คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เพื่อนพี่ชาย 1 รวมพลคนกาก
1
รวมพลคนกาก
ชีวิต15 ปีของฉันมีความสุขดี สุขจนไม่น่าเชื่อว่ามีคนกากมากมายรายล้อมฉันอยู่
คนแรกคือป๋า หรือที่คนทั้งจังหวัดเรียกกันว่าเฮียฟ่ง ตี๋ใหญ่วัย 45 ปี ผู้เป็นทั้งพ่อบังเกิดเกล้าของฉันและเป็นเจ้าของร้านอาหารตามสั่งเล็กๆ ในซอยตรงข้าม ‘วิทยาลัยช่างอาชัญ’ วิทยาลัยช่างชื่อดังหนึ่งเดียวของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ก็โรงเรียนเก่าของป๋าแกนั่นแหละ แต่คงไม่มีใครคิดว่าศิษย์เก่าหน้าเถื่อนหุ่นหมีที่ไว้หนวดเฟิ้มสักเต็มแขนแบบเฮียฟ่ง จะมีใจรักการเข้าครัวควงตะหลิว แถมยังทำได้ดีจนทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มีใครไม่เคยลิ้มรสฝีมือเฮียฟ่งแล้วไม่กลับมากินซ้ำ พวกเด็กช่างอาชัญที่เป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ของร้านจึงชอบแซวว่าป๋าใส่กัญชาในข้าวลูกค้าก็เลยติดงอมแงม (มันไม่จริงเลยนะเฟ้ย!) อันที่จริงป๋าเป็นคนซื่อสัตย์ ขยันทำมาหากิน ไม่เอาเปรียบผู้บริโภค แถมยังใจดีใจป้ำขัดกับลุคเกรี้ยวกราดอย่างที่ทุกคนเห็น แต่ที่ต้องบอกว่าเพอร์เฟคแด๊ดอย่างป๋าเป็นคนกาก…ก็เพราะป๋าเป็น ‘เด็กผี’ น่ะสิ!
“เชียร์ทีมกากๆ ก็เป็นได้แค่แฟนบอลกากๆ นั่นแหละ”
ประโยคนั้นไหลออกมาโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นเสื้อบอลฤดูกาลล่าสุดของทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่ป๋าสวมอยู่ ป๋าหันขวับมาทันที ดวงตาเล็กๆ เป็นไม้ขีดสองก้านยิงรังสีอำมหิตใส่ฉันที่ยืนกอดอกพิงกรอบประตูครัวพลางดูดอมยิ้มทำหน้าเซ็งโลกอยู่ จริงๆ ก็ไม่ได้เซ็งทั้งโลกหรอก เซ็งแค่พ่อตัวเองที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของทีมฟุตบอลที่ฉันเกลียดนี่แหละ
“โรงเรียนสอนให้ทักป๋าแบบนี้เหรอฟานฟาน”
ฉันแทบจะถุยอมยิ้มออกจากปากตอนที่ได้ยินป๋าเรียกชื่อตัวเองแบบนั้น
“โธ่ป๋า อย่าเรียกงั้นดิ มันไม่ใช่ว่ะ”
“ไม่ใช่อะไร ก็ป๋าตั้งชื่อลูกมาแบบนั้น”
นี่ก็ไม่ใช่อย่างแรง อะไรคือการแทนตัวเองว่าป๋าแล้วเรียกฉันว่าลูกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลจอมปลอมแบบนั้น ขนลุกชะมัด
“อย่าคิดว่าฟานไม่รู้นะว่าป๋าโดนใครไซโคมา เข้าใจว่าป๋าอยากทำตัวกลมกลืนกับชนชั้นสูง แต่ถ้ามันไม่ไหวจริงๆ ก็อย่าฝืนเล้ย เจ๊แกไฮโซแต่เรามันโลโซ จะให้คะๆ ขาๆ ตลอดเวลาแบบนั้นฟานทำไม่เป็นว่ะ”
“เจ๊?”
“แหมๆ ทำเป็นงง” ฉันยักคิ้วกรุ้มกริ่มขณะนึกถึงใบหน้างดงามดั่งนางสาวไทยของเจ๊คนนั้น “ก็เจ๊วันเพ็ญที่ป๋าขยันส่งรูปสวัสดีวันจันทร์ถึงศุกร์ให้ไม่เคยขาดคนนั้นไง”
คนฟังถึงกับสำลักน้ำลายด้วยความตกใจที่ฉันล่วงรู้ความลับ แต่ก็ยังไม่ละความพยายามที่จะเต๊ะขรึมกลบเกลื่อนต่อไป “อะ…อะไรของแกฮะ”
“ไม่ต้องมาทำไก๋เลย ฟานเห็นตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วว่าป๋าไลน์มุ้งมิ้งกับใครได้ทุกวี่ทุกวัน”
ถ้ามีเวทีประกวดพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่เนื้อหอมที่สุดในจังหวัด มงคงลงหัวขุ่นพ่อของฉันทุกปีแน่ๆ เพราะหลังจากที่แม่ทิ้งป๋าไปแต่งงานกับเศรษฐีฝรั่งตั้งแต่ฉันยังแบเบาะ สถานะพ่อหม้ายลูกสองกับเสน่ห์สุดลึกล้ำของป๋าก็ทำให้มีสาวเล็กสาวใหญ่ขยันมาเสนอตัวจะเป็นแม่ใหม่ให้พวกเราไม่ซ้ำหน้า ถึงส่วนใหญ่จะโดนฉันไล่ตะเพิดไปเพราะฉันเคยเป็นลูกสาวที่หวงพ่อขั้นรุนแรงมาก่อน แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นป๋าสนใจใครเป็นพิเศษจริงๆ เลยหลงเชื่อว่าแกเองก็หวงความโสดไม่แพ้กัน จนกระทั่งอาทิตย์ก่อนมีโอกาสได้เช็กมือถือป๋าถึงได้หูตาสว่างว่าตัวเองคิดผิดถนัดมาโดยตลอด เพราะแท้จริงแล้วแกยังมีหัวใจสีชมพูฟรุ้งฟริ้งของชายของหนุ่มอยู่ และหญิงสาวเพียงคนเดียวที่แกเปิดใจคุยอย่างจริงจังก็คือ ‘ครูวันเพ็ญ’ คนสวยสถานะโสด ผู้เคยสอนวิชาคหกรรมฉันตอนม.1 ถ้าข้อมูลที่เผือกมาไม่คลาดเคลื่อน ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะไปรู้จักกันตอนป๋าไปรับจ็อบเป็นพ่อครัวนอกสถานที่เมื่อหลายปีก่อนนู่น แต่ที่ไหนยังไงนี่ไถไปไม่ถึงจริงๆ เพราะโดนริบมือถือกลับคืนไปเสียก่อน
“ว่างๆ ก็พามาเปิดตัวได้แล้วนะป๋า ไม่ต้องเกรงใจ ฟานรออยู่” ว่าจะไม่แซวแล้วนะ แต่เห็นคนเก็บความลับเก่งยังทำปากแข็งหูทวนลมมันก็อดไม่ได้จริงๆ อ่ะ “ฟานล่ะนับถือใจเจ๊แกจริงจริ้ง แอบกุ๊กกิ๊กกับป๋าตั้งแต่ฟานอยู่ม.ต้น จนตอนนี้ฟานอยู่ม.สี่ แล้วก็ยังไม่เลิก จริงๆ ป๋าก็หล่ออยู่หรอก แต่ก็ไม่ได้หล่อขนาดนั้นป่าวว้า อ้วนก็อ้วน จนก็จน ไม่รู้ว่าเจ๊แกหลงอะไรนัก…”
“นั่นแกพูดถึงพ่อแกอยู่รึเปล่าฮะ!”
