คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Going crazy - KiseopxKevin
Kevin Kiseop Donghun
Going crazy
Kiseop x Kevin
“เควิ่นหยุด! พอได้แล้ว!”
แรงกระชากจากด้านหลังดึงรั้งแขนเรียวที่ง้างขึ้นจนสุด อย่างน้อยเขาก็มาห้ามทันก่อนที่มือบางนั้นจะฟาดลงอีกครั้งบนใบหน้าของคนที่กำลังถูกคร่อมอยู่ ร่างสูงพยายามดึงตัวให้อีกฝ่ายลุกออกจากคนที่อยู่ด้านล่าง
“ปล่อยนะกีซอบ!”
คนตัวเล็กกว่าสะบัดดิ้นสุดแรงแต่แรงก็ยังน้อยกว่าคนที่กอดรัดตัวเขาเอาไว้มาก เควิ่นหวีดร้องด้วยความโมโหก่อนจะพยายามตะเกียกตะกายออกจากอ้อมแขนแกร่งเพื่อต้องการจะเข้าไปจัดการกับคนที่ค่อยๆลุกขึ้นยืนขึ้นอย่างยากลำบาก
“พอ! ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้! เลิกบ้าซักที!”
เสียงเข้มตะคอกใส่อีกคนที่กำลังโมโหถึงขีดสุด ร่างบางหยุดดิ้นก่อนจะสะบัดตัวออกเพื่อจะได้หันไปมองหน้าคนที่พยายามห้ามเข้าเอาไว้ มือบางกำหมัดแน่นจนเป็นข้อสีขาว ดวงตาเรียวเริ่มแดงเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ออกมาเต็มทีแต่ยังคงฉายแววความเกรี้ยวกราด
“อ๋อ นี่นายเป็นห่วงมันใช่มั้ย? ถ้านายรู้เหตุผลว่าเพราะอะไรฉันถึงทำขนาดนี้ นายจะไม่ห้ามฉันแบบนี้หรอก”
“เหตุผลงี่เง่าของนายงั้นหรอ?”
‘เพี๊ยะ!’
ทันทีที่พูดจบมือบางก็ตบที่หน้ากีซอบเข้าอย่างแรง ใบหน้าหล่อสะบัดไปตามแรงที่ส่งมา สร้างความตกตะลึงให้กับทั้งคนที่ถูกตบเองและอีกหนึ่งบุคคลต้นเหตุของเรื่องนี้ที่ถึงกับยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกใจ ตาคมจ้องมองเจ้าของรอยมือแดงบนแก้มขวาของเขาก่อนจะตัดสินใจพูดบางอย่างออกมา
“ความอดทนฉันมีไม่พอสำหรับนายแล้วเควิ่น ฉันไม่อยากทนคบกับคนไม่มีเหตุผลแบบนาย เลิกกันเถอะ”
ร่างสูงไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดหรือค้านอะไร เขาเดินผ่านคนตรงหน้าไปหาเด็กหนุ่มที่กำลังยืนตัวสั่นแก้มใสของอีกฝ่ายช้ำเป็นรอยเหมือนกันแต่แดงกว่าและยังมีแผลที่มุกปากอีกด้วย
“เดี๋ยวฉันพานายไปทำแผลเองดงฮุน ไปกันเถอะ”
มือหนาดันไหล่บุคคลที่สามให้เดินออกไปจากบริเวณนี้ด้วยกันกับเขา ทิ้งไว้เพียงเควิ่นที่ทรุดนั่งลงไปราวกับว่าจู่ๆขาของเขาก็ไม่รู้จักการทรงตัวไปเสียอย่างนั้น ดวงตาแดงก่ำมองมือข้างที่เขาใช้มันตบหน้าของกีซอบ น้ำตาใสเอ่อล้นดวงตาคู่สวยจนกระทั่งไหลออกมาไม่หยุด ไหล่เล็กสั่นไหวพร้อมกับเสียงสะอื้นที่ห้ามเอาไว้ไม่ได้
เควิ่นกลับถึงบ้านด้วยสภาพห่อเหี่ยวเต็มทน เขาต้องโกหกกับแม่ที่สงสัยกับสภาพของลูกชายตัวเองที่ตาแดงช้ำไปหมดทั้งยังได้แผลกลับมาและพยามเลี่ยงข้อซักถามอยู่นานกว่าจะขึ้นมาถึงห้องนอนของตัวเองได้ รู้สึกเหนื่อยกว่าที่เคยเลยทำให้เขาผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย
.
“เควิ่น! ทำไมทำหน้าแบบนั้นอ่ะ เป็นอะไรไป?”
ทันทีที่เขาเดินมาถึงโต๊ะเรียนซึ่งกลุ่มเพื่อนของเขานั่งรายล้อมโต๊ะของเขาไว้ ทุกคนดูจะตกใจและเป็นห่วงกับสภาพที่ดูเหมือนคนไม่มีอารมณ์จะทำอะไรทั้งสิ้นทั้งยังมีแผลที่มุมปากอีกด้วย กระเป๋าเป้ใบสวยถูกหย่อนปุลงบนโต๊ะเรียนก่อนเจ้าของโต๊ะจะค่อยๆทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้
“ฉันเลิกกับกีซอบแล้ว เมื่อวานนี้”
คำตอบที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยตรงกับคำถามแต่ก็เป็นคำตอบที่มีความสำคัญอย่างมาก ทำเอาเพื่อนๆอีกสามคนในกลุ่มถึงกับตกใจอย่างมากที่ได้ยิน
“เฮ้ย! ทำไมอ่ะ? มันเกิดอะไรขึ้น”
“เมื่อวานตอนเย็นดงฮุนมาหาเรื่องฉันแล้วกีซอบก็เข้ามาพอดี”
“อย่าบอกนะว่าเหมือนในละครอ่ะ พระเอกเข้าใจผิดว่านางเอกเป็นคนทำร้ายนางร้าย”
จีซุก เพื่อนสาวคนหนึ่งในกลุ่มแทรกขึ้นมาก่อนที่เควิ่นจะเล่าจบ ร่างบางหัวเราะเบาๆก่อนจะตอบกลับไป
“ถูกแค่เข้าใจผิดนะแต่ฉันน่ะคงเป็นนางร้ายสำหรับเขาไปแล้วล่ะ กีซอบคงทนฉันต่อไปไม่ไหว”
“โอ้ยยย เมื่อวานฉันไม่น่าทิ้งนายไว้แล้วกลับบ้านไปก่อนเลยจริงๆ ใครจะไปคิดว่าดงฮุนมันจะกัดนายไม่ปล่อยแบบนี้”
วูริรีบแทรกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเป็นเพราะตนเองปล่อยให้ต้องกลับบ้านคนเดียวทั้งๆที่ปกติจะต้องกลับด้วยกันเลยทำให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
“และดูเหมือนรอบนี้แผนสร้างความร้าวฉานของมันจะสำเร็จด้วย ถึงขั้นแตกหักแล้วนะเนี่ย!”
