คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : เพื่อนพี่ชาย 4 ผู้มีพระคุณ (1)
4
ผู้มีพระคุณ
ความฟุ้งซ่านทำให้ฉันลุกขึ้นมาทำงานบ้านแต่เช้าไม่เว้นแม้แต่การขัดห้องน้ำรวมของบ้านที่เกลียดนักเกลียดหนา โดยนึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องที่ทำให้ตาสว่างได้มากกว่าการเจอบ็อกเซอร์เน่าๆ ของเฟยกลายเป็นฟาร์มเพาะเห็ดอยู่ในหลืบหลังชักโครก
“เฮียใหญ่…รถ…รถหาย!!!”
ฉันแหกปากลั่นบ้านเมื่อเปิดประตูออกไปทิ้งขยะหลังร้านแล้วพบว่ามอเตอร์ไซค์คันเก๋าไม่ได้อยู่ในที่ที่มันควรอยู่อีกต่อไปแล้ว รีบวิ่งตาลีตาเหลือกกลับเข้าไปในครัวเพื่อแจ้งข่าวร้ายให้ทุกคนทราบแต่แทนที่ป๋าจะร่วมลนลานไปด้วยกัน กลับเอากระบวยมาเคาะหัวฉันดังโป๊กเพื่อเรียกสติ แล้วโยนหน้าที่ให้เฟยเป็นคนอธิบายความจริงให้ฉันฟัง มันเลยวางแผงไข่ไว้ข้างตู้เย็นแล้วเดินงัวเงียๆ มาลากคอฉันออกไปยังลานจอดรถหลังร้านอีกครั้ง
“แกเห็นนั่นไหม” เฟยชี้ไปที่มอเตอร์ไซค์คันงามของเฮียต๋า อ้าปากหาวหวอดใหญ่แล้วพูดต่อ “สมมติว่าแกเป็นโจรแล้วเดินมาเจอเฮียใหญ่กับรถคันนี้จอดอยู่ด้วยกัน แกจะเลือกขโมยคันไหน”
“ก็ต้องคันนี้ดิ” ฉันเลือกรถเฮียต๋าโดยไม่เสียเวลาคิด แต่ก็ยังไม่เข้าใจคำถามของพี่ชายอยู่ดี ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมวันนี้เพื่อนมันถึงมาจอดรถหลังบ้านเราตั้งแต่หกโมงเช้า
“อืม ฉลาด แล้วแกเห็นไหมว่ามีหมูเห็ดเป็ดไก่กับผักสดเต็มครัว แต่ป๋ายังอยู่ในชุดนอน”
“เห็นดิ”
“รู้ไหมว่าใครเป็นคนไปจ่ายตลาด” มันชี้นิ้วเข้าหาตัว ถามเองตอบเองเสร็จสรรพ “คิดว่าคนอย่างฉันจะเดินไปถึงตลาดไหม ก็ไม่ ใช่ป่ะ”
“นี่ไม่ใช่เวลามาโม้นะเฟย รถเราหายไปทั้งคันเลยนะเว้ย รถคันเดียวของบ้านเรานะเว้ย!”
คนฟังถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พร้อมกับหยิบกุญแจรถออกมาโชว์ แต่มันไม่ใช่กุญแจเฮียใหญ่สักหน่อย เห็นฉันยังไม่เก็ตมันก็ถอนหายใจออกมาอีกหนึ่งเฮือก ปากเหม็นชะมัด ยังไม่แปรงฟันแหงๆ
“ไอ้ฟาน ไอ้น้องหัวทึบ เฮียใหญ่ไม่ได้หายโว้ย!”
“หายดิ! ก็เราอยู่กันครบแต่เฮียใหญ่ไม่อยู่…”
“จะอยู่ได้ไง ก็ไอ้ต๋ามันเอาไปซ่อมให้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วโว้ย!” เฟยผลักหัวฉันก่อนจะสะบัดตูดกลับเข้าไปในบ้าน “โง่เสร็จแล้วเข้ามาช่วยป๋าล้างผักด้วย ฉันจะไปนอนต่อละ มีน้องสมองน้อยนี่มันเหนื่อยจริงๆ!”
