ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เพื่อนคนหนึ่งของพี่ชาย (ภาคมัธยม)

    ลำดับตอนที่ #5 : เพื่อนพี่ชาย 3 เรื่องที่น่าสนใจกว่าฟุตบอล (2)

    • อัปเดตล่าสุด 26 มิ.ย. 63


    “เป็นห่วงนี่นับเป็นเหตุผลได้ไหม”

    “อะ…อะไรนะ”

    คนบนรถดับเครื่องยนต์แล้วพูดอีกครั้งให้ชัดเจนขึ้น “พี่ชายเธอบอกให้ฉันช่วยเพราะมันเป็นห่วงเธอ แบบนี้สมเหตุสมผลพอรึยัง”

    อ๋อ แล้วไป สงสัยเมื่อกี้เสียงเครื่องยนต์มันดังไปหน่อยเลยได้ยินไม่ครบ แต่เดี๋ยวนะ…

    “เฟยห่วงฟาน?”

    “อืม”

    ฮ่า!! เหลือเชื่อ พี่ชายฉันมันสะกดคำว่าเป็นห่วงน้องสาวถูกด้วยเหรอ ฉันแค่นหัวเราะและกำลังจะบอกเฮียต๋าว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องทำตามคำสั่งของคนกากๆ อย่างนั้นหรอก แต่จู่ๆ ก็ฉุกคิดได้ว่าเฮียใหญ่อาจจะอาการหนักมากจริงๆ เฟยถึงกล้าเอ่ยปากใช้เพื่อนผู้มีพระคุณของมันแบบนี้ ชักจะหวั่นๆ ขึ้นมาแล้วสิ ดูเหมือนเฮียต๋าจะอ่านอาการออกว่าฉันเริ่มลังเลจึงตัดสินใจให้ด้วยการดึงมือฉันออกจากกระเป๋าเสื้อตัวเอง ก่อนจะสตาร์ทเครื่องอีกครั้ง

    “ไปกันเถอะ”

    สุดท้ายฉันก็ยอมนั่งซ้อนท้ายเฮียต๋าอีกครั้งเพราะไม่อยากเสี่ยงรถดับกลางทาง แต่มันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างแรง! ถึงเด็กส่งข้าวคนใหม่จะไม่หลงทางเพราะมีฉันเป็นเนวิเกเตอร์ส่วนตัว แต่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ร้านเราไม่ได้ทิปจากลูกค้ากระเป๋าหนักอย่างป้าติ๊ก แถมตัวแทนร้านอย่างฉันยังโดนบ่นยาวๆ จนหูชาอีกด้วย โทษเฮียต๋านั่นแหละที่ขับรถช้าเป็นเต่าคลานอีกแล้ว บอกให้แว้นก็ไม่ฟัง ขอขับเองก็ไม่ให้ สถิติส่งข้าวเร็วกว่าเดอะพิซซ่าคอมปะนีที่ฉันสั่งสมมานานพังลงเพราะเขาคนเดียวเลย!

    ข้อดีข้อเดียวของวันนี้คืออเมริกันพิทบูลของป้าติ๊กเงียบกริ๊บประหนึ่งเจ็บคอพร้อมกันยกคอก ตอนป้าแกออกมารับข้าว พวกมันก็แค่นั่งรอเรียงหน้ากระดานอยู่หลังรั้ว ทั้งที่ครั้งล่าสุดแทบจะทะยานออกมางับคอฉันอยู่แล้ว ฉันเดาขำๆ ว่าพวกมันน่าจะเป็นหมาตัวเมียที่ชอบมนุษย์โอปป้าอย่างเฮียต๋า แต่ได้ยินป้าติ๊กเรียกว่าสมชาย สมหมาย สมปอง และสมแมนๆ อีกสามสี่ชื่อแล้วคงจะเป็นไปได้ยาก ระหว่างทางกลับร้านฉันเลยแอบเอาจมูกไปเฉียดใกล้ๆ แผ่นหลังกว้างขวางของคนขับด้วยความอยากรู้ว่าหมาพวกนั้นมันได้กลิ่นอะไรมาจากตัวเขา ถึงได้สงบเสงี่ยมเจียมตัวกันถ้วนหน้าขนาดนั้น แล้วสิ่งที่ได้รับกลับมาเต็มๆ ปอดก็คือ…

    กลิ่นคนรวย!