“เป็นแบบนี้ไม่ได้นะเควิ่น! นายจะยอมให้กีซอบตกไปเป็นของดงฮุนงั้นหรอ!”
“เฮ้สาวๆใจเย็น”
คิม แจซอบอีกหนึ่งหนุ่มในกลุ่มยกมือขึ้นห้ามสองสาวที่กำลังอารมณ์ขึ้นแทนเพื่อนรักสุดๆ เควิ่นเองก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะปฎิเสธว่าไม่ใช่ความผิดของเพื่อนที่ปล่อยให้เขากลับบ้านคนเดียว
“ไม่ใช่ความผิดเธอเลยวูริ ช่วยไม่ได้ที่ดงฮุนมันลงมือกับฉันก่อนก็ต้องโต้กลับและเขาดันมาเห็นตอนฉันได้เปรียบพอดี”
“แล้วนายไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”
“ก็แขนช้ำนิดหน่อยแล้วก็ปากแตก”
“ไม่อยากเชื่อว่าจะมีเรื่องแบบนี้จริงๆ ฉันนึกว่าจะมีแต่ในละครซะอีก”
จีซุกเหลือเชื่อกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เควิ่นเองก็ไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้วเลยปิดกั้นตัวเองด้วยการฟุบหน้าลงกับกระเป๋าของตัวเองบนโต๊ะเรียนแทนหมอน
พักสายตาได้ไม่ถึงสิบนาทีเขาก็ถูกสะกิดจากแจซอบที่นั่งอยู่ข้างๆกันให้ลุกขึ้นมาเมื่ออาจารย์เข้ามาในห้องเรียน
“คาบเช้านี้ให้ไปเรียนที่ห้องประชุมใหญ่นะนักเรียน เดี๋ยวเราจะต้องเรียนรวมกับห้อง A เพราะครูท่านที่สอนวิชาแรกของห้องนั้นไม่มา ครูเลยจะสอนพร้อมกันไปเลยเพราะทั้งสองห้องเรียนเท่ากันอยู่”
คุณครูประจำวิชาแรกของวันเข้ามาสั่งนักเรียนทุกคนก่อนจะเดินออกปล่อยให้นักเรียนทุกคนหยิบกระเป๋าของตัวเองเพื่อไปเรียนร่วมกันที่ห้องประชุมใหญ่ เควิ่นที่พอได้ยินคำสั่งแล้วก็แทบอยากจะโดดวิชานี้ไปนอนห้องพยาบาลเสียให้ได้ เมื่อรู้ว่าต้องเรียนร่วมกับอีกห้องหนึ่ง
“ร้อยวันพันปีไม่เคยจะหยุด ไหงต้องมาหยุดวันนี้ด้วยแถมยังต้องเป็นห้องAอีก”
วูริพูดขึ้นก่อนเพื่อนๆจะหันไปมองทางเควิ่นอย่างให้กำลังใจ เพราะห้องAที่ว่าเป็นห้องของกีซอบ...คนที่เควิ่นยังไม่อยากเจอหน้ามากที่สุดในตอนนี้
เมื่อมาถึงห้องประชุมใหญ่ดูเหมือนว่าแจซอบจะเจอเข้ากับที่ว่างพอดีเลยเดินนำทุกคนไปยังที่นั่ง ร่างบางที่เดินรั้งท้ายมาก็ได้แต่เดินตามเพื่อนไปโดยที่ไม่ได้สนใจสิ่งต่างๆรอบตัวเลย
“วูริ จีซุก เควิ่นงั้นเดี๋ยวพวกเธอนั่งแถวข้างหลังฉันล่ะกัน”
แจซอบบอกกับทุกคนเพราะที่นั่งซึ่งเป็นโต๊ะเลคเชอร์ในแถวนี้เหลือเพียงแค่สามที่แต่ดีที่แถวหน้ายังมีว่างเหลืออีกหนึ่งที่อยู่ใกล้กันพอดี
“อ้าว สวัสดีเควิ่นไม่มานั่งกับไอ้กีซอบมันหรอ?”
หลังหย่อนตัวลงนั่งเรียบร้อยแล้ว นักเรียนชายที่นั่งอยู่แถวหน้าของเขาก็ทักขึ้น เควิ่นจำได้ว่าเด็กคนนั้นอยู่ห้องA เลยยิ้มแห้งๆตอบกลับไปและส่ายหน้าปฎิเสธ
“ไม่เป็นไรหรอกเนอะ ห่างกันนิดเดียวมันนั่งแค่ตรงนั้นเอง”
เด็กหนุ่มคนนั้นยังคงพูดอย่างเป็นมิตรก่อนจะชี้ไปทางโต๊ะเลคเชอร์ที่อยู่ถัดไปอีกแค่สองที่นั่งในแถวเดียวกัน ร่างบางมองตามไปก่อนจะแทบร้องไห้เมื่อเห็นว่าเป็นคนๆนั้นจริงๆ กีซอบที่สวมแว่นตากรอบหนาสีดำอยู่ดูเหมือนจะนั่งอ่านสมุดจดเพื่อทบทวนบทเรียนของคราวที่แล้ว เลยทำให้เจ้าตัวยังไม่รู้ว่าถูกเพื่อนของตัวเองพูดถึงอยู่และไม่รู้ว่าเควิ่นนั่งห่างไปทางด้านหลังของเขาเพียงนิดเดียว
“เอ่อ เควิ่นอยากย้ายที่รึเปล่า?”
จีซุกที่นั่งข้างๆเขาถามขึ้นเมื่อรู้ว่าเป็นใครที่นั่งห่างออกไปไม่มากแต่เพื่อนของเธอก็ส่ายหน้าปฎิเสธก่อนจะส่งยิ้มบางให้
“ไม่เป็นไร ฉันอยากนั่งตรงนี้”
ไม่เคยรู้สึกห่างไกลเท่านี้มาก่อนเลย...ทั้งๆที่อยู่ห่างกันแค่นี้เอง
ตั้งแต่เริ่มคาบเรียนมา เควิ่นก็ยังหักห้ามใจตัวเองไม่ให้เผลอเหลือบมองเสี้ยวหน้าคมภายใต้กรอบแว่นหนานั่นได้เลย ถึงแม้เขาจะยังพอมีสมาธิไม่หลุดออกจากบทเรียนตรงหน้าแต่เขาก็หงุดหงิดตัวเองที่หยุดมองใครอีกคนไม่ได้เสียที ก่อนจะถอนหายใจยาวๆอีกครั้งและตัดสินใจตั้งแขนขวาขึ้นเท้าหัวเอาไว้ อย่างน้อยก็พอบังสายตาจากทางที่จะมองเห็นหน้าหล่อๆนั่นได้บ้าง
.
