คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #43 : CHAPTER 42 อย่าโทษตัวเอง...
CHAPTER 42
อย่าโทษตัวเอง...
ปิ๊บๆ ปิ๊บๆ..
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นข้างๆหูกระชากผมจากห้วงนิทรา พอปรือตามองฟ้าเพดานก็เห็นม่านเตียงสี่เสาเป็นอันดับแรก มองกี่ทีก็ไม่ชินกับความหรูหรา..แต่นั่นมันก็ทำให้ผมตื่นเต็มตาในทุกๆเช้าน่ะแหละ
ผมยันกายลุกขึ้นนั่งเพื่อมาปิดมัน น่าแปลกสำหรับวันนี้ที่ไม่มีแขนของใครบางคนมาเกี่ยวเอาไว้เหมือนเคย พอหันกลับไปมองไอ้คุณเจ้าของห้องก็ม้วนตัวเองอยู่ในผ้าห่มสุดมุมเตียงอีกฝากซะแล้ว
ตีสี่ครึ่ง..
โอเค ยังมีเวลา..ขัดห้องน้ำตอนเช้าหน่อยดีกว่า..
สักหกโมงค่อยปลุกสีครามยังทัน…
คิดแล้วก็รีบลุกขึ้นจากเตียงตรงดิ่งไปห้องน้ำ หยิบชุดนักเรียนเข้าไปแขวนไว้ในห้องเปลี่ยนเสื้อด้วย จัดแจงตัวเองเรียบร้อยก็เดินเข้าไปจัดการธุระยามเช้า หันมาเล็งชักโคตรKohlerสีขาวสะอาดแล้วราดเป็ดลงไปจัดการคราบสกปรก แน่นอนว่าต้องสวมถุงมือยางสีส้มด้วยนะครับ เดี๋ยวมันกัดมือ..ผมโดนบ่อย
ส่วนไอ้อ่างจากุชชี่นี่ผมกะไม่ขัดละ…ไว้ทีหลัง ดูขนาดแล้วไม่อยากขัดเลยให้ดิ้นตาย เลยราดเป็ดลงพื้นกระเบื้องแล้วถูๆไปตามเรื่อง เอาน้ำราดๆปื้ดๆๆ..
นานๆทีผมจะได้มีโอกาสทำความสะอาดห้องสีคราม(ถึงแม้ว่าจะเขียนป้ายDon’t disturbไว้ด้านหน้าแล้วก็ตามที แต่ก็มักจับได้ว่ามีใครเอาเครื่องดูดฝุ่นมาใช้เสมอ =[]=!!) กว่าจะกลับถึงบ้านก็เย็นแล้ว ยังต้องทบทวนบทเรียน อ่านหนังสือ ลอกแลคเชอร์รอบที่2อีก
อ่ะ..จริงสิ..อาทิตย์นี้ก็สุนทรพจน์แล้วนี่หว่า วันนี้ต้องไปคุยกับลาล่าสักหน่อยว่าจะไปยังไง..จะรบกวนให้สีครามไปส่งก็คงไม่ได้….อืม…แม่ไวน์จะเอารถไปส่งอ๊ะเปล่าหว่า…นัดกันไปค้างบ้านไวน์เลยดีมั้ย…
ซู่วววว~~
ผมฉีดน้ำล้างครั้งสุดท้ายแล้วยกมือปาดเหงื่อ ห้องน้ำบ้านแป๊ะไรวะแม่งกว้างชิบหาย แต่เหงื่อขนาดนี้เหมือนออกกำลังกายตอนเช้าก็ไม่ปาน เอาวะ อาบน้ำแล้วออกไปปลุกสีครามดีกว่า
ผมอาบน้ำ(ก็เพิ่งบอกอยู่..จะบอกซ้ำทำห่าไรวะ..)ด้วยความเร็วเหมือนปกติ ออกมาแปรงฟัน แต่งตัว แล้วเดินออกจากห้องน้ำ
