คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ❤ START LOVE
START LOVE
ชีวิตผู้ชายวัยทำงาน วันๆมันจะมีอะไร ตื่นเช้าไปทำงาน ตกเย็นกลับบ้าน ทำงาน นอน มีสังสรรค์กับเพื่อนบ้านในวันหยุดสุดสัปดาห์บ้าง ชีวิต อี ทงเฮ มีแค่นี้จริงๆ
สวัสดีครับ แนะนำตัวซักนิด ผม อี ทงเฮ ทำงานเป็นนายธนาคารอยู่ที่ธนาคารแห่งหนึ่ง ตอนนี้อายุก็เข้าเบญจเพส 25 ปีพอดิบพอดี ใช้ชีวิตเหมือนคนวัยทำงานทั่วไป ที่สำคัญ
ยังไม่มีแฟน
ตอนนี้เป็นเวลาประมาณหกโมงเย็นนิดๆ ผมเพิ่งเลิกงาน โทรศัพท์เครื่องเก่ามีปัญหา แถมเก่าเกินทน เลยแวะมาเปลี่ยนโทรศัพท์ที่ห้างซักหน่อย พอทำธุระเสร็จผมก็ไม่มีอะไรทำได้แต่เดินเตร็ดเตร่ไปมา ไม่รู้ทำไมวันนี้ผมไม่ค่อยอยากกลับบ้านเท่าไหร่
ผมเดินเล่นไปเรื่อย แต่ทว่า.....
ตุ๊บ!!
ข้าวของในมือหล่นกระจายลงเต็มพื้น
เลือดผมขึ้นมา นึกโมโหไอ้เลวที่บังอาจมาเดินชนผมได้
“เดินภาษาอะ.......”
“ควาย ขวางอยู่ได้หลบสิวะ”มันคือถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากปากของคนที่มันชนผม ความโมโหที่มีอยู่แล้วยิ่งเพิ่มทวีคูณ รู้สึกเจ็บจนหน้าชากับคำพูดของไอ้คนใจหยาบนี่ ผมจับแขนของมัน พยายามจะเอาเรื่อง แต่โดนสะบัดออก
มันพยายามจะวิ่งหนีผม
ไม่สิ
ผมมองไปข้างหลัง มีฝูงวัยรุ่นประมาณห้าหกคนกำลังวิ่งมาทางเราสองคน เดินพวกนั้นใส่ชุดนักเรียนเหมือนกับคนที่มันชนผม ผมมองแล้วก็พอจะเข้าใจได้ทันทีว่ามันคือพวกเด็กนักเรียนม.ปลายที่ทำซ่ามีเรื่องกัน
แต่นั่นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือ มันชนผม และมันต้องรับผิดชอบ
“เฮ้ย หยุดเดี๋ยวนี้นะเว้ย ชนแล้วหนีหรอมึง”รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง ผมกำลังวิ่งตามไอ้เด็กม.ปลายตัวแสบนั่น
“อย่ายุ่งกับกู แม้ง แฮ่กๆ ยังไม่เลิกตามอีกหรอวะ”มันสถบเมื่อเห็นผมวิ่งตาม ก่อนจะหันไปมองไอ้พวกที่วิ่งตามมันมาตั้งแต่แรก
ห้างทั้งห้างดูวุ่นวาย ผู้คนหันมามองที่เราอย่างแตกตื่น ไอ้เด็กบ้ามันชนทุกคนที่ขวางทางไม่ต่างจากตอนชนผม ข้าวของๆผู้คนที่ตกหล่นดูจะไม่ได้อยู่ในความสนใจของมันซักนิด
“หยุดสิวะ แฮ่กๆ”ผมเริ่มหอบแต่ยังไม่ยอมแพ้ เคยบอกรึเปล่าว่าผมเคยเป็นนักวิ่งของมหาลัย เพราะฉะนั้นอย่างไอ้เด็กนี่หน่ะหรอ.....
หมับ!!