“เอ๊า ก็พูดเรื่องจริงทั้งนั้น เจ๊วันเพ็ญแกรู้ป่าวว่าป๋ามีหนี้เยอะพอๆ กับไขมัน ไม่ใช่ว่าตกลงปลงใจกันแล้วมางอแงทีหลังว่าป๋าไม่หล่อไม่เปย์งู้นงี้…”
“ไอ้ฟาน!!” อีโต้ที่ใช่แล่หมูสามชั้นถูกสับลงบนเขียงไม้ดังปึ้ก เนื้อหมูกระเด้งขึ้นมาราวกับยังมีชีวิตอยู่
“เออ ต้องงี้ดิ เรียกไอ้ฟานแบบนี้แหละของแท้ มาฟานฟานบ้าบออะไร ฝืนธรรมชาติ”
“พอๆๆ เลิกเพ้อเจ้อเรื่องนี้ซักทีไอ้เด็กบ้า แล้วนี่จะยืนเอ้อระเหยอยู่ทำไม รีบขึ้นไปเปลี่ยนชุดแล้วลงมาช่วยงานสิวะ เดี๋ยวพวกแร้งมันลงแล้วจะเอาไม่ทัน!” ป๋าในโหมดพ่อครัวคลั่งสะบัดอีโต้ไล่ลูกสาว ไม่วายบ่นยาวไปถึงลูกชายบังเกิดเกล้าด้วย “ให้เฮียแกไปซื้อซีอิ๊วก็หายหัวไปเลย เสือกเอาแบงก์พันไปอีก ไอ้ลูกเวรตะไล งานที่ร้านยุ่งจะตายห่าเสือกไม่ช่วย เที่ยวเก่งล้างผลาญเก่งกว่าใครเพื่อน กับเรื่องเรียนทำไมมันไม่เก่งแบบนี้บ้างวะ!”
นี่ไง จะให้ฉันพูดเพราะได้ไงในเมื่อตัวอย่างที่กรอกหูทุกวันมันมีแต่คำสุภาพน้อยแบบนี้
ตามที่ป๋าว่านั่นแหละ ฉันมีพี่ชายสายล้างผลาญอยู่ 1 คนถ้วน มันชื่อเฮียเฟย แม้ว่ามันจะเป็นพี่ชายแท้ๆ ที่อายุมากกว่าฉันถึง3 ปีแต่ฉันก็เรียกเฟยเฉยๆ มาตั้งแต่เกิดแล้ว ยกเว้นเวลาโมโหมันมากๆ จะเรียกว่าไอ้เฮียเฟย โดยเน้นเสียงกระแทกกระทั้นตรงคำว่าเฮียเป็นพิเศษ ใครผ่านมาได้ยินเป็นต้องสะดุ้งทุกราย
เฟยยังเรียนอยู่วิทยาลัยช่างอาชัญทั้งที่ควรจะเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว ก็เพราะความกากเหรียญทองนี่แหละมันถึงต้องเรียนซ้ำชั้น จำได้ว่าตอนอยู่ม.4 สายสามัญ มันก่อเรื่องทะเลาะวิวาทใหญ่โตจนโดนไล่ออก จากนั้นก็หยุดเรียนไป1 ปีเต็มๆ แล้วเปลี่ยนไปสอบเข้าสายอาชีพในปีถัดมา ปัจจุบันนี้จึงเป็นเด็กช่างปี 3 (เทียบเท่าม.6) ที่อายุมากสุดในชั้นปี ฉันล่ะกลั้วกลัวว่ามันจะต้องซ้ำชั้นอีกรอบ จะให้เรียนจบแบบชาวบ้านชาวช่องเขาได้ยังไงในเมื่อแต่ละเดือนมันไปเรียนไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ ไม่มีใครรู้ว่าเฟยมันออกจากบ้านไปทำอะไรทุกวันถ้าไม่ไปเข้าเรียน แต่ใบเกรดกับจดหมายเชิญผู้ปกครองที่ส่งมาทุกเทอมก็เป็นเครื่องยืนยันแล้วว่ามันเป็นเด็กช่างที่ช่างหัวเรื่องเรียนเก่งสุดๆ ไปเลย อ๊ะๆ แต่ถึงมันจะกากแค่ไหน ในฐานะพี่ชาย เฟยมันก็กากอย่างมีคุณภาพนะจ๊า
มันไม่ชอบเรียนแต่พูดกรอกหูทุกวันให้ฉันตั้งหน้าตั้งตาเรียน มันติดบุหรี่ตั้งแต่ม.ต้น ก๊งเหล้าเก่งทั้งที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด แต่สั่งห้ามฉันเข้าใกล้อบายมุขทุกแขนง มันเปลี่ยนแฟนเป็นว่าเล่น แต่ไม่อนุญาตให้มนุษย์เพศผู้คนไหนขายขนมจีบให้ฉันโดยเฉพาะมิตรสหายถึกๆ เถื่อนๆ ของมัน และถึงมันจะชอบจิ๊กตังค์ในร้านไปเปย์สาว แต่มันก็ยังมีคุณธรรมพอที่จะเอาเศษตังค์ทอนมาหยอดกระปุกคืนป๋าทุกรอบ และที่เจ๋งที่สุดก็คือ…มันเป็น‘เด็กหงส์’!!