ยังไม่หกโมงดี ท้องฟ้าก็ยังไม่สว่างอะไรมาก ห้องทั้งห้องเลยคล้ายๆว่าจะมืดสนิท ผมรู้สึกว่าแอร์มันร้อนๆ พอหันไปมองก็พบว่าแอร์ปิดแล้ว สงสัยสีครามจะลุกขึ้นมาปิดแล้วลงไปนอนต่อละมั้ง
“สีคราม…ตื่นได้แล้ว”
ผมเรียกพลางผูกไทให้ตัวเอง จัดแจงใส่เข็มขัดเรียบร้อยแล้วหันกลับไปมองมันอีกรอบ
ร่างสูงไม่กระดิกเลยแม้แต่น้อย จากตรงนี้ผมเห็นแค่ผ้าห่มสีครีมผืนหนากับเรือนผมสีดำโผล่ขึ้นมาบนหมอนเท่านั้นเอง
“สีคราม ไม่ตื่นตอนนี้เดี๋ยวจะสายเอานะ”
ผมเรียกมันอีกรอบแล้วก้มตัวใส่ถุงเท้า กระดิกนิ้วเท้าใต้ผ้าหนาๆเล่นเช็คความสบาย แล้วหันกลับไปอีกรอบ
..มันก็ยังนอนเหมือนเดิม..
จะอ้อนรึไง?
เอาวะ วันนี้อารมณ์ดี จะเดินไปปลุกให้ถึงเตียงหน่อยละกัน..
“สีคราม”
ผมเรียกชื่อเขาแล้วเขย่าตัวเล่น หมอนั่นขยับตัวนิดหน่อยเพื่อเปิดหน้าตัวเองออกมา
“ตื่นได้แล้วครับ หกโมงแล้ว”
พอเห็นหน้าเบลอๆแบบนั้นก็เลยถือโอกาสพูดสุภาพสักหน่อย
“….ขออีก5นาทีนะ….”
มันบอกก่อนจะปิดตาลงอีกครั้ง
และผมก็สังเกตได้..
…เสียงแหบเกินไปรึเปล่า…
ผมถือวิสาสะเอื้อมไปแตะตัวเขา รู้สึกถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เลยเลื่อนมาตรงคอ ร้อนกว่าหัวอีก หนำซ้ำถ้ามองไม่ผิดนี่ออกแนวปากซีดแล้วนะ..!!
“…มึงมีไข้นะ! แล้วทำไมไม่บอกกันละ..!! โธ่..”
“…ขอโทษฮับ….แค่ก..!”
มันพึมพำอ่อนทั้งยังไม่เปิดเปลือกตา ผมถอนหายใจแรงๆแกมหงุดหงิดใจ กระชากผ้าห่มออกจากตัวหมอนั่น..เหงื่องี้ไหลพลั่กเชียว..แต่จะปิดแอร์ไม่ได้(ตามสูตร)
แต่ก่อนอื่น..
ผมหยิบโทรศัพท์ข้างหัวเตียงขึ้นมาแนบหู เสียงตรู๊ดดังไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงพี่ก้อยแทรกออกมา
“พี่ก้อย..สีครามไม่สบายอ่ะ เตรียมยากับข้าวต้มให้หน่อยนะครับ อืม..เจ็บคอ ตัวร้อน ปวดหัว ไม่มีน้ำมูก..ครับ ครับ…”
หลังจากวางสายก็เดินไปเปิดแอร์ แล้วหยิบผ้าขนหนู กะละมัง กับเสื้อผ้ามาให้มันเปลี่ยนด้วย
..ดวงหน้าคมค่อยๆขึ้นสีระเรื่อ เหงื่อซึมชื้นขึ้นตั้งแต่ไรผมลงมาถึงลำคอ ดวงตาคู่สวยปรือมองผม..มันคลอเคล้าไปด้วยน้ำตาจากพิษไข้ คิ้วเรียวสีเข้มขมวดเข้าหากันนิดๆเพราะแรงทรมาน กับเสียงหอบหายใจแรงๆอย่างเหนื่อยอ่อน ทุกสิ่งทุกอย่างหลอมรวมให้ผมเห็นภาพตอนที่เขาอยู่ข้างบนตัวผมขึ้นมาทาบทับ แล้วส่งคำบอกรักนับพันนับหมื่นคำที่ข้างหูยังไงชอบกล………….
