ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องเล่าจากความฝัน by anajulia (YAOI)

    ลำดับตอนที่ #9 : เรื่องเล่าจากความฝัน : ลูบคมมังกร: เล่ห์หงส์

    • อัปเดตล่าสุด 24 ส.ค. 54


    ลูบคมมังกร

    : เล่ห์หงส์


    “แม่จ๋า.....แซมรักพี่หมิน....ไม่ใช่แบบพี่ชายอย่างที่แม่สอน

    ให้รักและเคารพพี่หมินเป็นพี่ชาย แต่แซมรักพี่เขา.....เหมือน

    กับที่แม่รักแม่เสี่ยวหลาน.......”



    ..........................



    “อาหมินต่อไป ชื่อของเธอคือจ้าวหมิน เธอเป็นคนของสกุล

    จ้าว เป็นลูกชายของฉัน.....เป็นคุณชายจ้าว ต่อไปนี้

    คฤหาสน์มังกรแดงคือบ้านของเธอ”



    มือขาวนวลราวงาช้างล้ำค่า จับจูงข้อมือของเด็กชายในชุดเสื้อ

    แขนยาวกางเกงขายาวผ้าบางเก่าจนเกือบดูไม่ ออกว่าเคยเป็นสี

    อะไร หากแต่สะอาดสะอ้านไปทั้งเนื้อทั้งตัวให้ก้าวลงมาจาก

    รถยนต์สองประตู


    สีหน้าของเด็กชายวัยสิบขวบผสมปนเปไปด้วยความงุนงงและ

    ตื่นเต้น เมื่อทอดสายตาจับจ้องไปยังตัวตึกสีแดงอิฐกว้างใหญ่ที่ตั้ง

    ขวางทางอยู่ด้าน หน้า ห่างออกไปไม่ถึงสิบเมตร ความสูงใหญ่

    ของตัวตึกทำให้ถึงกับต้องแหงนมองคอตั้งบ่า เด็กชายเหลียวหน้า

    กลับไปมองประตูไม้บานหนาที่เพิ่งปิดสนิทลงห่างออกไปเกือบ

    ร้อยเมตร




    หากทั้งที่อยู่ในวัยเพียงสิบขวบและทั้งยังอยู่ในอารมณ์ ตื่นเต้น การ

    เคลื่อนไหวทุกท่วงท่าของเด็กชายกลับเต็มไปด้วยความนุ่มนวล

    และระมัดระวัง หลังและคอตั้งตรง อกผายไหล่ผึ่ง ไม่ได้มีทีท่า

    บ่งบอกว่าถูกเลี้ยงดูมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแบบขาดไปแทบ

    ทุกสิ่งมาตั้งแต่ยังเป็นทารกเลยด้วยซ้ำ



    เป็นที่รู้กันทั่วว่าประมุข คนก่อนของตระกูลจ้าวมีบุตรีคนเดียว สาว

    งามที่ไม่ได้มีดีแค่รูปกาย หากสมองอันปราดเปรื่องและลักษณะ

    นิสัยเด็ดขาดที่ถอดแบบมาจากผู้เป็นบิดา คุณหนูจ้าวอิงหลิงมี

    คุณสมบัติเพียบพร้อม จนเมื่อประมุขของแก๊งค์มังกรแดงคนก่อน

    วางมือ เธอก็ขึ้นรับตำแหน่งได้อย่างเต็มภาคภูมิ




    ท่ามกลางสายตาของทั้งคนใน และคนนอกที่เฝ้าจับตา รอดูว่าชาย

    ที่ผู้นำของแก๊งค์อันดับหนึ่งที่แผ่อิทธิพลครอบคลุมย่านสี่หยุนอัน

    ไว้ทั้งหมดเลือกมาเป็นคู่ชีวิตจะเป็นคนแบบไหน แต่จนแล้วจนรอด

    ก็ไม่เคยมีข่าวใดใดให้ได้ระแคะระคาย จนเริ่มมีเสียงลือไปทั่วว่า

    มาดามจ้าวแห่งแก๊งค์มังกรแดงไม่มีรสนิยมชื่นชอบ เพศตรงข้าม

    แล้วยิ่งเวลาผ่านไป คำถามที่ตามมาจึงกลายเป็นข้อสงสัยเกี่ยวกับ

    การสืบทอดอำนาจภายในแก๊งค์มังกร แดง และต่างก็เฝ้ารอเวลาที่

    อำนาจจะถูกเปลี่ยนมือ ความสั่นคลอนของกลุ่มอิทธิพลที่ใหญ่ที่

    สุดย่อมก่อให้เกิดผลกระทบต่อทุกชีวิต ในโลกมืด





    หากทว่า....หลังจากอำนาจเปลี่ยนมาอยู่ในมือของประมุข สกุลจ้าว

    คนปัจจุบันได้สิบปีเต็มก็มีข่าวที่ยืนยันได้ร่ำลือไปทั่ววงการ ว่า

    แก๊งค์มังกรแดงมีผู้สืบทอดแล้ว เด็กที่ชื่อจ้าวหมิน เป็นใครมาจาก

    ไหนไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ๆ มาดามจ้าวบอกกับคนสนิทว่า.....นี่แหละ

    ลูกชายของเธอ



    “จากนี้ เธอต้องเรียกฉันว่าแม่ นี่คือห้องของเธอ........ห้อง

    ของลูก อาหมิน พรุ่งนี้จะมีครูมาสอนหนังสือและเรื่องพื้นฐาน

    อื่นๆให้ รับปากกับแม่ซิ ว่าอาหมินจะตั้งใจเรียน”



    “ครับมาดาม.....คุณแม่ ผมจะตั้งใจเรียน”


    จ้าวหมินในฐานะคุณชายของสกุลจ้าวใช้ชีวิตอยู่ในตึกใหญ่

    ของคฤหาสน์มังกรแดงจน อายุ15 แล้วมาดามจ้าวก็จัดการ

    ส่งบุตรบุญธรรมไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ความรักและ

    หวังดีที่มีให้ลูกชายนอกสายเลือดเพิ่มทวีไม่ต่างกับที่ผู้ยิ่ง

    ใหญ่แห่งสี่หยุนอันมีให้กับลูกชายที่สืบสายเลือดจากเธอโดย

    ตรง......ใช่ ลูกชายแท้ๆที่ถูกปิดบังว่ามีตัวตนอยู่จริงและใช้

    ชีวิตตลอดสิบปีตั้งแต่ลืมตา ดูโลกที่สเตท ในฟิลาเดลเฟีย




    เจ็ดปีก่อนจะรับจ้าวหมินมาอุปถัมภ์ ความกดดันจากผู้ใหญ่ใน

    แก๊งค์เรื่องผู้สืบทอดทำให้จ้าวอิงหลิงตัดสินใจพาคน สนิทและคน

    รักที่ลอบรักกันมาตั้งแต่ยังเป็นเพียงคุณหนูจ้าวเดินทางไปปรึกษา

    ศาสตราจารย์นายแพทย์แซมมวล วิลเลียม ผู้ทำการศึกษาวิจัย

    เรื่องการผสมเทียมในมนุษย์



    “ตกลงว่าคุณจะเลือกรับบริจาคเชื้ออสุจิจากใครก็ได้อย่างนั้นหรือ”



    “ไม่ใช่จากใครก็ได้ค่ะศาสตราจารย์ ดิฉันต้องการเลือกจากคนที่มี

    คุณสมบัติที่ดีที่สุด ถ้าเป็นไปได้ ดิฉันก็จะขอใช้น้ำเชื้อจาก

    ศาสตราจารย์ จะได้ไหมคะ”



    “เอ่อ.......คือ....เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับมาดามจ้าว”



    และ นี่คือวิธีที่จ้าวเยี่ยนซื่อถือกำเนิด ไข่ของจ้าวอิงหลิงกับน้ำเชื้อ

    จากศาสตราจารย์ผู้ทำวิจัย และ......การตั้งครรภ์ของเสี่ยวหลาน

    คนรักหนึ่งเดียวของประมุขแห่งแก๊งค์มังกรแดง




    “อะ.....อื้อ...หลิงเอ๋อร์ อา......อะ...”