    ไม่ใช่กลิ่นเงินเป็นฟ่อนๆ แบบในตู้เซฟธนาคารนะ แต่มันเป็นกลิ่นที่ดึงเอาคำว่า‘คุณชาย’ เข้ามาในหัวของฉันและสลัดออกไปไม่ได้เลยจนกว่าฉันจะกลั้นหายใจ เป็นความหอมละมุนแบบสะอาดสะอ้านชนิดที่ดมเข้าไปเฮือกแรกก็รู้ได้เลยว่าบ้านเขามีแม่บ้านที่คอยดูแลเรื่องเสื้อผ้าให้อย่างพิถีพิถัน อยากรู้จังว่าใช้ผงซักฟอกหรือน้ำยาปรับผ้านุ่มยี่ห้ออะไร จะไปหามาใช้ดู เผื่อว่าหมาทั้งโลกจะยอมเป็นมิตรกับฉันบ้าง ฟุดฟิด~

    คุณชายขยับตัวยุกยิกเหมือนจั๊กจี้ “ทำอะไร”

    เออว่ะ นี่ฉันทำบ้าอะไรอยู่ฟะ

    “แมลงน่ะแมลง ฟู่ว ฟู่ว!” ฉันแถพลางแสร้งเป่าแมลงที่ไม่มีอยู่จริง แต่ก่อนหน้านี้เฮียต๋าคงจะเห็นพฤติกรรมประหลาดของฉันผ่านกระจกข้างเข้าก็เลยไม่เชื่อ เขากระถดตัวไปนั่งตรงปลายเบาะเพื่อสร้างระยะห่าง ฉันเกรงว่าตัวเองจะกลายเป็นเด็กโรคจิตในสายตาเพื่อนรักของพี่ชายจึงรีบเฉไฉไปเรื่องอื่น “เฮียต๋าๆ ฟานถามไรหน่อย ทำไมเฮียไม่ชอบดูบอลอ่ะ ผู้ชายส่วนใหญ่เค้าชอบกันทั้งนั้นเลยนะ โดยเฉพาะเพื่อนๆ ของเฮียอ่ะ”

    เงียบ

    “จริงๆ ก็เป็นไปได้แหละที่เฮียจะเป็นส่วนน้อย แต่มันขัดกับที่เฮียใส่เสื้อหงส์มาดูบอลบ้านฟานทุกแมตช์อ่ะ หรือว่าจะเป็นอย่างที่พี่ธีมบอกจริงๆ แบบว่าทำเป็นคลั่งกีฬาเพราะอยากให้สาวๆ กรี๊ดอะไรทำนองนั้น ฮะๆ”

    ยังคงเงียบ

    “เน่~ อย่าปล่อยให้ฟานคุยคนเดียวดิ” ฉันเอี้ยวตัวไปมองหน้าเฮียต๋า แน่นอนว่าไม่เห็นอะไรเลยนอกจากใบหน้างอแงของตัวเองที่สะท้อนอยู่บนหมวกกันน็อคเงาวับ หรือว่าเขาไม่ค่อยได้ยินเพราะหมวกแบบฟูลเฟสมันปกปิดมิดชิดเหลือเกิน ฉันขยับเข้าไปใกล้ๆ พร้อมเอนตัวออกไปด้านข้างให้มากที่สุด จากนั้นจึงถามคำถามเดิมซ้ำอีกรอบด้วยระดับเสียงที่ดังขึ้น และเมื่อเขาหยุดรถตรงสี่แยกไฟแดงย่านสถาบันกวดวิชาซึ่งมีสโลแกนเก๋ๆ ว่าไฟแดงชาตินี้ไฟเขียวชาติหน้า มือใหญ่ข้างหนึ่งก็ลอยมาดันฉันกลับไปนั่งตรงๆ ก่อนจะยอมพูดด้วย…สักที!