อืม…
…นี่กูคิดเหี้ยไรอยู่เนี่ย….
ผมหน้าร้อนฉ่าตอนปลดกระดุมเสื้อให้เขา หมอนั่นพยักหน้านิดๆเป็นเชิงขอบคุณ ตอนแรกก็มีท่าทีจะทำเองบ้างอยู่หรอก..แต่พอเห็นผมไม่ได้สั่งก็นอนลงไปเลยนะ..จำไว้..ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ!
กว่าจะเช็ดเนื้อตัวทำแป๊ะอะไรเสร็จ พี่ก้อยก็เอาข้าวต้มมาเสิร์ฟให้
“พี่ช่วยดูมั้ยจ้ะ?”
“อ้อ..ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมดูเอง รบกวนพี่ก้อยเรียนคุณพ่อคุณแม่ด้วยนะครับว่าสีครามไม่สบาย”
“จ้า งั้นเดี๋ยวพี่บอกให้”
หล่อนยิ้มหวานแล้วเดินออกนอกห้อง แต่ไอ้รอยยิ้มนั่นมันดูมีพิรุทอยู่นา..
“สีคราม กินข้าวก่อนจะได้กินยา”
“…อืม….ไม่อยากกินอ่ะ…”
เสียงที่พูดออกมาฟังดูอู้อี้เหมือนเด็กที่ไม่ยอมไปโรงเรียน
ผมถอนหายใจ “กูป้อนนะ”
มันนิ่งไปสักพักก่อนจะยอมลุกขึ้นมากิน(ให้ผมช่วยพยุงหน่อยๆ) ก็รู้หรอกว่ากินทั้งๆแบบนี้มันคงจะขื่นคอ แต่โจ๊กหมูอร่อยๆหอมกรุ่นมันก็ไม่ได้กินยากอะไร แค่เข้าปากแล้วกลืนยังได้ด้วยซ้ำ
ผมก็ทำหน้าที่เป็นภรรยา..เอ้ย! เอิ่ม…อะไรดีวะ - -‘’ คนดูแลที่ดีล่ะกัน ผมก็ทำหน้าที่เป็นคนดูแลที่ดีเป่าให้หายร้อน แล้วยกไปจ่อปาก มันก็อ้ากินงั่มๆแบบไม่ใคร่เต็มใจสักเท่าไหร่ แต่ยังมีหนังหน้ามายิ้มหลิ่วตาให้ผมอีก
แรงยังไม่มียังกล้าป้อกูอีก..เดี๊ยะๆ
มันกินได้นิดหน่อยแล้วก็บอกว่าพอจริงๆ ไม่ไหวแล้ว ผมก็ยอมๆมันหยิบแก้วน้ำขึ้นมาให้มันจิบ แล้วยื่นยาให้สามเม็ด กินพรวดเดียวหมด
มันฉีกยิ้มหวานทั้งหน้าตาเหนื่อยอ่อนให้ผม
“…..ถ้ารู้ว่าไม่สบายแล้วมีคนดูแลน่ารักอย่างงี้..แค่ก!...จะไม่สบายนานแล้ว….”
“เหอะ! เสียงแหบขนาดนี้ยังจะปากดี เป็นไงล่ะ เมื่อคืนทำตัวงี่เง่าดีนัก!”