    สองร่างขาวนวลไร้อาภรณ์ปกปิดแม้เพียงชิ้นกอดก่ายกันแนบ

    แน่นบนพรมขนสัตว์สีขาว หน้าเตาผิง เหงื่อไหลซึมออกจากทุกขุม

    ขนทั้งที่นอกกระจกปรากฏละอองหิมะที่ยังกระหน่ำอย่างหนาแน่น

    มากกว่าสองชั่วโมง




    จ้าวอิงหลิงยิ่งเพิ่มความเร็วของการขยับร่างกายขึ้นอีก ตามไฟ

    ปรารถนาที่โหมกระพือรุนแรงราวกับเปลวเพลิงในเตาผิงหลังเติม

    เชื้อไฟ เพียงแรงขยับจากข้อมือไม่พอเพียงอีกต่อไป ที่จะส่งให้

    ความรู้สึกของร่างชื้นเหงื่อที่นอนหายใจหอบถี่ตรงหน้าไปถึงฝั่ง




    เสียงกรีด ร้องครั้งสุดท้ายดังขึ้นพร้อมกับร่างของคนที่ถูกปรน

    เปรอกระตุกขึ้นทั้งตัว ก่อนจะลงไปนอนแผ่อย่างหมดเรี่ยวแรงกับ

    พื้นพรม แล้วยกแขนขึ้นไขว่คว้าหาทั้งที่ดวงตาทั้งสองยังปิดสนิท

    จ้าวอิงหลิงคว้า แขนเรียวเล็กทั้งสองข้างของคนรักให้โอบแนบ

    รอบลำคอ แล้วตามลงไปกอดเอาไว้ทั้งตัว อกอวบหยุ่นบดเบียดจน

    แทบจะเป็นเนื้อเดียว ก่อนจะมอบจูบแผ่วเบาหากเต็มไปด้วยเสน่หา

    ซ้ำๆลงบนริมฝีปากแดงจัดที่เผยอหอบ หายใจน้อยๆ



    “อืม.....เสี่ยวหลาน ฉัน....ต้องคิดถึงเธอมากแน่ๆ......”


    “หลิงเอ๋อร์ อืม.......จูบอีก....จูบฉันอีก.....”



