วันนี้เหมือนฉากประกอบละครชีวิตของผมจะถูกเปลี่ยนจากกลางวันให้กลายเป็นกลางคืนค่อนข้างเร็วขึ้น ถ้าจะอ้างอิงแบบมีหลักการหน่อย ช่วงเวลานี้คงจะเข้าใกล้การเปลี่ยนแปลงจากฤดูฝนเข้าสู่ฤดูหนาว ทำให้ช่วงเวลากลางคืนทิ้งตัวยาวนานกว่าช่วงเวลากลางวัน
หลังจากเดินออกมาจากออฟฟิศไม่กี่ช่วงตึก แสงอาทิตย์สีส้มอ่อนรำไรๆก็ถูกเมฆสีเทาดำปกคลุมจนหมดจด ท่ามกลางความมืดมิดกลับปรากฏรอยยิ้มประหลาดโผล่ขึ้นกลางท้องฟ้า
รอยยิ้มนี้ถูกส่งมอบให้กับพวกเราทุกวัน แม้บางวันตึกสูงทั้งหลายจะบดบังรอยยิ้มพิมพ์ใจดวงนี้ให้หายไป หรือจะเนื่องด้วยจากความเหนื่อยล้า หรือจากความเร่งรีบก็ตาม แต่รอยยิ้มที่จริงใจนี้ไม่เคยหยุดทำงาน
ผมกำลังพูดถึง "รอยยิ้มจากพระจันทร์" ครับ
ต่างกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปีก่อนก่อนที่ผู้คนต่างพากันเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "พระจันทร์ยิ้ม" ผู้คนทุกสถานที่ต่างพากรูกันมองขึ้นไปบนฟ้า แม้ว่าวันนั้นจะเป็นวันที่ตัวเองยุ่งที่สุด เหนื่อยที่สุด และทุกข์ที่สุด เพียงแค่เห็นรอยยิ้มกับดวงตาคู่นั้นไม่กี่ชั่วโมงก็พลันเรียกพลังใจกลับมาได้อย่างเต็มอิ่มแล้ว
แปลกที่คืนนี้หลงเหลือเพียงแค่รอยยิ้ม หากมองไม่ชัดอาจจะเป็นแค่รอยตีนกาอันเหี่ยวย่นของท้องฟ้า ดวงตาที่เปล่งประกายคู่นั้นในคืนนี้หายไป อยากจะไถ่ถามว่าเมื่อไหร่ดวงตาคู่นั้นจะกลับมาอีกครั้ง และยังคงจะต้องรอคอยอีกยาวนานแค่ไหน
ไม่นานนักเสียงเพลงของเฉลียงก็ดังออกมาจากหูฟังข้างหนึ่งของผม
" ...ดาวนับล้านที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า"
...จะมีไหมหนาที่ลอยอยู่เองเฉยๆ
...ไม่ยอมโคจรหมุนไปไหนเลย
...ไม่เคยไม่เห็นเลยสักดวง"
ราวกับว่าพี่เจี๊ยบ วัชระ ปานเอี่ยม กำลังเดินเข้ามากระซิบข้างหูของผม และกำลังบอกผมเป็นนัยๆเกี่ยวกับคำตอบของคำถามข้างต้น
ดวงดาวที่เรามองเห็นกันอยู่ทุกค่ำคืนอาศัยอยู่ร่วมกันภายใต้ระยะห่างเกือบปีแสง ระยะห่างอาจเป็นตัวแปรหนึ่งที่ทำให้ดวงดาวทุกดวงจะต้องเคลื่อนตัว หมุนรอบตัวเองบ้าง หมุนรอบดาวดวงอื่นบ้าง เพื่อรักษาแรงดึงดูดให้สมดุลขึ้นในระบบสุริยะจักรวาล
ลองอ้างถึงหลักการทางฟิสิกส์เรื่องกฎของแรงดึงดูดในหนังสือวิทยาศาสตร์ ม.5 หากดาวดวงไหนหยุดหมุน หรือแรงดึงดูดถูกทำให้อ่อนลง ดาวดวงนั้นอาจจะตกลงสู่อวกาศเบื้องล่างก็เป็นได้ ดาวทุกดาวจึงต้องมีหน้าที่ของตัวเองที่แตกต่างกันไป บางดวงมีวงแหวน บางดวงมีดวงจันทร์เป็นบริวารมากมาย บางดวงยอมเป็นดวงดาวที่ไม่เปล่งแสง หรือเรียกกันว่า ดาวเคราะห์
หากสังคมจะเปรียบได้กับระบบสุริยะ มนุษย์ทุกคนอาจจะเป็นดวงดาวที่ได้รับหน้าที่แตกต่างกัน บางคนอาจจะเกิดมาในตระกูลที่มีเหลือกินเหลือใช้ไม่ต้องทำงานตรากตรำมากนัก บางคนอาจจะเกิดมาเพื่อต่อสู้กับปัญหาสู้กับชีวิต บางคนอาจจะเกิดมาเพื่อกอบโกยผลประโยชน์อย่างไม่หยุดหย่อน หรือ บางคนอาจจะเกิดมาเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
มนุษย์แตกต่างจากดวงดาวตรงที่เมื่อเราหยุด เราสามารถพักให้หายเหนื่อยก่อนการออกเดินทางครั้งต่อไปได้เสมอ
การโคจรรอบตัวเองหนึ่งรอบอาจจะเทียบเท่ากับอายุของคนแต่ละคน การโคจรรอบหนึ่งอาจจะมีทั้งสิ่งที่ไม่ดี ดีมาก ดีบ้าง ดีเล็กน้อย ก็เหมือนกับการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ฤดูฝนอาจจะทำให้เปียกปอน ฤดูร้อนก็ทำให้ฉ่ำใจ ฤดูหนาวอาจทำให้ปวดใจ ฤดูกาลต่อไปจะเป็นอย่างไรสำคัญกับใจที่คงทน
ก่อนที่จะออกทะเลกันไปไกล เสียงดนตรีใสๆเคล้าคลอเสียงกระซิบของพี่เจี๊ยบ วัชระ ปานเอี่ยม ก็ดังขึ้นมาในหูฟังอีกข้างหนึ่งของผม
"เมื่อดาวโคจรมาเจอะกัน
ฤดูก็เปลี่ยนผัน การหมุนก็ผันแปร
เมื่อเธอกับฉันมาเจอะกัน ชีวิตก็เปลี่ยนผัน
เปลี่ยนไปจากเดิม เปลี่ยนจังหวะหมุนของหัวใจ ให้ใกล้กัน"
ไม่รู้ว่าผมจะต้องรอคอยให้ดาวทั้งสองดวงนั้นโคจรมาเจอกันอีกครั้งเมื่อไหร่ ผมรู้แค่ว่าเมื่อวันนั้นมาถึงผมจะตั้งตารอคอยดวงตาคู่นั้นที่กำลังเปล่งประกายพร้อมกับรอยยิ้มที่งดงาม คืนนั้นคงเป็นคืนที่สวยงามและน่าจดจำไปอีกนานเท่านาน
"เธอดึงดูดฉัน ฉันดึงดูดเธอ
และสองดาวยังเปล่งแสงอันงดงามไปทั่วฟ้า"
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น