ออดหมดเวลาดังขึ้นก็ถึงช่วงเวลาพักของเหล่านักเรียนเสียที หญิงสาวยืดแขนเพื่อคลายความปวดเมื่อยที่ต้องคอยจดสมุดตลอดสามชั่วโมงติด ก่อนทั้งหมดจะลุกขึ้นเก็บข้าวของเพื่อไปพักกลางวันกัน ขณะที่เควิ่นยืนขึ้นบังเอิญว่ากีซอบเองก็เลือกทางเดินออกโดยผ่านหน้าเขาไปพอดี เลยทำให้เขาจะต้องเผชิญหน้ากัน สายตาทั้งสองคู่สบกันครู่หนึ่ง อีกฝ่ายดูเหมือนจะตกใจเล็กน้อยที่เห็นเขาก่อนเควิ่นจะแกล้งตีหน้านิ่งเพื่อกลบแววตาสั่นไหวของตัวเอง มือบางกำสายกระเป๋าสะพายเอาไว้แน่นแล้วรีบเดินหนีตามเพื่อนๆออกไปก่อน
“เควิ่น ดูนั่นดิ่”
หลังจากเดินพ้นประตูห้องประชุมออกมา มือเล็กก็รีบดึงแขนของเควิ่นเอาไว้ก่อนจะพยักเพยิดหน้าให้มองทางข้างหน้า เห็นเป็นเด็กหนุ่มหน้าหวานคนหนึ่งกำลังยืนรอใครบางคนอยู่ เหมือนว่าทางนั้นจะมองมาเห็นเควิ่นพอดีเลยเดินตรงเข้ามาหาเขาทันที
“อ่า...วันนี้ห้องAกับBเรียนรวมกันงั้นหรอ? เป็นไงบ้างล่ะเควิ่นที่ต้องมานั่งเรียนกับแฟนเก่าน่ะ”
ดงฮุนตรงเข้ามาทักทายอย่างอารมณ์ดีจนน่าหมั่นไส้ ถึงแม้รอยแผลจากเมื่อวานจะยังปรากฎอยู่บนใบหน้าขาวแต่เจ้าตัวกลับไม่ได้ดูเกรงกลัวเควิ่นเหมือนอย่างที่เป็นต่อหน้ากีซอบเมื่อวานเลยแม้แต่น้อย
“ดงฮุน! นายนี่มัน!”
วูริที่ยืนอยู่ด้วยกันรู้สึกโมโหแทนเควิ่นขึ้นมาทันทีและก็ไม่ได้มีแค่เธอที่รู้สึกโมโหเมื่อได้เห็นสีหน้าและท่าทางแบบนั้นของดงฮุน หญิงสาวตัวบางแทบจะพุ่งเข้าไปหาฝ่ายตรงข้ามสำเร็จแต่โชคดีที่ถูกแจซอบรั้งแขนเล็กเอาไว้ได้
“อย่าดีกว่าวูริ ฉันไม่อยากทำร้ายผู้หญิง”
ดงฮุนบอกกับหญิงสาวก่อนจะหันกลับมามองหน้าเควิ่นอีกครั้ง ริมฝีปากแดงยิ้มเหยียดใส่คนตรงหน้าก่อนจะเหลือบไปเห็นเป้าหมายของตัวเองที่กำลังเดินถอดแว่นออกมาจากห้องประชุมพอดี เด็กหนุ่มโบกมือเรียกคนตัวสูงเอาไว้ก่อนจะรีบเดินเข้าไปหา กีซอบส่งยิ้มบางๆให้ดงฮุนก่อนจะมองเห็นว่าเควิ่นก็ยืนอยู่ในบริเวณนี้เหมือนกัน ทันทีที่ตาคมมองตรงมายังเควิ่นริมฝีปากอิ่มนั่นก็หุบยิ้มลง
“ไปกันเหอะ”
มือบางดันให้เพื่อนๆรีบเดินออกไปจากตรงนั้นเสียที เขาไม่รู้เลยว่าสายตาของกีซอบที่มองมาแบบนั้นคืออะไรแต่หากให้เดา อีกฝ่ายก็คงจะระแวงว่าเขาไปหาเรื่องอะไรดงฮุนรึเปล่า ทั้งกลุ่มลงมานั่งที่โต๊ะกลางโรงอาหารเรียบร้อยแล้วก่อนเควิ่นจะไล่ให้เพื่อนๆไปซื้ออาหารกลางวันส่วนตัวเขาจะนั่งเฝ้าโต๊ะให้เพราะเกิดไม่อยากจะทานอะไรขึ้นมา
.
“ฉันเห็นหน้าดงฮุนแล้วอยากจะตบปากมันซักสองสามที”
“นี่เควิ่นให้พวกฉันไปจัดการมั้ย? เห็นแล้วมันแค้นแทน”
“ไม่ต้องหรอกจีซุก วูริ ปล่อยมันไปเถอะฉันไม่อยากยุ่งแล้ว”
เควิ่นส่ายหน้าบอกปัดปฎิเสธความหวังดีของเพื่อนๆ มือบางลูบหน้าตัวเองก่อนจะเริ่มพูดอีกครั้ง
“แค่นี้ฉันก็แย่ในสายตากีซอบมากพอแล้ว อย่าทำอะไรอีกเลย พอแล้ว...ไม่เอาอีกแล้ว”
ความรู้สึกทุกอย่างที่ผ่านมาทั้ง โกรธ โมโห ผิดหวัง เสียใจ ทุกๆอย่างตีย้อนกลับเข้ามาในหัวของเขาจนทำให้น้ำตาใสๆไหลออกมาไม่รู้ตัว มือบางรีบยกขึ้นปิดหน้าเอาไว้แล้วเริ่มร้องไห้ ทำเอาเพื่อนๆทุกคนต้องรีบเข้ามาปลอบโยนเป็นการใหญ่
“ร้องออกมาเลยนะเควิ่น ไม่ต้องห่วงพวกเราจะอยู่กับนายเอง”
เกือบหนึ่งชั่วโมงเต็มหลังเลิกเรียนที่เควิ่นนั่งร้องไห้อยู่กับเพื่อน จนทุกคนลงความเห็นว่าจะพาคนกำลังเศร้าไปส่งที่บ้านก่อนจะพากันเดินกลับบ้านเควิ่นไปพร้อมกันทั้งสี่คน ยังดีที่เย็นวันนี้คุณนายวูหรือแม่ของเควิ่นยังกลับไม่ถึงบ้านเลยไม่ต้องมาเห็นสภาพย่ำแย่ของลูกชายคนเดียวสองวันติดแบบนี้ ทุกคนส่งเควิ่นถึงประตูบ้านและบอกให้ดูแลตัวเองดีๆก่อนจะออกมาจากบ้านของเควิ่นเพื่อแยกย้ายกันกลับบ้านแต่ละคน
ฝนตก...