หมายเหตุตัวโตๆ สำหรับคนที่ไม่สันทัดเรื่องฟุตบอลนะ คือฟุตบอลอังกฤษมันจะมี2 สโมสรที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่ยุคที่อาม่าอากงของเราๆ ยังเป็นวุ้น นั่นคือทีม‘ลิเวอร์พูล’ หรือ ‘หงส์แดง’ กับทีม ‘แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด’ หรือ ‘ปีศาจแดง’ ใครเชียร์หงส์แดงก็เรียกเด็กหงส์ ใครเชียร์ปีศาจแดงก็เรียกเด็กผี แฟนบอลสองทีมนี้จะมีคุณสมบัติเฉพาะตัวเหมือนกันคือกัดกันได้ทุกที่ แม้จะสืบสายเลือดเดียวกันอย่างป๋ากับเฟยก็ไม่เว้น แน่นอนว่าทะเลาะกันทีไรเฟยจะได้เปรียบป๋าเสมอเพราะมันมีฉันเป็นกองหนุน ต่อให้มีนัดที่ลิเวอร์พูลแพ้แมนยูราบคาบ เจอสองรุมหนึ่งแบบนี้ป๋าก็โม้ไม่ออกอยู่ดีนั่นแหละ (ลูกๆ รังแกฉัน- ป๋า)
ครืดดด ครืดดด
“โหล มีไร”
ฉันกดรับสายเพื่อนแล้วเปิดลำโพงคุยเพราะอยู่ในช่วงที่ต้องถอดชุดนักเรียนด้วยความเร็วแสง
[ว่าที่พี่สะใภ้ขอสั่งผัดซีอิ๊วเส้นหมี่พิเศษไข่สองฟองจ้ะ ขอตะเกียบไม้ด้วยนะจ๊ะ ขี้เกียจล้างจ้ะ]
“ได้จ้ะ แต่ไม่ว่างไปส่งนะจ๊ะ สี่โมงครึ่งร้านแตกจ้ะ เดินมารับเองนะจ๊ะ”
[โธ่ จะไปยากอะไรล่ะ แกก็ให้พี่เฟยมาส่งแทนไง ฮิ~]
“ตกลงจะกินผัดซีอิ๊วหรือกินพี่ชายเพื่อน”
[กินทั้งคู่เลย จะได้อิ่มทั้งท้องอิ่มทั้งใจ แฮ่!]
ฉันกดตัดสายก่อนปลายทางจะพูดจบ ยัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกงขาสั้นตัวโปรดที่ไม่ได้ใส่มาหลายวันเพราะไม่อยากฟังเฟยบ่น แรงสั่นสะเทือนตรงบั้นท้ายบอกให้รู้ว่ายัยเพื่อนขี้ตื๊อยังไม่ลดละความพยายาม ฉันปิดสั่นปิดแจ้งเตือนแล้ววิ่งลงไปข้างล่างเพราะได้ยินเสียงป๋าตะโกนเรียก เรียกเฉยๆ ไม่เป็นนะ ต้องใช้ตะหลิวเคาะก้นหม้อตุ้งแช่ๆ เป็นกลองแห่เจ้าด้วย!
“เสร็จรึยังวะ มัวแต่เล่นมือถืออยู่นั่น”
“รับออเดอร์ไอ้แป๋วไหมล่ะ! โอ๊ยป๋า หยุดเคาะได้แล้ว ฟานมาแล้วนี่ไง!”
ไอ้แป๋วที่ว่าคือ‘ตาแป๋ว’ ลูกสาวคนเล็กของร้านโชห่วยที่ใหญ่ที่สุดในย่านนี้ โลกไม่ได้เหวี่ยงเรามาเจอกัน แต่ไอ้เฮียเฟยนั่นแหละที่โยนหน้าที่ซื้อสารพัดเครื่องปรุงที่บ้านไอ้แป๋วขายถูกกว่าห้างมาให้ฉัน ทำให้เราสองคนสนิทกันตั้งแต่ม.ต้น แม้ตอนนั้นเราจะไม่ได้เรียนที่เดียวกันแต่ปัจจุบันไอ้แป๋วก็ตามมาสอบเข้าม.ปลายที่เดียวกับฉันเรียบร้อยแล้วคือที่‘โรงเรียนสาธิตธารตะวัน’ แถมยังได้เรียนห้องเดียวกันด้วย เรื่องตลกกากๆ ก็คือ ในขณะที่ฉันมีเชื้อจีนแต่หน้าไท้ไทย (ได้แม่มาเยอะ) ไอ้แป๋วดันเป็นคนไทยแท้ที่หน้าจี้นจีน แม่มันถึงกับต้องตั้งชื่อเล่นว่าตาแป๋วแก้เคล็ด แต่ก็ไม่ช่วยให้ตาไม้ขีดของมันขยายใหญ่ขึ้น ปมด้อยข้อนี้เองที่ทำให้ไอ้แป๋วอยากได้สามีตาโตๆ เพราะไม่ปรารถนาให้ลูกทุกข์ทรมานกับพันธุกรรมตาตี่ และเฟยก็รั้งอันดับหนึ่งในคอลเลคชั่นหนุ่มตาโตที่มันหมายปองมาตลอดสามปีที่เรารู้จักกัน คบฉันแบบหวังเคลมพี่ชายฉันอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้ จะไม่ให้ฉันมองมันเป็นคนกากได้ยังไง จริงไหม อ้อ มีเรื่องที่มันไม่ชอบดูบอลแต่ชอบเสนอหน้าเชียร์ทุกทีมที่แข่งกับลิเวอร์พูลด้วย นิสัย!
