ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    *ปฏิบัติการณ์รักร้าย Ver. เจ้าชาย..กับนายตัวแสบ*by ozaka

    ลำดับตอนที่ #43 : CHAPTER 42 อย่าโทษตัวเอง...

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.1K
      17
      1 ธ.ค. 54

     

     

    CHAPTER 42

     

    อย่าโทษตัวเอง...

     

     

     

     

     

     

                    ปิ๊บๆ  ปิ๊บๆ..

                    เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นข้างๆหูกระชากผมจากห้วงนิทรา  พอปรือตามองฟ้าเพดานก็เห็นม่านเตียงสี่เสาเป็นอันดับแรก  มองกี่ทีก็ไม่ชินกับความหรูหรา..แต่นั่นมันก็ทำให้ผมตื่นเต็มตาในทุกๆเช้าน่ะแหละ

                    ผมยันกายลุกขึ้นนั่งเพื่อมาปิดมัน  น่าแปลกสำหรับวันนี้ที่ไม่มีแขนของใครบางคนมาเกี่ยวเอาไว้เหมือนเคย  พอหันกลับไปมองไอ้คุณเจ้าของห้องก็ม้วนตัวเองอยู่ในผ้าห่มสุดมุมเตียงอีกฝากซะแล้ว

     

                    ตีสี่ครึ่ง..

     

                    โอเค  ยังมีเวลา..ขัดห้องน้ำตอนเช้าหน่อยดีกว่า..

                    สักหกโมงค่อยปลุกสีครามยังทัน…

                    คิดแล้วก็รีบลุกขึ้นจากเตียงตรงดิ่งไปห้องน้ำ  หยิบชุดนักเรียนเข้าไปแขวนไว้ในห้องเปลี่ยนเสื้อด้วย  จัดแจงตัวเองเรียบร้อยก็เดินเข้าไปจัดการธุระยามเช้า  หันมาเล็งชักโคตรKohlerสีขาวสะอาดแล้วราดเป็ดลงไปจัดการคราบสกปรก  แน่นอนว่าต้องสวมถุงมือยางสีส้มด้วยนะครับ  เดี๋ยวมันกัดมือ..ผมโดนบ่อย

                    ส่วนไอ้อ่างจากุชชี่นี่ผมกะไม่ขัดละ…ไว้ทีหลัง  ดูขนาดแล้วไม่อยากขัดเลยให้ดิ้นตาย  เลยราดเป็ดลงพื้นกระเบื้องแล้วถูๆไปตามเรื่อง  เอาน้ำราดๆปื้ดๆๆ..

     

                    นานๆทีผมจะได้มีโอกาสทำความสะอาดห้องสีคราม(ถึงแม้ว่าจะเขียนป้ายDon’t disturbไว้ด้านหน้าแล้วก็ตามที  แต่ก็มักจับได้ว่ามีใครเอาเครื่องดูดฝุ่นมาใช้เสมอ =[]=!!)  กว่าจะกลับถึงบ้านก็เย็นแล้ว  ยังต้องทบทวนบทเรียน  อ่านหนังสือ  ลอกแลคเชอร์รอบที่2อีก 

                    อ่ะ..จริงสิ..อาทิตย์นี้ก็สุนทรพจน์แล้วนี่หว่า  วันนี้ต้องไปคุยกับลาล่าสักหน่อยว่าจะไปยังไง..จะรบกวนให้สีครามไปส่งก็คงไม่ได้….อืม…แม่ไวน์จะเอารถไปส่งอ๊ะเปล่าหว่า…นัดกันไปค้างบ้านไวน์เลยดีมั้ย…

     

                    ซู่วววว~~

     

                    ผมฉีดน้ำล้างครั้งสุดท้ายแล้วยกมือปาดเหงื่อ  ห้องน้ำบ้านแป๊ะไรวะแม่งกว้างชิบหาย  แต่เหงื่อขนาดนี้เหมือนออกกำลังกายตอนเช้าก็ไม่ปาน  เอาวะ  อาบน้ำแล้วออกไปปลุกสีครามดีกว่า

