คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : เพื่อนพี่ชาย 2 คนดีของเฮีย
2
คนดีของเฮีย
ดูท่าว่าวุ้นเส้นจะเป็นปัญหาระดับชาติจริงๆ เพราะหลังจากวันนั้นเฮียต๋าก็หายหน้าหายตาไปเลยสองวันเต็มๆ แม้หลายคนจะบอกว่าเฮียแกติดธุระกับที่บ้าน แต่ไอ้แป๋วสันนิษฐานว่าเขาเคืองฉันแบบเดียวกับที่ลูกค้าเคืองเวลาแม่ค้าตักข้าวให้ลูกค้าอีกคนเยอะกว่า แต่ใครจะสนล่ะ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ ก็แค่เข้าใจผิดนิดๆ หน่อยๆ ว่าเขาไม่ชอบกินวุ้นเส้นเลยสั่งให้แบบนั้น ทำไปด้วยความหวังดีล้วนๆ ถ้าเขาจะโกรธกันเพราะเรื่องแค่นี้ก็ช่วยไม่ได้แล้วล่ะ
“แหมๆ นี่ขนาดบอกไม่สนๆ ฉันยังเห็นแกยืดคอมองหาพี่เค้าทุกวัน ถ้าสนนี่ไม่ตามไปดูถึงบ้านเลยเหรอยะ”
“ฉันหาพี่ทิวไหมล่ะ!” จริงๆ ก็หาเฮียต๋าด้วยแหละ เพราะลึกๆ แล้วฉันก็แอบกลัวว่าเดือนหน้าค่าเช่าบ้านจะขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ ฮือ โตๆ กันแล้ว เขาคงไม่เอาเรื่องหยุมหยิมแบบนี้ไปฟ้องพ่อใช่ป่ะ
“โอ๊ย ไม่ต้องหาหรอกรายนั้น ไปนั่งเฝ้าแฟนเรียนพิเศษนู่น ช่วงโปรโมชั่นก็เงี้ย”
“รู้ได้ไง แถวบ้านแกมีที่เรียนพิเศษด้วยเหรอ หรือแกลงทุนสะกดรอยตามไปดูให้ฉัน แล้วรู้ได้ไงว่าพี่ทิวไปนั่งเฝ้า เห็นกับตารึไง”
“เห็นเต็มสองตาเลยล่ะ ก็ยัยพี่เจนเรียนพิเศษตึกข้างๆ บ้านครูพี่รินทร์ที่ฉันเรียน…เอ๊ะ! นี่แกจะมาซักไซ้ทำไม หาว่าฉันโกหกเหรอ”
“ก็ไม่แน่ แกมันชอบสร้างเรื่องปั่นประสาทฉันอยู่แล้วนี่”
“โอเค! ด้าย! ฉันมันคนเลว งั้นต่อไปนี้คนเลวคนนี้พูดอะไรแกก็ไม่ต้องเชื่อแล้วนะ ไม่ต้องถามอะไรแล้วด้วย ลำไย!”
ไอ้แป๋วตัดพ้อแบบโอเวอร์แอคติ้งจบก็หันไปโบ๊ะรองพื้นศรีจันทร์ลงหน้าต่อเป็นชั้นที่สาม เปล่า นี่ไม่ใช่เทคนิคการแต่งหน้าเอฟวรี่เดย์ลุคของมัน แต่คือการโบกหน้าเฉพาะกิจสำหรับจ็อบพิเศษของเราสองคนในคืนนี้ต่างหาก
ต้องเกริ่นก่อนว่าวิทยาลัยช่างอาชัญเป็นโรงเรียนสายอาชีพที่มีหลักสูตรการเรียนการสอน 3 ปีเท่ากับม.ปลายสายสามัญ เรียบจบระดับปวช.แล้วสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรือจะเรียนต่อในระดับปวส. ก็ได้ เพียงแต่ต้องย้ายไปเรียนที่สาขาเล็กย่านชานเมืองเพราะสาขาหลักที่ตั้งอยู่ตรงข้ามโรงเรียนฉันมีถึงแค่ปวช. เท่านั้น ในทุกๆ ปีศิษย์เก่าที่เพิ่งจบไปจากสาขานี้จะกลับมารวมตัวกันในช่วงต้นเทอมหนึ่งเพื่อทำการสัมภาษณ์ผู้สมัคร ‘คิง (King)’ คนใหม่ของวิทยาลัย ซึ่งจะมีการบันทึกวิดีโอเอาไว้เพื่อนำไปเผยแพร่ลงเพจให้ทุกคนใช้ประกอบการตัดสินใจก่อนการลงคะแนนจริงในอาทิตย์ถัดมา เทียบได้กับการเลือกตั้งประธานนักเรียนของสายสามัญนั่นแหละ แต่ของที่นี่จะเลือกกันหลังเปิดเทอมใหม่มาแล้วหนึ่งเดือนเพื่อรอให้เด็กปี 1 คุ้นชินกับชีวิตในรั้ววิทยาลัยก่อนและจะให้สิทธิพิเศษแก่ศิษย์เก่าในการครีเอตวิธีการสัมภาษณ์ได้อย่างอิสรเสรี เพราะถือว่าคิงเป็นเรื่องของนักเรียนไม่ใช่ครู
จากคำบอกเล่าของชาวแก๊งกากเกลื้อนทำให้ฉันเผลอจินตนาการไปไกลว่ามันจะต้องโหด ดิบ เถื่อนและบ้าดีเดือดมากๆ ตามสไตล์เด็กช่างอาชัญ จนกระทั่งวันที่อดีตคิงคนล่าสุดผู้เป็นลูกค้าขาประจำของร้านฉัน มาชวนให้ฉันกับไอ้แป๋วไปช่วยใส่ชุดผีแกล้งให้ผู้สมัครตกใจเล่นนั่นแหละ ฉันถึงได้รู้ว่าวิธีคัดเลือกคิงของเด็กช่างอาชัญมันโคตรติงต๊อง!