    “ฉันไม่อินกับฟุตบอล นั่งดีๆ อย่ายื่นหน้าออกมาแบบเมื่อกี้อีก”

    “ทำไมอ่ะ”

    “มันอันตราย”

    “ไม่ใช่ดิ หมายถึงทำไมถึงไม่อินกับฟุตบอล”

    “ก็แค่ไม่อิน”

    “ก็แล้วมันเพราะอะไรล่ะ ต้องมีเหตุผลที่ไม่อินด้วยดิวะ อย่างเช่นมีอย่างอื่นที่เฮียสนใจมากกว่าฟุตบอล หรือไม่เฮียก็ดูบอลไม่รู้เรื่องเลยไม่รู้สึกว่ามันสนุก”

    “อืม”

    “โอ้ ฟานเดาถูกเหรอเนี่ย แต่ทำไมถึงดูไม่รู้เรื่องอ่ะ ฟานว่าฟุตบอลเป็นกีฬาที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลยนะเว้ย ผู้เล่นสองทีม ทีมละสิบเอ็ดคนแย่งบอลกันในสนาม ใครทำประตูได้เยอะกว่าชนะ แค่นี้เอง” ฉันนึกย้อนไปถึงสมัยป.1 ที่ป๋าสอนให้ดูบอลใหม่ๆ “อ๋อ หรือว่าเฮียงงพวกกติกายิบย่อยอย่างการเช็กตำแหน่งล้ำหน้า กฎใบหลืองใบแดง จุดโทษ เตะมุม ทุ่มบอลไรงี้”

    “…”

    “เอาจริงๆ ไม่ต้องไปแคร์กฎพวกนั้นหรอก ดูแค่ใครยิงเข้าไม่เข้าก็พอ อืม…แต่ถ้ารู้กติกาละเอียดๆ ก็อาจจะทำให้ดูสนุกขึ้นอ่ะเนอะ งั้นลองเปิดใจศึกษาดูก่อนไหม แรกๆ ก็จะงงๆ เหมือนกันทุกคนแหละ ฟานเองก็เคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว” ฉันเกยคางไว้บนไหล่ขวาของคนขับเพราะกลัวว่าเขาจะไม่ได้ยินข้อเสนอดีๆ ของตัวเอง “เอางี้แล้วกัน ต่อไปถ้าเฮียมาดูบอลบ้านฟานแล้วไม่เข้าใจตรงไหนก็เดินมาถามฟานเลยนะ ฟานจะอธิบายให้ฟังเอง แต่มีข้อแม้ว่าต้องเชียร์ลิเวอร์พูลเท่านั้นนะเว้ย ห้ามไปทีมอื่น เฮียมีเสื้อหงส์เยอะอยู่แล้วนี่ ไปทีมอื่นก็เสียของเปล่าๆ อีกอย่างยุคนี้หงส์กำลังรุ่งเรืองด้วย รับรองว่า…”

    ยังไม่ทันสาธยายถึงความสำเร็จของทีมรักเพื่อตกสมาชิกใหม่เข้าลัทธิ คนฟังก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

    “ฉันดูบอลเป็น”

    “อ้าว แต่เมื่อกี้เฮียบอกว่าไม่อินเพราะ…”

    “หมายถึงเหตุผลอันแรก”

    “เอ๊า! แล้วทำไมไม่รีบบอกว้า ปล่อยให้ฟานจ้ออยู่ได้ตั้งนาน” ฉันเปลี่ยนมาเกยคางบนไหล่ซ้ายของเขา “ว่าแต่…อะไรอ่ะที่เฮียสนใจมากกว่าฟุตบอล ดนตรี หนัง เกม รถ หรือว่ากีฬาอย่างอือ…โอ๊ะ!”

    ก๊อก!

