สายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่างบานใหญ่ในห้องน้ำของเธอ เพราะว่าอยู่ชั้น3 หากแหงนมองอีกนิดก็จะมองเห็นพระจันทร์และกลุ่มดาวมากมายเรียงรายอยู่บนท้องฟ้าสีดำ ซักพัก ก็ขยับขาชันเข่าขึ้นมากอด พาดคางไว้บนเข่าของเธอเอง - - - เป็นเรื่องที่ยังกลุ้มใจ จนถึงตอนนี้ ภาพของมาซากิกับคาซุคุงของเธอซ้อนทับกันเป็นฉากๆในสมอง ถึงจะเป็นคนละคนกัน แต่น้ำเสียงที่เหมือนจนเกือบเป็นคนๆเดียวกันนี่จะทำอย่างไร จะรับมือกับงานที่ต้องทำอย่างไรดี
ในที่สุดก็คิดอะไรไม่ออกจนต้องหงายหลังให้จมลงไปในน้ำ แล้วลืมตามองเพดานผ่านจากผิวน้ำ ความคิดแปลกๆเช่นว่า หากนอนอยู่แบบนี้จะตายไปเลยไหมเริ่มเรียงคิวเข้ามาในหัว
...
ร่างบางลุกพรวดขึ้นจากอ่างอาบน้ำ หอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดอย่างรวดเร็ว
“แค่กๆ” หากอยู่นานกว่านี้อาจจะตายไปเลยก็ได้... เธอคิด
ผู้คนจำนวนไม่น้อยไหลเข้าไปในรถเมื่อประตูรถใต้ดินเปิดออก ถึงจะเยอะแต่ก็ดีกว่ารถไฟฟ้า เฟลอร์เดินไปเจอที่นั่ง เหลียวมองรอบๆก็ไม่พบคนแก่หรือสตรีมีครรภ์ที่ดูจะต้องการที่นั่งไปมากกว่าเธอ จึงได้ตัดสินใจนั่งลง ก่อนจะหยิบหนังสือนิยายเล่มเล็กขึ้นมาเปิดอ่าน แต่ทุกครั้งที่ประตูรถเปิด เฟลอร์ต้องเงยหน้าขึ้นดูคนที่เดินผ่านประตูเข้ามาทุกครั้งไป อาจเป็นเพราะคิดว่าจะได้พบกับเพื่อนก็เป็นได้
แล้วการเงยหน้าครั้งที่สามก็ทำเอาก้มหน้าอ่านหนังสือต่อแทบไม่ทัน มาซากิก้าวเข้ามาบนรถ ไม่กล้าคิดว่าเขาสังเกตเห็นเธอรึเปล่า แต่เฟลอร์ก็ทำอ่านหนังสือไปเรื่อยๆและไม่เงยหน้าขึ้นมาอีกเลยไม่ว่าประตูจะเปิดอีกกี่ครั้ง
มาซากิมองแล้วก็ไม่เข้าใจ เขาสบตากับเธอพอดีตอนที่ขึ้นรถมา แต่ทำไมต้องหลบหน้าขนาดนั้น อ่านหนังสือเล่มเล็กปานนั้นแต่ผ่านไปกว่า10นาทีแล้วก็ยังไม่พลิกหน้า ดวงตาที่จับจ้องบนหน้าหนังสืออยู่ที่จุดเดียวแบบนั้นยิ่งทำให้รู้ได้ ว่าหญิงสาวเพียงทำเป็นอ่านเพื่อหลีกเลี่ยงบทสนทนากับเขา
ในที่สุดก็ถึงสถานีที่ต้องลง มาซากิหยุดรอดูทีท่าของเธอ แต่เฟลอร์กลับไม่มีท่าทีว่าจะขยับกายไปจากเก้าอี้เลยแม้แต่น้อย จวบจนประตูปิดลง และรถก็ค่อยๆออกวิ่งต่อ
เฟลอร์รู้สึกว่าเธอเริ่มจะนั่งไม่ติดเก้าอี้ ทำไมเขาถึงไม่ลงไปในเมื่อเมื่อครู่ก็จอดตรงสถานีนั้นแล้ว
...
สถานีปลายทาง ทำให้ทั้งสองต้องก้าวลงจากรถ คราวนี้คงทำอะไรไม่ได้แล้ว
“ฮานะจัง...” มาซากิเอ่ยเรียก ข้างล่างไม่ได้เสียงดังมาก จึงทำให้เธอได้ยินชัดเจน
จะหนีไปตลอดคงทำไม่ได้ คงหาทางออกที่ดีกว่านี้ได้หากอยู่บนรถไฟฟ้า ถ้าเป็นรถไฟฟ้าเฟลอร์อาจตัดสินใจกระโดดเข้าใส่รถที่กำลังวิ่งเข้ามาก็ได้
“..... คะ”
“ผมบังเอิญทำอะไรให้ไม่พอใจรึเปล่าครับ... ถึงฮานะจังจะปฏิเสธแต่ผมก็รู้ครับ... หลบหน้าผม... ฮานะจังทำแบบนั้นอยู่นะครับ” ภาษาไทยสำเนียงแปร่งๆของเขาพาเอาน้ำตาแทบไหล
“อย่าเรียกแบบนั้น... อย่าเรียกชื่อฮานะแบบนั้น...”
แค่เสียงเหมือนกันก็พอแล้ว อย่าเรียกแบบเดียวกันเลย ไม่อย่างนั้น ชีวิตของฉันอาจจะสั้นลง...
To be continue...
ความคิดเห็น