ผมรีบวิ่งตามแล้วใช้มือคว้าคอเสื้อไอ้เด็กเจ้าปัญหาไว้
“เฮ้ยยย ปล่อยกู อื้อออ”ใช้มีปิดปากมันก่อนที่มันจะแหกปากเสียงดังไปกว่านี้ ออกแรงลากมันเข้าไปในลิฟต์กดลงชั้นล่าง ยังไงก็เพื่อป้องกันพวกที่กำลังตามล่ามันอยู่ ส่วนเรื่องมันกับผม
ต้องมีเคลียร์
“อื้อ”ไอ้เด็กบ้ามันออกแรงดิ้น ตอนนี้มันอยู่ในอ้อมแขนของผม มือข้างหนึ่งของผมล็อคคอมันไว้ ส่วนอีกข้างก็ปิดปาก ตัวแค่นี้ทำไมมันแสบนักวะ
“เงียบซะ ไม่งั้นกูจะส่งมึงออกไปให้ไอ้พวกนั้น”ผมกระซิบเสียงเรียบริมใบหูขาว เพิ่งสังเกตว่าหน้าไอ้เด็กนี่มันขาวมาก มันทำหน้าตาเลิกลักก่อนจะถอนหายใจออกมา แล้วยอมเงียบไปในที่สุด
บรรยากาศในลิฟต์มันเงียบงัน ไม่มีใครพูดอะไร ผมเองที่เตรียมคำด่าไว้เป็นร้อยพันได้แต่ยืนมองใบหน้าเคร่งเครียดของคนตรงหน้าอยู่เฉยๆ จนลิฟต์วิ่งมาจอดที่ชั้นล่างสุดหน้าลานจอดรถพอดี
ทันทีที่ลิฟต์เปิดออก คนตรงหน้ามันก็ไม่รอช้ารีบสะบัดแขนหนีผมทันที แต่โชคดีที่ผมจับไว้ได้ก่อน ผมยังไม่ลืมหรอกนะว่าวิ่งตามมันมาเพราะอะไร ไอ้เด็กแสบทำหน้าไม่พอใจเหมือนจะพูดอะไร แต่มีเสียงดังขึ้นซะก่อน
“มันยังหนีไปได้ไม่ไกลหรอก พวกมึงทุกคนรีบแยกกันตามหามันเลย”ไม่ต้องเดาว่าเสียงนั่นหมายถึงใคร ขาของผมกับไอ้เด็กแสบหยุดลงโดยอัตโนมัติ ก่อนที่ผมจะฉุดมันเข้าไปในลิฟต์อีกครั้ง
“ปล่อย จะลากกูไปไหนอีกวะ”
“อยากอยู่ให้มันมาลากไปก็เชิญ”
“แม้ง”
เราก้าวเข้ามาในลิฟต์เป็นรอบที่สองของวัน มือผมกดไปที่ชั้นบนสุด ไอ้เด็กแสบทำหน้าเครียดอยู่ซักพัก ก่อนจะทิ้งตัวลงบนพื้น พอลิฟต์เคลื่อนตัวไปถึงชั้นบนสุด ผมก็กดลงมาที่ชั้นล่างอีกครั้ง ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ โชคดีที่คนนิยมใช้บันไดเลื่อนมากกว่า เลยไม่ค่อยมีคนมาใช้ลิฟต์
“หนีพวกมันทำไม ไปทำอะไรมา”เมื่อความสงสัยมันมีมากจนทนไม่ไหว ผมจึงต้องถามออกไป
“ยุ่ง”
“ปากดี กูช่วยมึงไม่สำนึกเลยหรอ แล้วพูดจาหัดดูอายุบ้างเถอะ”
“เออ”มันตัดบทสนทนา
เวลาผ่านไป เราอยู่ในลิฟต์ ขึ้นลงกันเกือบครึ่งชั่วโมง จนผมเริ่มจะมั่นใจว่าพวกที่ตามล่าไอ้เด็กแสบนี่ไม่อยู่แล้ว จึงพามันออกมาจากลิฟต์ สภาพมันตอนนี้ดูแย่และเครียด จนผมเองก็ไม่อยากจะพูดอะไรกับมันมาก ผมลากมันมาที่ลานจอดรถแถวๆที่ผมจอดรถไว้ ปัญหาของมันหมดแล้ว ได้เวลาพูดปัญหาของผมซักที
“ขอโทษกูซะ”
“อะไร”
“ก็ที่มึงชนกูจนข้าวของเสียหาย”ผมเริ่มจะมีน้ำโหกับหน้าตาเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ของมัน ไม่เข้าว่าตั้งใจกวนหรอไม่รู้จริงๆ
“ก็ขวางเอง”มันตอบเสียงเรียบ หน้าตามันเฉยเมยดูไม่สนใจโลก ผมไม่ยอม วิ่งไปขวางมันแล้วจับแขนบางๆนั่นแน่น
“ยังจะพูดแบบนี้อีกหรอ ไหนจะที่ช่วยเมื่อกี้อีก พูดแบบนี้.......”
“เฮ้ย นั่นไง พวกมันอยู่นั่น!!!”
“ชิบหาบ!!!”