    จู่ๆ เฮียต๋าก็หันหน้ามาอย่างกะทันหันทำให้หมวกกันน็อกของเราสองคนชนกันอย่างแรง ดีนะที่หมวกเขามีกระจกกั้น ส่วนของฉันมีแก็บหน้าหมวกยื่นออกมาพอประมาณ หน้าเราจึงไม่ได้ปะทะกันโดยตรง

    “คน”

    “หือ?”

    “ช่วงนี้กำลังสนใจคน”

    “…คน?”

    “อือ”

    “หมายถึงดารานักร้องน่ะเหรอ เฮ้ย! นี่อย่าบอกนะว่าเฮียเป็นติ่งแบล็กพิงก์ เมนลิซ่าแบบเฟยมันน่ะ!”

    เขาส่ายหน้าแล้วหันข้างมาเท่าที่คนขี่มอเตอร์ไซค์คนหนึ่งจะทำได้

    เป็นเพราะตอนนี้เราอยู่ใกล้กันมาก นอกจากฉันจะเห็นใบหน้าฉงนสงสัยของตัวเองที่สะท้อนอยู่บนกระจกกันลมสีชาแล้ว ฉันยังมองทะลุเข้าไปเห็นใบหน้าช่วงบนของเฮียต๋าด้วย โดยเฉพาะดวงตาเรียวๆ ที่กำลังจ้องตรงเข้ามาในดวงตาของฉัน มีเวลาถมเถให้เขาอธิบายคำตอบของตัวเองให้เคลียร์ แต่เจ้าตัวกลับเลือกที่จะใช้เวลาทั้งหมดนั้นมองฉันนิ่งๆ เหมือนกำลังนับรูขุมขนบนหน้าฉันอยู่

    “อ้าวๆ อย่าเงียบดิ ไม่ใช่ลิซ่าแล้วใครอ่ะ”

    “ฟาน…”

    “ฮะ? พูดดังๆ ดิ้”

    “เธอน่ะ!”

    เฮียต๋าคำรามจนฉันสะดุ้ง เลือดพุ่งขึ้นมาที่แก้มทั้งสองข้างจนรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้า แต่สมองเบลอๆ ยังไม่ทันประมวลผลคนพูดก็โหม่งหัวเรียกสติฉันเสียก่อน

    ก๊อก!

    “เธอน่ะ จะนั่งเบียดฉันอีกนานไหม”

    “เอ๋?”

    “กระเถิบออกไปหน่อย จะตกเบาะอยู่แล้ว”

    “อะ…อ๋อ”

    “…”

    “…”

    ก๊อก!

    “อ๋อแล้วก็กระเถิบด้วยสิ”

    เฮียต๋าโขกหมวกตัวเองเข้ากับหมวกของฉันอีกหนึ่งครั้งก่อนจะหันกลับไปนั่งท่าเดิม พร้อมกับที่ฉันรีบถอยออกมานั่งสุดปลายเบาะ ไม่นานนักรถก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้าเพราะสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว ฉันตบแก้มตัวเองสองสามทีเพื่อเรียกสติ ต้องเป็นเพราะคำพูดไม่เคลียร์ของเขาแน่ๆ ที่ทำให้ฉันตั้งรับไม่ทันแบบนี้ ก็แหม เวลาที่ใครสักคนบอกว่า‘สนใจคน’ พร้อมกับแช่สายตาไว้ที่เรา มันก็ต้องมีสักแวบหนึ่งล่ะน่าที่เราสงสัยว่าเขากำลังพูดถึงเรารึเปล่า ซึ่งฉันก็ได้รับคำตอบชัดเจนแล้วว่า โน! แอ็บโซลูทลี่โน! ไม่ใช่อย่างแน่นอน! เฮียต๋าก็แค่หันมาประท้วงที่ฉันนั่งกินที่เฉยๆ และคงรำคาญสุดๆ ไปเลยที่ฉันเอาแต่แหกปากใส่หูเขาไม่หยุด ชิ ใครใช้ให้เขาใส่หมวกแบบฟูลเฟสกันเล่า

