ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เพื่อนคนหนึ่งของพี่ชาย (ภาคมัธยม)

    ลำดับตอนที่ #1 : เพื่อนพี่ชาย 0 คืนนั้น

    • อัปเดตล่าสุด 26 มิ.ย. 63


    บทนำ

    คืนนั้น

     

    เวลาตีหนึ่งของประเทศไทย ในวันอาทิตย์ที่ลิเวอร์พูลเข้าชิงกับทอตนัม ฮอตสเปอร์ในศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก[1] แฟนบอลที่กระจายตัวเต็มร้านอาหารตามสั่งของเฮีย ‘ฟ่ง’ ต่างสวมเสื้อบอลสีแดงเป็นส่วนใหญ่ เห็นได้ชัดจากโต๊ะเบอร์1 ติดหน้าจอโปรเจกเตอร์ขนาดยักษ์ซึ่งถูกจับจองโดยวัยรุ่นชายเกือบสิบชีวิต นอกจากพวกเขาจะได้รับสิทธิพิเศษจากการเป็นลูกค้าขาประจำแล้ว ยังใช้สิทธิ์ความเป็นเพื่อนซี้ของลูกชายคนโตของเจ้าของร้านอย่าง ‘เฟย’ มายึดที่นั่งที่ดีที่สุดตั้งแต่บอลยังไม่เริ่มเตะอีกด้วย

    “ไอ้ฟานโว้ย ตักน้ำแข็งให้หน่อย”

    ประโยคนั้นทำให้‘ฟาน’ ที่เพิ่งเดินลงบันไดมาจากชั้นสองกลอกตามองบนอย่างรำคาญใจ แต่แกล้งทำหูทวนลมไม่ได้เพราะเดี๋ยวจะเป็นเรื่อง เธอยัดชายเสื้อไว้ในกางเกงลวกๆ ก่อนจะกระทืบเท้าตึงตังไปตักน้ำแข็งให้ลูกค้าโต๊ะพิเศษจนพูนถัง ทำให้ส่วนที่ล้นหกกระจายเต็มพื้นมาตลอดทาง เมื่อเฟยซึ่งนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะหันมาเห็นน้องสาววัย 15 ปีแบบเต็มๆ ตาเป็นครั้งแรก ที่คีบน้ำแข็งในมือเขาก็เปลี่ยนเป็นไม้เคาะกะโหลกเธอทันที

    “โอ๊ย! ก็ฟานหวังดีอ่ะ จะได้ไม่ต้องแหกปากเรียกบ่อยๆ ให้เจ็บคอไงวะ!” เสียงใสแว้ดใส่พี่ชายเพราะคิดว่าเขาลงโทษที่เธอไม่ช่วยประหยัดของในร้าน แต่เขาไม่ได้ตีเธอด้วยเหตุผลนั้น

    “ขึ้นไปเปลี่ยนชุด”

    “บ้าเหรอ! นี่เพิ่งอาบน้ำลงมาเองนะเว้ย!”

    “บอกให้ขึ้นไปเปลี่ยนชุดไม่ได้ให้ไปอาบน้ำใหม่ ถ้าหากางเกงตัวที่ยาวคลุมเข่าไม่ได้ก็ไม่ต้องลงมาแล้ว”

    ฟานทำแก้มพองบ่นเสียงงุ้งงิ้ง ในคืนพิเศษแบบนี้เธอย่อมไม่อยากทะเลาะกับใครให้อารมณ์ขุ่นมัว จึงยอมทำตามคำสั่งของจอมเผด็จการแบบไม่เต็มใจสุดๆ อยู่เมืองร้อนแท้ๆ แต่กลับชอบบังคับให้เธอแต่งตัวมิดชิดอย่างกับแม่ชี ทีเขานุ่งบ็อกเซอร์ตัวกระจ้อยร่อยเดินโทงๆ โชว์วันแพคไปทั่วบ้าน เธอยังไม่เคยว่าอะไรสักคำเลย!

    เมื่อแน่ใจว่าน้องสาวที่นุ่งกางเกงสั้นขึ้นทุกวันตรงไปที่บันไดแล้วเฟยก็หันกลับมาที่โต๊ะ ตั้งท่าจะคีบน้ำแข็งใส่แก้วของตัวเองแต่เปลี่ยนใจในเสี้ยววินาทีสุดท้าย เขวี้ยงใส่หน้าคนข้างๆ แทน

    “โอ๊ย! ไรวะพี่เฟย จะไล่ผมไปเปลี่ยนกางเกงอีกคนเหรอ”

    “จะไล่มึงกลับบ้านนี่แหละ ลุก”

    “อ้าวเฮ้ย ได้ไง พี่ชวนผมมาเองนะ”

    “กูชวนมาดูบอล แล้วมึงดูเหี้ยอะไรอยู่”

    หนุ่มรุ่นน้องหน้ามึนเลื่อนสายตาขุ่นๆ กลับไปที่จอเบื้องหน้า แต่เพราะเขานั่งจ้องโฆษณาเบียร์ยี่ห้อดังจนแทบจะพูดตามพรีเซ็นเตอร์ได้ครบทุกคำอยู่แล้วจึงอดบ่นไม่ได้ “ก็บอลมันยังไม่มานี่หว่า แล้วขาเปี๊ยกก็น่าดูกว่าโฆษณาพวก…”

    “มึงกลับบ้านไปเลยไป”

    “ใจเย็นไอ้เฟย ถ้ามึงไล่ไอ้มิณณ์ก็ต้องไล่พวกกูทั้งโต๊ะเลยนะเว้ย มันก็มองกันทุกคนนั่นแหละ กูยังมองเลย ตั้งแต่เปี๊ยกมันขึ้นม.ปลาย มันก็ดูเป็นผู้หญิง…โอ๊ย!”