เสียงหยดน้ำกระทบกระจกหน้าต่างจากหนึ่งหยด สองหยด สามหยดจนกระทั่งเม็ดฝนกระหน่ำตกลงมาอย่างหนักทำให้เขาอดเป็นห่วงทั้งแม่และพวกเพื่อนๆที่มาส่งเขาถึงบ้านทันที เพราะหลังจากพวกนั้นกลับไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงฝนก็ตกลงมา เขารีบหยิบโทรศัพท์เพื่อโทรเช็คทุกคนๆ เพื่อนทั้งสามถึงบ้านกันหมดแล้วเหลือแต่แม่ของเขาที่ยังเคลียร์งานอยู่กว่าจะเสร็จฝนก็คงหยุดพอดี หลังกดวางสายจากแม่ไป ตัวเลขนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์เขาบอกเวลาตอนนี้ที่เพิ่งแค่บ่ายสี่โมงเย็นเท่านั้น สมองของเขากลับคิดเองโดยอัตโนมัติว่ามีใครบางคนที่ยังไม่กลับบ้าน คนที่ชอบนั่งเล่นในโรงเรียนจนกระทั่งเย็นมากถึงจะกลับบ้าน คนที่เขามักจะอยู่ด้วยเวลาเลิกเรียนและกลับบ้านพร้อมกันตอนเย็นย่ำจนเกือบมืด
“คงกลับบ้านไปแล้วแหล่ะไม่ก็ติดฝนกับกิ๊กใหม่อยู่ ฮึ บรรยากาศแบบนี้เป็นใจสุดๆไปเลยล่ะสิ่”
พูดเองกลับยิ่งหงุดหงิดเอง โทรศัพท์เครื่องสวยถูกโยนทิ้งลงบนที่นอนนุ่มก่อนเจ้าของจะเดินออกจากห้องนอนไปพร้อมกับปิดประตูเสียงดังจนกรอบรูปที่ติดอยู่บนพนังห้องแทบจะร่วงหล่นลงพื้นไป
.
“บ้าไปแล้วเควิ่น นายต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!”
ปากบางบ่นอุบในขณะที่ตัวเองกำลังเดินตากฝนภายใต้ร่มคันใหญ่สีฟ้า ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักและยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเสียที ทำให้เขาอยู่นิ่งไม่ได้เลย เขาเดินไปเดินมาในบ้านอยู่นานจนสุดท้ายก็ตัดสินใจคว้าร่มแล้วเดินออกมา ถ้าแค่โทรถามก็คงจะหมดห่วงแล้วแต่ด้วยความถือตัวที่ไม่ยอมเป็นฝ่ายโทรไปหาก่อนเลยทำให้เขาต้องลำบากออกมาแอบดูด้วยตัวเองแบบนี้
โรงเรียนในตอนเย็นและฝนตกหนักแบบนี้ทำให้เหลือนักเรียนอยู่เพียงไม่กี่คน เควิ่นรีบวิ่งเข้ามาในตัวอาคารตึกเรียนของเขาเพราะคิดว่าอีกคนคงจะยังอยู่ในตึกเรียน ร่มสีฟ้าถูกกางวางทิ้งไว้ก่อนเจ้าของจะเดินขึ้นตึกเรียนไป
เควิ่นรู้สึกคิดผิดถนัดที่ขึ้นมาบนตึกเรียนคนเดียว ทางเดินที่ค่อนข้างมืดและร้างผู้คนแบบนี้ทำให้เขารู้สึกกลัวอยู่ไม่น้อย เสียงเดินของรองเท้าผ้าใบสีดำของเขาดังก้องไปทั่วอาคาร กว่าจะฮึดเดินขึ้นมาถึงชั้นสามซึ่งเป็นชั้นห้องเรียนของเขาได้ ขาเรียวก็แทบจะหมดแรงเพราะสั่นไปหมดด้วยความกลัว
เขาเดินตรงไปยังห้องมัธยมปลายปีสาม A ห้องประจำของคนที่มาตามหา เมื่อเห็นประตูห้องที่ยังแง้มเปิดไว้อยู่เขาจึงค่อยๆเปิดออกเล็กน้อยเพื่อแอบดูโดยที่ไม่ต้องการจะให้อีกคนรู้ตัว ห้องเรียนปิดไฟไว้หมดจนไม่น่าจะเหลือนักเรียนอยู่ แต่ที่โต๊ะเรียนกลางห้องกลับเห็นเป็นเงาคนนั่งอยู่ ทันใดนั้นความกลัวก็แล่นเข้าเกาะกุมหัวใจของเควิ่นทันที เขารู้สึกเหมือนมีลมเย็นพัดผ่านร่างกายไปก่อนขนอ่อนตามตัวจะลุกชันขึ้นทันที เควิ่นเจอเข้ากับอะไรบางอย่างเสียแล้ว...
หมับ!
“ขึ้นมาทำอะไร?”
เควิ่นตัวแข็งทื่อทันทีเมื่อถูกสัมผัสเข้าที่ข้อมือขาว พร้อมกับเสียงทุ้มเย็นที่ดังขึ้นอยู่ข้างหู เขาแทบจะกรีดร้องออกมาแต่กลับรู้สึกว่าเสียงนั้นช่างคุ้นเคยเหลือเกิน ใบหน้าหวานที่ซีดลงด้วยความกลัวค่อยหันไปตามต้นเสียงก่อนรู้สึกอยากจะต่อยใบหน้าหล่อๆตรงหน้าที่อยู่ใกล้กันขนาดนี้
“กีซอบ! ไอ้บ้า! นายเกือบทำฉันหัวใจวาย”
ปัง!
ปัง!
ปัง!
เสียงประตูห้องเรียนปิดตัวเองดังขึ้นไล่มาตั้งแต่ห้องสุดท้าย อาจะเป็นเพราะแรงลมจากฝนตกหนักหรืออะไรก็ตามแต่ก็ทำให้เควิ่นขวัญกระเจิงไปในทันที มือบางคว้ามือของอีกคนไว้ก่อนจะรีบพาออกวิ่ง ด้วยความเร็วเหนือปกติทำให้เขาวิ่งลงมาถึงชั้นล่างกันโดยใช้เวลาไม่ถึงห้านาที พอพ้นออกมาจากประตูอาคารได้เควิ่นก็หยุดหอบหายใจอยู่ตรงทางเข้าที่มีร่มสีฟ้าของเขากางทิ้งเอาไว้อยู่ หัวใจยังเต้นเร็วผิดจังหวะจากเหตุการณ์ระทึกขวัญที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้
“ไหวมั้ย?”
แรงบีบเบาๆที่มือทำให้เควิ่นเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมืออีกข้างที่ยังจับกับมือของเขาเอาไว้ เกิดอาการอ้ำอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะดึงมือของตัวเองกลับออกมาแล้วพยักหน้ารับว่าตัวเองยังไหวอยู่
“แล้วตกลงนายขึ้นไปบนตึกทำไม...ในเวลาแบบนี้”
กีซอบถามย้ำอีกครั้ง แววตาแบบเดียวกับเวลาที่อีกคนใช้ตอนเป็นห่วงเขาทำให้เควิ่นพูอะไรไม่ออก ได้แต่อ้ำอึ้งอยู่แบบนั้นก่อนจะนึกข้ออ้างขึ้นมาได้ทัน
“ฉันลืมของไว้”
“แล้วไปยืนทำอะไรที่หน้าห้องฉัน?”
“ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่นายน่ะเย็นแบบนี้แล้วทำไมยังไม่กลับ”
พอแก้ตัวก็ดูเหมือนจะถูกต้อนให้จนมุม ร่างบางเลยรีบเปลี่ยนประเด็นมาเป็นเรื่องที่อีกคนยังไม่ยอมกลับบ้านแทน ถ้าให้รู้ว่ามาตามหาอีกฝ่ายเควิ่นคงอายแทรกแผ่นดินหนีแน่ๆ
“ก็ติดฝนอยู่ยังกลับไม่ได้ ฉันเดินกลับมาตึกแล้วเห็นร่มนายกางทิ้งไว้อยู่เลยเดินตามขึ้นไป”
“ร่ม? รู้ได้ไงว่าเป็นร่มฉัน”
“ร่มลายจุดสีฟ้าแบบนี้มีคันเดียวแหล่ะ แล้วฉันก็เคยเดินถือมันมากี่ครั้งแล้วทำไมจะจำไม่ได้”
กีซอบตอบด้วยท่าทางปกติผิดกับเควิ่นที่รู้สึกเหมือนตัวเองพลาดถามในสิ่งที่ทำให้ตัวเองเจ็บปวดขึ้นมา ร่างบางพยักหน้ารับน้อยๆก่อนจะมองออกไปทางอื่น มองไปยังสายฝนที่ยังคงกระหน่ำตกลงมาไม่หยุด ก่อนจะถามออกมาโดยไม่หันกลับไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างกันตรงๆ
“แล้วนายจะกลับยังไงล่ะ ฝนยังตกหนักอยู่เลย”
“ไม่รู้สิ่ ไม่มีร่มซะด้วย”
ร่างสูงตอบปฎิเสธไปก่อนจะแกล้งเหลือบมองร่มสีฟ้าที่ยังกางทิ้งไว้อยู่บนพื้น ตาเรียวมองตามไปก่อนจะถอนหายใจออกมา ดูท่าแล้วพวกเขาคงจะต้องใช่ร่มคันเดียวกันเดินออกไป เควิ่นก้มหยิบร่มขึ้นมาก่อนจะหันไปหาอีกคน
“ยังก็ต้องไปขึ้นรถเมลล์ที่เดียวกันอยู่แล้ว ติดร่มไปกับฉันก็ได้”
ร่างสูงแอบยิ้มก่อนจะเป็นฝ่ายดึงร่มจากในมืออีกคนมาถือไว้เอง เควิ่นขมวดคิ้วใส่คนตัวสูงกว่าที่แย่งถือร่มไปแต่ก็ต้องรีบเดินตามไปเพราะคนที่ถือร่มอยู่แกล้งเดินนำหน้าไปก่อนแล้ว
“ย๊า! รอกันด้วยดิ่ นั่นมันร่มฉันนะ!”
เป็นอันว่าวันนี้เควิ่นก็ต้องกลับบ้านพร้อมกับกีซอบอีกครั้ง ถึงแม้ว่าจะเลิกกันไปแล้ว ระหว่างทางที่เดินออกมาจากประตูโรงเรียนไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้นเลย มีเพียงแต่อาการอึกอักของคนทั้งคู่ บางทีเหมือนร่างสูงต้องการจะถามอะไรเขาแต่ก็เก็บคำพูดไปเมื่อเขาหันไปมอง จนในที่สุดเควิ่นต้องเป็นคนเริ่มถามก่อน แต่คำถามดูจะไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่คงเป็นเพราะในตอนนี้เจ้าของร่มสีฟ้ามีแต่อารมณ์ประชดประชันเสียอย่างเดียว
“แล้วทำไมกิ๊กนายถึงทิ้งนายไว้แบบนี้อ่ะ บรรยากาศแบบนี้มันได้ฟีลสุดๆไปเลยออก”
“กิ๊กฉัน? อ๋อ...ดงฮุนน่ะหรอ?”
“เหอะ รุกเร็วจังนะเลิกกับฉันไปแค่วันเดียว”
ประโยคนี้เควิ่นบ่นกับตัวเองและบ่นถึงมือที่สามผู้เป็นคนพังความความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาลงได้สำเร็จ
“รุก? ใครรุกใครกัน?”
“เปล๊า! ไม่มีอะไร นี่นายยอมรับแล้วใช่มั้ยว่ากิ๊กกับดงฮุนอยู่อ่ะ?”
“ไม่ใช่หรอก แต่ดูท่าเขาก็รุกฉันเร็วอย่างที่นายพูดนั่นแหล่ะ”
กีซอบตอบออกมา ทำเอาอีกคนถึงกับหันขวับกลับไปมองทันที ผู้ชายคนนี้ร้ายกาจมากที่ทำเป็นแกล้งไม่ค่อยได้ยินสิ่งที่คนตัวเล็กกว่าบ่นทั้งๆที่จริงได้ยินชัดเต็มสองหูขนาดนี้ กีซอบหัวเราะน้อยๆก่อนเขาจะสังเกตเห็นรอยแผลมุมปากของอีกคน คงเป็นเพราะเขายืนอยู่อีกด้านหนึ่งของเควิ่นมาตลอดเลยทำให้มองไม่เห็นรอยแผลนี้
“ปากนายแตก...”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นและหยุดเดินเสียดื้อๆ ทำเอาคนที่อยู่ร่วมคันร่มต้องหยุดตาม ตาคมมองจ้องรอยแผลที่มุมปากของเขา มือหนายกขึ้นหมายจะแตะที่มุมปากบางแต่เควิ่นกลับปัดออกเสียก่อน
“อย่ามาโดนหน่า มันเจ็บ”
“ทำไมนายถึงเป็นแผลได้ ทั้งๆที่เมื่อวาน...”
“นายไม่ต้องมาสนใจฉันหรอก ฉันมันมีแต่เหตุผลงี่เง่าที่นายคงไม่อยากจะรู้หรอกว่าฉันเป็นแผลได้ยังไง”
พอกีซอบกำลังจะจุดประเด็นเหตุการณ์เมื่อวานขึ้นเควิ่นก็ดูจะโมโหขึ้นมาทันที มือบางกระชากร่มกลับคืนและเดินตรงดิ่งจากไปทิ้งให้เขาต้องยืนตากฝน ร่างสูงอยากจะร้องเรียกเอาไว้แต่ไม่ทันเพราะรถเมลล์สายที่อีกฝ่ายจะต้องขึ้นจอดเทียบป้ายพอดี เจ้าของร่มคันสีฟ้าลายจุดก็รีบกระโดดขึ้นรถไปโดยไม่หันกลับมามองเขาแม้แต่นิดเดียว
.