‘ถ้าหลอกสำเร็จพี่ให้เลยหัวละสองร้อย ทำให้คนไหนร้องไห้ได้เอาโบนัสไปอีกหัวละร้อย มีกฎง่ายๆ ข้อเดียวคือต้องปิดเรื่องนี้เป็นความลับ สนใจป้าว’
ตอนแรกมีแค่มนุษย์หิวเงินอย่างไอ้แป๋วเท่านั้นที่ตอบตกลง แต่พอรู้จากชาวแก๊งว่าพี่ทิวก็ลงสมัครคิงกับเขาด้วย มนุษย์บ้าผู้ชายอย่างฉันก็เปลี่ยนใจเซย์เยสทันที ก็ฉันไม่ได้เจอหน้าเขามาสองวันเต็มๆ แล้วนี่นา อานุภาพความคิดถึง (แฟนชาวบ้าน) บีบให้ฉันต้องสละเวลาอันมีค่าในวันเสาร์มานั่งแต่งผีกับไอ้แป๋วอยู่หลังหอประชุมของวิทยาลัยช่างอาชัญ ดีนะที่วันนี้ป๋ามีธุระ (เดต) กับครูวันเพ็ญเลยปิดร้านตั้งแต่บ่ายโมง ไม่งั้นฉันคงปลีกตัวมาทำอะไรไร้สาระแบบนี้ไม่ได้แหงๆ
หลังจากใช้เวลาแปลงโฉมเกือบสองชั่วโมง ผีสาวสองตัวก็พร้อมปฏิบัติหน้าที่ ฉันอยู่ในชุดรุ่ยร่ายสีขาวโพลน สวมวิกผมยาวเฟื้อยจนเกือบจะเช็ดตูดได้ ใบหน้าเต็มไปด้วยมาสคาร่ากับลิปสติกสีเลือด ส่วนไอ้แป๋วกลายร่างเป็นผีไทยหน้าจีนที่มีแขนปลอมห้องต่องแต่งอยู่ข้างลำตัว มันเอาตุ๊กตาเด็กจากไหนก็ไม่รู้มาอุ้มไว้ด้วย อินเนอร์แรงมากจนฉันเผลอสะดุ้งทุกทีที่หันไปสบตามัน เพื่อนฉันควรเอาดีทางนี้อ่ะพูดเลย หน้าที่ของเราสองคนคือต้องโผล่ออกมาจากหลังม่านตอนที่กรรมการกำลังสัมภาษณ์ผู้สมัครคิงซึ่งปีนี้มีทั้งหมด 17 คน (จะเยอะไปไหน!) สองคนในนั้นคือพี่ทิวสุดหล่อกับเฮียวุ้นเส้น เอ้ย! เฮียต๋า พี่บี๋บอกว่าเพื่อนหน้าน้ำแข็งของเธอไม่ได้สนใจตำแหน่งนี้หรอก แต่โดนพี่ธีมแกล้งลงชื่อให้แล้วพวกรุ่นพี่ไม่อนุญาตให้ถอนตัว เขาเลยต้องฝืนใจมาสัมภาษณ์ ได้ยินแบบนั้นแล้วความขลังของตำแหน่งคิงในสายตาคนนอกอย่างฉันก็ยิ่งลดลงฮวบฮาบจนแทบจะติดลบ นี่มันการคัดเลือกผู้นำสูงสุดของวิทยาลัยไม่ใช่รึไง ไหงเอามาเล่นตลกขำขันกันแบบนี้ฟะ
เวลาสองทุ่มเศษๆ ไฟทุกดวงในหอประชุมถูกสับสวิตช์ลงเหลือเพียงสปอตไลต์สีส้มสลัวกลางเวที แอร์เย็นเฉียบประหนึ่งห้องดับจิตกับควันสีขาวจากน้ำแข็งแห้งใต้เวทีขับให้บรรยากาศดูน่าสะพรึงกลัวแบบเดียวกับในหนังสยองขวัญ หลังผ้าม่านกำมะหยี่สีทึมเทาบนเวทีคือที่อยู่ชั่วคราวของผีรับจ้างสองตัว ฉันกับไอ้แป๋วผลัดกันโผล่หัวโผล่ตัวออกมาจากหลังม่านตามสัญญาณที่สตาฟฟ์ส่งให้ คลาน กระถด กลิ้ง กระโดด วนๆ อยู่อย่างนั้นจนหมดมุกและหมดแรง บ้างก็หลอกสำเร็จบ้างก็แป้กอย่างน่าผิดหวัง โดนหลอกกลับยังมีอ่ะคิดดู แต่ลองคำนวณรายรับคร่าวๆ ถึงเหยื่อคนล่าสุด ฉันน่าจะได้ค่าขนมไม่ต่ำกว่าสองพันแล้วล่ะ คุ้มอยู่นะ หุหุ
“ข้างในพร้อมแล้ว บอกให้เบอร์สิบหกเข้ามาได้เลย”
สตาฟฟ์หน้าโฉดวางสายได้ไม่ถึงครึ่งนาที ร่างสูงโปร่งของเฮียต๋าในเสื้อเชิ้ตสีฟ้ากับกางเกงขาเต่อสีดำสไตล์คุณชายก็ผลักประตูหอประชุมเข้ามา เชื่อไหมว่านอกจากนี่จะเป็นการเจอกันครั้งแรกในรอบ48 ชั่วโมงแล้ว ยังเป็นครั้งแรกๆ ที่ฉันเห็นเฮียต๋าฉายเดี่ยวด้วย ฉันว่าเขาเป็นผู้ชายที่แต่งตัวขึ้นทีเดียวล่ะ พอใส่ชุดไปรเวทสะอาดเนี้ยบมาเดินคนเดียวแบบนี้แล้วอย่างกับคนละคนกับตอนใส่เสื้อช็อปเดินรวมกับชาวแก๊งกากเกลื้อนเลยแฮะ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงเส้นคงวาคือความเงียบเสมือนไร้ตัวตนนั่น ขนาดสตาฟฟ์ผู้หญิงที่เต๊ะขรึมมาตลอดทั้งเย็นยังเผลอสะดุ้งตอนเขาเดินผ่านราวกับเพิ่งสังเกตเห็นเขายังไงยังงั้น แต่แหม พอสังเกตเห็นปุ๊บก็จ้องไม่วางตาเลยนะ นั่น คนนั้นแอบหยิบมือถือขึ้นมาแชะรูปด้วย ไม่เก็บอาการกันเลยนะจ๊า
อันที่จริงฉันควรจะได้คิวหลอกผีพี่ทิวซึ่งเป็นผู้สมัครคนสุดท้าย แต่ไอ้แป๋วที่กินส้มตำเป็นมื้อเที่ยงดันมาท้องเสียซะก่อน ฉันเลยต้องควบสองช่วยมันหลอกเฮียต๋าด้วย ฉันหุบม่านแล้วรอจนได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้จึงค่อยๆ แหวกม่านอีกครั้งเพื่อจับตาดูสถานการณ์ หลังจากเฮียต๋าแนะนำตัวเสร็จ กรรมการสัมภาษณ์ก็ยิงคำถามจริงจังใส่ไม่ยั้ง แต่ด้วยความที่เขาตอบสั้นมาก (เกินไป) ตามประสาคนพูดน้อยที่ถูกบังคับให้มาสมัคร คำถามที่เตรียมไว้จึงหมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่ถึงสองนาที เดือดร้อนพวกกรรมการต้องหาเรื่องชวนเขาคุยเรื่อยเปื่อยเพราะไม่อยากให้คลิปของเบอร์ 16 มันสั้นผิดปกติ เบอร์อื่นมัน5 นาทีขึ้นทั้งนั้นไง
และเรื่องเรื่อยเปื่อยของพวกผู้ชายก็หนีไม่พ้นกีฬาสุดฮิตอย่างฟุตบอล
“ปกติดูบอลลีกไหน”
“…”
“มาดผู้ดี๊ผู้ดีแบบนี้ ดูพรีเมียร์ลีกอังกฤษชัวร์” ถึงฉันจะไม่ค่อยเข้าใจความเชื่อมโยงของคำชมกับคำถาม แต่นาทีนี้ต้องยอมรับจริงๆ ว่าสิ่งที่ถูกแช่แข็งอยู่บนใบหน้าของเฮียต๋ามันไม่ใช่ความขี้เหร่ และหากพิจารณาหู ตา จมูก ปากประกอบกับผิวพรรณและฐานะทางบ้าน คำว่าผู้ดีก็เข้ากับเขาทีเดียว “ขอเดาว่าไม่ใช่เด็กหงส์แหงๆ เพราะช่วงนี้เด็กหงส์มันต้องปากดีๆ โม้หนักๆ”
เฮียต๋าไม่หือไม่อือ แต่ฉันอยากให้เขาเป็นตัวแทนหมู่บ้านไปตันหน้าไอ้กรรมการปากเปราะคนนั้นมากกว่า กล้าดียังไงมาว่าเด็กหงส์ขี้โม้อ่ะ พวกเราก็แค่พูดไม่หยุดว่าทีมเราเป็นแชมป์ยุโรปปีล่าสุดแค่นั้นเอ๊ง! ก็มันคือเรื่องจริงนี่!