และถ้าไม่นับตัวฉันที่มีเรื่องกากๆ อีกสารพัดที่คุณจะค่อยๆ รู้นับจากหน้านี้เป็นต้นไป ก็คงจะเหลือแค่‘แก๊งกากเกลื้อน’ (ครีเอตชื่อโดยฟานเอง) ลูกค้าเด็กช่างขาประจำที่ฉันโคตรจะรำคาญ เข้าใจว่าอยากมาอุดหนุนร้านเพื่อน แต่เป็นโรคอะไรกันอ่ะถึงไปไหนมาไหนคนเดียวไม่ได้ ต้องยกโขยงไปเป็นฝูงๆ กินพื้นที่ในร้านไม่พอยังชอบส่งเสียงโหวกเหวกมายึดพื้นที่ในรูหูฉันอีก เสาร์อาทิตย์ที่มีบอลอ่ะไม่ว่ากันเพราะส่วนใหญ่แล้วพวกนั้นจะเป็นเด็กหงส์ และป๋าก็ใจป้ำเปิดบ้านตอนรับแฟนบอลทุกคนอยู่แล้ว แต่ไอ้วันจันทร์ถึงศุกร์หลังเลิกเรียนนี่สิที่ฉันรับไม่ได้ พวกนั้นมาถึงก็สั่งๆ โซ้ยๆ เหมือนแร้งลงแล้วนั่งยึดโต๊ะยาวๆ ไปจนร้านปิด ถึงจะใช้โต๊ะแค่สองสามตัวแต่มันก็ทำให้ร้านฉันเสียโอกาสขาดรายได้ไปเยอะเลยนะเฟ้ย สะกดคำว่าเกรงใจไม่เป็นแบบนี้จบประถมมาได้ไงวะ!
เอี๊ยดดด…
เหอะ นั่นไง ยังไม่ทันจุดธูปเรียกก็แว้นมอเตอร์ไซค์มาจอดเต็มฟุตปาธหน้าร้านแล้ว ตายยากชะมัด
“เลิกเรียนแล้วเหรอเปี๊ยก”
ความกากของไอ้เด็กช่างพวกนี้คือมันชอบเรียกฉันว่า ‘เปี๊ยก’ แม้แต่คนที่อายุเท่าฉันก็เอาด้วยเพราะฉันตัวเตี้ยกว่ายักษ์ปักหลั่นแบบพวกมัน คนเราไม่ควรถูกเรียกว่าเปี๊ยกเพียงเพราะเป็นผู้หญิงตัวเล็กป่าววะ โอเค ฉันอาจจะสูงแค่ 156 เซ็นต์ แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ยืนอยู่หน้าสุดเวลาเข้าแถวเรียงตามลำดับไหล่นะเฟ้ย มีไอ้แป๋วไงที่ยืนหน้าฉัน มันสูง153 ต่างกันตั้ง6 เซ็นต์ทำไมไม่เห็นมีใครเรียกมันว่าเปี๊ยกบ้างเลยอ่ะ
“ถามไม่ตอบนะเปี๊ยกนะ”
“ยังไม่เลิกมั้ง” ก็เห็นอยู่ว่ายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ จะถามเพื่อ
“กวนส้นเหมือนพี่มันเลยว่ะ” ว่าพลางเดินนำหน้าเพื่อนมานั่งที่โต๊ะประจำเบอร์ 1 ติดจอทีวีและใกล้ประตูทางเข้าครัว “เหมือนเดิมสี่”
อีกละ! รายชื่ออาหารที่แปะอยู่บนผนังร้านมีสามสิบกว่าเมนูแต่พวกนี้สั่งเป็นอยู่อย่างเดียวคือ ‘เหมือนเดิม’ เดือดร้อนฉันต้องจำให้ได้ว่าใครเป็นใครชอบสั่งอะไร และถ้าฉันจำผิด ป๋าที่ใจดีเกินหน้าที่ก็จะทำจานใหม่ให้ฟรีแล้วหักค่าใช้จ่ายจากค่าขนมของฉัน ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องเล้ย! เพราะสมองที่ควรเก็บไว้เมมโมรี่วิชาความรู้ถูกใช้ไปกับการจดจำอะไรไร้สาระแบบนี้นี่ไงฉันถึงได้สอบตกบ่อยๆ อ่ะ (เกี่ยว?)
ไหนๆ ก็อยู่ใกล้ๆ เเล้ว ขอแนะนำเจ้าพวกนี้แบบเรียงตัวเลยแล้วกัน
คนแรกที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะคือพี่‘มิณณ์’ เด็กช่างหน้ามึนปี2 ผู้ไม่กินผักแต่ชอบทะลึ่งสั่งเมนูที่มีผัก ช่วงนี้กินเป็นอยู่อย่างเดียวคือวิญญาณคะน้าหมูกรอบ สิ่งที่ป๋าต้องทำคือผัดคะน้าหมูกรอบแบบปกติ แล้วเขาก็จะมานั่งเขี่ยคะน้าออกให้เพื่อน บอกว่าแค่ดมกลิ่นก็ได้วิตามินแล้ว ไม่จำเป็นต้องเคี้ยวให้เมื่อยกราม ปัญญาอ่อนไหมล่ะ
คนที่สองที่นั่งทางขวามือของพี่มิณณ์คือไอ้พี่ ‘ธีม’ เด็กช่างปี3 ผู้เกิดมาพร้อมกับความกวนโอ๊ยทั้งนิสัยและใบหน้า เป็นคนพูดมากเกินไป อารมณ์ดีเกินไปและเปลี่ยนเมนูบ่อยเกินไปจนน่ารำคาญ อาทิตย์นี้เป็นข้าวกะเพราหมูสับไข่ดาวพิเศษ แต่หน้าด้านถือสิทธิ์ความเป็นเพื่อนเฟยจ่ายราคาธรรมดา ฉันรู้ว่าพี่มันชอบไข่แดงสุกจัด แต่ที่ไม่เคยกำชับป๋าให้ก็เพราะยังแค้นที่พี่มันเป็นคนริเริ่มเรียกฉันว่าเปี๊ยกไม่หาย