ถึงจะไม่ค่อยอยากเชื่อว่าพี่ชายสันหลังยาวที่แม้แต่บ็อกเซอร์ตัวเดียวก็ยังขี้เกียจซัก จะเป็นคนไปจ่ายตลาดในเช้าวันนี้ แต่การที่เฟยตื่นก่อนฉันในวันอาทิตย์กับสีหน้าแช่มชื่นของป๋าก็เป็นเครื่องยืนยันแล้วว่ามันไม่ได้โกหก เมื่อวานมัวแต่คิดมากเรื่องไอ้แป๋วจนลืมไปเลยว่าเฮียต๋ายังไม่คืนกุญแจรถให้ แต่ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะตั้งใจยึดไว้เพื่อเอารถไปซ่อมให้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เขาจึงไม่ได้เรียกรั้งฉันไว้ตอนมาส่งที่บ้าน ความดีรอบนี้ต้องบันทึกไว้เป็นบุญคุณข้อที่เท่าไรแล้วล่ะเนี่ย เฮ้อ รู้ว่าเป็นเพื่อนรักกับเฟยแต่ทำไมต้องเล่นใหญ่ใจป้ำขนาดนี้วะ เขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนเลวทรามต่ำช้ามากๆ เลยอ่ะที่ญาติดีกับเขาไม่ได้ตลอดรอดฝั่งสักที
“ป๋ารู้อยู่แล้วเหรอว่าเฮียต๋าเอาเฮียใหญ่ไป”
“เออ ก็เมื่อวานไอ้เฟยมันบอกฉันว่าไอ้ต๋าได้บัตรกำนัลเช็กรถฟรีที่อู่แถวบ้านมันอีกแล้ว”
“แล้วป๋าก็เชื่อ?”
“ฉันไม่ได้เชื่อมันแต่เชื่อในของฟรีต่างหาก” ป๋าพูดกลั้วหัวเราะ แต่พอฉันทำหน้าบูดใส่ก็ปรับเสียงให้จริงจังขึ้น “เอาน่า คนเค้าอยากช่วยก็อย่าไปขัดอารมณ์เค้า ช่วงนี้บ้านเรายิ่งชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่ด้วย”
“บ้านเราก็ไม่มีตังค์แบบนี้ทุกช่วงนั่น…แค่กๆ!”
ป๋ายัดข้าวสารหนึ่งกำมือใส่ปากฉัน
“รู้แล้วจะมายืนบ่นทำสากกะเบืออะไร มีคนออกค่าซ่อมให้นี่ยิ่งกว่าถูกหวยเลยนะ หรือแกอยากให้ฉันเดินไปจ่ายตลาด ฮึ!?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ป๋าไม่รู้สึกว่าเค้ากำลังอวดรวยใส่เราบ้างรึไง หลายรอบแล้วนะเว้ย”
“เอ๊า คนเค้าใจดีด้วยก็ไปใส่ร้ายตั้งแง่กับเค้าอีก คิดได้นะแกเนี่ย สันดานเสียๆ น่ะคืนแม่แกไปให้หมดเถ้อะ ใจคอจะได้ไม่คับแคบ” ประเด็นหลักคงอยู่ที่สองประโยคหลัง แต่ฉันทำหูทวนลมไม่สนใจ
“แล้วทำไมคนบ้านนั้นต้องมาขยันใจดีกับบ้านเราด้วยเล่า มันไม่มีเหตุผลเลยนะ”
“แล้วแกจะถามหาเหตุผลจากความหวังดีของคนอื่นไปทำแป๊ะอะไรวะ ถึงเวลาตอบแทนได้ก็ค่อยว่ากัน ตอนนี้มีหน้าที่รับก็รับมันไปเหอะน่า อย่าคิดมาก”
“ก็มันอึดอัดนี่”
“อึดอัดเพราะแกชอบไปเกเรใส่ลูกเค้าน่ะสิ” นี่ไง มันต้องวกมาผิดที่ฉันทุกทีสินะ! “บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าให้ทำตัวดีๆ กับบ้านนั้น มันยากนักรึไงฮะ ฉันเห็นแกสนิทกับเพื่อนไอ้เฟยได้ทุกคน ทำไมจะต้องมีปัญหากับไอ้ต๋าอยู่คนเดียว เฮียมันไปทำอะไรให้แกนักหนาฮึ!”