“อ้าว เงียบ หรือว่าไม่ชอบสไตล์บอลอังกฤษ ชอบรุกดุๆ แบบบอลสเปนเหรอ”
เฮียต๋าส่ายหน้า
“งั้นก็สายตั้งรับ เน้นอุดแบบอิตาลี”
ส่ายหน้าอีกครั้ง
“อ๋อ ชอบทีมเวิร์คส่งบอลสวยๆ แบบเยอรมันนี่เอง”
และอีกครั้ง
“งี้ก็น่าจะเหลือแค่บอลไทยดิ เป็นพวกชาตินิยมเหรอเรา”
“ผมไม่ชอบดูบอลเลยไม่ได้ตามลีกไหนเป็นพิเศษ”
ฉันเลิกคิ้วสูงเป็นสะพานโค้งราวกับได้ยินป๊อบอายพูดว่าไม่ชอบกินผักโขม และไม่ได้มีใจให้โอลีฟเป็นพิเศษ
เกิดเดดแอร์เกือบหนึ่งนาทีราวกับกรรมการทุกคนยังไม่เก็ตคำตอบของเขา เออ ฉันก็ไม่เก็ต ขออนุญาตสงสัยตัวโตๆ เลยว่าคนที่ใส่เสื้อลิเวอร์พูลมานั่งติดหน้าจอที่ร้านทุกคืนที่ทีมมีแข่งอย่างเฮียต๋า สามารถพูดคำว่า‘ไม่ชอบดูบอล’ ออกมาได้อย่างเต็มปากเต็มคำแบบนั้นได้ยังไง หรือเขาแค่ขี้เกียจตอบคำถามเลยตัดบทด้วยวิธีนี้
“ถ้าสัมภาษณ์จบแล้ว ผมขอ…”
ปึง!
กรรมการคนเดิมแกล้งตบโต๊ะเสียงดังลั่นเมื่อเห็นเฮียต๋าตั้งท่าจะลุกขึ้นจากที่นั่ง พร้อมกันนั้นพี่ผู้ชายอีกคนก็ส่งซิกให้ฉันทำงาน ฉันไม่รอช้า รีบแหวกม่านออกแล้วยื่นหน้าออกไปหมายจะทักทายแบบกุ๊กกู๋ใส่เฮียต๋า ทว่ามันเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาเอี้ยวตัวมามองด้านหลังพอดี ซึ่งมันไม่ใช่การเอี้ยวเนิบๆ เหมือนคนเล่นโยคะ
ขวับ!!
แต่เป็นการเอี้ยวอย่างกระชับฉับไวและหนักหน่วงพอๆ กับผู้นำเต้นแอโรบิกศาลากลาง!
ผัวะ!!
ข้อศอกแข็งโป๊กกระแทกเข้ากับโหนกแก้มขวาของฉันอย่างแรงจนรู้สึกชาวาบไปทั่วทั้งหน้า แต่คนที่น่าจะเจ็บกว่าคือเฮียต๋า เพราะเขาสะดุ้งหงายหลังตกเก้าอี้ดังโครมทำให้ความตกใจย้ายมาอยู่ที่ฉันเทน พอฉันจะคลานเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง เขาก็หลับตาแน่นแล้วถอดกรูดติดขอบเวที ฉันเกรงว่าเขาจะตกลงไปจึงชะงักอยู่กับที่แล้วยกสองมือขึ้นแสดงความบริสุทธิ์
“ใจเย็นๆๆ อันนี้คนจริงๆ นะเว้ย ไม่ใช่ผี!”
“…”
“จริงๆ นะ”
“…” เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นแต่ยังคงหายใจหอบและมีท่าทีหวาดระแวงเหมือนเด็กอนุบาลที่เพิ่งตื่นจากฝันร้าย
ฉันคงจะระเบิดหัวเราะไปพร้อมกับสตาฟฟ์คนอื่นๆ แน่ ถ้าเขาไม่ผลุนผลันลุกขึ้นแล้วตั้งท่าจะทุ่มเก้าอี้ใส่ฉัน คนทั้งหอประชุมร้องห้ามเป็นเสียงเดียวในขณะที่ฉันรีบมุดกลับเข้าไปลี้ภัยหลังม่าน ดีนะที่เจ้าตัวไม่ตามมาซ้ำ ทำแค่เหวี่ยงเก้าอี้ลงเวที สบถคำหยาบสองสามคำแล้วเดินตึงตังออกจากหอประชุมไปเลย ตอนนี้นี่เองที่ฉันลืมเจ็บแล้วปล่อยก๊ากออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ เพราะใบหน้าเหวอแตกของเฮียมันยังแจ่มชัดอยู่ในหัว วะฮ่าๆ สะใจเป็นบ้า! เหมือนได้แก้แค้นที่เขาเกรี้ยวกราดใส่ในคืนนั้นเลยอ่ะ!
พี่ๆ สตาฟฟ์กรูเข้ามาถามไถ่อาการฉันด้วยความห่วงใย แต่ฉันยืนกรานทั้งน้ำตาว่ายังไหวและขอพักห้านาทีก่อนจะทำงานต่อให้จบ ก็ผู้สมัครที่เหลืออยู่คนสุดท้ายคือเหตุผลข้อเดียวที่ฉันตกลงรับงานนี้เลยนี่ ต่อให้เมื่อกี้โดนเก้าอี้ฟาดกบาลหรือต้องเจ็บตัวมากกว่านี้ก็ไม่คิดจะเทอย่างเด็ดขาด!