                    ผมอาบน้ำ(ก็เพิ่งบอกอยู่..จะบอกซ้ำทำห่าไรวะ..)ด้วยความเร็วเหมือนปกติ  ออกมาแปรงฟัน  แต่งตัว  แล้วเดินออกจากห้องน้ำ

                    ยังไม่หกโมงดี  ท้องฟ้าก็ยังไม่สว่างอะไรมาก  ห้องทั้งห้องเลยคล้ายๆว่าจะมืดสนิท  ผมรู้สึกว่าแอร์มันร้อนๆ  พอหันไปมองก็พบว่าแอร์ปิดแล้ว  สงสัยสีครามจะลุกขึ้นมาปิดแล้วลงไปนอนต่อละมั้ง

     

                    สีคราม…ตื่นได้แล้ว”

     

                    ผมเรียกพลางผูกไทให้ตัวเอง  จัดแจงใส่เข็มขัดเรียบร้อยแล้วหันกลับไปมองมันอีกรอบ

                    ร่างสูงไม่กระดิกเลยแม้แต่น้อย  จากตรงนี้ผมเห็นแค่ผ้าห่มสีครีมผืนหนากับเรือนผมสีดำโผล่ขึ้นมาบนหมอนเท่านั้นเอง

                    สีคราม  ไม่ตื่นตอนนี้เดี๋ยวจะสายเอานะ”

                    ผมเรียกมันอีกรอบแล้วก้มตัวใส่ถุงเท้า  กระดิกนิ้วเท้าใต้ผ้าหนาๆเล่นเช็คความสบาย  แล้วหันกลับไปอีกรอบ

     

                    ..มันก็ยังนอนเหมือนเดิม..

     

                    จะอ้อนรึไง?

                    เอาวะ  วันนี้อารมณ์ดี  จะเดินไปปลุกให้ถึงเตียงหน่อยละกัน..

     

                    สีคราม”

                    ผมเรียกชื่อเขาแล้วเขย่าตัวเล่น  หมอนั่นขยับตัวนิดหน่อยเพื่อเปิดหน้าตัวเองออกมา

                    ตื่นได้แล้วครับ  หกโมงแล้ว”

                    พอเห็นหน้าเบลอๆแบบนั้นก็เลยถือโอกาสพูดสุภาพสักหน่อย

                    “….ขออีก5นาทีนะ….”

                    มันบอกก่อนจะปิดตาลงอีกครั้ง

     

                    และผมก็สังเกตได้..

     

                    เสียงแหบเกินไปรึเปล่า…

     

                    ผมถือวิสาสะเอื้อมไปแตะตัวเขา  รู้สึกถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  เลยเลื่อนมาตรงคอ  ร้อนกว่าหัวอีก  หนำซ้ำถ้ามองไม่ผิดนี่ออกแนวปากซีดแล้วนะ..!!

     

                    “…มึงมีไข้นะ!  แล้วทำไมไม่บอกกันละ..!!  โธ่..”

                    “…ขอโทษฮับ….แค่ก..!”

                    มันพึมพำอ่อนทั้งยังไม่เปิดเปลือกตา  ผมถอนหายใจแรงๆแกมหงุดหงิดใจ  กระชากผ้าห่มออกจากตัวหมอนั่น..เหงื่องี้ไหลพลั่กเชียว..แต่จะปิดแอร์ไม่ได้(ตามสูตร)

                    แต่ก่อนอื่น..

                    ผมหยิบโทรศัพท์ข้างหัวเตียงขึ้นมาแนบหู  เสียงตรู๊ดดังไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงพี่ก้อยแทรกออกมา

                    พี่ก้อย..สีครามไม่สบายอ่ะ  เตรียมยากับข้าวต้มให้หน่อยนะครับ  อืม..เจ็บคอ  ตัวร้อน  ปวดหัว  ไม่มีน้ำมูก..ครับ  ครับ…”

     

                    หลังจากวางสายก็เดินไปเปิดแอร์  แล้วหยิบผ้าขนหนู กะละมัง  กับเสื้อผ้ามาให้มันเปลี่ยนด้วย

                    ..ดวงหน้าคมค่อยๆขึ้นสีระเรื่อ  เหงื่อซึมชื้นขึ้นตั้งแต่ไรผมลงมาถึงลำคอ  ดวงตาคู่สวยปรือมองผม..มันคลอเคล้าไปด้วยน้ำตาจากพิษไข้  คิ้วเรียวสีเข้มขมวดเข้าหากันนิดๆเพราะแรงทรมาน  กับเสียงหอบหายใจแรงๆอย่างเหนื่อยอ่อน  ทุกสิ่งทุกอย่างหลอมรวมให้ผมเห็นภาพตอนที่เขาอยู่ข้างบนตัวผมขึ้นมาทาบทับ  แล้วส่งคำบอกรักนับพันนับหมื่นคำที่ข้างหูยังไงชอบกล………….