“ศรศิลป์ไม่กินกันน่ะป๋า เคยได้ยินป้ะ”
“ไม่เคยโว้ย! แต่แกกินแกลบแน่ๆ ถ้ายังหาเรื่องลูกเถ้าแก่ไม่หยุดแบบนี้ อยู่ม.ปลายแล้วนะแกน่ะ ไอ้นิสัยใช้แต่อารมณ์น่ะเพลาๆ ลงบ้าง จะบอกอะไรให้นะ…”
“โอเคๆ เข้าใจแล้ว ทุกวันนี้ฟานก็พยายามอยู่น่า!” ฉันปิดก๊อกน้ำแล้วรีบตัดบทก่อนที่ขุ่นพ่อบังเกิดเกล้าจะเริ่มเทศนาเนื้อหาเดิมๆ ที่ฉันจำได้ขึ้นใจแล้ว
“ให้มันจริงเถอะวะ”
“จริงๆ จ้า ฟานไปอาบน้ำแป๊บนะจ๊ะ เดี๋ยวลงมาหั่นผักให้ จุ๊บๆ”
ป๋าเอี้ยวตัวหลบจุ๊บลอยฟ้าของฉัน แต่ฉันเห็นนะว่าแกแอบอมยิ้มขวยเขินน่ะ ชอบก็บอก ทำมาซึน
“เอ้อ ไอ้ฟาน วันนี้เปิดร้านแค่ครึ่งวันนะเว้ย ไม่ต้องเตรียมผักเยอะนัก”
“ฮั่นน่อว! มีเดตอีกแล้วเหรอคะป๋าขา” ฉันมูนวอร์คกลับเข้ามาในครัวแล้วทำตาเชื่อมใส่พ่อตัวเอง “อารมณ์ดีแต่เช้าแบบนี้ จะไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนกับเจ๊วันเพ็ญอีกแล้วใช่ป่ะ”
ป๋าโบกมือไล่ฉันโดยไม่คิดจะโต้ตอบ แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ฉันคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด พอปิดร้านตอนบ่ายปุ๊บ รถเก๋งสีขาวคันโตของครูวันเพ็ญก็บึ่งมาจอดรับป๋าหน้าร้านปั๊บ อาจเป็นเพราะฉันแสดงออกชัดเจนว่าไฟเขียวเรื่องแม่ใหม่ ป๋าเลยไม่ต้องคบเธอแบบหลบๆ ซ่อนๆ เพราะเกรงใจฉันเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป และนี่ก็นับเป็นครั้งแรกที่เธอมาหาป๋าถึงหน้าบ้านแถมยังลดกระจกลงมาส่งยิ้มให้ฉันที่ยืนด้อมๆ มองๆ อยู่ในร้านด้วย ฉันฉีกยิ้มตอบแล้วตั้งท่าจะเข้าไปกราบสวัสดีคุณครูใกล้ๆ แต่ก็โดนไอ้เฮียเฟยที่เพิ่งตื่นนอนกระโดดมาล็อกคอเอาไว้เสียก่อน
“อย่าไปยุ่งเรื่องหัวใจของคนแก่สิวะ ลืมสัญญาแล้วเหรอ”
“ยุ่งอะไรเล่า ก็แค่จะไปทักทายว่าที่แม่ใหม่น่า”
“…”
“ป๋าคุยกับคนนี้หลายปีแล้วนะเฟย ฟานว่ามงลงชัวร์ๆ เพราะงั้นเราน่าจะสานสัมพันธ์เอาไว้ก่อน จะได้เนียนเช็กประวัติเช็กนิสัยด้วยไงว่าผ่านไม่ผ่าน” ถึงฉันจะเคยเรียนกับเธอและจำได้แม่นว่าเธอเป็นหญิงไทยใจงามที่เข้มงวดเรื่องกิริยามารยาทมากๆ แต่นั่นมันก็แค่ด้านเดียวไง ฉันควรจะรู้จักคุณแม่ในอนาคตอันใกล้ให้มากกว่านี้สิ “เฟยเพิ่งเคยเจอเค้าใช่ป่ะ ไม่อยากเช็กบ้างไง้”