“ฮะๆ…
นั่งกล่อมให้มันหลับอยู่สักพัก มันก็ทำตัวว่านอนสอนง่าย..ใครบอกกันว่าคนไม่สบายมักจะพูดจาเอาแต่ใจเหมือนเด็กๆ หรือว่าตอนเด็กมันก็ว่าง่ายอย่างงี้อยู่แล้วฟะ..
แล้วผมก็ขออนุญาตหันไปมองนาฬิกา..
เจ็ดโมงห้าสิบแล้ว…
แล้วโรงเรียนเอาไงดีวะ!!....ไอ้งี่เง่าเอ้ย!!!!!!
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
พอคุณแม่ของสีครามอาสาดูแลลูกเอง ผมก็ออกมาจากบ้านเวลาเก้าโมงกว่าๆ เดินทางไปยังโรงเรียนเกษรวิทยาเพื่อร่ำเรียนการศึกษาอย่างที่พ่อแม่ผมหวังเอาไว้..
ผมโทรไปลากิจกับอาจารย์ที่ปรึกษา ให้วานเขียนคำร้องให้ผมนิดนึงว่าเมทป่วยแล้วไม่มีใครดูแล เลยจำต้องเข้าเรียนสายนิดหน่อย โรงเรียนผมมันก็ดีอย่างนี้แหละครับ ถ้าทำให้อาจารย์ถูกใจแล้วล่ะก็จะขอทำอะไรก็ทำได้ อย่างอาทิตย์ก่อนๆ..ที่ผมจำต้องหยุดเรียนไปเพราะโดนลักพาตัว อาจารย์ก็ทำความเข้าใจเป็นอย่างดี แถมผอ.โรงเรียนถึงกับมาเยี่ยมผมที่โรงพยาบาลอีกด้วยล่ะ..
……….
ทำไมต้องบรรยายซีเรียสขนาดนี้น่ะหรอ..
ก็เพราะคนออกมาส่งผมน่ะ..คือพี่รุ้งน่ะสิ..!!!
พี่รุ้งบอกว่ามันเป็นทางผ่านไปธุระของพี่แกพอดี ก็เลยเอาผมติดรถมาด้วยตอนกำลังจะก้าวลงบันไดขึ้นสุดท้ายเด๊ะๆ
วันนี้หล่อนอยู่ในชุดสูทผู้หญิงสีดำกับเกาะอกสุดเซ็กซี่ ผมหยักศกเป็นลอนๆนั่นปล่อยสยายแต่ไม่ถึงกับเซอร์มอซอ กลับดูดีมีสกุลรุนชาติอย่างไม่น่าเชื่อ เฟอร์รารี่เปิดประทุนสีแดงแจ๊ดแจ๋เล่นออกจากคฤหาสน์โกสินทร์วิตรมแล่นไปตามทางไปโรงเรียน
เพลงแนวCountryของอเมริกาดังสอดประสานไปตามสายลม วันนี้รถเยอะกำลังดี(!) แดดก็ไม่ร้อน ลมยังพอพัดเย็นสบายอยู่บ้าง แต่พยากรณ์อากาศบอกว่าเย็นนี้ฝนจะตก
..ผมพล่ามนอกเรื่องแล้วละ..
ก็ไม่กล้าหันไปชวนคนข้างๆคุยนี่นา..
“น่าแปลก..นอนด้วยกัน..ทำไมไม่ติดหวัด?”
พี่รุ้งถามผมเสียงห้วน ตอนแรกผมก็นึกว่าเขาหาเรื่องอยู่หรอก..แต่เพราะเขาเป็นคนพูดจาอย่างนั้นอยู่แล้วมั้งเลยปล่อยๆไป
“..ผมแข็งแรงฮะ..ไม่ค่อยติดหวัดใคร..”
ผมไม่เคยติดหวัดใครจริงๆน่ะแหละ ส่วนใหญ่จะเป็นเอง อย่างเวลาท้องเสียหรืออะไรทำนองนั้นไข้จะขึ้น แล้วก็ตอนที่เป็นแผล..อย่างตอนโดนยิงนั่นน่ะแหละ..