    บทรักร้อนแรงเริ่มขึ้นอีกครั้งและอีกครั้ง เพื่อเป็นการสั่งลา และตอก

    ย้ำว่าต่างยังมีอีกฝ่าย แม้จะต้องห่างไกลกันตามภาระหน้าที่ก็ตาม



    วันรุ่งขึ้นเสี่ยวหลานเข้ารับการฉีดฝังตัวอ่อนลงในมดลูก และหลัง

    จากนั้นเพียงสามวัน หัวหน้าแก๊งค์มังกรแดงก็ต้องเดินทางกลับ

    ฮ่องกง กลับสู่อาณาจักรของตนโดยทิ้งทั้งหัวใจไว้ที่แผ่นดินซึ่งอยู่

    ห่างไกลออกไปถึง ครึ่งโลก คนในแก๊งค์ต่างสงสัยถึงการหายตัว

    ไปของสาวใช้คนสนิทที่มักอยู่ข้างกายของ มาดามจ้าวตลอดเวลา

    หากแต่ไม่มีใครกล้าทักถาม




    การมีอยู่ของเสี่ยว หลานรับรู้ได้เพียงในใจของจ้าวอิงหลิง จำนวน

    เงินในธนาคารและอสังหาริมทรัพย์ที่มีในอเมริกาทำให้พอจะวางใจ

    ได้ว่าคน รักและลูกที่คาดว่าจะเกิดในอีกเก้าเดือนจะใช้ชีวิตได้

    อย่างสบายที่สุดเท่า ที่อำนาจเงินจะทำได้ การติดต่อส่งข่าวทาง

    จดหมายมีถึงกันสม่ำเสมอ หากแต่ต้องใช้รหัสที่มีเพียงสองคนจึง

    จะเข้าใจ




    ทั้งมาดามจ้าวและ เสี่ยวหลานต่างอดทนรอเวลาที่มั่นใจว่าศัตรู

    ภายในจะไม่แว้งกัดโดยไม่รู้ตัว และรอเวลาที่ลูกซึ่งหลังจากคน

    ทางไกลคลอดได้เกือบเดือนจ้าวอิงหลิงจึงรู้ว่า เป็นลูกชาย จะเติบ

    โตพอที่จะวางใจให้กลับมาอยู่ที่สี่หยุนอันโดยไม่เป็นอันตราย



    ข่าว จากสายที่เชื่อถือได้ทำให้จ้าวอิงหลิงรู้ว่ามีข่าวลือเรื่องเสี่ยว

    หลานและ ลูกกระพือไปทั่วทุกกลุ่มอิทธิพล การไปทำบุญบริจาค

    ให้มูลนิธิบ้านเด็กกำพร้า แล้วได้สบตากับเด็กชายวัยสิบขวบที่ได้

    ยินผู้ดูแลเรียกว่าอาหมินจึงทำให้แผน ดึงความสนใจจากคนรักและ

    บุตรที่แท้จริงผุดขึ้นมาโดยไม่ทันได้คิดไว้ก่อน จ้าวอิงหลิงจึงยื่น

    ซองเงินบริจาคจำนวนหนึ่งให้มูลนิธิ แล้วขอให้รักษาความลับเรื่อง

    ที่เธอรับอาหมินเป็นบุตรบุญธรรมไว้ แล้วจูงมือเด็กชายที่มีสีหน้า

    แปลกใจขึ้นรถกลับคฤหาสน์มังกรแดงด้วยทันที



    หลัง จากวันนั้นเพียงหนึ่งเดือน คุณชายจ้าวหมินก็ได้รับการแนะนำ

    ให้ทุกคนรู้จักในฐานะผู้มีสิทธิ์สืบทอด ตำแหน่งหัวหน้าแก๊งค์มังกร

    แดงคนต่อไปในงานเลี้ยงภายในของแก๊งค์ แน่นอนว่าข่าวของคุณ

    ชายจ้าวย่อมเล็ดลอดออกไปถึงหูทุกชีวิตในโลกสีดำ





    จ้าว หมินเติบโตขึ้นภายใต้การดูแลและความรักอย่างจริงใจที่

    มาดามจ้าวมีให้เด็กชาย เสมือนลูกแท้ๆ เติบโตและสง่างามได้ตรง

    ใจมาดามจ้าวทุกอย่าง ปีแรกที่จ้าวหมินถูกส่งไปอังกฤษก็เป็นครั้ง

    แรกที่จ้าวอิงหลิงมั่นใจในความ ปลอดภัยจนยอมให้เสี่ยวหลาน

    และจ้าวเยี่ยนซื่อกลับมาที่สี่หยุนอันได้แบบลับๆ




    เสี่ยว หลานเลี้ยงจ้าวเยี่ยนซื่อมาโดยไม่มีการปิดบัง ภาพถ่ายของ

    จ้าวอิงหลิงถูกติดประดับไว้ในห้องนอนของลูกชายคนเดียวตั้งแต่