“ฟานพร้อมแล้วพี่”
“แน่ใจว่าไหวนะ เมื่อกี้โดนลูกหลงด้วยไม่ใช่เหรอ”
ฉันลองคลำหน้าตัวเองดู ถึงจะปวดระบมพอตัวแต่ไม่มีเลือดตกยางออกก็ถือว่าโอเค ไว้ลบเมคอัพออกแล้วค่อยเช็กอีกรอบแล้วกัน
“ไหวๆ สบายมากพี่”
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วผู้สมัครคนสุดท้ายก็ถูกเรียกตัวเข้ามาในหอประชุม พี่ทิวในเสื้อยืดคอวีสีดำกับกางเกงยีนสามส่วนสีซีด เดินคีบแตะเข้ามาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เขาชำเลืองมองเวทีแวบหนึ่งก่อนจะหันกลับไปยกมือไหว้กรรมการทุกคนอย่างนอบน้อมแต่ก็ดูสนิทสนมกันอยู่ในที จากนั้นจึงชูสองนิ้วขี้เล่นให้กล้องที่สตาฟฟ์ผู้หญิงแอบถ่ายก่อนจะเดินขึ้นมานั่งประจำที่บนเวที แล้วการสัมภาษณ์คิงคนสุดท้ายที่ให้ความรู้สึกเป็นกันเองเหมือนนั่งคุยกันชิลล์ๆ ในร้านกาแฟก็เริ่มต้น
นี่ไม่ได้จะอวยกันนะ แต่ถ้าตัดเบอร์9 ที่กรรมการพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นตัวเต็งออกไป ฉันว่าพี่ทิวก็มีลุ้นเหมือนกันเพราะเขาตอบคำถามดีที่สุดในบรรดาผู้สมัครทั้งหมด ทุกคำตอบของเขาจริงจังและจริงใจ ทั้งยังรู้จักยิงมุกกวนๆ เป็นระยะๆ จึงสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้คนฟังได้ไม่ยาก ฉันเองก็ยังนั่งฟังหูห้อย เพลิดเพลินกับทุกถ้อยคำจนสตาฟฟ์ต้องส่งสัญญาณให้ถึงสามครั้ง ฉันถึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีภารกิจสำคัญที่ต้องทำ
เร็วเท่าความคิด ฉันคลานไปจิ้มข้อเท้าของพี่ทิวเต็มแรง กะว่าเขาจะต้องสะดุ้งตกเก้าอี้เหมือนเฮียต๋าแน่ๆ แต่ผิดคาด! เขานั่งนิ่งราวกับเส้นประสาทตรงข้อเท้าไม่ทำงาน ฉันเลยเปลี่ยนไปจิ้มอีกข้างแต่ก็ให้ผลลัพธ์ไม่ต่างกัน จึงเพิ่มแรงกดให้มากขึ้น มากขึ้น จนกระทั่ง…
เพียะ!
!!!
ฉันหดแขนกลับมาก่อนที่จะถูกพี่ทิวตีซ้ำ เห็นเจ้าตัวทำแค่เกาข้อเท้าเบาๆ ก็นึกสงสัยว่าเขารู้ตัวว่าถูกแกล้งหรือเชื่อว่ายุงกัดจริงๆ กันแน่ แต่ยังไม่ได้คำตอบสตาฟฟ์ก็ส่งซิกให้ฉันลุยต่อ ฉันจึงต้องลุกขึ้นยืนเต็มส่วนสูงหมายจะแกล้งบีบคอเหยื่อแล้วเขย่าอย่างบ้าคลั่ง เล่นใหญ่ปิดท้ายไปเลยให้รู้แล้วรู้รอด ทว่า…
วืด…
ฉันคว้าได้เพียงฝุ่นละอองในอากาศ เพราะจู่ๆ พี่ทิวที่กำลังตอบคำถามก็โยกตัวหลบอย่างคล่องแคล่วราวกับมีตาหลัง แวบแรกฉันคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่พอเขาตอบคำถามเสร็จแล้วหันกลับมาฉีกยิ้มให้จนตาหยี ฉันก็ถึงกับไปไม่เป็น
“แฮ…”
“ครับ?”
“…แฮ่!” ฉันยังคงหน้าด้านแลบลิ้นปลิ้นตาใส่หวังให้เขาตกใจสักนิดก็ยังดี แต่คนถูกหลอกกลับทำแค่มุ่นคิ้วนิดๆ ก่อนจะหมุนเก้าอี้มาหาแบบเต็มตัว
“เห็นหลังคุ้นๆ ก็นึกอยู่ว่าใคร”
“ฮะ?”
“ใส่ชุดกับวิกนั่นมาตั้งแต่เย็นแล้ว ไม่ร้อนเหรอ”
ฉันอ้าปากค้างเพราะยังจูนไม่ติด ตั้งหลักได้ก็รีบมุดม่านกลับเข้าหลังเวทีทันที แต่พี่ทิวก็ยังไม่วายยื่นแขนมาแหวกม่านเรียกด้วยน้ำเสียงปกติ เหมือนเราแค่บังเอิญเจอกันบนท้องถนนยังไงยังงั้น
“เดี๋ยวดิฟาน”
“มะ…ไม่ใช่!”
“ไม่ใช่อะไรล่ะ ออกมานี่เร็ว”
อ๊ากกก! อยากจะบ้าตาย เรื่องที่เขาบังเอิญเห็นคนใส่ชุดประหลาดๆ ในวิทยาลัยของตัวเองน่ะไม่เท่าไร แต่ไอ้เรื่องที่จำฉันได้ทั้งที่อยู่ในสภาพเน่าๆ แบบนี้นี่สิ มหัศจรรย์มาก! มากจนฉันรู้สึกอายขึ้นมาดื้อๆ เลยล่ะ ฮือออ
“อะๆ มาหลอกใหม่ก็ได้มา เดี๋ยวเราแกล้งตกใจให้ เอาแบบสองร้อยหรือสามร้อยดี” โอ๊ย รู้อีก รู้ได้ไง สตาฟฟ์คนไหนเป็นหนอนบ่อนไส้ฮะ! “ออกมาเร็ว เราพร้อมแล้ว”
“พร้อมอะไรเล่า!”
“พร้อมให้ผีหลอกไง มาเร็ว”
“มันไม่ทันแล้วพี่!”
พี่ทิวหัวเราะอย่างเริงร่าเมื่อฉันเอาแขนปลอมที่ไอ้แป๋วทิ้งไว้ไปฟาด ไม่ได้ตีที่เขาทำฉันชวดเงินนะ แต่ตีที่เขาไม่หยุดยิ้มสักทีต่างหาก ฮือออ คนเราเกิดมาหล่อแล้วจะต้องมีรอยยิ้มน่ารักแบบนี้ไปทำไมอ่ะ พระเจ้าใช้วัตถุดิบสร้างมนุษย์คนนี้ได้สิ้นเปลืองมากเลยรู้ตัวไหม ทำใจฉันบางแล้วบางอีกจนแทบจะปลิวไปตามลมอยู่เเล้วเนี่ย!