ผมเหลือบตามองไอ้เด็กแสบที่นั่งหน้าขาวอยู่ข้างๆเป็นระยะ เราสองคนเพิ่งผ่านเหตุการณ์เฉียดตายมาเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว หลักจากได้ยินเสียง ภาพที่ผมเห็นคือเด็กวัยรุ่นที่กลุ่มเดิมที่ตามไอ้คนที่ชนผมมา แต่ตอนนี้มันมีอาวุธเสริมคือไม้หน้าสามขนาดพอดีมือ
ผมกับไอ้เด็กสองคนมองหน้ากันแล้ววิ่งหนีอย่างสุดชีวิต จนคงมีคนเห็นเหตุการณ์จึงไปตามยามมาจับพวกมัน ผมใช้โอกาสที่พวกนั้นหนียามลากไอ้เด็กแสบนั่นขึ้นรถของผมแล้วขับออกมาทันที
Rrrrrrrrrrrrrr
ผมหันไปมองข้างๆ เสียงที่ดังขึ้นคือเสียงโทรศัพท์ของมัน
“อื้ม กูยังไม่ตายหรอกน่า ไอ้เหี้ยคยู มึงก็รีบออกจากโรงบาลมาช่วยกูดิ เออน่ากูไม่โง่กลับไปให้มันซ้อมหรอก ไม่รู้วะ อย่าโวยวายได้มั๊ยกูเอาตัวรอดได้น่า เออนึกออกละ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูไปอยู่บ้านไอ้เย่ก็ได้ เออรู้แล้วหุบปากมึงได้แล้ว เออ”ผมพูดโทรศัพท์เสร็จก็วางสายลง
บนสนทนาเมื่อกี้ผมไม่รู้ว่ามันพูดกับใครหรือเรื่องอะไร แต่ถ้าให้เดาคงเกี่ยวกับเรื่องที่มันโดนตากกระทืบเนี้ยแหละ แต่สิ่งนึงที่ไม่ต้องเดาเลยคือ เด็กนี่มันปากร้ายและน่าจะแสบมากพอตัว
“ไปสร้างเรื่องอะไรไว้”ผมถาม ไอ้เด็กแสบหันมามองหน้าผม วินาทีที่มันหันมาผมอดจากตกใจไม่ได้ เมื่อกี้มัวแต่วิ่ง ไม่ได้ตั้งใจมองหน้ามันตรงๆซักครั้ง เพิ่งสังเกตเห็น ว่าเด็กนี่มัน
น่ารัก
“ไม่ได้สร้าง พวกมันเหี้ยเอง”มันพูดเสียงแน้วแน่ เชิดปากอย่างมั่นใจ หน้าตาคนเรานี่ไม่ได้บอกถึงนิสัยเลยจริงๆ
“เราเป็นคนดีว่างั้น?”ผมเปลี่ยนสรรพนาม เพิ่งนึกได้ว่าตอนอยู่ในห้างพูดกูมึงกับมัน ยังไงมันก็เป็นเด็ก ผู้ใหญ่อย่างผมควรเป็นตัวอย่างที่ดี อีกอย่างผมไม่ได้โกรธอะไรมันแล้ว
ไม่เข้าใจว่าทำไม อะไรบางอย่างบอกให้ผมอย่าโกรธมัน และช่วยมันไว้
“ผมว่าพี่พูดมากไป”ความจริงแล้ว ไอ้เด็กนี่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร
ผมใช้เวลาอยู่บนรถกว่าหนึ่งชั่วโมงกว่า วันนี้รถติดจนแทบจะขยับไม่ได้เลย ส่วนไอ้ตัวแสบที่ทำให้ผมเดือดร้อนในวันนี้ก็นอนหลับปุ๊ยอย่างสบายใจ จนตอนนี้รถผมแล่นมาจอดหน้าคอนโดผมซะแล้ว จะบอกว่าแย่ชะมัด ผมลืมถามเด็กเจ้าปัญหาว่าให้ผมไปส่งมันที่ไหน เอาเถอะ รอมันตื่นค่อยส่งขึ้นแท็กซี่กลับบ้านแล้วกัน ผมไม่ใช่คนดีขนาดจะย้อนไปส่งมันอีกครั้งหรอก