ต่อมาคือผู้หญิงที่นั่งจิ้มมือถืออยู่ข้างๆ ไอ้พี่ธีม ชื่อพี่‘บี๋’ เป็นดาวช่างปี3 ที่ปล่อยหน้าสดก็สวยวัวตายควายล้ม หน้าตาดี หุ่นดี นิสัยดี เรียนดี ฐานะทางบ้านก็ดี ชาวแก๊งต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอดีพร้อมจนคำว่าเพอร์เฟคยังน้อยไป แต่ฉันค้นพบความกากในตัวเธอถึงสองอย่างคือเธอไม่ชอบดูบอลและเธอโคตรขี้เหนียว ทุกครั้งที่มากินข้าวเย็นที่นี่พี่เธอจะสั่งแต่แตงกวา (ป๋าไม่คิดตังค์) มากินกับคะน้าที่พี่มิณณ์เขี่ยให้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณเธอถึงผอมขนาดนั้น ความงกนำพาล้วนๆ
คนสุดท้ายที่นั่งตรงข้ามกับพี่บี๋ ฮื้บบบ! ขอรวบรวมลมปราณก่อนนะเพราะคนนี้ต้องร่ายยาวมากอย่างไม่เต็มใจ ก็ฉันไม่ชอบ…เอิ่ม หมายถึงไม่อยากพูดถึงสักเท่าไรน่ะ เหอๆ
เขาคือเฮียต๋าหน้าน้ำแข็งคนนั้นไง คนที่เกรี้ยวกราดใส่ฉันเมื่ออาทิตย์ที่แล้วอ่ะ
‘รำคาญว่ะ’
‘ไปเล่นไกลๆ ไป’
ถ้าไม่โดนไอ้คนแก่ใจร้ายอย่างเขาโหดใส่ คืนนั้นคงเป็นคืนที่วิเศษสุดในชีวิตฉันแล้วล่ะ ฮึ่ย! คิดๆ แล้วก็แค้น อยากจะนั่งไทม์แมชชีนกลับไปตันหน้าชะมัด เชื่อไหมว่านับตั้งแต่คืนนั้น จากที่เคยเฉยๆ กับเฮียต๋าฉันก็เริ่มมองเขาติดลบจนไม่อยากญาติดีด้วย แต่ที่ฮึ่มฮั่มใส่ตามใจปรารถนาไม่ได้ก็เพราะเขาเป็นเพื่อนสนิทที่เฟยเกรงใจที่สุดในชีวิต แถมยังเป็นลูกชายคนเดียวของเถ้าแก่ ‘ตง’ เจ้าของกิจการขายวัสดุก่อสร้างอันเลื่องชื่อของจังหวัดและเจ้าของตึกแถวในย่านนี้ทั้งหมด รวมถึงร้านอาหารตามสั่งของเราด้วย ถึงเถ้าแก่ตงจะเป็นเศรษฐีใจกว้างที่ให้ป๋าเช่าบ้านในราคาถูกกว่าคนอื่นๆ และเขาก็ไม่เคยถือตัวเหนือผู้เช่าตาดำๆ อย่างเรา แต่ป๋าชอบย้ำเช้าย้ำเย็นให้ฉันกับเฟยทำตัวดีๆ กับทุกคนในบ้านนั้นเพราะถือว่าพวกเขามีพระคุณล้นพ้นกับบ้านเรา และเฮียต๋าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ด้วยความที่ป๋าอยากให้ฉันทำดีกับเฮียต๋าประหนึ่งเราเป็นญาติกันนี่แหละ แกเลยชอบพูดถึงเขาว่าเฮียมันอย่างนู้น เฮียมันอย่างนี้ เพื่อเป็นการมัดมือชกให้ฉันเรียกเขาว่า ‘เฮียต๋า’ แทนที่จะเรียก‘พี่ต๋า’ อย่างที่เรียกเพื่อนคนอื่นๆ ของเฟย แรกๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกเพราะมันก็แค่สรรพนามนำหน้าชื่อคำหนึ่งที่เข้ากับหน้าจีนๆ ของเขาดี แต่พอได้เห็นธาตุแท้ของเขาในคืนนั้นฉันก็รู้สึกกระดากปากขึ้นมาทันที ทำไมจะต้องมาเคารพนับถือคนใจดำแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้
“สุกี้น้ำ”
“…”
“ฉันเอาสุกี้น้ำ”
คงเพราะฉันยืนจ้องหน้าอยู่นาน เฮียต๋าจึงต้องเอ่ยเมนูประจำออกมาถึงสองครั้ง ฉันพยักหน้าแรงๆ ทำนองว่ารู้แล้วน่าแล้วเดินสะบัดตูดเข้าครัวไป แหม ท่องเมนู‘เหมือนเดิม’ ของชาวแก๊งได้ครบถ้วนขึ้นใจ จะมายกเว้นของคุณชายเขาคนเดียวก็กะไรอยู่ นี่ฉันยังละเอียดลออถึงขั้นจำได้ว่าเขากินวุ้นเส้นเหลือทุกทีด้วยนะ ขนาดว่าหลังๆ มานี้ฉันบอกให้ป๋าใส่วุ้นเส้นน้อยๆ เขาก็ยังกินเหลือตลอด จนเริ่มคิดแล้วว่าบางทีเขาอาจจะอยากกินทุกสิ่งอย่างในสุกี้ยกเว้นวุ้นเส้น อ่ะ ป๋าอยากให้ฉันทำดีกับเขานักใช่ไหม งั้นวันนี้ฉันจะสั่งแบบไม่ใส่วุ้นเส้นให้ก็แล้วกัน จะได้ไม่ต้องโยกช้อนหลบตอนตักกินไง หวังดีมากนะเนี่ย กลัวผู้มีพระคุณเหนื่อย
อันที่จริงแก๊งกากเกลื้อนเป็นแก๊งเปิดที่มีจำนวนสมาชิกนับไม่ถ้วน แต่ขาประจำที่ฉันรู้จักและจำใจสนิทด้วยมีแค่นี้นี่แหละ อ้อ! ยังมีอีกคนด้วยคือคนที่ชอบสั่งไข่เจียววุ้นเส้น ทว่าตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา คนคนนั้นจะมาเลทเสมอเพราะต้องไปทำภารกิจสำคัญก่อนทุกเย็น ซึ่งฉันก็ชะเง้อชะแง้รอเขาทุกเย็นเหมือนกันนั่นแหละ