“…”
ฉันแหงนคอมองพี่ชายที่อยู่ดีๆ ก็ใบ้รับประทาน ใบหน้าบึ้งตึงมีความกังวลบางอย่างเคลือบแฝงอยู่ แต่พอมันลากคอฉันไปที่ห้องครัวแล้วยื่นซึ้งมาให้ ฉันก็เข้าใจในทันทีว่าพลังงานลบเมื่อครู่มีที่มาจากน้ำย่อยในกระเพาะอาหารนี่เอง
“เมื่อเช้าซื้อกรรเชียงปูมาโลนึง ซุกอยู่ในช่องฟรีซอ่ะ นึ่งให้กินหน่อย”
ฉันถอนหายใจพรืดแต่ก็ยอมเป็นแม่ครัวให้พี่ชายที่อุตส่าห์แหกขี้ตามาช่วยงานแต่เช้า ครึ่งชั่วโมงต่อมา เราสองพี่น้องนั่งสวาปามปูนึ่งกันอย่างเอร็ดอร่อยหน้าทีวี ดูข่าวกีฬาสลับกับคุยนู่นคุยนี่ไปเรื่อยเปื่อย เฟยชอบกินปูมากๆ ก็เลยอารมณ์ดีเป็นพิเศษเหมือนแมตช์ที่ลิเวอร์พูลเตะชนะ จนกระทั่งพี่บี๋โทรมาบอกว่ามีเรื่องด่วนให้ช่วย มันก็เริ่มเปลี่ยนไปทำหน้าบอกบุญไม่รับเหมือนคืนที่ทีมฟอร์มตก สบถออกมาเป็นชุดแล้วโต้เถียงกับคนปลายสายอยู่หลายนาทีแต่สุดท้ายก็ยอมกัดฟันตอบตกลง
“เย็นนี้แกว่างใช่ป่ะ” เฟยถามฉันหลังจากวางสายแล้ว “ไปเกาะลำพูกัน บี๋ให้มาหาคน”
“หาไปทำไมอ่ะ มีงานอะไร”
“งานแก้บน วิ่งรอบเกาะสิบรอบ”
“ว้อท!”
“ชวนตาแป๋วไปด้วยนะ คนหารรอบจะได้เยอะๆ”
ชื่อนั้นทำให้ฉันผงะเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักแล้วยกจานไปล้างในครัว จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ได้คุยกับไอ้แป๋วเลยแฮะ ตื่นเช้ามาเจอเรื่องเซอร์ไพรส์เยอะแยะมากมายจนลืมมันไปสนิทเลย ไอ้แป๋วเองก็ยังไม่ได้ติดต่อมาด้วย หรือฉันจะใช้โอกาสนี้ทักมันไปดีนะ โว้ย! นี่มาถึงจุดที่ฉันต้องชั่งใจแล้วเหรอว่าจะทักหรือไม่ทักเพื่อนสนิทก่อน มันไร้สาระมากเลยนะนี่ ฉันหยิบมือถือออกมาแล้วรัวนิ้วพิมพ์ไปหาไอ้แป๋วแบบไม่ต้องผ่านกระบวนการคิดให้มากความ แต่รอแล้วรอเล่ามันก็ไม่ตอบกลับมา โทรไปหาก็ปิดเครื่อง ฉันเลยตัดสินใจโทรเข้าเบอร์บ้านซะเลย พอน้าตาหวาน (แม่) บอกว่าไอ้แป๋วยังไม่กลับจากที่เรียนพิเศษ ฉันก็รู้ในทันทีว่ามันแอบอู้ไปฝังตัวที่ร้านกาแฟนั่นอีกแล้ว แต่ไม่เห็นจะต้องปิดเครื่องเลยนี่นา ยิ่งทำแบบนี้ฉันก็ยิ่ง…
โอ๊ย! พอๆๆ ฉันรีบสลัดความคิดงี่เง่าแบบเมื่อคืนทิ้งไปแล้วชะโงกหัวไปหาเฟยที่กำลังไลน์ไปล่อลวงชาวแก๊งคนอื่นๆ