วันนี้กีซอบไม่มาโรงเรียนเพราะไม่สบาย
นั่นเป็นสิ่งที่เขารู้มาเพราะอุตส่าห์ไปเลียบๆเคียงๆถามเพื่อนที่อยู่ห้องA ว่ากีซอบมาโรงเรียนรึเปล่า เขาเองก็แค่สงสัยที่เห็นดงฮุนเดินอยู่คนเดียวทั้งที่เมื่อวานเห็นตัวติดกับกีซอบจนแทบจะสิงเข้าไปอยู่แล้ว
พอรู้ว่าสาเหตุที่คนๆนั้นไม่มาโรงเรียนเป็นเพราะไม่สบายก็ทำให้เควิ่นรู้สึกผิดขึ้นมา เขารู้ดีว่ากีซอบเป็นคนเป็นหวัดง่ายถึงจะดูแข็งแรงแบบนั้นแต่ด้วยความโมโหกลับปล่อยทิ้งให้อีกคนต้องเดินตากฝนกลับบ้าน
“เฮ้! นั่นมันดงฮุนนี่ จีซุกเธอช่วยฉันดูสิ่ว่าใช่มันมั้ย?”
หลังจากเลิกเรียนขณะที่ทั้งสี่คนกำลังเดินลงจากอาคารเรียน สองสาวที่เดินนำอยู่ก็เหมือนจะเห็นอะไรเข้า จีซุกรีบสะกิดให้เพื่อนสาวข้างๆกันมองไปทางสนามบาสเก็ตบอล เควิ่นจึงลองมองตามไปบ้างก็ได้พบกับดงฮุนอย่างที่ทั้งสองสาวว่า
“ไหนกำลังตามจีบกีซอบไม่ใช่หรอ ทำไมไปยืนจับมือกับนักบาสโรงเรียนแบบนั้นอ่ะ”
วูริพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าดงฮุนกำลังยืนคุยอยู่กับนักกีฬาบาสเก็ตบอลโรงเรียนหน้าตาดีคนหนึ่ง ถึงจะไม่ดูดีเท่ากีซอบที่ถือว่าเป็นหนุ่มป๊อปในโรงเรียนเพราะทั้งหน้าตาดี เรียนเก่งถึงจะไม่ถนัดกีฬาเท่าไหร่แต่ก็พอเล่นเป็นให้สาวๆแอบตามไปกรี๊ดเวลาที่เจ้าตัวเล่นแบบสนุกๆกับเพื่อน ถ้าหากยืนคุยเฉยๆพวกเขาคงจะไม่คิดอะไร เพียงแต่หนุ่มนักกีฬาคนนั้นมีการจับมือของดงฮุนไว้แถมยังทำหน้ามีความสุขยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยกันทั้งคู่ ใครที่ได้เห็นก็คงจะไม่คิดไปเป็นอย่างอื่นนอกจากสองคนนี้คงกำลังจีบกันอยู่
“ร้ายกาจมากผู้ชายคนนี้”
วูริส่ายหน้าให้กับพฤติกรรมของคนที่พวกเขากำลังยืนดูอยู่ จีซุกที่ยืนข้างๆกันก็ช่วยเสริมทัพให้เข้าไปอีก รู้สึกสงสารเพื่อนขึ้นมาจับใจที่ต้องเลิกกับคนที่รักมากเพราะมีมือที่สามแบบนี้เข้ามาแทรก
“แอ๊บที่สุด! อย่างนี้ต้องจัดการเควิ่น! นายนั่นมันทำให้นายต้องเลิกกับกีซอบนะ”
“กีซอบพูดเองว่าทนฉันไม่ไหวแล้ว ไม่เกี่ยวกับดงฮุนหรอก ปล่อยเขาไปเถอะ”
เควิ่นบอกกับเพื่อนก่อนจะเดินต่อไป ปล่อยให้ทั้งสองสาวได้แต่มองตามด้วยความไม่เข้าใจความคิดของเพื่อนตัวเองเป็นอย่างมาก ก่อนจะหันไปขอความเห็นจากผู้ชายอีกคนในกลุ่ม แจซอบก็ได้แต่ส่ายหัวไม่เข้าใจเช่นกัน
“เดี๋ยวฉันจะไปทำธุระก่อน พวกเธอกลับกันไปก่อนเลยนะ”
หลังจากมาถึงป้ายรถประจำทาง เควิ่นก็บอกลาเพื่อนๆก่อนรถสายที่เขาต้องการมาถึงพอดี ทุกคนก็ไม่ได้ขัดอะไรก่อนจะโบกมือล่ำลาส่งเพื่อนขึ้นรถไป หลังจากรถเคลื่อนตัวออกไปแจซอบก็เหมือนจะสังเกตเห็นอะไรเลยสะกิดบอกทั้งสองสาวที่มองตามรถคันนั้นกำลังแล่นออกไป
“ฉันจำได้ว่านั่นมันรถสายที่ผ่านบ้านกีซอบนิ่ จำได้ว่าเควิ่นเคยส่งเจ้านั่นขึ้นรถคันนี้”
“เห? ไม่แน่หน่ามันอาจจะผ่านทางที่เควิ่นต้องไปทำธุระก็ได้”
“คงงั้นล่ะมั้ง”
“ไม่หรอก…” จู่ๆวูริก็แทรกขึ้น ก่อนจะหรี่ตามองไปทางรถคันนั้นอย่างคิดอะไรขึ้นมาได้
“ในละครนางเอกจะต้องไปดูแลพระเอกตอนไม่สบายนี่ ฉันว่า...เพื่อนเราเป็นนางเอก ไม่ใช่นางร้ายอย่างที่พูดหรอก”
ถูกอย่างที่เพื่อนๆของเควิ่นคาดการณ์เอาไว้ไม่ผิดไปเลยแม้แต่น้อย ว่าขึ้นรถสายนั้นก็เพื่อมาหากีซอบที่บ้าน ขาเรียวเดินลึกเข้ามาในซอยที่คุ้นเคยก่อนจะหยุดลงหน้าประตูรั้วสีน้ำตาลที่สูงเลยหน้าอกของเขามานิดเดียว ยังไม่ทันที่เขาจะกดกริ่งเรียกเจ้าของบ้าน ดูเหมือนหญิงวัยกลางคนที่เขาคุ้นหน้าเป็นอย่างดีก็กำลังเดินออกมาจากประตูหน้าบ้าน
“อ้าว หนูเควิ่นมาเยี่ยมกีซอบหรอ? เข้ามาได้เลยจ้ะ”
คุณแม่ของกีซอบยิ้มสดใสทักทายแขกก่อนจะเรียกให้เควิ่นเปิดประตูรั้วเข้ามาได้เลย ร่างบางโค้งทักทายตามมารยาทที่ดีก่อนเจ้าของบ้านจะอนุญาติให้เควิ่นสามารถเข้าไปข้างในได้เลยเพราะเธอเองคุ้นเคยและเอ็นดูเควิ่นเป็นอย่างมาก มีเพื่อนไม่กี่คนหรอกที่ลูกชายของเธอจะพามาที่บ้านด้วยถ้าไม่สนิทกันจริงๆและเธอเองก็รู้ดีว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าพิเศษกว่าเพื่อนลูกชายคนไหนๆที่เคยพามาบ้าน