การสัมภาษณ์คิงคนสุดท้ายจบลงแบบวุ่นๆ งงๆ และโคตรแป้ก เมื่อสตาฟฟ์รับรู้กันถ้วนหน้าว่าภารกิจเหลวเป๋ว พวกเขาก็แยกย้ายไปช่วยกันเคลียร์ของก่อนที่น้ายามจะมาปิดหอประชุมตอนสี่ทุ่มครึ่ง พี่ทิวคุยกับรุ่นพี่เสร็จแล้วเดินตามฉันมาถึงหลังเวที เห็นฉันอยู่คนเดียวจึงเอาแขนปลอมมาสะกิดถาม
“กลับบ้านยังไงอ่ะ”
ฉันดึงแขนบ้านั่นคืนมา “เดินสิถามได้ บ้านก็อยู่ตรงนี้เอง”
คือซอยบ้านฉันมันอยู่ตรงข้ามกับวิทยาลัยไง ข้ามถนนแล้วเดินตรงไปไม่กี่นาทีก็ถึงแล้ว อยู่ติดกับเซเว่นด้วย ทางเดินสว่างเจิดจ้าตลอดทั้งคืนเลยล่ะ
“ดึกแล้วนะ จะเดินคนเดียวเหรอ”
“ไม่ต้องห่วงๆ”
“ได้ไงล่ะ ต้องห่วงสิ ฟานอยากได้คนไปส่งไหม”
คำถามนั้นสะท้อนกึกก้องอยู่ในหู อยากจะพยักหน้าแรงๆ แล้วตะโกนออกไปว่า‘แต่งค่ะ!’ เอ้ย‘อยากได้ค่ะ!’ แต่เพลงความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดีที่เคยร้องสมัยเรียนเนตรนารีดึงสติฉันไว้เสียก่อน ใครเป็นคนแต่งวะถามหน่อย หลอนหูยาวนานขนาดนี้เอารางวัลโกลเดนดิสก์อวอร์ดสาขาประเทศไทยไปเลยเหอะ
“ไม่เป็นไรพี่ทิว ฟานมีไอ้แป๋วเดินเป็นเพื่อน” แล้วฉันก็ต้องขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งมันที่บ้านอีกที
พี่ทิวทำหน้างงเล็กน้อย แต่หลังจากที่ฉันบอกว่าไอ้แป๋วก็รับจ็อบนี้เหมือนกันแต่มันแค่หายไปทิ้งระเบิด เขาก็ร้องอ๋อออกมาทันที
“เราว่าฟานโดนเทแล้วล่ะ”
“หือ?”
“ก็เราเห็นผีสไบตัวนั้นซ้อนท้ายหนุ่มหล่อกลับไปตั้งนานแล้วนี่”
“หา!?” พอฉันหยิบมือถือขึ้นมาเช็กไลน์ก็พบกับข้อความสารภาพบาปของยัยเพื่อนทรยศ ไหนบอกว่าขี้แตกไง หนีไปกับผู้ชายแล้วปล่อยให้เพื่อนเดินกลับบ้านคนเดียวดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้คืออะไรฮะ! ฉันรัวนิ้วพิมพ์คำด่ายาวเหยียดด้วยความเคียดแค้นชิงชัง แต่ยังไม่ทันกดส่ง…
“ทีนี้อยากได้คนไปส่งรึยัง”
…ข้อความทั้งหมดถูกลบทิ้ง และไอ้แป๋วก็ได้เลื่อนขั้นจากเพื่อนทรยศเป็นเพื่อนสุดประเสริฐทันที
ฉันเตรียมพ่นคำว่าอยากได้ออกไป แต่ต้องยั้งปากเอาไว้เพราะเมื่อกี้ได้ยินพวกรุ่นพี่ชวนพี่ทิวไปเที่ยวต่อและเขาก็ตอบตกลงไปเรียบร้อยแล้วด้วย
“ว่าไงครับ”
“ก็อยากแหละ แต่ถ้าคนนั้นไม่ว่างก็ไม่อยากรบกวน”
“ไม่รบกวนหรอก ยังไงก็ไปทางเดียวกันอยู่แล้ว เก็บของเสร็จแล้วไปรอข้างตึกนะ เดี๋ยวมีคนไปรับ”
ฉันพยักหน้าหงึกหงักด้วยท่าทางกระมิดกระเมี้ยนเกรงใจ แต่ร่างแรดภายในคือตีลังกากรี๊ดสี่ตลบไปเรียบร้อยแล้ว ฉันส่งสติ๊กเกอร์กอดแนบแน่นไปให้ไอ้แป๋วรัวๆ จากนั้นก็หอบสัมภาระของตัวเองไปยังห้องน้ำเพื่อลบเมคอัพแล้วเปลี่ยนชุดด้วยความเร็วแสง ที่จริงฉันกลับชุดนี้เลยก็ได้ แต่มันไม่น่ารักอ่ะ จะได้เป็นสก๊อยซ้อนท้ายผู้ที่ปลื้มทั้งที ต้องไม่ใช่ชุดผีเฟ้ย!