    ยัง แบเบาะ จ้าวเยี่ยนซื่อรับรู้มาตั้งแต่รู้ความว่าตนเองไม่มีพ่อ แต่มี

    แม่สองคน ทุกคืนก่อนเข้านอนเสี่ยวหลานจะจูบแก้มลูกชายพร้อม

    กับบอกว่าแก้มซ้ายจากแม่ เสี่ยวหลาน แก้มขวาจากแม่หลิงเอ๋อร์

    ดังนั้นจ้าวเยี่ยนซื่อในวัยไม่เต็มสิบปีจึงก้าวเข้าสู้อ้อมกอดที่รอรับ

    ของ แม่อีกคนทันทีที่ถูกพาเข้ามาถึงห้องส่วนตัวของมาดามจ้าว


    ท่าทาง ช่างออดอ้อนออเซาะของเด็กน้อยตาโต แก้มใส ขนตา

    หนาเป็นแพทำให้มาดามจ้าวเกิดความรู้สึกทั้งรักทั้งห่วง พร้อมกัน

    นั้นก็ตัดสินใจยอมทิ้งความรู้สึกส่วนตัวที่อยากจะกอดจะจูบ จะพูด

    คุยกันทุกวันกับลูกชายและคนรักออกไป แล้วอนุญาตให้อยู่ฮ่องกง

    ได้เพียงปีละสิบวัน



    “แม่จ๋า.....จะให้แซม กลับไป แม่จะไม่คิดถึงแซมเหรอ” เจ้าตัวเล็ก

    ทั้งส่งเสียงออดอ้อนทั้งแสดงกิริยาประกอบด้วยการซุกหน้าแนบ

    เข้า กับตักของจ้าวอิงหลิงไปด้วย



    “คิดถึงสิลูก แต่แม่อยากให้อาซื่อไปเรียนหนังสือที่โน่น พออาซื่อ

    โตขึ้นจะได้กลับมาช่วยแม่ทำงานไงลูก”




    “ไม่ ใช่เพราะแม่รักพี่หมินมากกว่าแซมเหรอ”
    จ้าวเยี่ยนซื่อถูกแนะ

    นำให้รู้จักกับพี่หมินตั้งแต่มาถึงฮ่องกงวันแรก เพราะรูปถ่ายใบเดียว

    ที่ใส่กรอบวางไว้บนโต๊ะทำงานของมาดามจ้าวเป็นรูปถ่ายของ

    หนุ่มน้อยผมดำตาดำสนิทสวมสูทสีขาวนั่งอยู่หน้าเปียโน เบือน

    หน้ามายิ้มน้อยๆ



    “ไม่ หรอกลูก แม่รักทั้งอาซื่อทั้งพี่หมินมาก มากจนบอกไม่ได้เลย

    ด้วยซ้ำว่ามากแค่ไหน เท่าที่รู้แม่รักลูกทั้งสองคนมากกว่าตัวเอง

    เสียอีก” อาซื่อของมาดามจ้าวยิ้มออกมาเสียจนบรรยากาศทึบทึม

    ในห้องทำงานหัวหน้าแก๊งค์ สว่างไสว เมื่อได้ยินคำพูดนี้จากปาก

    ของผู้ที่ถูกสั่งสอนมาตลอดว่าคือแม่ จำได้ว่าวันแรกที่ไปโรงเรียน

    แม่เสี่ยวหลานยังให้บอกกับรูปของแม่หลิงเอ๋อร์ ก่อนออกจากบ้าน

    ด้วยซ้ำ



    “ถ้างั้นแซมก็จะรักพี่หมินบ้าง รักมากๆให้เท่ากับที่แม่รักแม่

    เสี่ยวหลานเลยนะครับ”


    ทั้งมาดามจ้าวและเสี่ยวหลานไม่ได้สะดุดหูกับคำพูดของลูก

    ชายคนเล็กในวันนั้น หาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกสิบวันที่รอ

    คอยจะได้อยู่พร้อมหน้าสามแม่ลูกมาถึง คุณชายน้อยที่เสี่ยว

    หลานเรียกเมื่ออยู่ต่อหน้าบุคคลที่สามก็ไม่เคยสักครั้ง ที่จะลืม

    เลือน ‘พี่หมิน’ ไปจากความคิดคำนึง




    จ้าวหมินเรียนจบและกลับฮ่องกงเมื่ออายุย่างเข้า 22 ปี เมื่อกลับ

    มาถึงสกุลจ้าว จ้าวหมินก็ขออนุญาตมาดามจ้าวไปอยู่ตึกเล็กที่แยก

    ออกมาด้านหลังของตึกใหญ่ ในระยะห่างเพียงเดินสามนาทีก็ถึง

    จ้าวหมินเข้าทำงานให้แก๊งค์โดยไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าคุณแม่ที่เขา