เควิ่นไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมจะต้องมาหาถึงที่บ้านแบบนี้ด้วย ทั้งๆที่พวกเขาก็ไม่น่าจะมีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันแล้ว จนสุดท้ายก็สรุปกับตัวเองได้ว่าเป็นเพราะความรู้สึกผิดที่ทำให้เขาเดินขึ้นมาถึงหน้าประตูห้องสีขาวนี้ได้ มือบางเคาะประตูเบาๆสองสามครั้งแล้วกลั้นใจรอฟังเสียงตอบรับจากด้านใน
“เข้ามาเลยครับ ประตูไม่ได้ล๊อค”
เมื่อได้รับอนุญาติเขาจึงหมุนลูกบิดเปิดประตูเข้าไป ห้องที่ดูเป็นระเบียบสมกับเป็นผู้ชายรักความสะอาดและเรียบร้อย ทางซ้ายมือของเขาคือเตียงนอนนั่นเองคนป่วยยังคงสวมชุดนอนและอยู่ในท่าที่ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ดวงตามองตรงไปยังจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ภายในห้องที่กำลังฉายภาพจากหนังต่างประเทศแนวการต่อสู้ของหุ่นยนต์อยู่
“มีอะไรครับแม่... นาย ”
เมื่อได้ยินเสียงเท้าหยุดเดินหลังจากเข้ามาในห้องของเขาแล้ว กีซอบก็ละสายตามามองเพราะคิดว่าเป็นแม่ของตน ก่อนตาคมจะเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นใครที่ยืนอยู่ เควิ่นเองก็ได้แต่อ้ำอึ้งเพราะไม่รู้เหมือนว่าควรจะพูดหรือทำอะไร ได้แต่เอ่ยเสียงอ้อมแอ้มถามออกไป
“ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย? ฉันแค่จะมาดู เพราะ...อย่างน้อยนายก็ป่วยเพราะฉัน”
“ค่อยยังชั่วแล้วล่ะ ได้นอนพักไปทั้งวัน”
หลังจากปรับสีหน้าให้กลับสู่ปกติได้ กีซอบก็พยักหน้ารับก่อนจะเงียบเพื่อรอดูว่าอีกฝ่ายมีอะไรจะถามเขาอีกมั้ย คงเพราะเป็นคนแสดงออกไม่เก่งทั้งๆที่คนบนเตียงรู้สึกดีมากขนาดไหนที่อีกคนยังเป็นห่วงเขาและมาเยี่ยมถึงบ้านแต่กลับไม่ยิ้มดีใจหรือพูดอะไรออกมาซักคำ
มือเรียวกำสายสะพายกระเป๋าไว้แน่น ปากบางเม้มจนแทบจะเป็นเส้นตรง ไม่เคยรู้สึกแย่ขนาดนี้มาก่อน รู้ดีว่าคนๆนี้เป็นคนไม่ค่อยแสดงออกเลยไม่ค่อยมีใครรู้ดีว่าคนๆนี้คิดอะไรอยู่บ้าง เหมือนกับที่เขาไม่รู้ว่าตลอดเวลาที่คบกันคนๆนี้ต้องทนกับนิสัยของเขา และก็ไม่รู้ว่าตอนนี้กีซอบจะคิดว่าเขามาที่นี่เพราะอะไร
จะคิดว่าเขาเป็นห่วง? เขารู้สึกผิด? เขายังรัก? เขาอยากมาขอคืนดี? หรือคิดว่าเขาจะมาขอโทษ?
“ขอโทษนะ / ฉันขอโทษ”
สองเสียงประสานดังพร้อมกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ตาเรียวเบิกกว้างทั้งตกใจที่อีกฝ่ายพูดออกมาพร้อมกันและตกใจเมื่อมือหนาเอื้อมมาคว้าจับข้อมือของเขาเอาไว้ แทบจะไม่เชื่อหูในสิ่งที่ตัวเองได้ยินเลยต้องขอซ้ำอีกรอบ
“นะ...นายพูดใหม่ดิ๊”
“ขอโทษ ฉันพูดว่าขอโทษ”
กีซอบพูดยิ้มๆก่อนจะดึงให้คนที่ยืนอยู่ลงนั่งบนเตียงเดียวกัน ร่างบางที่อยู่อึ้งๆก็ค่อยๆถอดกระเป๋าออกและนั่งลงตามแรงดึงของเขา ตาใสจ้องหน้าหล่อตรงหน้าไม่วางตา ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะพูดคำนี้ออกมา
“ขอโทษทำไม...”
“ขอโทษที่ว่านาย ขอโทษที่เข้าใจผิด ขอโทษ...ที่บอกเลิกนาย”
มือหนาเลื่อนมารวบจับมือบางเอาไว้แทน ก่อนจะขยับเข้าใกล้อีกคนมากขึ้น ตาคมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเข้มของคนตรงหน้า
“นายไม่ได้เข้าใจผิดนี่ก็เห็นไม่ใช่หรอว่าฉันทำร้ายดงฮุน แล้วฉันก็งี่เง่าอย่างที่นายว่าด้วย”
“หึ เพราะแบบนี้ไงถ้าฉันไม่รู้ว่าความจริงเป็นยังไง ฉันก็จะไม่รู้เลยว่านายทำลงไปเพราะหึงฉัน”
“ความจริงอะไร ใครบอกนาย?”
“นายคงไม่รู้ว่าฉันกับแจซอบเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่มันก็ไม่ได้บอกอะไรฉันจนกระทั่งรู้ว่าฉันบอกเลิกนายไปเพราะเข้าใจผิด มันรีบโทรมาว่าฉันเลยนะว่าทำไมถึงไม่ยอมดูอะไรให้ดีก่อนปล่อยให้ดงฮุนมาหลอกได้ง่ายๆ แล้วก็เล่าว่าดงฮุนมาทำอะไรกับนายไว้บ้าง”
พอได้ฟังเควิ่นก็ยิ่งอึ้งเข้าไปอีก ไม่เคยเอ๊ะใจเลยว่าแจซอบกับกีซอบรู้จักกันในเมื่อเวลาอยู่โรงเรียนทั้งคู่แทบจะไม่ได้คุยอะไรกันให้เขาเห็นเลย บทอยากให้คนตรงหน้าเข้าใจอะไรง่ายๆก็ง่ายเสียจนเขาไม่ต้องเสียเวลาอธิบายอะไรเองเลย
“เฮ้ย นายเข้าใจอะไรง่ายไปป่ะ? นี่คือเชื่อที่แจซอบมันเล่าทุกอย่างเลย?”
“ก็จากที่ฟังแล้วเอามาวิเคราะห์รวมกับพฤติกรรมของนายตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่เจอดงฮุนนี่ ฉันก็ว่ามันจริง”
“แล้วทำไมต้องว่าฉันงี่เง่า ไม่มีเหตุผล”
“ก็อันนั้นมันเป็นเรื่องจริงนี่ นายชอบเป็นแบบนั้นแต่มันก็อยู่ในข่ายที่ยังรับไหว”
“ไหนตอนนั้นบอกว่าทนฉันไม่ไหวแล้ว?”