หล่อนดูจะถามไปงั้นๆแบบไม่สนใจคำตอบ ท่าทางคงกังวลที่จะต้องชวนผมคุยเหมือนกัน..
ถ้าหล่อนรักสีครามจริง..
หล่อนคงเป็นคนดี..
นั่นเป็นเหตุและผลหรอ? ไม่น่าใช่..ผมน่าจะหมายถึงคนที่เติบโตจากบ้านหลังนั้นต่างหาก บ้านที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มกับความอบอุ่น(และเงินทอง?)แบบนั้น..
“เลิกเรียนกี่โมง?”
ผมกระพริบตาปริบๆกับคำถามนั้น “…วันนี้..สี่โมงครึ่งครับ..”
“ให้มารับมั้ย?”
“เอ๊ะ! อ้อ..ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวกลับเองก็คง..”
“สี่โมงสี่สิบ หน้าประตูละกัน”
“!! แต่…”
“……ไม่งั้นสีครามเอาพี่ตายแน่”
จากสรรพนามคำพูดที่แปรเปลี่ยนทำให้ผมใจชื้นขึ้นเป็นกอง หล่อนเคาะนิ้วบนพวงมาลัยไปตามจังหวะเสียงเพลง
“กานดา..”
“เรียก..เดียร์ ก็ได้ฮะ”
“อืม โอเค งั้นเดียร์ พี่เองก็ไม่ชินกับการเรียกผู้ชายว่ากานดาเหมือนกัน” เธอว่า “รถที่สีครามเอากลับบ้านมาเมื่อวาน..รถใคร?”
“..อ้อ รถพี่สิญจน์น่ะฮ่ะ รุ่นพี่ที่โรงเรียน…”
“อืม”
ผมเองก็เพิ่งเอะใจเดี๋ยวนั้น..ว่าแต่..BMWสีครามไปไหนซะละ??
เมื่อวานผมนั่งรถเต่าสีบลอนด์มาโรงเรียนครับ เมื่อเช้าเห็นมันจอดอยู่ในโรงรถเสียดิบดี นั่นหมายถึงสีครามเอาBMWออกไปบ้านพี่สิญจน์..แล้ว..
“..เมื่อวานพี่ยืมBMWสีครามมาขับ พอดีรถคันนี้น้ำมันมันหมด”
หล่อนพูดขึ้นง่ายๆไม่ได้มีบริบทเพิ่มเติม ก่อนจะเบนพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายเข้าไปจอดในซอยข้างโรงเรียนแล้วเทียบจอดข้างฟุตบาทพอดีเด๊ะราวกับเคยมาหลายร้อยหน
ผมต้องเดินอ้อมนิดหน่อยเพื่อเข้าประตูโรงเรียน ทะลุซอยไปจะเป็นถนนใหญ่อีกเส้น สถานที่ทำธุระของพี่รุ้งคงไปจากเส้นนั้นได้เลยจอดส่งผมตรงนี้
ผมยกมือสวัสดีพี่รุ้งแบบเรียบๆเป็นการขอบคุณ แล้วหันไปเปิดประตูรถว่าจะลง
แต่เสียงหล่อนก็พูดต่อ..
“..เมื่อวานพี่โดนหกล้อไล่บี้เกือบตาย..เดียร์คิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญรึเปล่าล่ะ..หืม?”
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
มันคงจะไม่มีอะไรถ้าหากว่าพี่รุ้งไม่ได้ขับรถBMWสีบลอนด์เงินติดป้ายทะเบียนคุ้นตาคันนั้น..
มันคงจะไม่มีอะไรถ้าหากว่ารถคันนั้นไม่ได้ถูกไล่ตามโดยรถหกล้อแบบนั้น..
พอกันเลยทั้งพี่ทั้งน้อง(ลูกพี่ลูกน้อง) พอพูดจบประโยคปุ๊บต้องปล่อยให้ผมงงสักพัก..แล้วก็ไม่พูดต่อ!!!