    ในระหว่างที่ฉันรูดซิปปากตัวเองพลางคิดไปเรื่อยเปื่อยว่าคนอย่างเฮียต๋าน่าจะชอบใครในแบล็กพิ้งก์ ความบังเอิญก็ทำให้ฉันหันไปเจอไอ้แป๋วเข้าพอดี

    เพื่อนรักในฮูดดี้สีเหลืองอ๋อยสะดุดตา นั่งอยู่ในร้านกาแฟเล็กๆ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่เรียนพิเศษวิชาคณิตศาสตร์ที่มันลงเรียนตั้งแต่ม.ต้นเท่าไรนัก ด้วยความที่ย่านนี้เป็นแหล่งรวมศูนย์กวดวิชาชื่อดังที่การจราจรคับคั่งทุกวันหยุด รถจึงไหลไปอย่างเชื่องช้าสลับกับหยุดนิ่ง มีเวลามากพอให้ฉันได้เห็นเต็มตาว่ายัยคนขี้งกกำลังนั่งชาร์จแบตฯ มือถืออย่างสบายใจเฉิบอยู่ตรงโต๊ะบาร์สูงติดผนังกระจก นี่คงจะซื้อน้ำเปล่าขวดละ15 บาทมานั่งตากแอร์ใช้วายฟายฟรีจนถึงเย็นอีกแหงๆ ฉันเตรียมจะถ่ายรูปส่งไปแซวว่าเลิกเรียนแล้วทำไมไม่กลับไปช่วยงานที่ร้าน แต่ขณะที่กำลังถ่างนิ้วซูมเพื่อหามุมดีๆ ร่างสูงอันแสนคุ้นตาก็เดินเข้ามาในโฟกัสพร้อมกับแก้วกาแฟและเค้กสีหวานหนึ่งชิ้นในมือ และเมื่อเขาคนนั้นเลือกนั่งเก้าอี้ตัวติดกับไอ้แป๋วทั้งที่มีที่ว่างอยู่ตั้งมากมาย รถของเฮียต๋าก็เคลื่อนเลยจุดที่ฉันจะมองเห็นพวกเขาได้เสียแล้ว

    “แวะไหม”

    คำถามนั้นทำให้ฉันเลิกเหลียวหลังแล้วหันกลับมาขึงตาจ้องคนขับผ่านกระจกข้าง รู้สึกได้ว่าเขาเองก็มองฉันอยู่นานแล้ว และคงได้เห็นอะไรแบบเดียวกับที่ฉันเห็นเมื่อกี้ด้วย

    “แวะทำไม”

    “หาไอ้ทิวไง”

    “หะ…หาทำไม ไม่ได้มีธุระอะไรซักหน่อย!”

    เขาเอียงคอนิดๆ ก่อนจะผินหน้ากลับไปมองถนนเบื้องหน้า “ไม่รีบนะ ยูเทิร์นไปส่งได้”

    “ฟานยังไม่ได้พูดว่าอยากแวะเลยนะเว้ย!”

    เฮียต๋าปล่อยมือข้างหนึ่งจากแฮนด์รถแล้วชี้หน้าฉันในกระจก คล้ายกำลังบอกว่า‘แต่หน้าเธอมันฟ้อง’

    ฉันเม้มปากแน่นเถียงไม่ออก เชื่อไปแล้วครึ่งค่อนใจว่าผู้ชายคนนี้ต้องรู้อะไรที่ฉันไม่อยากให้เขารู้แน่ๆ เพียงแต่เขาไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ก็เท่านั้น ฉันเริ่มคิดแล้วว่าเราสองคนต้องเป็นศัตรูกันตั้งแต่ชาติปางก่อนแหงๆ เพราะทุกครั้งที่ดูเหมือนจะญาติดีกันได้ทีไร ก็ต้องมีอะไรมาทำให้ฉันรู้สึกขุ่นมัวใจจนไม่อยากจะเสวนากับเขาอยู่เรื่อย ชักไม่แน่ใจแล้วว่าจะทำตามที่เฟยขอร้องไว้ได้หรือเปล่า