                    อืม…

                    นี่กูคิดเหี้ยไรอยู่เนี่ย….

                    ผมหน้าร้อนฉ่าตอนปลดกระดุมเสื้อให้เขา  หมอนั่นพยักหน้านิดๆเป็นเชิงขอบคุณ  ตอนแรกก็มีท่าทีจะทำเองบ้างอยู่หรอก..แต่พอเห็นผมไม่ได้สั่งก็นอนลงไปเลยนะ..จำไว้..ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ!

     

                    กว่าจะเช็ดเนื้อตัวทำแป๊ะอะไรเสร็จ  พี่ก้อยก็เอาข้าวต้มมาเสิร์ฟให้

     

                    พี่ช่วยดูมั้ยจ้ะ?”

                    อ้อ..ไม่เป็นไรครับ  เดี๋ยวผมดูเอง  รบกวนพี่ก้อยเรียนคุณพ่อคุณแม่ด้วยนะครับว่าสีครามไม่สบาย”

                    จ้า  งั้นเดี๋ยวพี่บอกให้”

                    หล่อนยิ้มหวานแล้วเดินออกนอกห้อง  แต่ไอ้รอยยิ้มนั่นมันดูมีพิรุทอยู่นา..

     

                    สีคราม  กินข้าวก่อนจะได้กินยา”

                    “…อืม….ไม่อยากกินอ่ะ…”

                    เสียงที่พูดออกมาฟังดูอู้อี้เหมือนเด็กที่ไม่ยอมไปโรงเรียน

     

                    ผมถอนหายใจ “กูป้อนนะ”

     

                    มันนิ่งไปสักพักก่อนจะยอมลุกขึ้นมากิน(ให้ผมช่วยพยุงหน่อยๆ)  ก็รู้หรอกว่ากินทั้งๆแบบนี้มันคงจะขื่นคอ  แต่โจ๊กหมูอร่อยๆหอมกรุ่นมันก็ไม่ได้กินยากอะไร  แค่เข้าปากแล้วกลืนยังได้ด้วยซ้ำ

                    ผมก็ทำหน้าที่เป็นภรรยา..เอ้ย! เอิ่ม…อะไรดีวะ - -‘’  คนดูแลที่ดีล่ะกัน  ผมก็ทำหน้าที่เป็นคนดูแลที่ดีเป่าให้หายร้อน  แล้วยกไปจ่อปาก  มันก็อ้ากินงั่มๆแบบไม่ใคร่เต็มใจสักเท่าไหร่  แต่ยังมีหนังหน้ามายิ้มหลิ่วตาให้ผมอีก

                    แรงยังไม่มียังกล้าป้อกูอีก..เดี๊ยะๆ

     

                    มันกินได้นิดหน่อยแล้วก็บอกว่าพอจริงๆ  ไม่ไหวแล้ว  ผมก็ยอมๆมันหยิบแก้วน้ำขึ้นมาให้มันจิบ  แล้วยื่นยาให้สามเม็ด  กินพรวดเดียวหมด

                    มันฉีกยิ้มหวานทั้งหน้าตาเหนื่อยอ่อนให้ผม

                    “…..ถ้ารู้ว่าไม่สบายแล้วมีคนดูแลน่ารักอย่างงี้..แค่ก!...จะไม่สบายนานแล้ว….”

                    เหอะ! เสียงแหบขนาดนี้ยังจะปากดี  เป็นไงล่ะ  เมื่อคืนทำตัวงี่เง่าดีนัก!”