ผมสาวเท้าด้วยความเร็วประหนึ่งวิ่งเข้าโรงเรียน เดินไปเซ็นชื่อในห้องปกครองนิดหน่อยแล้วก็วิ่งจู๊ดดดดขึ้นชั้นเรียน อาจารย์ท่านอื่นๆคงเห็นผมอยากเข้าเรียนมาก แต่ไม่ใช่…
ถ้าหาก..สิ่งที่ผมคิดเป็นจริงละก็…..
ครืดดด
“ขออนุญาตครับ”
ผมขออนุญาตอาจารย์ประจำวิชา แกก็พยักหน้าให้ผมเข้าไปนั่งได้ เสียงไอ้ตั๊มกระซิบถามว่าผมไปไหนมาตอนเดินผ่านโต๊ะนั้น แต่กลายเป็นว่าผมไม่มีอารมณ์แม้กระทั่งจะหันไปตอบหรือทักทายมัน
ไอ้บูมเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม ผมมองมันอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเองราวกับไม่มีอะไรอยู่ในใจ
..ทั้งๆที่มันแน่นเต็มอกขนาดนั้นแท้ๆ..
“สีครามเป็นไงมั่งวะ? เห็นจารย์บอกผัวมึงไม่สบาย..”
ไวน์กระซิบถามผมขณะย่ืนช็อตโน้ตครึ่งคาบแรกให้ดูเป็นแนวทาง
“…ก็ไม่เป็นไรมาก”
ผมพึมพำตอบมัน ตอนแรกมันทำท่างงอยู่นิดหน่อย แล้วก็ไม่ถามต่อเพราะเห็นว่าผมคงกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่..
ไม่ใช่แค่อารมณ์ไม่ดีหรอก…
………แต่อารมณ์เสียสุดๆเลยล่ะ..!!!!
ออดดดดดดดดดดดดดดดดดดด……….
“โอเค หมดเวลาแล้วนะจ๊ะ วันอังคารครูขอเทสต์เก็บคะแนนนิดนึงนะ แล้วก็..อย่าลืมรายงานที่ต้องส่งวันศุกร์หน้าด้วยล่ะ! หัวหน้า…”
“นักเรียน เคารพ”
“ขอบคุณครับ/ค่ะ”
อาจารย์ประจำวิชาชีววิทยาเก็บของและเดินก้าวออกนอกประตูห้อง
โครม!!!
ผมก็หันหลังไปทุบโต๊ะไอ้บูมทันทีที่ประตูปิดลง เพื่อนทั้งห้องที่เมื่อครู่ยังส่งเสียงเซ็งแซ่ถึงกับเงียบลงทันตา
บูมเงยหน้ามองผมใสซื่อ หูของมันทัดปากกาไว้ข้างละด้าม ส่วนบนหัวก็มัดจุกเหมือนชิสุ ทำปากยื่นเหมือนน่ารักตาย..แต่ขอเหอะ..กูเคืองมึงว่ะ!!
“ทำไมมึงไม่บอกกู!!”
“…เรื่องอะไร?”
“ก็เรื่องนั้นแหละ!!”
พอเห็นผมขึ้นเสียงนานๆ มันก็เลยตะโกนแข่งมั่ง
“เรื่องไหนเล่า!”
“…เรื่องที่เป้าหมายของพวกมันไม่ใช่แค่กูน่ะ!!!”
เท่านั้นแหละรอยยิ้มกว้างๆเมื่อครู่พลันหุบวูบลงทันที..
มันมีท่าทีอ้ำอึ้งแล้วมองไปรอบๆ เพื่อนทุกคนหยุดกิจกรรมทุกอย่างแล้วให้ความสนใจกับเรื่องที่มันจะพูดต่อไป..
“..สีคราม……….บอกมึงแล้วหรอ..”