“พี่บี๋จะกินแค่นี้จริงดิ” ฉันชำเลืองมองจานแตงกวาตรงหน้าพี่บี๋
“นี่ก็ถามจั๊ง ถามทุกวันพี่ก็ตอบเหมือนเดิมทุกวัน ไม่เบื่อเหรอเปี๊ยก”
“ก็เบื่ออยู่นะ พี่เล่นสั่งแต่แตงกวาฟรีนี่ ถ้าพี่สั่งอย่างอื่นบ้างฟานจะได้มีตังค์ไปจ่ายค่าเทอมไง ช่วงนี้ป๋าจ๊นจน ซื้อหวยก็ถูกกินเรียบทุกงวดเลย” ฉันเอาเรื่องเกือบจริงมาพูดขำๆ
“เทอมนี้ยังไม่จ่ายเหรอเปี๊ยก”
คำถามซื่อๆ ของพี่มิณณ์ลอยไปเข้าหูคนที่นั่งติดกันอย่างเฮียต๋า เขาจึงเงยหน้าขึ้นจากชามสุกี้แล้วมองตรงมาที่ฉัน ฉันหันไปแยกเขี้ยวใส่พี่มิณณ์ ส่งสายตาบอกเขาว่าจ่ายแล้วว้อย แค่พูดเล่นว้อย เขาพยักหน้าหงึกๆ อย่างเข้าใจแล้วทั้งโต๊ะก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นกัน ยกเว้น…
“เท่าไหร่”
…คนที่ไม่เก็ตมุก
“ค่าเทอมของเด็กม.สี่น่ะ” เสียงทุ้มต่ำอย่างระบุอารมณ์ไม่ได้ของเฮียต๋าขยายความคำถาม เพราะฉันเอาแต่กะพริบตาปริบๆ มองเขาด้วยความงุนงง
ไม่งงได้ไง ก็ปกติเขาเคยสนใจโลกรอบข้างเสียที่ไหนล่ะ โดยเฉพาะโลกที่มีเด็กน่ารำคาญอย่างฉันอยู่ด้วยน่ะ ถ้าไม่นับคืนนั้นก็มีแค่สองสถานการณ์เท่านั้นที่เราจะได้คุยกันตรงๆ คือตอนสั่งอาหารกับตอนเก็บตังค์ นี่ถือเป็นครั้งแรกๆ เลยนะที่เฮียต๋าพูดคำอื่นนอกจากคำว่าสุกี้น้ำอ่ะ
“เท่าไหร่” เฮียต๋าถามย้ำ
“เช้ดดด นี่มึงจะจ่ายค่าเทอมให้เปี๊ยกเหรอวะไอ้ต๋า”
“เงินนายเหลือใช้ขนาดนั้นก็จ่ายให้พวกเราบ้างดิ”
แล้วทุกคนก็เริ่มแซวเรื่องจำนวนเลขศูนย์ในบัญชีของเขา เถ้าแก่ตงเป็นคนรวยติดอันดับต้นๆ ของจังหวัด จึงไม่แปลกที่ลูกชายคนเดียวของแกจะมีเงินในบัญชีสูงลิ่วเกินความจำเป็นของเด็กหนุ่มวัยนี้ เออ ฉันว่าความกากอีกข้อหนึ่งของเฮียต๋าคือเขาชอบทำตัวอวดรวยนี่แหละ วันก่อนซื้อจอโปรเจกเตอร์ไฟฟ้าราคาเกือบหมื่นให้เฟยทั้งที่ไม่ใช่โอกาสสำคัญอะไร ก่อนหน้านั้นที่รถมอเตอร์ไซค์ของบ้านเรายางแตก เฮียแกก็เอาไปเปลี่ยนให้ทั้งยางหน้ายางหลัง แถมยังเลือกรุ่นที่แพงที่สุดให้ด้วย ที่น่ารำคาญที่สุดก็คือเขาชอบจ่ายค่าข้าวจานละ 50 บาทด้วยแบงก์พัน เดือดร้อนฉันต้องกวาดแบงก์ย่อยมาทอนจนหมดเก๊ะ ชิ กลัวคนอื่นไม่รู้รึไงว่ารวยมากอ่ะ!
“เปี๊ยกก็แค่พูดเล่นน่าพี่ ไม่ต้องอิน” พี่มิณณ์ที่แสนรู้ใจช่วยฉันอธิบายให้คนอวดรวยฟัง
“ไว้นายค่อยออกให้น้องเทอมหน้าละกัน หรือจะส่งจนจบมหา’ลัยเลยก็ได้” พี่บี๋ยังไม่หยุดแซว
ฉันปิดประเด็นด้วยการวิ่งฉิวไปรับออเดอร์ลูกค้าโต๊ะนอกร้าน แต่พอจะเดินกลับเข้าครัวเฮียต๋าก็เลื่อนสายตาจากชามสุกี้มามองฉัน…มองต่ำลงเรื่อยๆ จนในที่สุดฉันก็ไม่กล้าเดินผ่าน กระทืบเท้าแรงๆ แสดงความไม่พอใจ แล้วรีบดึงชายกางเกงลงเพราะคิดว่าเขาทะลึ่งจ้องขาอ่อนเหมือนที่แก๊งกากเกลื้อนส่วนใหญ่ชอบทำ
“มองไรวะ!”
เขาไม่โต้ตอบและไม่ละสายตาจากจุดเดิม
“อู๊ว ตัวนี้อีกแล้ว” ไอ้พี่ธีมยื่นหน้ามาเผือกแล้วส่งซิกให้ไอ้พี่มิณณ์
“เปี๊ยก ตัวนี้พี่ชอบนะ แต่ได้ข่าวว่าพี่เฟยมันไม่ให้ใส่แล้วไม่ใช่รึไง”
“เฟยให้ใส่ แต่ไม่ให้พวกพี่มองต่างหาก เฮ้ย หันไปทางอื่นเลยนะไอ้พี่ธีม เดี๋ยวเฟยกลับมาจะฟ้อ…”
ยังขู่ไม่ทันจบประโยค เฮียต๋าก็เอาส้อมชี้มาที่เป้ากางเกงของฉันแล้วพูดออกมาเรียบๆ
“รูดซิป”
เวรรรรรร!!
ฉันเปล่าลืมรูดซิป แต่ลืมไปสนิทเลยว่ากางเกงยีนตัวนี้ต้องพับหัวซิปแรงๆ ไม่งั้นมันจะไหลลงมาเองแบบนี้!