    เฟยเอื้อมสุดแขนไปเผ่นกบาลเพื่อนหน้ากวนที่นั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะ จากนั้นจึงกวาดสายตาเช็กจำนวนพวกหื่นกามที่เหลือด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง ทำเอาทุกคนหลบตาแทบจะไม่ทัน มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ดูสุขุมเยือกเย็น ไม่สะทกสะท้านต่อรังสีหวงน้องของเฟยเลยสักนิด

    “ทั้งโต๊ะพ่อมึงดิ ไอ้ต๋ามันไม่เห็นมอง พวกมึงหัดเอาอย่างมันบ้าง”

    บุคคลตัวอย่างยังคงทำหน้านิ่งแม้ว่าสายตาจิกกัดของคนทั้งโต๊ะจะพุ่งไปที่เขาเพียงคนเดียว นั่นเพราะไม่ใช่ว่า‘ต๋า’ ไม่มองขาน้องสาวเพื่อน แต่เขามีวิธีมองที่ทำให้เฟยจับไม่ติดต่างหาก ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีใครอยากเสียเวลาเปิดเผยความจริงข้อนี้ เพราะต่างรู้ดีว่าดิสเครดิตต๋าให้ตายยังไงเฟยก็คงไม่เชื่อ หรือต่อให้เชื่อก็ไม่กล้าทำอะไรรุนแรงอย่างที่ทำกับเพื่อนคนอื่นๆ ด้วยเหตุผลที่ว่า หนึ่ง พวกเขาสองคนเป็นเพื่อนรักกัน สอง จอฉายภาพราคาแพงหูฉี่ที่ทุกคนกำลังนั่งจ้องอยู่ ต๋าเป็นคนซื้อให้เฟยเนื่องในวาระที่เจ้าตัวบ่นอยากได้แต่ไม่มีตังค์ซื้อครบหนึ่งร้อยครั้ง และสาม บ้านหลังนี้คือบ้านที่ครอบครัวเฟยเช่าจากครอบครัวต๋า หากลูกชายผู้เช่ามีปัญหากับลูกชายผู้ให้เช่า ค่าเช่าที่ถูกแสนถูกและคงที่มามากกว่า20 ปีอาจเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุก็เป็นได้

    กึก!

    “เอ้า จานสุดท้ายของคืนนี้!”

    ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่เดินดุ่มๆ ออกมาจากครัวหลังร้านแล้ววางไก่ทอดจานใหญ่ลงกลางโต๊ะเบอร์ 1 ดวงตาเรียวเล็กเหล่มองเครื่องดื่มสีอำพันขวดใหญ่บนตักลูกชาย ก่อนจะกระแอมเสียงดังอย่างจงใจให้โต๊ะข้างเคียงได้ยิน เพื่อให้ลูกค้าทั้งหลายร่วมเป็นสักขีพยานว่าเฮียฟ่งเป็นพลเมืองดีผู้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

    “เฮ้ยๆ ใครเอาเหล้ามาเอากลับไปเมาที่บ้านเลยนะเว้ย อยู่ในร้านข้าจ้องได้แต่ห้ามแดก คนไหนไม่ฟังก็บอกลามอไซได้เลย ข้าไม่ให้ขี่ อึกเดียวก็ต้องเดินกลับบ้าน เข้าใจ๊!”

    “คร้าบ~ ”

    ทั้งโต๊ะพร้อมใจกันตะเบ๊ะขานรับรวมถึงลูกชายขี้เมาของฟ่งด้วย ทว่าคล้อยหลังเขาไปไม่นาน แก้วใสๆ ที่มีโซดานอนรออยู่ครึ่งแก้วก็ถูกเติมเต็ม เพราะเฟยผู้ไม่เคยเชื่อฟังใครนอกจากตัวเองจัดการรินเหล้าให้เพื่อนและรุ่นน้องทุกคน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีใครอายุถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดเลย รวมถึงตัวเขาเองด้วย มีเพียงต๋าเท่านั้นที่เอามือมาปิดปากแก้วไว้เป็นเชิงปฏิเสธ ตามประสาคนคออ่อนที่ยังต้องเซฟสติไว้ขับรถกลับบ้าน

    ฝ่ายฟ่งที่รู้สันดานดิบของลูกชายดีกว่าใคร ออกมานั่งที่โต๊ะเบอร์7 ด้านนอกร้านแบบไม่วางใจเท่าไรนัก แต่ไม่ทันหันกลับไปเช็ก เวสป้าสีครีมคันหนึ่งก็บึ่งมาจอดหน้าร้านเสียก่อน คนขับถอดหมวกกันน็อคแล้วยกมือไหว้เขาเป็นคนแรก

    “หวัดดีครับลุงฟ่ง”

    “อ้าว ไอ้ทิว เออๆ หวัดดีๆ” ฟ่งรับไหว้ “ข้าล่ะใจหายหมด นึกว่าเอ็งจะไม่มาซะแล้ว คนเชียร์สเปอ­ร์ยิ่งน้อยๆ อยู่”

    “แปรพักตร์แล้วเหรอลุง ปกติเห็นเชียร์แต่แมนยู”

    “เฉพาะกิจโว้ย ก็ข้าไม่อยากให้ลิเวอร์พูลมันได้แชมป์นี่หว่า มีแต่พวกขี้คุย” ใบหน้ายียวนของเฟยกับฟานลอยเข้ามาในหัวผู้เป็นพ่อ “นี่ถ้ามันได้แชมป์ขึ้นมานะ ข้าต้องทนฟังไอ้สองตัวนั้นมันโม้ไปถึงฤดูกาลหน้าแน่ๆ เอ็งดูซิเนี่ย ทั้งร้านมีแต่เด็กหงส์ มีคนเชียร์สเปอร์อยู่สี่คน ข้าโดนเกทับจนตัวแบนแต๊ดแต๋ละ”

    “งั้นลุงฟ่งนับผมเป็นคนที่ห้าเลยนะ” ว่าพลางส่งเสื้อบอลสีขาวให้พ่อเพื่อน “แม่ฝากมาให้ครับ”

    “หือ?”