                    ฮะๆ…

                    นั่งกล่อมให้มันหลับอยู่สักพัก  มันก็ทำตัวว่านอนสอนง่าย..ใครบอกกันว่าคนไม่สบายมักจะพูดจาเอาแต่ใจเหมือนเด็กๆ  หรือว่าตอนเด็กมันก็ว่าง่ายอย่างงี้อยู่แล้วฟะ..

     

                    แล้วผมก็ขออนุญาตหันไปมองนาฬิกา..

     

     

                    เจ็ดโมงห้าสิบแล้ว…

                    แล้วโรงเรียนเอาไงดีวะ!!....ไอ้งี่เง่าเอ้ย!!!!!!

     

     

     

     

     

    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

     

     

     

     

     

     

                    พอคุณแม่ของสีครามอาสาดูแลลูกเอง  ผมก็ออกมาจากบ้านเวลาเก้าโมงกว่าๆ  เดินทางไปยังโรงเรียนเกษรวิทยาเพื่อร่ำเรียนการศึกษาอย่างที่พ่อแม่ผมหวังเอาไว้..

                    ผมโทรไปลากิจกับอาจารย์ที่ปรึกษา  ให้วานเขียนคำร้องให้ผมนิดนึงว่าเมทป่วยแล้วไม่มีใครดูแล  เลยจำต้องเข้าเรียนสายนิดหน่อย  โรงเรียนผมมันก็ดีอย่างนี้แหละครับ  ถ้าทำให้อาจารย์ถูกใจแล้วล่ะก็จะขอทำอะไรก็ทำได้  อย่างอาทิตย์ก่อนๆ..ที่ผมจำต้องหยุดเรียนไปเพราะโดนลักพาตัว  อาจารย์ก็ทำความเข้าใจเป็นอย่างดี  แถมผอ.โรงเรียนถึงกับมาเยี่ยมผมที่โรงพยาบาลอีกด้วยล่ะ..

     

                    ……….

     

                    ทำไมต้องบรรยายซีเรียสขนาดนี้น่ะหรอ..

     

                    ก็เพราะคนออกมาส่งผมน่ะ..คือพี่รุ้งน่ะสิ..!!!

     

                    พี่รุ้งบอกว่ามันเป็นทางผ่านไปธุระของพี่แกพอดี  ก็เลยเอาผมติดรถมาด้วยตอนกำลังจะก้าวลงบันไดขึ้นสุดท้ายเด๊ะๆ

                    วันนี้หล่อนอยู่ในชุดสูทผู้หญิงสีดำกับเกาะอกสุดเซ็กซี่  ผมหยักศกเป็นลอนๆนั่นปล่อยสยายแต่ไม่ถึงกับเซอร์มอซอ  กลับดูดีมีสกุลรุนชาติอย่างไม่น่าเชื่อ  เฟอร์รารี่เปิดประทุนสีแดงแจ๊ดแจ๋เล่นออกจากคฤหาสน์โกสินทร์วิตรมแล่นไปตามทางไปโรงเรียน

     

                    เพลงแนวCountryของอเมริกาดังสอดประสานไปตามสายลม  วันนี้รถเยอะกำลังดี(!) แดดก็ไม่ร้อน  ลมยังพอพัดเย็นสบายอยู่บ้าง  แต่พยากรณ์อากาศบอกว่าเย็นนี้ฝนจะตก

                    ..ผมพล่ามนอกเรื่องแล้วละ..

                    ก็ไม่กล้าหันไปชวนคนข้างๆคุยนี่นา..

     

                    น่าแปลก..นอนด้วยกัน..ทำไมไม่ติดหวัด?”

                    พี่รุ้งถามผมเสียงห้วน  ตอนแรกผมก็นึกว่าเขาหาเรื่องอยู่หรอก..แต่เพราะเขาเป็นคนพูดจาอย่างนั้นอยู่แล้วมั้งเลยปล่อยๆไป

                    “..ผมแข็งแรงฮะ..ไม่ค่อยติดหวัดใคร..”

                    ผมไม่เคยติดหวัดใครจริงๆน่ะแหละ  ส่วนใหญ่จะเป็นเอง  อย่างเวลาท้องเสียหรืออะไรทำนองนั้นไข้จะขึ้น  แล้วก็ตอนที่เป็นแผล..อย่างตอนโดนยิงนั่นน่ะแหละ..