    แต่ความกังวลในส่วนนั้นก็ไม่มากพอที่จะเบนความสนใจของฉันจากภาพในร้านกาแฟที่ยังติดตาอยู่ ฉันนั่งเงียบมาตลอดทางโดยไม่รู้ตัวเลยว่าลงจากรถเฮียต๋าตั้งแต่เมื่อไรหรือเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากนั้น ยิ่งวันนี้ไอ้แป๋วไม่ได้มาหาฉันที่ร้าน สติฉันก็ยิ่งไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กระทั่งโดนป๋าด่าที่เอาแต่ยืนเหม่อนั่นแหละ ฉันถึงสลัดความคิดบ้าๆ ออกไปจากหัวแล้วหันมาโฟกัสงานได้จนหมดวัน แต่หลังจากปิดร้านแล้วขึ้นไปอยู่ในห้องเงียบๆ คนเดียว ภาพเมื่อตอนบ่ายก็ไหลย้อนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้งจนได้ ฉันต้องพร่ำบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าไอ้แป๋วก็แค่นั่งแช่แอร์ถ่วงเวลาเพราะไม่อยากรีบกลับบ้าน ส่วนพี่ทิวก็คงจะนั่งรอแฟนที่ยังไม่เลิกเรียนพิเศษ คนรู้จักที่สนิทกันพอประมาณแบบสองคนนั้น บังเอิญเจอกันในร้านกาแฟแล้วมานั่งด้วยกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก คิดได้ดังนั้นจึงเข้าไปอาบน้ำรีเฟรชร่างกาย หลงเชื่อว่าตัวเองจัดการกับความรู้สึกบ้าๆ ได้แล้ว แต่พอเห็นรูปในมือถือที่เผลอกดชัตเตอร์ตอนไหนก็ไม่รู้ ตำแหน่งของจานเค้กที่ตั้งอยู่ตรงหน้าไอ้แป๋วก็ทำให้ฉันหยุดจินตนาการไปในทางลบไม่ได้เลย

    แล้วในที่สุดใจฉันก็เจ็บแปลบขึ้นมาจริงๆ

    บอกตามตรงว่าฉันเป็นเด็กผู้หญิงขี้อิจฉาและขี้หวงที่สุดคนหนึ่ง โดยเฉพาะถ้าเรื่องนั้นมันเกี่ยวข้องกับคนที่ฉันชอบ ตั้งแต่รู้ใจตัวเองฉันก็อิจฉาพี่บี๋ที่ได้เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับพี่ทิว อิจฉายัยพี่เจนที่ได้คบกับเขา อิจฉาเด็กช่างผู้หญิงทุกคนที่ได้เจอหน้าเขาที่วิทยาลัยทุกวัน จึงไม่แปลกใจเลยที่ตอนนี้…ฉันจะกำลังอิจฉาเพื่อนสนิทของตัวเองอยู่

    คืนนั้นฉันนอนรอสายรอข้อความจากไอ้แป๋วทั้งคืน แต่ก็ไม่มีวี่แววว่ามันจะโทรมาเมาท์ว่าบังเอิญเจอพี่ทิว หรือส่งรูปมาอวดว่าเขาเลี้ยงเค้กเนื่องในวันที่อากาศดี วันที่เขาพกเงินมาเยอะ วันที่เขาอยากลองซื้อของหวานน่ารักๆ ดูสักครั้ง หรือโอกาสไร้สาระอะไรก็ได้ ขอแค่มันไลน์มาบอกกันสักนิดแค่นั้นฉันก็สบายใจแล้ว แต่นี่มันเล่นหายเงียบไปเลย ส่วนฉันก็ไม่อยากเป็นฝ่ายติดต่อไปก่อนเพราะไม่อยากทำตัวเป็นผู้หญิงงี่เง่าที่กำลังสงสัยเพื่อนตัวเอง

    แต่การนอนจ้องมือถือตอนตีสองแบบนี้ มันก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่า ‘เชื่อใจเพื่อน’ เลยสักนิดไม่ใช่เหรอ

    โอ๊ย! เกลียดความย้อนแย้งของตัวเองชะมัด!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×