“ก็ฉันไม่รู้ว่าทำไมนายถึงเป็นแบบนั้น”
ร่างสูงตอบอย่างหน้าตาเฉย หน้านิ่งๆของอีกคนแทบทำให้เควิ่นอยากจะร้องไห้ออกมา เขาทั้งรู้สึกดีและโมโหไปพร้อมกันจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี คนตัวเล็กกว่าโผเข้ากอดคนบนเตียง ใบหน้าหวานซุกเข้าหาไหล่กว้างก่อนจะร้องไห้ออกมาเพราะกลั้นเอาไว้ไม่อยู่แล้ว มือหนาลูบแผ่นหลังบางอย่างปลอบโยนก่อนจะหลุดยิ้มกว้าง
“ร้องไห้ทำไม หืม?”
“ฮึก ฉันดีใจ...ฉันกลัวว่านายจะโกรธจนไม่คุยกันแล้ว คะ...แค่เลิกกับนายสองวันฉันก็จะบ้าตายอยู่แล้วเนี่ย ฮือออ”
แขนเรียวกอดคนตรงหน้าเอาไว้แน่น ร้องไห้กับไหล่กว้างครู่หนึ่งก่อนจะยอมผละออกมา มือเรียวเช็ดน้ำตาออกจากตาให้หมดก่อนจะหลุดยิ้มตามคนที่กำลังหัวเราะเขาอยู่
“ขำตรงไหนเล่า ขอโทษที่ตบหน้านายน้า เจ็บมากมั้ยอ่ะ?”
มือบางยกขึ้นลูบแก้มของคนตรงหน้าข้างเดียวกับที่ถูกตบไป ถึงจะไม่มีร่องรอยเหลืออยู่แล้วแต่เขาก็อยากจะขอโทษในสิ่งที่พลั้งพลาดทำลงไป
“เจ็บสิ่ ตบมาได้ไม่ยั้งไว้เลย แต่ตอนนี้หายแล้วล่ะไม่ต้องห่วง”
ร่างสูงยิ้มอ่อนโยนให้คนตัวเล็กกว่า รอยยิ้มแบบนี้ไม่มีใครได้เห็นง่ายๆจากกีซอบหรอก นอกจากเควิ่นนี่แหล่ะที่ชอบตัวน่ารักๆให้เขาได้ยิ้มตลอด คนที่ขโมยหัวใจของเขาไปตั้งแต่แรกเห็น ร่างบางส่งเสียงครางในลำคออย่างรู้สึกไม่ดีที่ทำร้ายอีกคน มือบางลูบแก้มอีกคนไม่หยุดก่อนจะพร่ำขอโทษที่ทำนิสัยแย่ๆใส่อีกคน
“เอ้อ! ยังมีอีกเรื่องที่ต้องเคลียร์นะ”
“อะไรอีกล่ะครับที่รัก ว่ามาเลย”
“ที่นายพูดเมื่อวานหมายความว่าไง ที่ดงฮุนมันรุกนายอ่ะ!”
ดวงตาเรียวใสจากที่ดูหงอยกลับแข็งกร้าวขึ้นมาทันทีด้วยพิษรักแรงหึง(?) พอถามถึงมือที่สามที่เกือบทำให้ความรักของพวกเขาต้องล่มสลายไปเสียแล้ว
“ก็...พอฉันพาเขาไปทำแผล เขาก็บอกว่าชอบฉันมากแต่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ฉันเลิกกับนาย เขารู้สึกผิด”
“โห พูดงี้จริงดิ่ สตรอเบอร์รี่สุดๆ”
ปากบางยู่ใส่เมื่ออีกคนเล่าให้ฟัง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะร้ายกาจขนาดนี้ ยิ่งนึกภาพตามว่าดงฮุนทำหน้าแบบไหนเวลาที่ออดอ้อนแฟนของเขา ก็ยิ่งทำให้อารมณ์โมโหคนๆนั้นพลุ่งพล่านยิ่งขึ้นไปอีก
“เกือบโดนจูบด้วย”
“ห๊า! อะไรนะ!”
พอได้ยินประโยคถัดมาร่างบางก็ตกใจจนแทบอยากจะกรีดร้องออกมา ติดที่ว่าเกรงใจแม่ของคนป่วยบนเตียงที่ยังคงอยู่ในบ้านด้วย มือบางกระชากเสื้อนอนสีเข้มอีกฝ่ายอย่างลืมตัวก่อนจะเค้นถามอีกคนด้วยสายตากราดเกรี้ยวสุดๆ เล่นเอาคนที่อุตส่าห์พูดความจริงเพราะไม่อยากปิดบังอะไรไว้รู้สึกหนาวๆร้อนๆเมื่อเจอโหมดดาร์กเข้าไป
“แค่เกือบนี่ยังไม่โดน ฉันหลบทันหน่า ฉันไม่ยอมจูบกับใครง่ายๆหรอกถ้าไม่ใช่คนที่ฉันรัก”
กีซอบตอบออกไปก่อนมือบางจะยอมคลายแรงและปล่อยออก มือบางรับจีบเสื้อนอนของคนป่วยให้เข้าที่พร้อมกับผงกหัวขอโทษไปด้วย เขาเห็นได้ชัดว่าแก้มใสๆของอีกคนขึ้นสีเข้มทันที
“อะ...เอ่อ อาบน้ำยัง? ไปอาบซะไปเย็นแล้ว ตัวไม่เน่าหมดแล้วรึไงเนี่ย”
เควิ่นว่าก่อนจะลุกขึ้นยืนพลางดึงผ้าห่มออกให้อีกคนแก้เขิน ที่พูดว่าจูบกับคนที่รักน่ะคงจะไม่ใช่ใครอื่นหรอก เพราะถ้ากีซอบไปจูบกับใครนอกจากเควิ่นคงไม่รอดแน่
หลังจากลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวไปอาบน้ำตามที่โดนไล่ ร่างสูงพร้อมผ้าขนหนูก็เดินเข้ามาใกล้เควิ่นที่นั่งรออยู่บนเตียงของเขา
“แต่...ฉันแปรงฟันแล้วนะ”
“แล้วไงอ่ะ ก็ไปอาบน้ำดิ่”
คิ้วเรียวขมวดอย่างสงสัยก่อนจะเข้าใจที่อีกคนต้องการจะสื่อเมื่อริมฝีปากบางถูกช่วงชิงลมหายใจไปชั่วขณะ ปากอิ่มประทับจูบแสนหวานก่อนจะผละออกและส่งยิ้มให้ มือหนาขยี้กลุ่มผมสีเข้มของคนที่นั่งอยู่บนเตียงเล่นอยากนึกหมั่นเขี้ยวแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปปล่อยให้คนถูกจูบแบบไม่ทันตั้งตัวนั่งเขินตัวบิดอยู่แบบนั้น
Fin
.
ความคิดเห็น