สิบนาทีต่อมา
ลานกว้างข้างหอประชุมแทบจะร้างไร้ผู้คนตอนที่ฉันเดินไปถึง แอบเห็นไวๆ ว่ามีรถของใครบางคนจอดรออยู่ข้างเสาไฟ จึงติดปีกบินไปหาด้วยใบหน้าแช่มชื่นราวกับถูกล็อตเตอร์รี่รางวัลที่หนึ่ง ทว่า…
คนที่ยืนพิงรถเล่นมือถืออยู่กลับไม่ใช่ชายในฝันของฉัน จริงๆ ก็ใช่นั่นแหละ แต่เป็นฝันร้ายน่ะนะ
เฮียต๋าเงยหน้าขึ้นมาจากจอไอโฟนทันทีที่เงาของฉันทอดลงบนตัวเขา ต่างคนต่างจ้องกันนิ่งงันจนกระทั่งดวงตายาวเรียวเลื่อนมายังถุงใส่ชุดผีในมือฉัน เขาก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วเอนตัวนิดๆ เพื่อให้แสงจากเสาไฟตกกระทบลงบนหน้าฉัน พนันได้เลยว่าตอนนี้เขาต้องเห็นรอยช้ำจ้ำใหญ่บนโหนกแก้มของฉันแน่ๆ เพราะฉันล้างเครื่องสำอางหมดเกลี้ยงแล้ว
“นี่เธอ…”
นี่เธอเองเหรอที่ทำฉันตกใจกรี๊ดจนเกือบตกเวที
เห็นคนปากน้อยเงียบไปเหมือนหมดโควตาพูด ฉันจึงแกล้งต่อประโยคให้ในใจและพยักหน้าตอบให้ด้วยเสร็จสรรพ แล้วฉันก็หลุดยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้เพราะเหตุการณ์ในหอประชุมกำลังรีเพลย์อยู่ในหัว ไม่ใช่ว่าไม่เจ็บนะที่โดนตีศอกใส่หน้าจังๆ แบบนั้นอ่ะ แต่หลังจากที่อดีตคิงโอนค่าจ้างเข้าบัญชีโดยให้ทิปเพิ่ม 500 บาทสำหรับรีแอคชั่นฮากระจายของผู้สมัครเบอร์16 ฉันก็ไม่รู้สึกเจ็บแผลบนโหนกแก้มอีกเลย
ไอ้ที่เจ็บน่ะคือเรื่องนี้ต่างหาก…
“ทำไมเฮียมายืนตรงนี้คนเดียวอ่ะ ไม่กลัวผีหลอกไง้”
“…”
“ล้อเล่นน่าล้อเล่น พี่ทิวบอกให้เฮียมารอชะ”
เฮียต๋าพยักหน้า
ฉันถอนหายใจออกมายาวเหยียดเมื่อสิ่งที่คิดไว้เป็นเรื่องจริง คำพูดของพี่ทิวก่อนแยกกันมันไม่ได้กำกวมอะไรหรอก ฉันนี่แหละที่คิดเองเออเองไปคนเดียวว่าเขาอาสาจะไปส่งบ้าน เฮ้อ คนมีความรักมักจะชอบหลับหูหลับตามโนไปเองแบบนี้บ่อยๆ สินะ แต่พี่ทิวก็เหลือเกิ้น ไม่อยากเทนัดรุ่นพี่ก็ปล่อยฉันกลับเองสิ ทำไมต้องเรียกเพื่อนหน้าน้ำแข็งคนนี้มาทำหน้าที่แทนด้วยอ่ะ เขาน่าจะดูออกไม่ใช่เหรอว่าฉันไม่สนิทกับเฮียต๋า ขนาดเฟยยังเคยถามเลยว่าฉันเกลียดเพื่อนมันรึไงถึงชอบทำตาขวางใส่อยู่เรื่อย ซึ่งฉันก็ได้แต่ยิ้มแล้วกัดฟันตอบไปว่า‘บร้า คิดม้าก ไม่ได้เกลี้ยด’
“…”
“…?”
แล้วนี่ คุณพี่คนที่ฉันเกลียดนะแต่ห้ามแสดงออกจะยืนจ้องหน้าฉันอีกนานไหม ฮัลโหล หลับในไปแล้วเรอะ ฉันโบกมือไปมาตรงหน้าเฮียต๋า แต่เจ้าตัวก็ทำแค่กะพริบตาหนึ่งครั้ง ปัดมือฉันออกแล้วยืนนิ่งเป็นอนุสาวรีย์น้ำแข็งต่อไป พี่ทิวไม่ได้บอกเฮียต๋าแหงๆ ว่าคนที่เขาต้องมารอส่งคือเด็กบ้าที่เขาแสนจะรำคาญ คนที่ไม่ยอมใส่วุ้นเส้นให้ลูกค้าประจำอย่างเขา แถมยังเป็นคนเดียวกับผีรับจ้างที่ทำเขาตกเก้าอี้ต่อหน้าสาธารณชนด้วย เพราะไม่อยากทู่ซี้ฝืนใจคนฉันเลยตั้งท่าจะเดินกลับบ้านเอง แต่คิดไปคิดมาไม่เอาดีกว่า ไม่ใช่ว่าไม่กล้าเดินคนเดียวนะ แถวนี้น่ะถิ่นฉันและมันไม่ค่อยเกิดอาชญากรรมอะไรอยู่แล้ว แต่ในเมื่อมีหนทางที่สบายกว่ารออยู่คนเราจะเหนื่อยไปทำไมอ่ะ ตัดสินใจแน่วแน่แล้วจึงปีนขึ้นไปนั่งบนรถทั้งที่เจ้าของยังไม่อนุญาต พอเขามองมาเหมือนจะโวยวาย ฉันก็ชิงอ้อนตัดหน้าซะเลย
“ขอฟานกลับด้วยคนนะเฮีย”
“…”
“น่านะ รู้ว่าเฮียไม่ได้อยากไปส่งฟาน ฟานเองก็ไม่ได้อยากรบกวนเฮียหรอก แต่อย่างน้อยบ้านเราก็ไปทางเดียวกันนะ เฮียคิดซะว่าแวะทิ้งขยะหน้าบ้านฟานก่อนกลับบ้านตัวเองก็ด้ะ ฟานหนักนิดเดียวเอง ของก็น้อย ไม่กินน้ำมันหรอก”
“…”
“มาเถอะน่า ดึกแล้วนะ ไม่ง่วงไง้” ฉันแกล้งอ้าปากหาวพลางตบเบาะเรียกย้ำๆ กว่าเขาจะขยับตัวก็เล่นเอาขากรรไกรแทบค้าง ลีลาอีกนิดจะฉกกุญแจมาขับเองแล้วนะเฟ้ย
“ไม่ได้พูดคำนั้นซักคำ”
“หือ? คำนั้นไหน”
แม้ว่าหน้าฉันจะเต็มไปด้วยเครื่องหมายเควสชั่นมาร์คแต่เฮียต๋าก็ไม่คิดจะขยายความให้ เขาดึงถุงพร็อพในมือฉันไปแขวนแทนที่หมวกกันน็อคใบเขื่องซึ่งมีอยู่ใบเดียว เอาหมวกมากระแทกพุงฉันเบาๆ บอกนัยๆ ให้ฉันเป็นคนใส่ จากนั้นจึงก้าวขาคร่อมรถอย่างทุลักทุเลเพราะมีเด็กไร้มารยาทอย่างฉันนั่งเกะเกะอยู่ รู้ตัวนะแต่ไม่ลงหรอก ก็คนมันขี้เกียจปีนขึ้นปีนลงบ่อยๆ นี่ รถบ้าอะไรก็ไม่รู้ สูงอย่างกับรถถัง!
…
5 นาทีคือเวลาเฉลี่ยที่ฉันใช้เดินทางกลับบ้าน แต่คืนนี้เฮียต๋าสร้างสถิติให้ใหม่ด้วยตัวเลข10 นาที!
นอกจากคุณชายจะขับรถช้าเป็นเต่าคลานและเงียบเป็นเป่าสากมาตลอดทางแล้ว เขายังทำให้ฉันต้องนั่งชั่งใจแล้วชั่งใจอีกว่าจะพูดขอบคุณหรือไม่พูดดี ซึ่งจิตใต้สำนึกส่วนดีก็สั่งให้ฉันเลือกอย่างแรก เพราะถึงสีหน้าท่าทางของเขาจะดูไม่ค่อยเต็มใจแต่อย่างน้อยๆ เขาก็พาฉันมาส่งถึงที่หมายอย่างปลอดภัย แถมยังตะแคงรถให้นิดๆ เพื่อให้เด็กขาสั้นอย่างฉันปีนลงได้อย่างสะดวกสบายขึ้นอีกด้วย เผลอคิดว่านี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่เราจะญาติดีกัน แต่หลังจากที่ฉันรับถุงพร็อพคืนมาและกำลังเอ่ยถ้อยคำที่แสนไพเราะออกไปนั้น…
“ขอบคุณที่มา…”
บรืนนนน!