เสียงหัวเราะน่าเกลียดๆ ของชาวแก๊งกากเกลื้อนทำให้ฉันอยากใส่เกียร์หมาไปมุดปี๊บหลังร้านเป็นที่สุด แต่เพราะมีลูกค้าเข้าร้านมาไม่ขาดสายฉันจึงต้องแบกความอับอายทำหน้าที่เด็กเสิร์ฟต่อไป ดีนะที่เฮียต๋าก้มหน้าก้มตากินเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เย็นชาเป็นน้ำแข็งแบบนี้ต่อให้เห็นกกน.หมีน้อยของฉันจริงๆ ก็คงไม่รู้สึกอะไรหรอกมั้ง
“โอ้ ไอ้คุณทิวเสด็จแล้วว่ะ”
ฉันหันขวับไปมองหน้าร้านด้วยความตื่นเต้นดีใจ ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งผู้ตัดสกินเฮดอวดเครื่องหน้าคมเข้มและรูปศีรษะทุยๆ เกี่ยวหมวกกันน็อคไว้กับกระจกข้างของเวสป้าสีครีมคู่ใจ เขย่าเสื้อช็อปสีกรมสองสามทีคลายความร้อนก่อนลงจากรถแล้วผลักประตูกระจกเข้ามาในร้าน พยักหน้าขึ้นหนึ่งทีให้พี่ธีมที่แหกปากเรียกเสียงดังลั่น จากนั้นจึงทักทายเพื่อนและรุ่นน้องทีละโต๊ะๆ ตามประสาคนดังนิสัยเฟรนด์ลี่ จนมาถึงโต๊ะในสุดที่ฉันยืนอ้อยอิ่งอยู่ใกล้ๆ
“ผมล่ะสงสัยจริงจริ้ง ว่าจะมีซักวันไหมที่พี่ทิวมาถึงก่อนใครเพื่อน”
พี่ธีมโบกมือรัวๆ “ไม่มีทาง ฉายามันช้าฉิบหายสายตลอด มึงไม่รู้เหรอไอ้มิณณ์”
“เชี่ย โคตรเท่”
“ขอบใจ” เจ้าของฉายารับมุก
“ขอบใจพ่อง เจตนาคนตั้งคือเค้าอยากด่ามึงโว้ย แล้วนี่มึงไปส่งเจนอย่างเดียวหรือไปทำอย่างอื่น…แค่กกก!!”
พี่ทิวใช้ฝ่ามือสับคอหอยคนปากมาก จากนั้นจึงหันมายื่นขวดซีอิ๊วให้ฉันที่ทำหน้าแป้นแล้นเรียกร้องความสนใจอยู่นานแล้ว
“รออยู่ล่ะสิเด็กหงส์”
ฉันพยักหน้ายอมรับว่ารอเขา แต่เขาคงพูดถึงซีอิ๊วขาวตราเด็กสมบูรณ์นี่ล่ะมั้ง “ทำไมพี่ทิวรู้ว่าร้านฟานซีอิ๊วเด็กอ้วนใกล้หมดอ่ะ”
“ไอ้เฟยฝากเราซื้อให้น่ะ”
“ง่ะ มันไม่ได้ฝากตังค์ไปด้วยล่ะสิ” ฉันสาปแช่งพี่ชายในใจเมื่ออีกฝ่ายยิ้มบางๆ อย่างไม่ถือสา “งั้นมื้อนี้พี่ทิวไม่ต้องจ่ายนะ ถือว่าเป็นค่าซีอิ๊วกับค่าน้ำมัน เอาไข่เจียววุ้นเส้นเพิ่มข้าวเหมือนเดิมใช่ป่าว”
“รู้ใจ” พี่ทิวยื่นมือมาขยี้หัวแบบที่ฉันโคตรชอบ ถ้าฉันเป็นหมา หางก็คงจะกระดิกดิ๊กๆ ด้วยความเร็วสูงเลยล่ะ
ฉันเดินยิ้มแฉ่งกอดขวดซีอิ๊วเข้าไปหลังร้านแล้วจดออเดอร์บนไวท์บอร์ดเล็กๆ ที่แขวนอยู่ข้างตู้เย็น โดยใช้หัวใจแทนวรรณยุกต์ทุกตัวของคำว่าไข่เจียววุ้นเส้น อ่าฮะ พี่ทิวเป็นเจ้าของเมนูไข่เจียววุ้นเส้นที่ฉันรอคอยทุกเย็นนั่นแหละ และนอกจากนี้ยังเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับความลับสุดยอดของฉันที่มีแค่ไอ้แป๋วเท่านั้นที่รู้ด้วย
“ฟานนน!” นั่นไง นึกถึงก็โผล่หัวมาเลย ตายยากอีกคนละ “เสร็จรึยางงง!”
เพื่อนรักที่ยังอยู่ในชุดนักเรียนโผล่หัวเข้ามาในครัวและทำแก้มพองทันทีที่ฉันยกสามนิ้ว อันแปลว่าผัดซีอิ๊วของมันต้องรออีกสามคิว โอ๊ะ ไม่สิ สี่ต่างหากเพราะเมื่อกี้ฉันเพิ่งแอบลัดคิวให้ไข่เจียววุ้นเส้น หุหุ
“อะไรเนี่ย ฉันโทรมาสั่งตั้งนานแล้วนะ ป๋าขา~ ลัดคิวให้แป๋วได้…อ๊ายยย!”
ไอ้แป๋วมันรู้ว่าอ้อนป๋าทีไรได้ผลตลอด ฉันเลยจัดการลากคอมันออกมาจากครัวก่อนที่ป๋าจะได้ยินมันครบทุกคำ “รออีกสี่คิวคงไม่ตายหรอกน่า”
“สี่อะไรยะ เมื่อกี้แกชูสามนิ้ว”
“ลืมตาบ้างนะเพื่อน จะได้มองเห็นโลกชัดๆ” คนโดนบูลลี่ถลึงตาใส่ฉัน “นั่งรอเงียบๆ ไม่งั้นก็ช่วยเสิร์ฟน้ำ”
“ลูกค้าเต็มร้านจะให้ฉันนั่งตรงไหนยะ บนหัวแกดีมะ เอ๊ะ หรือขึ้นไปรอห้องพี่เฟยดีน้า” ประโยคอ้อร้อหลังสุดกระซิบให้ได้ยินแค่สองคน พลังงานหื่นกระหายเข้มข้นจนฉันต้องเหนี่ยวคอมันให้ออกมาไกลจากบันไดที่สุด “โอ๊ยยย แขนคนหรือขาช้างเนี่ย!”