                    หล่อนดูจะถามไปงั้นๆแบบไม่สนใจคำตอบ  ท่าทางคงกังวลที่จะต้องชวนผมคุยเหมือนกัน..

     

                    ถ้าหล่อนรักสีครามจริง..

                    หล่อนคงเป็นคนดี..

     

                    นั่นเป็นเหตุและผลหรอ? ไม่น่าใช่..ผมน่าจะหมายถึงคนที่เติบโตจากบ้านหลังนั้นต่างหาก  บ้านที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มกับความอบอุ่น(และเงินทอง?)แบบนั้น..

     

                    เลิกเรียนกี่โมง?”

                    ผมกระพริบตาปริบๆกับคำถามนั้น  “…วันนี้..สี่โมงครึ่งครับ..”

                    ให้มารับมั้ย?”

                    เอ๊ะ!  อ้อ..ไม่เป็นไรครับ  เดี๋ยวกลับเองก็คง..”

                    สี่โมงสี่สิบ  หน้าประตูละกัน”

                    “!! แต่…”

                    “……ไม่งั้นสีครามเอาพี่ตายแน่”

     

                    จากสรรพนามคำพูดที่แปรเปลี่ยนทำให้ผมใจชื้นขึ้นเป็นกอง  หล่อนเคาะนิ้วบนพวงมาลัยไปตามจังหวะเสียงเพลง

     

                    กานดา..”

                    เรียก..เดียร์ ก็ได้ฮะ”

                    อืม  โอเค  งั้นเดียร์  พี่เองก็ไม่ชินกับการเรียกผู้ชายว่ากานดาเหมือนกัน” เธอว่า  “รถที่สีครามเอากลับบ้านมาเมื่อวาน..รถใคร?”

                    “..อ้อ  รถพี่สิญจน์น่ะฮ่ะ  รุ่นพี่ที่โรงเรียน…”

                    อืม”

                    ผมเองก็เพิ่งเอะใจเดี๋ยวนั้น..ว่าแต่..BMWสีครามไปไหนซะละ??

     

                    เมื่อวานผมนั่งรถเต่าสีบลอนด์มาโรงเรียนครับ  เมื่อเช้าเห็นมันจอดอยู่ในโรงรถเสียดิบดี  นั่นหมายถึงสีครามเอาBMWออกไปบ้านพี่สิญจน์..แล้ว..

     

                    “..เมื่อวานพี่ยืมBMWสีครามมาขับ  พอดีรถคันนี้น้ำมันมันหมด”

                    หล่อนพูดขึ้นง่ายๆไม่ได้มีบริบทเพิ่มเติม  ก่อนจะเบนพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายเข้าไปจอดในซอยข้างโรงเรียนแล้วเทียบจอดข้างฟุตบาทพอดีเด๊ะราวกับเคยมาหลายร้อยหน 

                    ผมต้องเดินอ้อมนิดหน่อยเพื่อเข้าประตูโรงเรียน  ทะลุซอยไปจะเป็นถนนใหญ่อีกเส้น  สถานที่ทำธุระของพี่รุ้งคงไปจากเส้นนั้นได้เลยจอดส่งผมตรงนี้

     

                    ผมยกมือสวัสดีพี่รุ้งแบบเรียบๆเป็นการขอบคุณ  แล้วหันไปเปิดประตูรถว่าจะลง

     

                    แต่เสียงหล่อนก็พูดต่อ..

     

     

     

                    “..เมื่อวานพี่โดนหกล้อไล่บี้เกือบตาย..เดียร์คิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญรึเปล่าล่ะ..หืม?”

     

     

     

     

     

    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

     

     

     

     

     

     

                    มันคงจะไม่มีอะไรถ้าหากว่าพี่รุ้งไม่ได้ขับรถBMWสีบลอนด์เงินติดป้ายทะเบียนคุ้นตาคันนั้น..

                    มันคงจะไม่มีอะไรถ้าหากว่ารถคันนั้นไม่ได้ถูกไล่ตามโดยรถหกล้อแบบนั้น..

     

                    พอกันเลยทั้งพี่ทั้งน้อง(ลูกพี่ลูกน้อง)  พอพูดจบประโยคปุ๊บต้องปล่อยให้ผมงงสักพัก..แล้วก็ไม่พูดต่อ!!!