นั่นไงล่ะ..
“เหี้ยเอ้ย! ไม่มีใครบอกกูทั้งนั้นแหละไอ้เวร!!!”
“..แล้วมึงจะรู้ได้ยังไง!!”
“กูมีสมอง! กูคิดเอง! กูคิดได้!!” ผมตวาดมัน นึกอยากจะกระชากคอเสื้อมันขึ้นมาด่าสักหน “..พอสีครามโดน พี่รุ้งก็โดน มึงก็โดน ไอ้เท่าฟ้าก็โดน..! แล้วนี่ต่อไปใครจะโดนอีก…..”
“เฮ้ยเดียร์ ใจเย็นดิวะ ค่อยพูดค่อยจา”
ไวน์มันหันมาดุผมพลางกระชากแขนจะให้ผมนั่งลง
ผมหอบหายใจ..ความโกรธเคืองมันแล่นปรี๊ดขึ้นมากองที่หน้า บอกให้เชื่อ..บอกให้มั่นใจ..แต่ไอ้ที่ทำๆกันอยู่เนี่ยทำเอาผมใจหาย น้อยใจ..แต่ก็เป็นห่วง…
“แล้วก็ไม่ใช่แค่พวกนั้นด้วย กูก็โดน”
คำพูดของไวน์ทำเอาผมชะงักไปวูบหนึ่ง รู้สึกเหมือนลมหายใจตัวเองแทบจะหยุดเต้น.. หันไปสบตากับไอ้ไวน์ที่มองตรงมาอย่างจริงจัง อะไรนะ..นี่หมายความว่าไง??
“มึงก็……”
เสียงผมคงสั่นมากที่ถามอะไรแบบนั้นออกไป
ไวน์พยักหน้าให้ผมเรียบๆ แล้วส่งสายตาไปทางลาล่าว่า..มันก็คงโดนเหมือนกัน..
“..กูโดนตามไปถึงบ้าน พ่อกูออกมาไล่แทบตาย..แต่ไอ้ล่าอ่ะ…..เฮียวี่โดนซ้อม…..ไม่น่าเรียกว่า ‘ซ้อม’ …เพราะเฮียแกเล่นฟาดแม่งไปนอนหยอดน้ำเกลืออยู่โรง’บาล ส่วนเฮียวี่มีแผลถลอกที่แขน..แค่นั้น..”
เฮียวี่ คือ พี่ชายฝาแฝดของลาล่าครับ เห็นครั้งแรกเกือบเรียกเสี่ยวี่แล้ว..เพราะพี่แกไม่ได้เรียนต่อม.ปลาย ฝาแฝดกันก็จริง..แต่นิสัยต่างกันสุดขั้วแบบโคตรๆ
ผมหันไปมองลาล่า มันหันมายิ้มให้ผม
“เมื่อไหร่?”
“วันซืนครับ…เพราะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็เลยไม่ได้บอกน่ะครับ”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่แป๊ะอะไรล่ะ!!!! ทำไมไม่…….”
“เดียร์! มันไม่ใช่ความผิดลาล่านะเว้ย!!”
“กูรู้!” ผมหันไปเถียงควับ “มันเป็นความผิดกู”
คำนั้นทำให้เพื่อนๆอึ้งแล้วมองผมนิ่ง ผมยกมือกดหว่างคิ้วตัวเอง รู้สึกเหมือนหัวปวดตุ๊บๆ ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างมันพาลให้ผมโทษตัวเองอีกครั้ง การโทษตัวเอง..ที่ผมรู้ว่าเพื่อนผมไม่ชอบ…
“มึงฟังกูนะ..เรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะมึงคนเดียว”
ไอ้บูมยอมพูดขึ้นจนได้ มันลุกขึ้นมากดหัวผมให้นั่งลงสงบสติ
“แต่ที่เราโดน..เพราะพี่ดาวเสาร์ด้วยต่างหาก”
ความคิดเห็น