    “แม่รู้ว่ายังไงคืนนี้ลุงก็ไม่เชียร์ลิเวอร์พูลแน่ๆ รู้ด้วยว่าไม่มีเสื้อสเปอร์ก็เลยสั่งซื้อมาให้ ฝากผมมาบอกลุงด้วยว่าห้ามปฏิเสธ”

    “เฮ้ย ไม่น่าลำบากเลย เนื้อดีขนาดนี้ท่าทางจะแพง” ฟ่งพึมพำพร้อมรับเสื้อตัวนั้นมาอย่างเกรงใจ เหลือบเห็นไซซ์ตัวเองถูกต้องเป๊ะๆ ก็เผลออมยิ้มปลื้มปริ่ม “ยังไงก็ขอบใจนะเว้ย ฝากไปขอบใจแม่เอ็งด้วย ไม่รู้จะตื่นขึ้นมาดูบอลไหวไหม”

    “ไม่ต้องห่วงครับรายนั้น ผมแวะไปหาที่บ้านเมื่อกี้ เห็นบอกว่าตื่นมานอนเฝ้าจอตั้งแต่ตีหนึ่งแล้ว”

    “ฮะๆ จริงเรอะ แหม่! เสียดายจริงๆ ที่มาป่วยเอาคืนนี้ ไม่อย่างงั้นแฟนสเปอร์ร้านข้าก็ครบครึ่งโหล คึกคักน่าดู”

    ‘ทิว’ พยักหน้าเห็นด้วย อัปเดตอาการไข้หวัดใหญ่ของแม่ให้ฟ่งฟังเสร็จก็ขอตัวไปหาเพื่อนๆ ในร้านที่กวักมือเรียกเขาไม่หยุดมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว

    “นัดเที่ยงคืนมาเกือบตีสอง ลีลาตลอดอ่ะมึง!” หนุ่มหน้ากวนร้องทักสมาชิกคนสุดท้ายเสียงดังลั่น “คิดว่าเท่มากป้ะมาคนสุดท้ายเนี่ย!”

    คิ้วเข้มของทิวยักขึ้นกวนๆ แทนคำตอบ

    “ไหนตอนกูโทรไปปลุกบอกแค่งีบต่อห้านาทีไง หลับเป็นตายแบบนี้ไม่เรียกงีบแล้วโว้ย” เฟยโวย

    “กูตื่นนานแล้ว แวะไปหาแม่กับไปขับรถเล่นมา”

    “แหนะ กับใครเหยอพี่” เสียงโห่ร้องดังขึ้นรอบทิศทางเพราะต่างก็รู้ว่า‘ใคร’ คนนั้นคือใคร

    “กับป้ามึงมั้งครับ”

    “หูยยย ป้าผมไม่สวยขนาดนั้นร้อกกก”

    ทิวผลักหัวรุ่นน้องหน้ามึนที่เจอหน้าทีไรก็แซวเรื่องนี้ตลอด จากนั้นจึงละความสนใจไปหาคนที่กำลังวิ่งหน้าตั้งออกมาจากหลังร้าน

    “พี่ทิวววว…เหวอ!”

    รองเท้าแตะยี่ห้อช้างดาวที่ฟานสวมอยู่มีอายุใช้งานยาวนานจนไม่เหลือยางเกาะพื้น ประกอบกับน้ำแข็งที่เธอทำหกละลายกลายเป็นน้ำ ทำให้เจ้าตัวลื่นไถลเพราะเบรกเท้าไม่ได้อย่างใจนึก ใบหน้าเหลอหลากระแทกเข้ากับแผงอกแข็งๆ ของทิว ครู่หนึ่งเธอรู้สึกได้ว่ามีอีกมือลอยมาประคองตัวเธอเอาไว้ไม่ให้ล้ม แต่พอเธอตั้งหลักได้มือนั้นก็รีบผละออกไป แล้วเสียงหัวเราะในลำคอของชายหนุ่มตรงหน้าก็ดึงความสนใจของเธอไปจนหมดสิ้น

    “ออกตัวแรงเนอะเด็กหงส์”

    “ง่า ฟานไม่ได้ตั้งใจ พี่ทิวเจ็บป่าว”

    ทิวสั่นหัวพลางเอียงคอสำรวจแฟนบอลลิเวอร์พูลตัวน้อย หมวกแก๊ป ผ้าพันคอ และแทททูสติ๊กเกอร์รูปหงส์แดงบนแก้มยุ้ยๆ ทั้งสองข้างของเธอทำให้เขานึกขำ เด็กผู้หญิงอะไรจะจริงจังกับการดูฟุตบอลขนาดนี้

    “แต่งเต็มยศแบบนี้ กะเอาแชมป์ให้ได้เลยใช่ป่ะ”

    “แน่นอน! นี่ๆ ฟานใส่เสื้อของแท้ด้วยนะ เอาฤกษ์เอาชัย!”

    ชายหนุ่มยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าเสื้อบอลสีแดงที่เธอสวมอยู่คือตัวเดียวกับที่เขาซื้อเป็นของฝากให้เฟยเมื่อหลายปีก่อนตอนไปดูฟุตบอลที่ประเทศอังกฤษ แม้จะเป็นไซซ์ปกติของผู้ชายแต่พอไปอยู่บนตัวเด็กผู้หญิงที่สูงแค่อกของเขา ก็กลายเป็นเสื้อโอเวอร์ไซซ์ที่ไม่ต่างจากเดรสสักเท่าไร น่าเสียดายที่ตอนนั้นเขายังไม่รู้ว่าเธอเองก็ชอบดูบอล แถมยังเชียร์ทีมเดียวกันกับพี่ชายเสียด้วย

    “ไว้เราค่อยซื้อตัวเล็กให้นะ จะได้ไม่ต้องแย่งไอ้เฟยมันใส่”

    “ฟานเปล่าแย่งนะ ขอเฟยแล้วเฟยไม่ว่า แต่ถ้าพี่ทิวอยากซื้อให้จริงๆ ฟานก็ไม่ขัดนะ อิอิ”