     

     

                    ผมสาวเท้าด้วยความเร็วประหนึ่งวิ่งเข้าโรงเรียน  เดินไปเซ็นชื่อในห้องปกครองนิดหน่อยแล้วก็วิ่งจู๊ดดดดขึ้นชั้นเรียน  อาจารย์ท่านอื่นๆคงเห็นผมอยากเข้าเรียนมาก  แต่ไม่ใช่…

     

                    ถ้าหาก..สิ่งที่ผมคิดเป็นจริงละก็…..

     

     

     

                    ครืดดด

     

                    ขออนุญาตครับ”

                    ผมขออนุญาตอาจารย์ประจำวิชา  แกก็พยักหน้าให้ผมเข้าไปนั่งได้  เสียงไอ้ตั๊มกระซิบถามว่าผมไปไหนมาตอนเดินผ่านโต๊ะนั้น  แต่กลายเป็นว่าผมไม่มีอารมณ์แม้กระทั่งจะหันไปตอบหรือทักทายมัน

                    ไอ้บูมเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม  ผมมองมันอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเองราวกับไม่มีอะไรอยู่ในใจ

                    ..ทั้งๆที่มันแน่นเต็มอกขนาดนั้นแท้ๆ..

                    สีครามเป็นไงมั่งวะ?  เห็นจารย์บอกผัวมึงไม่สบาย..”

                    ไวน์กระซิบถามผมขณะย่ืนช็อตโน้ตครึ่งคาบแรกให้ดูเป็นแนวทาง

                    “…ก็ไม่เป็นไรมาก”

                    ผมพึมพำตอบมัน  ตอนแรกมันทำท่างงอยู่นิดหน่อย  แล้วก็ไม่ถามต่อเพราะเห็นว่าผมคงกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่..

     

                    ไม่ใช่แค่อารมณ์ไม่ดีหรอก…

     

                    ………แต่อารมณ์เสียสุดๆเลยล่ะ..!!!!

     

     

     

                    ออดดดดดดดดดดดดดดดดดดด……….

     

                    โอเค  หมดเวลาแล้วนะจ๊ะ  วันอังคารครูขอเทสต์เก็บคะแนนนิดนึงนะ  แล้วก็..อย่าลืมรายงานที่ต้องส่งวันศุกร์หน้าด้วยล่ะ!  หัวหน้า…”

                    นักเรียน  เคารพ”

                    ขอบคุณครับ/ค่ะ”

                    อาจารย์ประจำวิชาชีววิทยาเก็บของและเดินก้าวออกนอกประตูห้อง

     

                    โครม!!!

     

                    ผมก็หันหลังไปทุบโต๊ะไอ้บูมทันทีที่ประตูปิดลง  เพื่อนทั้งห้องที่เมื่อครู่ยังส่งเสียงเซ็งแซ่ถึงกับเงียบลงทันตา

                    บูมเงยหน้ามองผมใสซื่อ  หูของมันทัดปากกาไว้ข้างละด้าม  ส่วนบนหัวก็มัดจุกเหมือนชิสุ  ทำปากยื่นเหมือนน่ารักตาย..แต่ขอเหอะ..กูเคืองมึงว่ะ!!

     

                    ทำไมมึงไม่บอกกู!!”

                    “…เรื่องอะไร?”

                    ก็เรื่องนั้นแหละ!!”

                    พอเห็นผมขึ้นเสียงนานๆ  มันก็เลยตะโกนแข่งมั่ง

                    เรื่องไหนเล่า!”

     

                    “…เรื่องที่เป้าหมายของพวกมันไม่ใช่แค่กูน่ะ!!!”

     

                    เท่านั้นแหละรอยยิ้มกว้างๆเมื่อครู่พลันหุบวูบลงทันที..

                    มันมีท่าทีอ้ำอึ้งแล้วมองไปรอบๆ  เพื่อนทุกคนหยุดกิจกรรมทุกอย่างแล้วให้ความสนใจกับเรื่องที่มันจะพูดต่อไป..

     

                    “..สีคราม……….บอกมึงแล้วหรอ..”