“อื้ม”
“นอนสบายจริงไอ้แสบ”ผมเคลื่อนรถเข้าไปจอดในลานจอดรถคอมโด ก่อนจะหันมาปลุกเจ้าเด็กดื้อนี่ซะหน่อย
“อื้มม”ไอ้เด็กดื้อปัดมือผมออกอย่างไม่ใยดี ด้วยความหมั่นไส้บวกกับความขี้แกล้งของผม ทำให้ผมโน้มตัวเข้าไปหาคนตัวขาวมากขึ้นเพื่อหวังจะแกล้ง แต่เหมือนสมองมันจะหยุดทำงาน เมื่อตามันโฟกัสไปมองริมฝีปากสีสวยนั่น
ตอนนี้ร่างของไอ้เด็กตัวขาวนี่กำลังนอนหลับตาพริ้ม หน้าตาดูไร้พิษสง ตาเรียวที่ปิดลงทำให้มันดูเหมือนเด็กน้อยขี้เซาที่แสนจะน่าเอ็นดู ใบหน้าขาวใส จมูกสวยรั้นได้รูปรับกับริมฝีปากสีชมพูสดเป็นอย่างดี
อ่า น่ารักจริงๆ
“คิดอะไรว่ะ”ผมรู้สึกว่าตัวเองฟุ้งซ่านเกินไปแล้ว ได้แต่สะบัดไล่ความคิดบ้าๆก่อนจะปลุกมันอย่างจริงจังซักที
“นี่ ตื่น จะนอนไปถึงไหน”ผมส่งเสียงพร้อมเอือมมือไปเขย่าแขนบางๆนั่น คนตัวเล็กยังคงแสดงท่าทีรำคาญแต่ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นง่ายๆ ผมเลยตัดสินใจโน้มตัวเข้าไปใกล้อีก แล้วออกแรงเขย่าให้แรงกว่าเดิม
“ตื่น!!!”
“อื้ม อย่ายุ่ง.....อ้ะ”สงสัยผมจะเขย่าแรงไป ไอ้เด็กนี่เลยตื่น ทำให้ตาสวยนั่นสบเข้ากับตาผมเต็มๆ ผมเพิ่งรู้สึกตัวแฮะ ตอนนี้ใบหน้าของเราใกล้กันเกินไปแล้ว
“พี่”
“อะเอ่อ ถึงอคนโดฉันแล้ว”เงียบอยู่นานจนไอ้แสบพูดขึ้น แล้วเสียงของมันทำให้ผมรู้สึกตัว
เผลอมองหน้าใสๆนี่นานไปแล้ว
“อื้ม”
“ก็เอ่อ แล้วบ้านนายอยู่ไหน นี่ก็สองทุ่มกว่าแล้ว กลับบ้านไปนอนได้แล้วไป”
“นอนนี่”
“หื้อ?”
“ขอนอนด้วย”
“เฮ้ย”ไม่ตกใจก็บ้าแล้วครับ ไอ้เด็กแสบของนอนด้วย นี่ผมไม่ได้สติเลาะเลือนใช่มั๊ย ผมรีบถอยกับมานั่งที่เบาะตัวเองโดยอัตโนมัติ เหมือนทำอะไรไม่ถูก ก็ทำอะไรไม่ถูกจริงๆแหละ อยู่ๆก็มีเด็กม.ปลาย นักเลงซะด้วยมาขอนอนบ้าน
“พี่จะตกใจอะไรมากมายวะ แค่ขอนอนด้วยเอง”ไอ้เด็กแสบมันทำหน้าเหมือนโมโหผม แต่มันก็ดูออกจะเก็บอาการนิดๆ คงรู้สึกตัวแหละว่าเป็นคนมาเค้านอนคควรทำตัวดีๆ แต่ถึงทำตัวดีแค่ไหนก็ไม่ให้หรอกเว้ย
“พูดบ้าอะไร มาขอนอนด้วยได้ไงชื่อยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ เลิกเพ้อเจ้อแล้วกลับบ้านเถอะน่า”
“ชื่อฮยอกแจ อี ฮยอกแจ ไม่ได้เพ้อเจ้อ และจะนอนนี่จริงๆ”
ปัง!!!