    “ไม่ต้องเลยไอ้ทิว เปลืองตังค์ ให้มันยืมของกูนี่แหละ มีเป็นร้อย” เฟยแทรกขึ้น

    “มีแต่ของก๊อปทั้งนั้น” ฟานแย้ง

    “ก็ใส่ได้หมือนกันไหมล่ะ หรือแกใส่ของก๊อปแล้วผื่นขึ้น”

    น้องสาวเมินใส่พี่ชายแท้ๆ แล้วแหงนคอมองเพื่อนพี่ชายที่แสนใจดีตรงหน้า เห็นเขาสวมเสื้อยืดสีดำธรรมดาไม่ใช่เสื้อบอลของทีมที่จะลงเตะในคืนนี้ ดวงตากลมๆ ก็ทอประกายวิบวับ “คืนนี้พี่ทิวจะเชียร์ใครเหรอ”

    “สเปอร์ดิ บ้านมันเชียร์สเปอร์กันทั้งบ้าน”

    “ไม่ได้ถามเฟยซักหน่อย เผือก!” เธอถลึงตาใส่พี่ชายก่อนจะหันกลับมาอ้อนคู่สนทนาต่อ “คืนนี้เชียร์หงส์นะพี่ทิว เดี๋ยวฟานเปิดสไปรท์ให้ฟรีสองขวดเลย หรือถ้าพี่หิวก็บอกนะ ป๋าปิดครัวแล้วแต่ยังมีของสดเหลืออยู่ ฟานทำให้ได้ทุกเมนูเลย”

    เสียงโห่ไม่ชอบใจดังขึ้นพร้อมเพรียง บางคนถึงขั้นปาถั่วปาน้ำแข็งใส่ทิวด้วย

    “เฮ้ยๆๆ น้อยๆ หน่อย ร้านเราไม่ใช่มูลนิธิโรงเจนะเว้ย เอาของในร้านมาแจกชาวบ้านอ่ะขอป๋ารึ…” เฟยหยุดกึกแล้วชี้ไปที่ขาขาวเนียนของน้องสาว “ไอ้ฟาน! ฉันบอกให้แกไปเปลี่ยนกางเกง ไม่ได้ให้ไปถอดโว้ย!”

    “ก็ใส่อยู่นี่ไง!”

    “ใส่เส่ยอะไร เห็นแต่เสื้อ!”

    ฟานจิ๊ปากแล้วเลิกชายเสื้อขึ้นยืนยันว่าเธอเปลี่ยนกางเกงตัวใหม่มาแล้ว ยาวกว่าเดิมด้วย ถึงจะแค่ครึ่งนิ้วก็เถอะ

    “กางเกงหรือกางเกงในวะนั่น สั้นฉิบหาย!”

    “พูดไรน่าเกลียดจังวะ!”

    “เออ น่าเกลียด ไปเปลี่ยน เอาไอ้เศษผ้าเวรนี่ไปทิ้งด้วย”

    “ไม่ทิ้ง! ไม่เปลี่ยน!”

    ฟานตั้งท่าจะจุกชายเสื้อโอเวอร์ไซซ์ไว้ในกางเกงยีนส์ขาสั้นเพื่อให้พี่ชายจอมมากเรื่องเข้าถึงแฟชั่นแสนกิ๊บเก๋ของเธอ จะได้เลิกบ่นสักที หนุ่มๆ พากันผิวปากหวือเมื่อเอวคอดขาวของคนตัวเล็กถูกอวดสู่สายตาสาธารณชนแบบไม่รู้ตัว แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นเพราะ…

    ฟึ่บ!

    …มือใหญ่ของคนที่นั่งเงียบอยู่นานลอยไปกระชากเสื้อของเด็กสาวลงอย่างแรง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบเย็น

    “รำคาญว่ะ”

    ความเงียบแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งโต๊ะราวกับสามพยางค์นั้นของต๋าดูดกลืนเสียงและลมหายใจไปจากทุกคน

    ฟานเพิ่งรับรู้ถึงการมีอยู่ของคนคนนี้และเพิ่งรู้ตัวว่าก่อนหน้านี้เธอยืนอยู่ใกล้เขาขนาดไหน เธอถอยออกมาหนึ่งก้าวยาวๆ ด้วยความกลัวระคนอาย รู้สึกเสียหน้าไม่น้อยที่เป็นต้นเหตุให้บรรยากาศครื้นเครงสะดุดลง แต่มาคิดดูอีกที เธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ดวงตากลมโตจ้องเพื่อนสนิทหน้าน้ำแข็งของพี่ชายเขม็ง แต่ถูกเขาจ้องเธอกลับด้วยสายตาแข็งกร้าวชนิดที่ทำให้เธอควบคุมเสียงของตัวองไม่ได้ จากที่พร้อมจะเอาเรื่องก็กลายเป็นไม่พร้อมเสียอย่างนั้น

    “ระ…รำคาญอะไรอ่ะ ฟะ…ฟานยังไม่ได้…”

    “ไปเล่นไกลๆ ไป”

    ประโยคตัดบทแสนเย็นชาทำเอาคนฟังถึงกับลมออกหู เธอเด็กกว่าเขาก็จริง แต่ไม่ใช่เด็กเล็กๆ ที่เขาจะมาสั่งอะไรแบบนั้นสักหน่อย ฟานเม้มปากแน่นจนแก้มป่อง ยืดหลังตรงเชิดคางขึ้นเรียกความมั่นใจ แต่ยังไม่ทันตอกกลับแบบเจ็บๆ ตามนิสัยดื้อรั้นไม่ยอมคน เสียงของผู้เป็นพ่อก็พุ่งมาจากหน้าร้านเสียก่อน

    “ไอ้ฟาน มานั่งนี่มา”

    ฟ่งเปิดประตูชะโงกหัวเข้ามาเรียกลูกคนเล็กไปร่วมโต๊ะเบอร์ 7 ซึ่งมีผู้ใหญ่และผู้หญิงมากกว่า แม้จะไม่ใช่ลูกสาวแสนสวยดุจนางฟ้าแต่ยัยตัวแสบของเขาในวัยขบเผาะก็อยู่ในนิยามของคำว่าน่ารักน่าเอ็นดู ผิวขาวผ่องกับหุ่นอ้อนแอ้นน่าทะนุถนอมทำให้เธอตกเป็นเป้าสายตาของลูกค้าผู้ชายในร้านบ่อยๆ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะไม่ห่วงไม่หวงเธอ