รถความเร็วเต่ากลายร่างเป็นกระต่ายติดเทอร์โบแล้วทะยานจากไปอย่างเร็วจี๋ คำขอบคุณจึงถูกแทนที่ด้วยคำหยาบและนิ้วกลางที่ฉันชูขึ้นกลางอากาศ ฮึ่ย! รอฟังให้ครบประโยคก่อนมันจะตายไหมหาไอ้คนนิสัยไม่ดี! ฉันเขวี้ยงความคิดที่จะผูกมิตรกับเฮียต๋าทิ้งแล้วกลับเข้าบ้านด้วยอารมณ์เดือดปุดๆ แวะไปเคาะห้องบอกป๋าว่ากลับมาแล้ว ก่อนจะโทรไประบายความอัดอั้นตันใจให้ไอ้แป๋วฟังโดยไม่ลืมที่จะโยนความผิดทั้งหมดให้มันคนเดียวด้วย ยิ่งได้รู้ว่าหนุ่มหล่อที่มันซ้อนท้ายกลับบ้านคือเฟยฉันก็ยิ่งปรี๊ดแตก ขอชื่นชมที่เฮียมันพาเพื่อนฉันไปทิ้งระเบิดที่บ้านได้ทันเวลา แต่ในเมื่อไอ้แป๋วเล่าให้ฟังแล้วว่าเราสองคนไปรับจ็อบเป็นผี พี่ชายที่ดีก็ควรจะกลับไปรับน้องสาวด้วยไม่ใช่รึไง! ฉันหัวร้อนใส่เพื่อนเป็นชั่วโมงจนมือถือแบตฯ หมดจึงลุกไปอาบน้ำดับไฟบนหัว กะจะโทรไปบ่นต่อยาวๆ แต่แล้วแบตฯ ร่างกายที่เหลืออยู่ไม่ถึง1% ก็ทำให้ฉันสลบไสลทันทีที่หัวถึงหมอน
ทว่า…
ตึง! ตึง!
“อ้ายฟานนน~เปิดตูววว~”
เสียงถีบประตูห้องอย่างไม่ยั้งบาทาปลุกฉันจากฝันหวานในยามวิกาล ง่วงแค่ไหนก็ต้องลุกไปเปิดประตูให้พี่ชายมารยาททรามเพราะรู้ดีว่ามันคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แน่
“นี่มันตีสามแล้วนะเว้ย!”
ฟุ่บ!
เฟยที่ตัวคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้าโยนถุงอะไรก็ไม่รู้มาให้ จากนั้นก็เดินโซเซไปทางห้องนอนของตัวเองเหมือนหุ่นยนต์ใกล้พังที่ทำภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ฉันล่ะโคตรเกลียดที่มันติดเหล้า แต่เกลียดที่สุดคือร่างเมาอันแสนกวนส้นเท้าของมันที่ชอบมาเคาะห้องเรียกดึกๆ ดื่นๆ เพื่อฝากทิ้งขยะแบบนี้! ฉันซัดถุงบ้านั่นลงถังขยะ ก่นด่าพี่ชายไร้มารยาทของตัวเองในใจขณะเดินกระฟัดกระเฟียดกลับไปที่เตียง แต่ยังไม่ทันล้มตัวลงนอนเสียงตึงตังแบบเดิมก็ดังขึ้นอีก
“อะไรนักหนาวะเฟย! คนจะหลับจะนอน!”
“ถูงเมื่อกี้น่ะ…”
“โอ๊ย รู้แล้วน่า!”
“รู้วแร้วหรอ”
“เออ!”
“รู้วด้ายงาย อ้ายต๋าแปะโน้ตว้ายหรอ”
“หา เกี่ยวไรกับเฮียต๋าวะ”
“ก้อมานฝากมาห้ายงาย ฮื่อ หนายบอกรู้วแร้วๆ งายว้า ยายเดกเลี้ยงแพะ”
แกะไหมล่ะ! นี่ตั้งใจเล่นมุกหรือแค่โง่เฉยๆ
ฉันปัดมือมันออกจากแก้มตัวเองก่อนจะเดินไปเกี่ยวถุงใบนั้นขึ้นมาจากถังขยะ พอคลายหูหิ้วที่ถูกมัดเป็นปมออกแล้วก็พบว่าข้างในเต็มไปด้วยปลาสเตอร์ คูลเจล ถุงประคบร้อน ครีมลดรอยฟกช้ำ ยาแก้ปวดและอีกสารพัดยาที่ฉันไม่รู้สรรพคุณ แต่ถ้าเฮียต๋าเป็นคนฝากมาให้จริงๆ ก็ฟันธงได้เลยว่ามันต้องใช้กับแผลบนโหนกแก้มฉันได้แน่ๆ
แต่…ไอ้คนเย็นชาหน้าน้ำแข็งคนนั้นน่ะนะซื้อยามาให้ฉัน ไม่อยากจะเชื่อ!
“เฮ้ย ออกไปเลยนะเฟย!”
“ปายหนาย จานอน”
“กลับไปนอนห้องตัวเองสิ นี่! ห้ามขึ้นเตียงฟานนะเว้ย!”
ตุบ!
โอ๊ย ไม่ทันแล้ว ไอ้เฮียเฟยมันทิ้งตัวลงบนเตียงนอนหอมฟุ้งของฉันไม่พอ ยังมุดตัวเหม็นๆ เข้าไปในผ้านวมแล้วเหวี่ยงตุ๊กตาทุกตัวบนเตียงลงพื้นอย่างไม่ไยดีอีก ชอบเตียงโล่งๆ ก็กลับไปนอนเตียงตัวเองสิฟะ! ฉันพยายามลากตัวมันลงมาสุดแรงเกิด แต่พอมันโผล่หัวออกมาพ่นลมหายใจเคล้าน้ำลายเน่าๆ ใส่หน้าฉัน แข้งขาฉันก็อ่อนแรงลงทันที ไม่ได้เคลิ้มแต่เหม็นจนจะเป็นลมอยู่แล้วต่างหาก!
“อ้ายฟาน ฟู่ววว~”
ฉันรีบคว้าหมอนฟุตบอลมาเป็นโล่กำบัง กระโดดขึ้นไปบนเตียงแล้วง้างขาถีบเชื้อโรคตัวใหญ่รัวๆ “ลงไป๊!!”
“อ้ายฟาน อย่านู่งส้าน”
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยนะเว้ย ลงไปเดี๋ยวนี้!”