พูดจบมันก็ลงรถนำผมหน้าตาเฉย ปิดประตูแรงจนผมคิดว่ารถผมจะพังซะตอนนั้น
นี่มันบ้าอะไรกัน
ผมปรงตกกับชีวิต อยู่ๆมีคนมาเดินชนข้างของเสียหาย แต่ผมดันนึกบ้าช่วยไอ้คนๆนั้นออกมาจากการโดนรุมกระทืบ พอช่วยเสร็จมันไม่จบ ขอนอนบ้านผมต่อ เฮ้ย มันต้องการอะไรจากผมวะครับ
ผมเงยหหน้าขึ้นจากรามยอนถ้วยใหญ่ ตอนนี้ตรงหน้าผมดีเด็กน้อยหน้าตาน่ารักแต่นิสัยโคตรสวนทางนั่งจ้องมาที่ผมตาแป๋ว นอนจากจะต้องให้มันมาอาศัยนอนที่นี่แล้ว ยังต้องหาข้าวให้กินอีก
“อาหารสิ้นคิดมาก”อยากถามว่าก็มีแค่นี้จะแดกมั๊ย
“กินไปอย่าพูดมาก”
“แม้ง”
“พูดว่าอะไรนะ”
“บอกว่าขอบคุณขอบครับพี่ทงเฮ”คุยกันมันแล้วผมอยากจะถอนหายใจซักล้านรอบจริงๆ ตั้งแต่คุยกันมายังไม่มีคำพูดไหนที่แสดงว่ามันไม่ได้กวนตีน แอบด่า หรือล้อเลียนผมแม้แต่ประโยคเดียว แต่ก็แปลกผมกลับชอบชวนมันคุยจัง
อาจจะเพราะทุกวันนี้ผมอยู่คนเดียวมันช่างเงียบเหงา
การคุยกับเด็กแบบฮยอกแจเลยทำให้ผมรู้สึกดีมั้ง
“อายุเท่าไหร่แล้ว เรียนอยู่ชั้นไหน”นี่ผมคงชอบคุยกับฮยอกแจมันจริงๆ ผมชวนมันคุยอีกแล้ว เห็นผมใจง่ายยอมให้มันนอนด้วยใช่ว่าเราจะสนิทกันแล้วนะ
“ครูไม่สอนหรอพี่ ว่าเวลากินห้ามคุย”ฮยอกแจมันตอบหน้าตาย พลางคีบเส้นรามยอนเข้าปากอย่างหน้าตาเฉย
“ฮยอกแจ!”ผมปรามเมื่อเห็นว่ามันย้อนผู้ใหญ่ซึ่งก็คือผม
“ดุจริงเว้ย อายุ 17 อยู่ม.ปลายปี 2 ต้องบอกโรงเรียนด้วยมั๊ย หรือต้องวาดแผนที่ให้เลย”ฮยอกแจว่าพร้อมเคียวเส้นอย่างมีความสุข ถ้าไม่นับคำพูดมัน ผมว่ามันคือคนที่กินรามยอนได้น่ารักที่สุดในโลก
“ยังเด็กยังเล็ก สร้างเรื่องซะแล้ว แล้วนี่ทะเลาะอะไรกับพวกนั้นหละ”ผมยังไมเลิกสงสัย ยังคงถามต่อไป ตาก็แอบมองคนตรงหน้าเป็นระยะ คนอะไร เวลากินยังดูน่ารัก
“ไม่ได้สร้าง พวกแม้งเหี้ยเอง”ฮยอกแจแจเถียง ยืนยันคำเดิมกับที่บอกผผมในห้าง เอาเข้าไป
“ฮยอกแจ!!”
“เฮ้อ จู้จี้ยิ่งกว่าแม่อีกเว้ย”
ผมไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงๆ เด็กคนนี้มันร้ายจริงๆ ถ้าเป็นลูกผมคงจะจับตีซะให้เข็ด
หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมกับฮยอกแจก็ได้เวลาเข้าอาบน้ำ ผมอาบเสร็จเจ้าตัวดีมันก็อาบต่อ เนื่องจากไม่มีชุด ฮยอกแจเลยต้องใส่ชุดของผมซึ่งใหญ่เกินตัวเองมากไปก่อน ผมเองก็พออาบน้ำเสร็จก็ถึงเวลาต้องทำงานซักที
“ขอออกไปนอกระเบียงได้มั๊ย”ผมเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารมองฮยอกแจ ตอนนี้ไอ้ตัวแสบปิดทีวีแล้ว คงจะไม่มีอะไรทำ ผมพยักหน้ารับ
ผมทำงานจนเวลาล่วงเลยไปถึงสี่ทุ่มครึ่ง ลุกขึ้นบิดขี้เกียจเพื่อผ่อนคลายตัวเองซักหน่อย ก่อนจะสู้กับงานที่เหลือต่อ แต่สายตามันก็ดันมองไปเห็นนอกระเบียง ฮยอกแจนั่งฟุบอยู่ขอบระเบียง แสงจันทร์ที่สาดส่องมาทำให้คนตัวเล็กดูขาวผุดผ่อง มารู้ตัวอีกทีขาของผมก็เดินมาหยุดอยู่ข้างๆร่างนั้นแล้ว
“หลับแล้วหรอ”ผมเอ่ยถาม รู้สึกว่าเสียงตัวเองในตอนนี้อบอุ่นแปลกๆ
“หลับแล้ว”
“หลับแล้วตอบได้หรอ?”