    “ไปดิ ป๋าเรียกแล้ว” เฟยบุ้ยปากไล่น้อง ตามใจทั้งพ่อและเพื่อนที่ร้อยวันพันปีไม่เคยเกรี้ยวกราดใส่ใครมาก่อน

    “ไม่ไป ฟานจะนั่งโต๊ะนี้” ฟานประกาศจุดยืน

    “ไปนั่งกับป๋าเหอะน่า ตรงนี้ผู้ชายเค้าจะคุยกัน”

    “ก็คุยไปดิ นี่ก็อยากดูบอลใกล้ๆ จอเหมือนกันนะเว้ย!” อยากนั่งตากแอร์ในร้านมากกว่าตากยุงข้างนอกด้วย!

    “โต๊ะนี้มันเต็มแล้วแกก็เห็น อีกอย่างจอใหญ่ขนาดนี้ แกไปยืนบนดาดฟ้าบ้านตรงข้ามยังเห็นยันสิวอาลีซง[2]เลย ไปได้แล้วไป เอ้า เอานี่ไปด้วย” เฟยจะยัดน่องไก่ทอดใส่มือน้องเพื่อติดสินบน พอเธอไม่รับก็เอาไปโบกหัวคนข้างๆ ที่เตรียมจะสละเก้าอี้ให้เธอนั่งแทน “ทำไรไอ้มิณณ์”

    “ผมก็จะลุกให้…ให้พี่ทิวนั่งไง” คนเสียงสั่นแถไปเรื่อย ทั้งที่ในใจนึกสงสารฟานที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

    “ไม่ต้อง เดี๋ยวกูไปหาเก้าอี้ให้มันเอง อยู่เฉยๆ เลยมึงง่ะ”

    “เอามาสองตัวเลย ฟานจะนั่งด้วย” ฟานยังไม่ยอมแพ้

    “โวะ! บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้ดิวะ อย่างอแงได้ป่ะ”

    “ไม่ได้งอแง!”

    “ก็นี่แหละเรียกงอแง!”

    ในขณะที่สองพี่น้องทุ่มเถียงกันอยู่นั้น ไม่มีใครสังเกตเลยว่าต๋ากับทิวก็กำลังโต้ตอบกันผ่านกระแสสายตา เมื่อทิวเริ่มมั่นใจในความปรารถนาดีที่ซ่อนอยู่ภายใต้สีหน้าเฉยชาของเพื่อน เขาก็กระตุกยิ้มมุมปากอย่างรู้ทัน ทำให้หัวคิ้วของต๋ามุ่นเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะเป็นฝ่ายผินหน้าหนีไป ทิวไม่อยากตอแยเพื่อนจึงก้มลงมองสาวน้อยหน้าบูดข้างกาย ขยี้หัวเธอเบาๆ แล้วหันไปเอ่ยกับพี่ชายของเธอ

    “ไม่เป็นไรไอ้เฟย เดี๋ยวกูไปนั่งโต๊ะนู้นก็ได้ ขี้เกียจนั่งเบียดกับพวกมึง” พูดจบก็สะกิดไหล่ฟานเบาๆ แล้วเดินนำเธอไปหน้าร้าน ฟานรู้ว่าทิวกำลังจะตามใจเธออีกแล้วจึงรีบรั้งแขนเขาเอาไว้ไม่ให้ผลักประตูกระจกออกไป

    “พี่ทิวกลับไปนั่งโต๊ะเดิมเหอะ ฟานไปคนเดียวได้”

    “ขอไปนั่งด้วยไม่ได้เหรอ”

    “อย่าเลย ร้อนก็ร้อน ยุงก็เยอะ”

    “คืนนี้ลมโกรกนะ ไม่ร้อนหรอก เราว่าดึกป่านนี้ยุงกลับบ้านไปนอนหมดแล้วล่ะ”

    “แต่มันไกลจอนะพี่ ลำโพงดังไม่ถึงด้วย ก้าวพ้นประตูก็ไม่ได้ยินอะไรแล้ว”

    “กลัวอะไร เรามีฟานเป็นนักพากย์ส่วนตัวแล้วไง” ทิวโน้มตัวลงไปหาคนตัวเล็กเพราะนึกวิธีทำให้เธอเลิกปั้นหน้าหงิกหน้างอออกพอดี “คืนนี้เราเชียร์หงส์ซักคืนก็ได้ แต่ขอยืมนี่หน่อยนะ เดี๋ยวไม่เนียน”

    เมื่อผ้าพันคอลิเวอร์พูลที่เคยคล้องอยู่บนคอฟานถูกคนตัวสูงหยิบไปพาดไหล่ตัวเอง อารมณ์ขุ่นมัวเมื่อครู่ก็กลับมาแจ่มใสอีกครั้ง สาวน้อยพยักหน้าพร้อมฉีกยิ้มหวานจ๋อยให้ชายหนุ่ม จากนั้นทั้งคู่ก็ออกไปนั่งลงข้างกันที่โต๊ะเบอร์7 นอกร้าน แล้วพูดคุยกันเรื่องฟุตบอลไม่หยุดราวกับที่ตรงนั้นมีกันแค่สองคน

    ภาพทั้งหมดอยู่ในสายตาของสมาชิกโต๊ะเบอร์ 1 เห็นคนที่นั่งหัวโต๊ะยังนิ่งดูดาย ความอิจฉาตาร้อนบวกกับฤทธิ์แอลกอฮอล์สุดเข้มข้นก็ดึงเอาความใจกล้าของทุกคนออกมา เปิดฉากประท้วงลูกชายเจ้าของร้านอย่างไม่กลัวเกรง

    “ไอ้เหี้ยเฟย มึงมันคนลำปาง!”