    ยึดเป็นแม่ พระของตัวเองมาตลอดมีลูกชายแท้ๆอยู่อีกคน





    ไม่ใช่ว่าจ้าวอิงหลิงต้อง การจะปกปิดลูกชายคนโต แต่เพราะคำขอ

    ร้องของจ้าวเยี่ยนซื่อตั้งแต่ลูกชายคนเล็กอายุได้ 15 ปี ทั้งที่ไม่เคย

    เจอตัวจริงของพี่ชายเลยสักครั้ง.......คำขอร้องโดยมีเหตุผลข้อ

    เดียว......ความรัก




    “แม่จ๋า.....แซมขออะไรแม่สักอย่างจะได้ไหม” ลูกชายเล็กที่เงย

    หน้าขึ้นมาส่งสายตาอ้อนจากท่าที่ซบอยู่กับตักทำให้มาดาม จ้าวผู้

    แข็งแกร่งเด็ดขาดใจอ่อนตั้งแต่ยังไม่ทันรู้ถึงคำขอด้วยซ้ำ




    “ถ้าแม่ให้ได้.....”


    “แม่อย่าเพิ่งเล่าเรื่องแซมกับพี่หมินได้ไหม......”



    “.....ทำไมล่ะลูก”


    “เพราะแซมรักพี่หมิน”




    “อาซื่อ......” ถ้าไม่มีอ้อมแขนของเสี่ยวหลานที่โอบกอดจากด้าน

    หลัง มาดามจ้าวคงเผลอตัวลุกหนีสายตาแบบนี้ของลูกชายเล็ก

    แน่ๆ




    “แม่ จ๋า แม่ฟังแซมนะ พี่หมินเคยเป็นคนรักของแซมมาก่อน แซม

    จำได้.....แม่จ๋า.....แซมรักพี่หมิน....ไม่ใช่แบบที่แม่สอนให้รักและ

    เคารพพี่หมินเป็นพี่ชาย แต่แซมรักพี่เขา.....เหมือนกับที่แม่รักแม่

    เสี่ยวหลาน.......”




    “อาซื่อ พูดอะไรน่ะลูก!!”


    “เป็นอย่างนี้แหละหลิงเอ๋อร์ แซมพูดแบบนี้มาตั้งแต่เห็นรูป

    อาหมิน ครั้งแรกแล้ว.....ฉันขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อน”



    “แล้วแน่ใจหรือ ยังไม่เคยเจอหน้ากันด้วยซ้ำนะอาซื่อ”



    “แซมแน่ใจ เหมือนกับที่แน่ใจว่าแม่รักแม่เสี่ยวหลานนั่นล่ะครับ”



    “ก็แล้วถ้าแม่จะบอกกับอาหมินเรื่องของลูก มันจะไม่ดียังไง

    ล่ะ”


    “แซมอยาก ให้แน่ใจ ว่าถ้าพี่หมินจะรัก พี่เขาจะรักเพราะนี่

    คือตัวแซมจริงๆ ไม่ใช่เพราะสงสารสมเพชน้อง หรือเกรงใจ

    แม่ อีกอย่าง.....แซมต้องการเวลา และวิธีที่จะพิสูจน์ ว่าพี่หมิ

    นมีค่าแค่ไหนกับการรัก แม่จ๋า....แซมขอเท่านี้ แม่จะให้แซม

    ได้มั้ย”