“ก็รู้นี่ แล้วถามทำไม?”คำตอบที่ผมควรจะโกรธถูกส่งออกมาจากริมฝีปากเล็ก แต่แปลกที่ตอนนี้ผมไม่รู้สึกโกรธที่โดยเจ้าเด็กแสบนี้กวนซักนิด ในทางกลับกันผมรู้สึกเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก
“ทำไมถึงต้องมาขอนอนที่นี่”ผมเอ่ยสิ่งที่ตัวเองสงสัยออกไป
“ทำไม รำคาญผมหรอไง”คำถามนั้นทำเอาผมชะงัก จะว่าผมรำคาญหรือลำบากใจก็ไม่ใช่ กลับรู้สึกดีด้วยซ้ำ แต่ถ้าให้ตอบตรงๆมันก็ยังไงอยู่
“...........”
“ก็กลับบ้านไม่ได้ ป่านนี้พวกมันคนดักรออยู่ที่บ้าน”คงเห็นว่าผมไม่ยอมตอบ ไอ้ตัวแสบมันเลยตอบมาก่อน
“แล้วอยู่คนเดียว?”
“อื้ม”จะว่ายังไงดีละ ตอนที่มันตอบ เสียงและหน้าตามันดูเศร้าแปลกๆ
“แล้ว.....”
“พ่อแม่เสียแล้ว ป้าเลี้ยง ตอนนี้ป้าอยู่ต่างจังหวัด ไม่มีญาติหรือพี่น้องคนอื่นแล้ว”ไม่ต้องรอให้ถาม ฮยอกแจก็ตอบมาซะหมดเปลือก ผมว่าฮยอกแจคงรู้สึกอย่างเดียวกับผมรึเปล่า
รู้สึกเหงา
การอยู่คนเดียว ทำให้ผมรู้สึกเหงา
เนิ่นนานที่ทั่วบริเวณตกอยู่ในความเงียบ ผมกับฮยอกแจนั่งมองออกนอกระเบียงไปอย่างเงียบๆไม่มีใครพูดอะไร ความรู้สึกในใจที่เกิดขึ้นในวันนี้ที่มาพร้อมกับคนที่นั่งข้างมันมีมากมายจนบอกไม่ถูก
รู้สึกโกรธที่บังอาจทำข้าวของผมเสียหาย รู้สึกเป็นห่วงตอนมันโดนตามล่า รู้สึกงงๆตอนมันขอมานอนด้วย รู้สึกหมั่นไส้เวลาพูดกับมัน รู้สึกเอ็นดูเวลามองหน้า รู้สึกขัดใจเวลาได้ยินคำพูดร้ายๆที่แสนจะสวนทางกับหน้าตา รู้สึกสงสารตอนมันพูดเรื่องพ่อแม่
คนๆเดียว ทำได้ขนาดนี้เลยหรอ
“ยังไงการอยู่คนเดียวมันก็มีข้อดีนะ อย่างน้อยมันก็ทำให้เราเรียนรู้ที่จะอยู่ได้ด้วยตัวเอง”ผมพูดขึ้นขัดความเงียบ อยากจะปลอบ อยากจะบอกว่าไม่เป็นไร
“บ่นไร?”
“ห้ะ?”ผมถึงกับงงเป็นไก่ตาแตกกับคำพูดของฮยอกแจ เมื่อกี้เรากำลังดราม่ากันนะ แล้วไอ้หน้าตาหาเรื่องกับคำพูดเมื่อกี้คืออะไร
“อย่ามาดราม่า โตอย่างกับควายมาทำตัวเซนซิทีฟเป็นเด็กสาวเพิ่งเริ่มรักไปได้ จะอ้วก”น่านไง ดราม่าได้ไม่นานมันพาเปลี่ยนอารมณ์ หน้าตาฮยอกแจตอนนี้มันกวนตีนเข้าไส้ แต่ผมก็แอบเห็นแววตาเศร้าๆอยู่ในดวงตาคู่นั้นนะ พยายามเข้มแข็งเพื่อไม่ให้ใครมาสงสารหรอ
นายนี่มันมีอะไรน่าสนใจจริงๆฮยอกแจ
เป็นเด็กน้อยน่าปกป้องได้ไม่นาน มันก็แผลงฤทธิ์อีกแล้ว
“ขยับไป จะนอนฝั่งนี้!!!!!”เสียงตะโกนลั่นห้องทำเอาผมต้องยกมือขึ้นปิดหู ตอนนี้ก็เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ผมเองทำงานเสร็จก็ได้เวลานอน จะติดก็แต่ไอ้เด็กที่เพิ่งเล่นไอแพดผมเสร็จเนี้ยสิ มีปัญหาไม่ยอมให้ผมนอน บอกจะนอนฝั่งซ้าย ให้ผมนอนขวา นี่มันบ้าอะไรวะ
“อย่าแหกปากได้มั๊ย นี่มันดึกแล้วนะ”
“ก็ถอยไปสิวะ นอนจะฝั่งซ้าย”
“มันต่างกันยังไง”
“พี่ทงเฮ!!!!!!!!!!!”