    “ลำเอียง” เฟยรับมุกเสียงเอื่อยๆ

    “เออ! รู้ตัวนี่!” กระดกเหล้าหมดแก้วแล้วพูดต่อ “กูมองเฉยๆ มึงแทบจะหักคอกู แต่ไอ้ทิวแม่งหว่านเสน่ห์ใส่เปี๊ยกตั้งแต่เปี๊ยกมันอยู่ม.1 ทำไมมึงไม่ว่าอะไรมันสักคำเลยวะ”

    เกือบทั้งโต๊ะพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนั้น

    “เพราะมันไม่ได้คิดหื่นแบบเสือผู้หญิงอย่างพวกมึงไง” เฟยตอบ

    “เฮอะ! มึงรู้จักมันน้อยไปดิ ไอ้ทิวแม่งเสือซ่อนเล็บตัวพ่อเลยขอบอก”

    “แต่ไม่ใช่กับน้องกู”

    “ชิ เข้าข้างมันอยู่นั่น เจอดีเมื่อไหร่อย่าหาว่ากูไม่เตือนก็แล้วกัน”

    ประโยคเรียกร้องความยุติธรรมหลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย แต่ไม่มีประโยคไหนเลยที่จะลอยเข้าหูต๋า เขาลุกออกจากที่นั่งไปเงียบๆ จนแทบไม่มีใครสังเกต เฟยมองตามหลังเพื่อนรักที่เดินไปทางประตูหลังร้าน โดยไม่เรียกรั้งไว้เพราะเข้าใจว่าต๋าคงอยากจะกลับบ้านมานานแล้ว ท่าทางจะเบื่อไม่น้อยที่ต้องมานั่งถ่างตารอดูบอลกับพวกเขา ทั้งที่เป็นคนเดียวในกลุ่มที่ไม่อินกับกีฬาชนิดนี้

    แต่เฟยเข้าใจผิด อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่ง

    ต๋าไม่รู้สึกตื่นเต้นกับฟุตบอลรอบไฟนอลก็จริงแต่ไม่คิดจะลุกไปไหนตราบใดที่การแข่งขันยังไม่จบ อย่างน้อยเขาก็อยากรู้ว่าจอโปรเจกต์เตอร์ที่เขาควักกระเป๋าซื้อให้เพื่อนทำงานได้คุ้มราคาที่เสียไปหรือเปล่า และเขาก็ไม่อยากกลับไปทั้งที่ยังมีอีกเรื่องค้างคาใจอยู่อย่างนี้

    ด้วยเหตุผลดังกล่าว ชายหนุ่มที่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปแล้วครึ่งทางจึงวกรถกลับมาที่ร้านอาหารตามสั่งของเพื่อนสนิทอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เขาไม่ได้จอดรถหลังร้านอย่างเคยเพราะไม่ได้ตั้งใจจะกลับเข้าไปร่วมโต๊ะ ร่างสูงยืนล้วงกระเป๋าพิงยานพาหนะคู่ใจ ทอดสายตามองบรรยากาศและผู้คนภายในร้านจากริมฟุตปาธฝั่งตรงข้าม ไม่มีเจตนาจะพรางตัว แต่การทำตัวกลมกลืนกับอากาศและความเงียบเป็นความสามารถพิเศษที่ธรรมชาติมอบให้เขา จึงไม่มีใครสักคนสังเกตเห็นว่าเขายืนอยู่ตรงนี้ แม้แต่ยุงตัวที่กระหายเลือดสุดๆ ยังบินผ่านเขาไปเลย

    เวลาตีสองเศษๆ หลังจากพิธีเปิดการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกจบลงแล้ว จอโปรเจกต์เตอร์ขนาดใหญ่ก็ปรากฏภาพนักเตะจากสองทีมเข้าแถวจับมือกันในสนาม เป็นสัญญาณบอกว่าเกมจะเริ่มในไม่ช้า สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปที่หน้าจอ มีเพียงนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของต๋าเท่านั้นที่ค้างนิ่งอยู่ที่คนคนเดิมมาหลายนาทีแล้ว

    คนที่เป็นเรื่องคาใจอีกหนึ่งเรื่องของเขา

    ‘รำคาญว่ะ’

    ‘ไปเล่นไกลๆ ไป’

    เขาไม่ควรพูดกับน้องสาวเพื่อนแบบนั้น มันผิดเพี้ยนไปจากเจตนารมณ์ที่แท้จริงและช่างไม่สุภาพเอาเสียเลยสำหรับคนที่ไม่สนิทกัน บางทีเขาน่าจะเดินไปอธิบายว่าเขาไม่ได้หมายความอย่างที่พูด ก็แค่จะช่วยปกป้องเธอจากการคุกคามทางสายตา และถ้าเธอยังต้องการ…เขาอาจจัดการเรื่องที่นั่งติดหน้าจอให้เธอได้เพื่อเป็นการไถ่โทษที่ทำให้เธอขวัญเสีย

    ไตร่ตรองดีแล้วจึงเตรียมข้ามถนนไปยังอีกฝั่ง แต่เพียงก้าวแรกที่ขยับก็มีอุปสรรคมาบั่นทอนความตั้งใจ เมื่ออยู่ดีๆ ไฟทั้งซอยก็ดับพรึบราวกับพระเจ้าอยากกลั่นแกล้งมนุษย์ที่เกลียดความมืดและกลัวสิ่งลี้ลับขึ้นสมองอย่างต๋า เขาขมวดคิ้วนิดๆ ขณะแหงนคอมองพระจันทร์ที่กำลังจมหายเข้าไปในม่านเมฆ ก่อนจะใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นแฟลชมือถือปรากฏขึ้นทีละดวงสองดวงกระทั่งกลายเป็นกลุ่มดาวสีเงินภายในร้านอาหารที่มืดสนิทไม่ต่างจากถ้ำ