“ติดต่อไอ้แป๋วไม่ได้อ่ะ จะเป็นไรป่าว”
“ไม่เป็นไร บี๋บอกตอนนี้มีห้าคนแล้ว คนละสองรอบกำลังดี”
“อืมๆ ว่าแต่พี่บี๋ไปบนอะไรไว้อ่ะ ท่าทางจริงจังมากเลยนะนั่น”
เฟยทำหน้าเซ็งโลกก่อนจะให้คำตอบที่ทำให้ฉันขำก๊ากจนลืมเรื่องเครียดเป็นปลิดทิ้ง
“ขอให้ไอ้ทิวได้เป็นคิงไม่ก็รองคิง กับขอให้ฉันโดนทิ้งซักครั้งก่อนเรียนจบ”
ฉันซ้อนท้ายพี่ชายที่นานๆ ทีจะออกจากบ้านด้วยสถานะโสดไปยังสวนสาธารณะเกาะลำพูตอนสี่โมงเย็น ขึ้นชื่อว่าเป็นเกาะกลางแม่น้ำตาปีก็จริง แต่เราไม่ต้องนั่งเรือข้ามน้ำข้ามทะเลให้ยุ่งยากเพราะมันตั้งอยู่ใจกลางเมืองและมีสะพานเชื่อมให้ผู้คนได้สัญจรไปมากันอย่างสะดวกสบาย นับว่าเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจสุดฮิตที่หลายคนยกย่องให้เป็นปอดของชาวสุราษฎร์ธานีเลยล่ะ อากาศบริสุทธิ์สดชื่นเพราะมีต้นไม้เขียวครึ้มขึ้นทั่วทั้งเกาะ ทั้งยังมีศาลาริมน้ำ ลานสันทนาการ สนามเด็กเล่นและสนามกีฬาให้ชาวเมืองมาใช้บริการโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสักบาทด้วย
หรือจะมาวิ่งแก้บนก็ไม่มีใครเขาเก็บตังค์หรอกนะ
“ทีหลังบนอะไรปรึกษาเพื่อนบ้างนะบี๋ น้ำดงน้ำแดงอะไรก็ว่าไปดิ ทำไมต้องบนวิ่งให้คนอื่นเดือดร้อนวะ ขี้เหนียวไม่เข้าเรื่อง” พี่ธีมบ่นไม่หยุดปากตั้งแต่รับรู้ชะตากรรมของวันนี้ ฉันจับใจความได้ว่าเขากับพี่มิณณ์โดนพี่บี๋ต้มซะเปื่อยว่าจะมาปิกนิกให้อาหารปลาอะไรทำนองนั้น พอรู้ความจริงว่าโดนหลอกมาใช้แรงงานก็เลยฉุนเฉียวใหญ่
“จะงกหรือจะงมงายก็เลือกเอาซักอย่างเถอะพี่ สิบรอบนี่ไม่ใช่น้อยๆ เลยนะเว้ย ผมน่าจะเอะใจตั้งแต่ตอนที่พี่ขอให้ใส่ผ้าใบมาละ แม่งเอ๊ย”
“เอาน่าๆ ไม่ได้ให้วิ่งคนละสิบรอบซักหน่อย มากันตั้งห้าคนก็แบ่งๆ กันไปสิ นายคิดซะว่ามาวิ่งผลัดลดหุ่นก็ได้นี่มิณณ์ อย่าปล่อยให้พุงยื่นแบบไอ้ธีมมัน”
คนถูกพาดพิงก้มลงสำรวจหน้าท้องตัวเองอย่างเสียเซลฟ์ แล้วพยายามจะถกเสื้อพี่มิณณ์ขึ้นเพื่อเปรียบเทียบ แต่โดนเจ้าตัวถีบซะก่อน
“สรุปว่ามีกันแค่นี้จริงดิ” เฟยถามพี่บี๋
“อืม คงงั้น มิณณ์มันดันถ่ายรูปไปเฉลยแล้วนี่ว่าต้องมาวิ่ง ใครจะอยากมาล่ะ”