    หลังจาก นั้นทุกๆปี สิบวันที่จ้าวเยี่ยนซื่อกลับมาฮ่องกง มานอนที่

    คฤหาสน์มังกรแดง มาดามจ้าวรับรู้เสมอมาว่าลูกชายคนเล็กใช้

    เวลาก่อนเข้านอนหมดไปกับการเฝ้าดู การเคลื่อนไหวของห้องบน

    ชั้นสองที่มักเปิดไฟจนครึ่งค่อนคืนเพราะเจ้าของ ห้องอย่างจ้าว

    หมินทำงานข้ามวันเป็นกิจวัตร




    ปีแรกก็ยังแค่มองด้วยตา เปล่า หากปีที่สองจ้าวเยี่ยนซื่อกลับบ้าน

    มาพร้อมกับกล่องบรรจุกล้องส่องทางไกลที่ ทะนุถนอมมาตลอด

    การขนย้าย จากที่เคยตื่นสายจนเป็นคนสุดท้ายของบ้าน คุณชาย

    น้อยที่สมาชิกในบ้านต่างคุ้นหน้า แต่กฎเหล็กจากปากมาดามคือ

    ห้ามพูดถึงต่อหน้าคุณชายจ้าวกลับตื่นตั้งแต่เช้า ตรู่ เพื่อมารอเฝ้า

    มองพี่ชายที่ตึกเล็กซึ่งมักจะเยี่ยมหน้าออกมาทักทายบรรยากาศ

    ยามเช้าตรงหน้าต่างเสมอ





    รอจนจ้าวหมินกลับเข้าไปทำธุระส่วนตัวนั่นแหละ จ้าวเยี่ยนซื่อถึง

    พาตัวเองไปซุกตัวเข้ากับโปงผ้าห่มใหม่พร้อมกับรอยยิ้มระบายเต็ม

    ดวงหน้า




    จนมาปีนี้ หลังจากได้แต่เฝ้ามองข้างเดียวมาสามปีเต็ม จ้าวเยี่ยน

    ซื่อก็กลับมาพร้อมกับปริญญาบัตรวุฒิทางการเงิน ไม่น่าแปลกใจ

    ด้วยมันสมองชั้นเลิศจากทั้งมาดามจ้าวและศาสตราจารย์นาย

    แพทย์ที่ ยอมบริจาคน้ำเชื้อ จ้าวเยี่ยนซื่อในวัยยี่สิบปีที่ฝีมือและ

    เล่ห์เหลี่ยมในศิลปะการต่อสู้ไม่เคย ทำให้อาจารย์อย่างแม่เสี่ยว

    หลานต้องขายหน้า ก็บอกกับมาดามจ้าวว่าจะขอกลับมาอยู่ฮ่องกง

    แบบถาวร และเรื่องของจ้าวหมิน คุณชายน้อยแห่งสกุลจ้าวก็จะขอ

    จัดการเอง





    จนวันนี้.......หลังจาก ยืนฟังเหตุการณ์อยู่หน้าห้องด้วยเป็นห่วงลูก

    ชายทั้งสองจนทนรอรับการรายงาน สถานการณ์จากเด็กที่ให้คอย

    จับตาการเคลื่อนไหวจากตึกเล็กไม่ได้ แทบจะเข้ามาตั้งแต่ได้ยิน

    เสียงการเคลื่อนไหวโครมครามดังลอดออกจากประตูห้อง แต่ก็

    พยายามยับยั้งใจไว้เพราะได้รับปากกับลูกชายคนเล็กไปแล้ว และ

    เมื่อได้ยินคำว่ารักจากปากจ้าวเยี่ยนซื่อก็ทำให้มาดามจ้าวถึงกับ

    ถอนหายใจ ยาว ก่อนจะตัดสินใจก้าวเข้ามาในห้อง




    “แม่.....
    ///คุณแม่!!”



    “อาหมิน แม่ยินดีแนะนำให้รู้จักน้องชายของลูก.....อาซื่อ”




    “น้องชาย........”




    เสียง แผ่วต่ำหลุดออกมาจากลูกชายคนโต ทำให้มาดามจ้าวยิ่งจับ

    สังเกตไปที่สีหน้าของจ้าวหมินที่แม้จะยังนิ่งสนิท แต่กลับซีด

    เผือดลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะเห็นว่าลูกชายคนเล็กกระซิบอะไร

    บางอย่างแผ่วเบากับพี่ชาย แล้วสีหน้าที่มาดามไม่เคยได้เห็นมา

    ก่อนของจ้าวหมินก็ถึงกับทำให้มาดามจ้าว ต้องลอบยิ้มในหน้า.....