    ชายหนุ่มปรับสายตาให้ชินกับความมืดแล้วอาศัยแสงสว่างจากดาวจำลองข้ามถนนมาเหยียบฟุตปาธหน้าร้าน เหล่าแฟนบอลกำลังบ่นกันระงม ส่วนหนึ่งโทรไปแจ้งการไฟฟ้าว่าไฟดับ อีกส่วนหนึ่งซึ่งมีจำนวนมากกว่ารีบหาเว็บไซต์รับชมการถ่ายทอดสดผ่านมือถือเพราะรู้ดีว่าทุกวินาทีที่ผ่านไปอะไรก็เกิดขึ้นได้ในเกมลูกหนัง แน่นอนว่าพวกเขาไม่อยากพลาด เสียงพากย์บอลหลากหลายภาษาดังออกมาจากลำโพงมือถือมากกว่าสิบเครื่อง ตีกันยุ่งจนฟังไม่ได้ศัพท์ ต๋าหยุดนิ่งทิ้งระยะห่างจากโต๊ะเบอร์7 ไม่มากนัก ในเวลาเดียวกับที่แฟนบอลรุ่นใหญ่พูดต่อๆ กันมาว่าลิเวอร์พูลได้จุดโทษแล้ว

    ฟานนั่งไม่ติดเก้าอี้

    “ป๋าๆๆ ฟานไม่ได้เอามือถือลงมา ขอยืมของป๋าหน่อย!”

    “มันต่อเนตไม่ได้โว้ย ไฟดับแบบนี้วายฟายก็หลุดสิวะ ไปดูกับอาชัชนู่นไป”

    “ก็ของอาชัชมันไม่ชัดอ่ะ ของพี่ทิวชัดไหม ขอดูหน่อยๆๆ!”

    “แป๊บนะ เว็บนี้กระตุก สงสัยคนดูเยอะ” ทิวตอบฟาน

    แฟนบอลนอกร้านคนอื่นๆ ก็ประสบปัญหาไม่ต่างจากทิว ความหวังของฟานจึงย้ายไปที่โต๊ะด้านใน

    “เชี่ย ได้จุดโทษจริงว่ะ!!” ทันทีที่เสียงของเฟยเล็ดลอดออกมาฟานก็ไม่รอช้า กระชากประตูกระจกแล้ววิ่งคลำทางไปหาต้นเสียงเพื่อรับชมวินาทีสำคัญจากมือถือของพี่ชาย หรือของใครสักคนก็ได้ เธอไม่เกี่ยงอยู่แล้ว ขอแค่ภาพคมชัดในระดับที่ดูออกว่าใครเป็นใครและไม่กระตุกในจังหวะทำประตูก็พอ

    “เฟยยย!!”

    “จะยิงแล้วว้อย!!”

    “ไหนๆๆ ขอดูด้วยๆๆ!!”

    “เรียบร้อย!!!”

    “เฟยยย ขอฟานดูหน่อย!!”

    “อ๊ากกกก สะใจฉิบหาย!!”

    “สะใจอะไรเฟย! เฟย! ไอ้เฮียเฟย!!”

    เสียงเฮกระหึ่มกลบเสียงว้ากของฟานสนิท แฟนบอลลิเวอร์พูลทุกคนต่างกระโดดโลดเต้นและวิ่งวุ่นไปทั่วในความมืด ทำให้ร่างเล็กที่พยายามตะเกียกตะกายไปหาพี่ชายถูกเบียดให้ล้มลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ความตื่นเต้นที่แผ่ไปทั่วร่างกายก็สั่งให้เธอลุกขึ้นโดยไม่สนอาการปวดหนึบตรงหัวเข่า และเมื่อพี่ชายร้องตอบเธอว่า…

    “นำแล้วว้อยไอ้ฟาน!! วู้วววว!!”

    …ตัวเธอก็กระโดดขึ้นจากพื้นโดยอัตโนมัติ

    หมับ!

    ร่างบางทะยานกอดเงาสูงใหญ่ที่เธอมั่นใจเกินร้อยว่าเป็นพี่ชายของตัวเอง เพราะเสียงอันคุ้นเคยของเจ้าตัวพุ่งนำมาก่อน สองแขนแข็งแกร่งกระชับตัวเธอแน่นเพื่อคอยเหวี่ยงหลบแฟนบอลบ้าพลังที่ยังวิ่งพล่านไปมาไม่หยุด

    “เย่ๆๆๆ นำแล้วใช่ไหมๆๆๆ!!” เธอใช้ทั้งแขนทั้งขาเกี่ยวรัดพี่ชายเอาไว้ขณะแปะมือกับทุกคนที่ร่วมเชียร์ทีมเดียวกับเธอ แม้ความืดจะทำให้ดูไม่ออกว่าใครเป็นใคร แต่เสียงเจื้อยแจ้วก็โต้ตอบกับคนนู้นทีคนนี้ทีอย่างอารมณ์ดี “เจ๋ง! ช่าย! แน่นอนอยู่แล้ว! นาทีที่สองเองนี่! นี่แค่ครึ่งแรกนะ! จบเกมนี้สเปอร์พรุนแน่ ฮ่าๆๆ!!”

    “…”

    “ใช่มะ! ก็บอลมันต่างชั้นกันเห็นๆ! เหมือนเตะกับทีมอนุบาลเลยอ่ะ ฮ่าๆๆ บอกแล้วว่าแชมป์ ยังไงก็แชมป์!!”

    “…อือ”

    ร่างสูงครางในลำคอเพียงหนึ่งครั้งแล้วจัดการวางเด็กหงส์ปากดีลงบนโต๊ะใกล้ตัว อาศัยจังหวะที่เธอมัวแต่คุยโวกับคนอื่น แกะแขนแกะขาของเธอออกจากตัวแล้วผละออกไปเงียบๆ

    “โอ๊ะ!”

    มือเล็กของฟานเหวี่ยงไปเจอไอแพดที่วางอยู่ด้านหลังจึงพลิกตัวไปหยิบมันมา หวังจะเช็กว่าใครเป็นคนทำประตู แต่เพราะเจ้าของตั้งรหัสล็อกจอเอาไว้เธอจึงวางมันไว้ที่เดิมแล้วพลิกตัวกลับมา เห็นเงาของพี่ชายคล้ายจะถูกกลืนหายไปในความมืด จึงรีบคว้าชายเสื้อของเขาเอาไว้

    หมับ!