“โอเคๆ”แล้วสุดท้าย ผมก็ต้องยอมจนได้สินะ
ผมยอมขยับไปนอนด้านขวาตามที่ไอ้ตัวแสบมันต้องการ ฮยอกแจยิ้มชอบใจที่เอาชนะผมได้ ก่อนจะทิ้งตัวลงข้างผม
ผมพยายามข่มตาหลับ แต่ไม่เข้าใจเหมือนกันทำไมวันนี้ผมไม่สามารถหลับลงได้เลย ไม่ใช่เพราะมีคนมานอนด้วย ไม่รู้สิ ความรู้สึกในใจอะไรบางอย่างมันเปลี่ยนไป
“ฮยอกแจ”ผมเองขึ้นเบาๆ ลองเรียกคนข้างๆดู เพราะแอบเห็นว่าฮยอกแจก็ขยับไปขยับมาเหมือนนอนไม่หลับเช่นกัน
“ไร”ยังไม่นอนจริงด้วย
“นอนไม่หลับหรอ”
“อื้ม พี่อะ”ฮยอกแจตอบห้วนๆตามสไตล์ ผมเองเริ่มจะชินกับคำพูดเด็กนี้แล้วหละ
“พี่ก็นอนไม่หลับ รู้สึก...”ผมยังตอบไม่เสร็จก็โดนขัดขึ้นมาก่อน
“นอนเถอะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นไปส่งผมแต่เช้า”ฮยอกแจเอ่ย ก่อนจะพลิกตัวหันหลังให้ผม ไม่รู้ทำไม แต่คำพูดเมื่อกี้มันทำให้ใจผมหล่นวูบ แค่คิดว่าพรุ่งนี้จะต้องกลับไปอยู่คนเดียวเหมือนเมื่อก่อนผมก็รู้สึกใจหายแปลกๆ
เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงทำให้คนเราเปลี่ยนไปมากขนาดนี้เลยหรือไง
ผมค่อยๆผ่อนลมหายใจแล้วพยายามข่มตาหลับลง แม้ในใจมันจะไม่ได้หลับตามไปด้วยเลย นึกเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นวันนี้แล้วก็ได้แต่แปลกใจกับความรู้สึกของตัวเอง ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ตัวเองกำลังคิดอะไร แต่ที่แน่ๆ ผมไม่อยากให้ฮยอกแจไปเลย
เวลานั้นมันมาถึงเร็วกว่าที่คิด ตอนนี้ผมกับฮยอกแจเราอยู่บนรถ ผมจะต้องไปส่งฮยอกแจที่บ้านเพื่อนชื่อเยซองๆอะไรซักอย่างเพราะฮยอกแจยังกลับบ้านไม่ได้ ตอนนี้ผมอดจะใจหายไม่ได้เลยจริงๆ
“เป็นไร ทำหน้าเหมือนกำลังจะถูกเชือด”น่านไง ไอ้เด็กคนนี้มันไม่เคยสงบปากสงบคำเลยจริงๆ
“ปากร้ายจริงๆ”
“ฮ่าๆๆๆๆ ก็แหม ยิ้มหน่อยสิ จะหมดภาระแล้วนะ”อยากบอกว่านั้นแหล สิ่งที่ทำให้ผมยิ้มไม่ออก
รถของผม เลื่อนมาจอดหน้าบ้านหลังใหญ่ ไม่นานก็มีคุณป้าแม่บ้านวิ่งออกมาเปิดประตู พร้อมเจ้าของบ้านที่คาดว่าเป็นเพื่อนฮยอกแจ เจ้าเด็กคนนี้ออกจะดูแปลกๆ แต่ตัวแปลกๆ อยู่ในร่มยังใส่แว่นกันแดด แถมเจอหน้าฮยอกแจปุ๊บก็ถ่ายรูปเซลก้าคู่กันปั๊บ
“เยซอง นี่พี่ทงเฮ เค้าช่วยกูไว้”ฮยอกแจแนะนำผมให้รู้จักกับเพื่อนแปลกๆของตัวเอง