“มานั่งนี่มา” พี่บี๋บอกให้พี่มิณณ์ย้ายกระเป๋าลงพื้น ก่อนจะกวักมือเรียกไอ้แป๋วให้ไปนั่งตรงนั้น ซึ่งก็คือที่นั่งติดกับพี่ทิว ไอ้แป๋วหันมาทำหน้าเจ้าเล่ห์ใส่ฉัน จากนั้นก็ถลาไปนั่งเบียดกับพี่ทิว แนบชิดเกินความจำเป็นจนพี่บี๋ต้องดึงมันออกมาด้วยความรำคาญ ซึ่งมันก็ยอมถอยออกมาแต่โดยดีเพราะแค่อยากแกล้งให้ฉันประสาทเสียเล่นพอเป็นกระษัย
คงไม่ต้องบอกแล้วใช่ไหมว่าฉันคิดยังไงกับพี่ทิว
อ่ะ บอกหน่อยก็ได้…
ฉันชอบพี่ทิวที่สุดเลยเว้ยแก!!!
หวงมากด้วย! นี่ถ้าไม่รู้เจตนาของนังตาแป๋วฉันคงพุ่งไปทึ้งหนังหัวมันแล้วล่ะ
หลายปีก่อนตอนที่เฟยเริ่มพาเพื่อนมากินข้าวที่ร้าน ถึงฉันจะเข้าไปตีสนิทกับพี่ทิวอย่างโจ่งแจ้งแต่ตอนนั้นก็แค่ถูกชะตาในความหล่อแบบไม่มีพิษมีภัยของเขา พอนานวันไปก็เริ่มรู้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้มีดีแค่หน้าตาแต่นิสัยเขาก็ดีมากๆ ด้วย เขา‘ผ่าน’ ที่สุดในบรรดาเพื่อนเฟยที่ฉันรู้จัก โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่เรียกฉันว่าเปี๊ยกเหมือนที่คนอื่นๆ ชอบเรียกกัน ฉันจึงยกให้เขาเป็นพี่ชายที่แสนดีมาโดยตลอด จนกระทั่งอาทิตย์ที่แล้วที่ร้านเราไฟดับและมีเหตุการณ์โก๊ะๆ แบบในละครหลังข่าวเกิดขึ้น จังหวะหัวใจของฉันยามนึกถึงพี่ทิวก็เริ่มเปลี่ยนไป หรือบางทีมันอาจจะเต้นจังหวะนี้มาสักพักแล้วแต่ฉันเพิ่งจะรู้ตัว แต่ถึงจะเข้าใจและยอมรับในทันทีว่าฉันตกหลุมรักเขาเข้าแล้วมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะเขาต้อนรับวันใหม่ด้วยการเปิดตัวแฟนสาวแสนสวยที่ชื่อ‘เจน’ ตอกย้ำว่าเขาไม่เคยคิดเกินน้องกับฉัน กอดแบบไม่ตั้งใจนั่นก็ไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไรเลย สุดท้ายฉันก็อกหักดังเป้าะภายในเวลาไม่ถึง24 ชั่วโมง ทั้งยังต้องน้อมรับสถานะแอบรักคนมีเจ้าของมาจนถึงทุกวันนี้ด้วย
แต่เผอิญว่าฉันไม่ใช่คนดีมีศีลธรรมไง ถึงจะไม่คิดแย่งชิงเเต่ไม่ยอมตัดใจง่ายๆ หรอกนะจะบอกให้!
สิบห้านาทีผ่านไป ชาวแก๊งที่กินข้าวเสร็จแล้วเปิดประเด็นคุยเรื่องตลาดซื้อขายนักเตะกันอย่างออกรสเพราะช่วงนี้เป็นช่วงพักฤดูกาลแข่งขันของพรีเมียร์ลีกอังกฤษ[1] ฉันยกจานไข่เจียวของพี่ทิวออกมาเสิร์ฟแล้วพยายามไม่โฟกัสรอยยิ้มน่ารักๆ นั่นให้เสียการเสียงาน ไอ้แป๋วเปลี่ยนใจกินที่ร้านเพราะขี้เกียจกลับไปช่วยงานที่บ้านและอยากเม้าท์มอยไร้สาระกับพี่บี๋ต่อ แต่บรรยากาศที่โต๊ะเบอร์1 สนุกสนานครื้นเครงได้ไม่นาน เสียงหัวเราะก็ค่อยๆ เบาลงจนเงียบสนิท เมื่อสมาชิกทั้งโต๊ะพร้อมใจกันมองไปที่เฮียต๋า ซึ่งกำลังจ้องไข่เจียววุ้นเส้นในจานพี่ทิวเขม็ง ตอนนั้นฉันเดินมาเก็บเงินที่โต๊ะข้างๆ จึงเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี
“เป็นไรไอ้ต๋า ไม่อิ่มเหรอ”
ฉึก!
ส้อมในมือเฮียต๋าปักลงกลางไข่เจียวที่เหลืออยู่ของคนถาม แหวกไปซ้ายทีขวาทีจนวุ้นเส้นทะลักออกมาเต็มจาน
“อยากกินก็สั่งใหม่ดิ จานนี้กูกินเลอะ…”
“ก็ยังมีนี่”
“หืม?” พี่ทิวย่นคิ้ว
“ทำไมไข่เจียวมึงมีวุ้นเส้น”
“ก็…กูสั่งไข่เจียววุ้นเส้นไง”
“แล้วกูต้องสั่งสุกี้วุ้นเส้นรึไง สุกี้กูถึงจะมีวุ้นเส้น”
“ฮ่ะๆ อะไรของมึง สั่งสุกี้เฉยๆ ก็ได้มั้ง”
“กูก็สั่งสุกี้เฉยๆ…”
ฉันสะดุ้ง
จะไม่สะดุ้งแรงขนาดนี้เลยถ้าดวงตาคมกริบของเฮียต๋าไม่ตวัดขึ้นมามองฉัน…
“…แต่ทำไมสุกี้กูไม่มีวุ้นเส้น”
…อย่างเอาเรื่อง!
[1]พรีเมียร์ลีก (Premier League)คือการแข่งขันฟุตบอลในระดับสูงสุดระหว่างสโมสรต่างๆ ในประเทศอังกฤษ เป็นลีกที่แฟนบอลชาวไทยนิยมดูที่สุด เปิดฤดูกาลแข่งขันช่วงเดือนสิงหาคมไปจนถึงเดือนพฤษภาคม
ความคิดเห็น