“พูดพร้อๆ ด้วย เปนผู้หญีงน่ะ ต้องพูดพร้อๆ แล้วก้อ…ทามตัวดีๆ กาบมานโหน่ย”
“มานคือคราย” เวร ติดสำเนียงคนเมา
“มานเปนโคนดี มานขาบโร้ดมาโส่งช้าน มานเปนเพื่อนช้าน แก…เอิ๊ก! อย่าแกล้งมานแบบน้าน วู่นเส้นมานแพงนักรื้องาย ส่ายห้ายมานด้วยเซ่!”
อ่ะ ฉันรู้แล้วว่าพูดถึงใครอยู่
“ขี้ฟ้องชะมัด”
“มานม่ายด้ายฟ้องซ้าโหน่ย ครายครายก้อรู้วว่าแกแกล้งมาน แกล้งมานทามมาย มานเปนโคนดี โคนดีของบ้านราว แกจาโตกนาโร้กน้าถ้าม่ายทามดีกาบมาน”
ฉันกลอกตามองเพดาน ฟังป๋าพูดเรื่องพวกนี้จนหูจะเปื่อยอยู่แล้ว นี่ยังต้องมาฟังพี่ชายพล่ามอีกคนด้วยเหรอ เฟยเห็นฉันจะกระโดดลงจากเตียงจึงพลิกตัวมากอดขาฉันแน่น
“ต่อปายนี้ช้านขอส่างห้ามแกแกล้งอ้ายต๋า”
“ปล่อย!”
“แกต้องทามตัวดีๆ กาบมาน”
“ปล่อยเซ่!”
“มานเปนโคนดี โคนดีของเฮีย แกช่วยทามดีกาบโคนดีของเฮียโหน่ยด้ายม้าย”
“…”
“ด้ายม้ายอ้ายฟาน เฮียขอล้องงง”
สรรพนามที่ไม่ได้ยินมานานทำให้ฉันหยุดดิ้นแล้วจ้องหน้าพี่ชายด้วยความประหลาดใจ
จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เฟยแทนตัวเองแบบนี้คือสมัยที่มันเรียนช่างปี 1 ส่วนฉันอยู่ม.2 ช่วงนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาจีบป๋าแบบไม่ออกสื่อและป๋าเองก็ดูเหมือนจะเปิดใจให้เธอไม่น้อย พอฉันจับได้ว่าป๋าแอบไปเดตกับเธอก็เกิดอาการนอยด์หนักมากถึงขั้นไม่ยอมพูดกับป๋าเป็นเดือนๆ เฟยรู้นิสัยขี้หวงของน้องสาวตัวเองดีกว่าใครเพราะเคยเห็นฉันอาละวาดใส่สาวๆ ที่เข้ามาวอแวป๋ามานับไม่ถ้วนแล้ว มันกลัวฉันตามสืบหาตัวเธอคนนั้นเจอแล้วแผลงฤทธิ์ใส่เหมือนคนอื่นๆ จึงพยายามตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการพูดโน้มน้าวใจฉันว่าการมีแม่ใหม่ไม่ได้เลวร้ายอะไร แล้วในที่สุดก็ลามไปถึงข้อตกลงที่ว่าเราสองคนจะไม่ก้าวก่ายเรื่องความรักของป๋าจนกว่าจะรู้แจ้งเห็นจริงว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนไม่ดี ทีแรกฉันก็ตั้งใจจะปฏิเสธหัวชนฝานั่นแหละ แต่เพราะเฟยไม่เคยขอร้องให้ฉันทำอะไรมาก่อน ทั้งสีหน้าแววตากับถ้อยคำที่มันใช้ในตอนนั้นก็สุภาพจริงจังเกินกว่าที่ฉันพูดคำว่าไม่ออกไป สุดท้ายฉันเลยตอบตกลงและทำตัวเป็นลูกสาวใจกว้างดั่งมหาสมุทรมาจนถึงปัจจุบัน
และเมื่อไม่นานมานี้ตอนที่ป๋าเผลอวางมือถือที่ไม่ได้ล็อกหน้าจอเอาไว้ในรัศมีเผือกของฉัน ฉันก็แอบเข้าไปส่องในห้องแชตที่แกปักหมุดไว้จนได้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือครูวันเพ็ญ น่าเสียดายที่ยังเผือกไปไม่ถึงไหนเฟยก็จับได้เสียก่อน มันจัดการตั้งรหัสล็อกหน้าจอกับรหัสเข้าแอพไลน์ให้ป๋าเสร็จสรรพ ทั้งยังขู่ด้วยว่าถ้าฉันทำแบบนี้อีกมันจะไม่ให้ฉันยืมเสื้อบอลใส่อีกแล้ว ไม่ว่าจะของแท้หรือของก๊อปก็ตาม และจะขนของสะสมลิเวอร์พูลของฉันไปเผาให้อาม่าอากงในวันเชงเม้งด้วย ฮึก! ไอ้พี่ชายใจหมา!
ที่เล่ามาทั้งหมดก็เพื่อจะขอพื้นที่สงสัยว่าเรื่องของเฮียต๋ามันมีความสำคัญเทียบเท่ากับเรื่องของป๋าเลยเหรอ เฟยถึงต้องมาขอร้องกันอย่างจริงจังขนาดนี้
“ทำดีกาบโคนดีของเฮียด้ายม้าย มานจาทามห้ายแกเปนโคนดีเหมียนกาน”
เฟยปรือตามองฉันแล้วพูดประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมาอย่างเว้าวอน ฉันก้มลงมองถุงใส่ยาในมืออย่างอ่อนใจแล้วในที่สุดก็เผลอครางอือออกมา ได้ยินดังนั้นคนเมาบนเตียงก็หัวเราะคิกคักพร้อมกับพึมพำว่า “ขอบจาย” สามสี่รอบก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยใบหน้าไร้กังวลราวกับเพิ่งยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอก แต่ดูเหมือนว่าภูเขาลูกนั้นจะย้ายมาอยู่ในใจฉันแทนนี่สิ
อยากรู้จริงๆ ว่าอะไรทำให้เฮียต๋ากลายเป็นคนดีของเฟย เอ๊ะ หรือมันแค่ก๊งเหล้าเยอะกว่าปกติก็เลยเพ้อเจ้อไปเรื่อย แต่ว่ากันว่าคนเมามักจะเปิดเผยความจริงที่ซุกซ่อนอยู่ในใจนี่ ฉันกอดอกจ้องคนบนเตียงด้วยความคลางแคลงใจอยู่อย่างนั้น จนในที่สุดความง่วงก็สั่งให้ฉันยอมแพ้แล้วอพยพตัวเองไปนอนห้องที่รกเหมือนรังหนูของเฟย
…โดยไม่ลืมที่จะทายาแก้ฟกช้ำที่ ‘คนดี’ ของมันซื้อให้ก่อนนอนด้วย
ความคิดเห็น