“ไอ้ทิวนะไอ้ทิว บนให้มันแท้ๆ แต่แม่งไม่มาช่วยกันแก้ ไอ้ต๋าก็หายหัวไปเลย นี่มันยังอยู่ในกรุ๊ปไลน์ไหมถามจริง”
“อยู่สิจ๊ะ ต๋าเป็นสายรี้ดไม่ตอบแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว นายยังไม่ชินอีกเหรอธีม”
“ผมว่าพี่ต๋าอาจจะมาแต่พี่ทิวคงไม่ว่ะ ทะเลาะกับพี่เจนหนักมาก” พี่มิณณ์พูดเสียงซีเรียส
“เหอะ ข้ออ้างคนติดแฟนมากกว่ามั้ง”
“เรื่องจริงครับพี่บี๋ ผมคอนเฟิร์ม เมื่อวานมีคนเห็นพี่ทิวเจ๊าะแจ๊ะกับผู้หญิงคนอื่นแล้วถ่ายรูปไปฟ้องพี่เจน พี่ทิวเลยงานเข้าตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
“นายรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง มีสายเหรอ”
“คอนเนคชั่นเยอะก็งี้แหละ โรงเรียนพี่เจนก็โรงเรียนเก่าผม สายเพียบ”
“สายหรือสาว คุยเยอะเหลือเกินนะเราน่ะ วันๆ ไลน์เด้งเป็นหมื่นเป็น…!”
พี่มิณณ์รีบตะครุบปากพี่บี๋ราวกับไม่อยากโดนแฉมากไปกว่านี้ พร้อมกันนั้นพี่ธีมก็ตบมือถูกใจข่าวคาวของท่านรองคิง
“ฮะฮ่า! นี่ไงไอ้เฟย! กูบอกแล้วว่าไอ้ทิวมันไม่ได้เฟรนด์ลี่อย่างบริสุทธิ์ใจแต่แม่งเสือซ่อนเล็บตัวพ่อ ขนาดมีเจนแล้วยังแอบไปคุยกุ๊กกิ๊กกับผู้หญิงอื่นเลย ทีนี้มึงจะเชื่อกูได้รึยัง!”
ฉันยืนฟังแก๊งกากเกลื้อนทุ่มเถียงกันด้วยท่าทีสงบนิ่ง แต่ในใจกลับว้าวุ่นถึงขีดสุดเพราะกำลังนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อวาน อย่าบอกนะว่าผู้หญิงที่ว่าคือไอ้แป๋วน่ะ ฉันหยิบมือถือขึ้นมาพิมพ์ๆ ลบๆ ข้อความในห้องแชตของเพื่อนรัก มีคำถามมากมายที่อยากถามแต่ไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนก่อนดี ข้อความล่าสุดมันยังไม่ได้กดอ่านเลย ขืนส่งไปเพิ่มคงหนักขวาสุดๆ ซึ่งมันไม่ใช่พฤติกรรมปกติของฉันเลยสักนิด
“อะแฮ่ม คุยกับหนุ่มที่ไหนเหรอเปี๊ยก” พี่มิณณ์เดินมาแซว พอเห็นดิสเพลย์ไอ้แป๋วบนจอก็เปลี่ยนเรื่อง “อ้าว ทำไมใส่รองเท้าแตะมาล่ะ จะวิ่งถนัดได้ไง”
ฉันก้มลงมองรองเท้าช้างดาวคู่เก่งของตัวเอง “เออ จริงด้วย ลืมนึกไปเลยว่ะพี่ แต่วิ่งเหยาะๆ เอาก็ได้มั้ง”
“หน้าซีดๆ นะเรา เป็นไรป่าว”
“ถามเรื่องเท้าแล้วมาถามเรื่องหน้าต่อมันแปลกๆ นา”
“อ้าว ไม่ได้เหรอ”