    “เดี๋ยวดิ อย่าเพิ่งไป ขอมือถือให้ฟานก่อน ฟานยังไม่รู้เลยว่าใครยิง”

    “ซาลาห์[3]ไง”

    สาวน้อยสะดุ้งเฮือกจนเกือบตกโต๊ะ เพราะน้ำเสียงนุ่มนวลที่อ่อนโยนต่อแก้วหูขนาดนี้ต้องไม่ใช่เสียงของพี่ชายปากมอมของเธอแน่ๆ และเมื่อมือถือราคาแพงที่เปิดหน้าไทม์ไลน์เฟซบุ๊กค้างเอาไว้ถูกยื่นมาใกล้ แสงไฟจากหน้าจอก็ทำให้เธอเห็นเต็มสองลูกกะตาว่าหนุ่มเสียงหวานตรงหน้าไม่ใช่พี่ชายของเธอจริงๆ

    “พะ…พี่ทิว!”

    “เพจนี้มันจะตัดภาพสโลว์ให้ดู รอโหลดแป๊บนะ คืนนี้เนตโคตรกาก”

    “พี่ทิว…อยู่ตรงนี้…ตลอดเลยเหรอ”

    “อื้อ”

    “หมายถึงเมื่อกี้…” ตอนที่เธอกระโดดกอดใครสักคน “…ด้วยน่ะนะ”

    “อื้ม ก็วิ่งตามฟานมานั่นแหละ” ทิวยิ้มไปจนถึงดวงตาพร้อมกับเอาหมวกที่เธอทำตกไว้มาสวมให้แล้วจับหัวเธอโยกไปมาเบาๆ “เชียร์โคตรมันเลยนะเรา เสียงดังกว่าไอ้เฟยอีก ฮะๆ”

    “…”

    “อ่ะ ใช้มือถือเราไปก่อน วิ่งไปวิ่งมาเดี๋ยวหกล้ม”

    ฟานรับไอโฟนของทิวมาถือไว้ ก่อนที่เขาจะถูกเพื่อนลากคอไปร่วมร้องเพลง You’ll Never Walk Alone[4] ในเวลาเดียวกับที่หลอดไฟทุกดวงในร้านกลับมาทำงาน แม้คลิปจากเพจฟุตบอลชื่อดังจะโหลดเสร็จและกำลังฉายจังหวะทำประตูแรกของลิเวอร์พูลซ้ำอีกครั้ง แต่ดวงตาใสแจ๋วของเด็กสาวเอาแต่ทอดมองชายหนุ่มเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด เธอยังนั่งอยู่บนโต๊ะแท้ๆ แต่กลับมองเห็นตัวเองพลัดตกลงมาจากที่สูง ร่วงลงไปในหลุมลึกที่บอกไม่ได้ว่าก้นหลุมอยู่ตรงไหน มือข้างที่ว่างอยู่เลื่อนไปทาบกลางอก ได้ยินเสียงก้อนเนื้อเต้นระรัวชัดเจนแต่กลับรู้สึกเหมือนมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกต่อไปแล้ว

    ราวกับว่าหัวใจถูกขโมยไปแล้วทั้งดวง!

    “อ้าวไอ้ต๋า กูนึกว่ามึงกลับบ้านไปแล้ว” เฟยร้องทักเมื่อหันไปเห็นเพื่อนสนิทยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ที่โต๊ะเบอร์1 “ลืมของเหรอมึง”

    ต๋าไม่ตอบ ล้วงมือเข้าไปในถังน้ำแข็ง หยิบใส่ปากหนึ่งก้อนแล้วเดินจ้ำๆ ไปทางประตูหลัง แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าจอดรถทิ้งไว้ที่ไหนก็หมุนตัวกลับมา หยิบน้ำแข็งใส่ปากอีกหนึ่งก้อนแล้วเร่งฝีเท้าออกจากร้านไปโดยไม่สบตากับใครอีกเลย

    อะไรของมันวะ เหล้าก็ไม่แดก เสือกหน้าแดง

    เฟยนึกสงสัยแต่ไม่คิดจะหาคำตอบ ละสายตาจากแผ่นหลังของต๋าไปยังฟานซึ่งนั่งหลังตรงแหน็วอยู่บนโต๊ะกลางร้าน

    เดี๋ยวนี้มันแต่งหน้าด้วยเหรอวะ ปัดแก้มซะแดงแปร๊ด แก่แดดแก่ลมจริงๆ ไอ้เด็กนี่

    เฟยส่ายหน้าไปมาแล้วหันกลับไปสนใจฟุตบอลต่อ โดยไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าคืนนั้น…

    นอกจากจะเป็นคืนที่ลิเวอร์พูลเอาชนะสเปอร์ด้วยสกอร์ 2-0 และคว้าถ้วยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก สมัยที่6 แล้ว…

    ยังเป็นคืนที่เพื่อนคนหนึ่งทำให้น้องสาวของเขาเสียอาการ

    และเพื่อนอีกคนหนึ่งต้องเสียอาการเพราะน้องสาวของเขาอีกด้วย!

     

     

    [1] UEFA Champions League การแข่งขันฟุตบอลระหว่างสโมสรต่างๆ ในทวีปยุโรป เรียกสั้นๆ ว่า‘ยูฟ่า’

    [2]อาลีซง เบ็คเกอร์ (Alisson Becker)ผู้รักษาประตูชาวบราซิลของลิเวอร์พูล

    [3]โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (Mohamed Salah)นักเตะดาวรุ่งสัญชาติอียิปต์ เล่นตำแหน่งกองหน้าให้ลิเวอร์พูล

    [4] You’ll Never Walk Alone เพลงจากภาพยนตร์เรื่องCAROUSEL (1956)ที่ถูกนำมาใช้เป็นเพลงเชียร์ประจำสโมสรลิเวอร์พูล ทั้งยังเป็นคำขวัญ คำให้กำลังใจที่แฟนบอลนิยมใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×