     

                    นั่นไงล่ะ..

                    เหี้ยเอ้ย! ไม่มีใครบอกกูทั้งนั้นแหละไอ้เวร!!!”

                    “..แล้วมึงจะรู้ได้ยังไง!!”

                    กูมีสมอง!  กูคิดเอง! กูคิดได้!!” ผมตวาดมัน  นึกอยากจะกระชากคอเสื้อมันขึ้นมาด่าสักหน  ..พอสีครามโดน  พี่รุ้งก็โดน  มึงก็โดน  ไอ้เท่าฟ้าก็โดน..!  แล้วนี่ต่อไปใครจะโดนอีก…..”

                    เฮ้ยเดียร์  ใจเย็นดิวะ  ค่อยพูดค่อยจา”

                    ไวน์มันหันมาดุผมพลางกระชากแขนจะให้ผมนั่งลง

                    ผมหอบหายใจ..ความโกรธเคืองมันแล่นปรี๊ดขึ้นมากองที่หน้า  บอกให้เชื่อ..บอกให้มั่นใจ..แต่ไอ้ที่ทำๆกันอยู่เนี่ยทำเอาผมใจหาย  น้อยใจ..แต่ก็เป็นห่วง…

     

                    แล้วก็ไม่ใช่แค่พวกนั้นด้วย  กูก็โดน”

     

                    คำพูดของไวน์ทำเอาผมชะงักไปวูบหนึ่ง  รู้สึกเหมือนลมหายใจตัวเองแทบจะหยุดเต้น..  หันไปสบตากับไอ้ไวน์ที่มองตรงมาอย่างจริงจัง  อะไรนะ..นี่หมายความว่าไง??

                    มึงก็……”

                    เสียงผมคงสั่นมากที่ถามอะไรแบบนั้นออกไป

                    ไวน์พยักหน้าให้ผมเรียบๆ  แล้วส่งสายตาไปทางลาล่าว่า..มันก็คงโดนเหมือนกัน..

                    “..กูโดนตามไปถึงบ้าน  พ่อกูออกมาไล่แทบตาย..แต่ไอ้ล่าอ่ะ…..เฮียวี่โดนซ้อม…..ไม่น่าเรียกว่า ‘ซ้อม’ …เพราะเฮียแกเล่นฟาดแม่งไปนอนหยอดน้ำเกลืออยู่โรง’บาล  ส่วนเฮียวี่มีแผลถลอกที่แขน..แค่นั้น..”

                    เฮียวี่ คือ พี่ชายฝาแฝดของลาล่าครับ  เห็นครั้งแรกเกือบเรียกเสี่ยวี่แล้ว..เพราะพี่แกไม่ได้เรียนต่อม.ปลาย  ฝาแฝดกันก็จริง..แต่นิสัยต่างกันสุดขั้วแบบโคตรๆ

                    ผมหันไปมองลาล่า  มันหันมายิ้มให้ผม

                    เมื่อไหร่?”

                    วันซืนครับ…เพราะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร  ก็เลยไม่ได้บอกน่ะครับ”

                    ไม่ใช่เรื่องใหญ่แป๊ะอะไรล่ะ!!!!  ทำไมไม่…….”

                    เดียร์!  มันไม่ใช่ความผิดลาล่านะเว้ย!!”

                    กูรู้!” ผมหันไปเถียงควับ “มันเป็นความผิดกู”

     

                    คำนั้นทำให้เพื่อนๆอึ้งแล้วมองผมนิ่ง  ผมยกมือกดหว่างคิ้วตัวเอง  รู้สึกเหมือนหัวปวดตุ๊บๆ  ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างมันพาลให้ผมโทษตัวเองอีกครั้ง  การโทษตัวเอง..ที่ผมรู้ว่าเพื่อนผมไม่ชอบ…

     

                    มึงฟังกูนะ..เรื่องที่เกิดขึ้น  ไม่ใช่เพราะมึงคนเดียว”

     

                    ไอ้บูมยอมพูดขึ้นจนได้  มันลุกขึ้นมากดหัวผมให้นั่งลงสงบสติ

     

     

                    แต่ที่เราโดน..เพราะพี่ดาวเสาร์ด้วยต่างหาก”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×