“โอ๊ย ฟานแค่พูดเล่นไหมล่ะ สกิลรับมุกไม่พัฒนาเลยนะพี่เนี่ย” ฉันพยายามหัวเราะให้เป็นธรรมชาติที่สุด “ฟานไม่ได้เป็นอะไรหรอก แค่อดนอนนิดหน่อยน่ะ”
“ทำไมอดนอน ช่วงนี้ไม่มีบอลนี่”
“แหมพี่ ใช่ว่าชีวิตนี้ฟานจะนอนดึกเพราะดูบอลอย่างเดียวซะหน่อยNetflix แอพเดียวก็ลากยาวถึงตีสามได้เหมือนกันนั่นแหละ” เรื่องผู้ชายก็เช่นกัน
“โห ดูหนังถึงตีสามเลยเหรอ งั้นให้พี่วิ่งแทนเอาไหม”
“เอา!” เฟยเข้ามาแทรกตรงกลางแล้วหันไปแหกปากบอกเพื่อนอีกสองคน “เฮ้ยพวกมึง ไอ้มิณณ์อยากวิ่งลดพุง ใครจะแบ่งรอบให้มันบ้าง”
“กูไม่แบ่งแต่กูยกให้หมดเลย!”
“ฉันด้วย!”
พี่ธีมกับพี่บี๋ยกมือขึ้นตามลำดับ พี่มิณณ์เห็นภาพนั้นถึงกับสบถคำหยาบออกมารัวๆ ก่อนจะรีบใส่เกียร์หมาหนีไปเพราะกลัวว่าจะต้องวิ่งคนเดียว 10 รอบจริงๆ แต่เนื่องจากสีหน้าฉันยังไม่สู้ดี พี่แกเลยแอบแบ่งรอบของฉันไปรอบหนึ่งแล้ววิ่งเองทั้งหมด 3 รอบ ส่วนคนที่เหลือรับกันไปคนละ2 รอบตามเดิม ด้วยความที่พี่บี๋บนว่าวิ่งคนเดียว เธอเลยไม่อนุญาตให้เราวิ่งพร้อมกันเดี๋ยวสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะงง กลายเป็นว่าเราต้องวิ่งผลัด5 ไม้จริงๆ วุ่นวายไปอีก
พวกผู้ชายวิ่งเสร็จแล้วก็มานั่งหมดแรงข้าวต้มกันที่ศาลาริมน้ำ ดูรู้เลยว่าพวกนี้ไม่ค่อยออกกำลังกายโดยเฉพาะพี่ธีมที่หอบโอเวอร์อย่างกับเพิ่งวิ่งมาเป็นหมื่นๆ ไมล์ ระหว่างรอให้พี่บี๋วิ่งมาแปะมือส่งไม้ต่อ เฟยก็บังคับให้ฉันทำตัวให้เป็นประโยชน์ด้วยการเดินไปซื้อน้ำให้ชาวแก๊งเพราะฉันได้วิ่งเป็นคนสุดท้าย แถมยังได้วิ่งน้อยสุดด้วย แต่ด้วยความที่ฉันมาเกาะลำพูครั้งล่าสุดตอนประถมและอะไรๆ ก็เปลี่ยนไปเยอะจนจำไม่ได้ว่าซุ้มขายน้ำมันตั้งอยู่ส่วนตรงไหนของเกาะ หรือมันยังมีอยู่หรือเปล่า ฉันจึงเดินมั่วไปเรื่อยจนในที่สุดก็ต้องไปถามคุณลุงคุณป้าที่มาออกกำลังกายแถวนั้น แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
“มันมาแล้ว ว้าก~”
ทันทีที่ฉันเลี้ยวเข้าไปในสนามเด็กเล่นตามคำแนะนำของลุงๆ ป้าๆ ก็มีเด็กๆ กลุ่มใหญ่วิ่งสวนออกมา พร้อมกันนั้นแนวพุ่มไม้อีกด้านหนึ่งของสนามก็เริ่มสั่นไหวเหมือนในหนังสยองขวัญที่จะมีสัตว์ประหลาดโผล่เข้ามาในซีน
ฟึ่บ!