“สวัสดี ขอบคุณที่ช่วยเพื่อนผมไว้ ปะ เข้าบ้านเถอะมึง ยังไงช่วงนี้ก็อยู่บ้านกูก่อน”ไอ้เด็กเยซองว่า พร้อมกับดันฮยอกแจเข้าบ้าน อย่าเพิ่งไปสิวะ
“มึงไปก่อนเลยเยซอง เดี๋ยวกูตามไป”เยส จะเปลี่ยนใจไปอยู่บ้านพี่แล้วใช่มั๊ย
“ขอบคุณนะพี่ทงเฮ โชคดี”แล้วฮยอกแจก็วิ่งเข้าไปบ้านไป
เฮ้อออออ
หวังอะไรอยู่ว่ะทงเฮ
จะเอาอะไรกับคนที่เพิ่งเจอไม่ถึงวันด้วยซ้ำ
ผมกลับมานอนบ้านอย่างหมดอาลัยตายอยาก อยากระหัวเราะไห้ตัวเองดังๆ ทำไมรู้สึกเหนื่อยแล้วไม่อยากจะทำอะไรขนาดนี้ ถ้าเป็นไปได้ตอนนี้ผมอยากขับรถกลับไปบ้านหลังเมื่อกี้แล้วลากฮยอกแจกลับมาอยู่กับผม นี่มันแย่ชะมัด
ถ้ามีโอกาส ก็อยากจะทำความรู้จักกันอีกซักนิด
“เลิกบ้าได้แล้ว”ผมสะบัดไล่ความคิดในหัวออกไป ก่อนจะเอื้อมไปหยิบถุงกล่องโทรศัพท์ที่เพิ่งซื้อมาใหม่เมื่อวานขึ้นมาดู ลืมคิดไปว่าตั้งแต่ซื้อโทรศัพท์มาก็ยังไม่ได้ชาร์ตแบตเลย ขอชาร์ตแบตก่อน
ระหว่างที่ผมกำลังหยิบโทรศัพท์ที่หัวเตียงแล้วหันมาแกะกล่องโทรศัพท์เพื่อเอาที่ชาร์ตแบต ตามันก็ดันดี หันไปสังเกตเห็นอะไรซะก่อน
“นี่มัน”โพสอิทส้ม ที่ผมชอบใช้ถูกแปะอยู่บนกล่องโทรศัพท์ ก่อนจะถูกเขียนด้วยลายมือขยุกขยิกของใครบางคน ชื่อนั้นทำให้ใจผมเต้นแรงจนแทบหยุดไม่อยู่ ยิ่งข้อความข้างในมันทำให้ผมแทบบ้า
ตึกตักๆๆ ใจเต้นจนแทบระเบิด
ผมหันไปมองนาฬิกาแทบจะทันทีที่อ่านจบ ตอนนี้ยังมีเวลาอยู่ ผมกดโทรศัพท์โทรหาเบอร์นั้นทันที รอหว่างรอสายใจมันยิ่งเต้นแรงกว่าเดิม
‘ฮัลโหล’
“........”เป็นเสียงฮยอกแจจริงๆ ผมเงียบไม่กล้าพูดอะไร
‘ฮัลโหล ใครเนี้ย เป็นเหี้ยอะไรโทรมาไม่พูด งั้นกูวางละนะ’
“เดี๋ยว”
‘........’
“โทรมายืนยันสิทธิ แต่ตอนนี้เก้าโมงแล้ว ยังทันมั๊ย”
‘ทันสิ ตลอดชีวิตก็รอได้ นึกว่าจะไม่โทรมาซะแล้ว’
“ใครจะยอมพลาดสิทธิพิเศษแบบนี้หละ”
‘.......’
“ว่าแต่.....ติดแล้วใช่มั๊ย”
ถึง พี่สุดหล่อ
ขอโทษที่ทำให้เดือดร้อน ขอบคุณที่ช่วยไว้
ไม่รู้จะขอโทษหรือขอบคุณยังไงดี งั้นเอานี่ไปแล้วกัน
‘สิทธิพิเศษ ถ้าจีบตอนนี้ ไม่ต้องลุ้น ติดทันที’
โทรมายืนยันสิทธิ์ก่อน 8 โมงเช้านะ 090 xxx xxxx
ฮยอกแจ
ไร้พล็อต ไร้แนว นึกไปแต่งไป ชื่อเรื่องก็โคตรจะไม่เกี่ยว อาจจะเน่าไปนิด ถ้ามีโอกาสจะมาแก้ตัวในเรื่องหน้าแล้วกันนะจุ๊บๆ
ความคิดเห็น