!!!
หมาดำตัวใหญ่พุ่งทะลุออกมาจากพุ่มไม้พร้อมกับกระป๋องโค้กบุบๆ ที่คาบอยู่ในปาก ตามเนื้อตัวเปียกชื้นมีเศษขนมเปรอะเปื้อน น่าจะเป็นผลงานของแก๊งเด็กมือบอนที่วิ่งสวนฉันไปเมื่อกี้ แต่แทนที่มันจะติดตามไล่ล่าเด็กพวกนั้นกลับคายกระป๋องนั่นแล้ววิ่งตรงมาหาฉัน ไม่สนใจสิ่งมีชีวิตอื่นใดราวกับดวงตาคู่นั้นมองฉันเป็นศัตรูแต่เพียงผู้เดียว แน่นอนว่าฉันก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นสัตว์โลกที่แสนน่ารักน่ากอด ทันทีที่มันแยกเขี้ยวคำรามอย่างไม่เป็นมิตรสัญชาตญาณเอาตัวรอดก็สั่งให้ฉันรีบหาทางหนีทีไล่ เหลือบไปเห็นเครื่องเล่นปีนป่ายรูปโดมขนาดสูงพอประมาณอยู่ในระยะสิบก้าวก็ติดสปีดตรงไปหาแล้วไต่ขึ้นไปนั่งบนจุดสูงสุดทันที
“สัตว์ปาหลาดๆๆ”
“หนีเร็วๆๆ กรี๊ด~”
เหล่าเด็กน้อยที่เคยวิ่งเล่นอยู่ในสนามต่างกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ทิ้งอาเจ้ที่น่าสงสารไว้กับหมาบ้าตามลำพัง เดี๋ยวสิลูก กลับมาช่วยเจ้ก๊อนนน!
“โฮ่งงง!”
“กรี๊ด!”
ไอ้หมาโฉดกระโดดสุดตัวหมายจะงับน่องฉันให้ได้ ฉันจึงรีบหดขาขึ้นนั่งชันเข่าบนราวบางๆ แล้วพยายามทรงตัวเอาไว้ โชคดีที่สายจูงของมันติดอยู่ตรงโคนต้นไม้ใหญ่ที่มันวิ่งจากมา สั้นเกินกว่าจะอนุญาตให้มันตะกายตามฉันขึ้นมาแต่ก็ยาวพอที่จะให้มันยืนเฝ้าฉันไม่ห่างไปไหนและไม่เปิดช่องให้ฉันลงไปข้างล่างได้อย่างปลอดภัย เอ๊ะ! มีปลอกคอมีสายจูงแบบนี้ก็ไม่ใช่หมาจรจัดน่ะสิ
หงับ!!
“กรี๊ด!!”
อยู่ดีไม่ว่าดีสายจูงเส้นนั้นก็หย่อนลงราวมีใครทะลึ่งแกะมันออกจากโคนต้นไม้และกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ เป็นผลให้ไอ้หมาบ้าสบโอกาสกระโดดงับรองเท้าช้างดาวของฉันไปได้ข้างหนึ่งแล้วแหงนคอเล็งอีกข้างอย่างได้ใจ
“ยะ…หยุดนะเว้ย! ใครก็ได้ช่วยด้วย!”
“โฮ่งงง!!”
“แอนฟิลด์[1]!!”
เสียงห้าวดุดันของใครบางคนลอยมาจากทิศทางของปลายเชือก ทำให้สัตว์ร้ายหยุดแผลงฤทธิ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ฉันหันขวับไปหาผู้มีพระคุณที่ปรากฏตัวออกมาได้ถูกจังหวะสุดๆ
[1]แอนฟิลด์ (Anfield) ชื่อสนามฟุตบอลของสโมสรลิเวอร์พูล
ความคิดเห็น