    อาหมินของแม่ คงจะจำน้องได้เหมือนกันกระมัง ถึงได้หน้าแดง

    ขนาดนั้น



    ร่างของลูกชายคนเล็กยังคงสั่นสะท้านจนเห็นได้ ชัดอยู่ในอ้อม

    กอดของคนเป็นพี่ที่ค่อยๆสูดลมหายใจเข้ายาว แล้วเงยหน้าสบตา

    กับผู้เป็นแม่พระประจำชีวิต แววตาที่มองมามีทั้งการสำนึกผิดรวม

    ไปถึงความดื้อรั้นจนแยกจากกันไม่ออก




    “คุณแม่ครับ.......ผมกับ...น้อง เรารักกันครับ”



    “แม่รู้แล้ว.....”




    “........งั้น....อย่างนั้นหรือครับ”


    “อา หมินไม่ต้องกลัวแม่จะตำหนิ ถ้าลูกสองคนรักกันจริงก็ดูแลกัน

    ให้ดี เพียงแต่ต้องรับปากกับแม่ว่าจะไม่ให้กระทบกระเทือนกับ

    แก๊งค์ อีกอย่าง.....ถ้าเลิกรักกันวันไหน ห้ามทั้งสองคนทำร้ายจิตใจ

    กัน จำไว้ว่าไม่ว่ายังไง อาหมินกับอาซื่อก็เป็นลูกของแม่ และทั้ง

    สองคนเป็นพี่น้องกัน......รับปากได้ไหม”



    “ครับแม่.....เอ่อ...น้อง......น้องหลับไปแล้วครับ”



    “หึๆๆ.... แม่เห็นแล้ว อาซื่อเป็นเด็กเอาแต่ใจ อาหมินคงต้องอดทน

    มากหน่อยนะลูก ส่วนเรื่องของและลูกน้องที่รายงานมาว่าเจ็บและ

    ตาย แผนของอาซื่อทั้งนั้นนะ แม่ไม่เกี่ยว แล้วก็ไม่ต้องห่วงด้วย

    ทุกคนสบายดี คนที่อยู่โรงพยาบาลตอนนี้แม่เรียกกลับมาหมดแล้ว

    ให้นอนกินแรงเพื่อนนานนักไม่ดี ส่วนคนที่รายงานมาว่าตาย น้อง

    เราส่งไปพักร้อนไกลหน่อย ยังไงก็รออาซื่อตื่นแล้วอาหมินก็ถาม

    น้องเอาเองแล้วกันนะลูก”




    มาดาม จ้าว.....คุณแม่ เดินออกไปนานแล้ว แต่จ้าวหมินยังอยู่ใน

    ท่าเดิม กึ่งนั่งกึ่งนอนโอบกอดร่างกายชื้นเหงื่อที่จะมองยังไงก็

    ผู้ชายเหมือนกัน แถมยังตัวโตพอๆกันไว้ให้ซบอยู่กับอก เลือดของ

    ตัวเองที่เปรอะเปื้อนอยู่ทั้งสองมือของคนที่หลับใหลไม่ได้สติ

    แห้งกรังเป็นคราบ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะตกหลุมรักผู้ชาย

    แต่จะทำยังไงได้ เจ้าความรู้สึกอยากปกป้องดูแลที่แวบขึ้นมาทันที

    ที่สบตา จนมาตอนนี้แล้วมันยังไม่เลือนหายไปเลยสักนิด



    ‘พี่หมิน....ต้องเป็นพี่ชายของผม เป็นผู้สืบทอดเหมือนกับ

    ผม......แล้วก็เป็นคนรักของผม ผมเชื่อ....ว่าเก่งอย่างพี่ ต้อง

    ทำหน้าที่ทั้งหมดได้ดีแน่ๆ โดยเฉพาะหน้าที่ของคนรัก....อ้อ

    พี่ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ เพราะผมจะไม่ยอมปล่อยพี่ไปแน่....’




    จ้าวหมินมาย้อนคิดถึงข้อความที่ น้องชายหมาดๆเพิ่งกระซิบ

    ก่อนจะหมดสติไปก็ได้แต่ขำในใจ....อย่างที่คุณแม่บอก นั่น

    ไม่ผิดไปเลย อาซื่อ.....ท่าทางจะเป็นเด็กเอาแต่ใจมากจริงๆ

    อย่างนี้คงต้องปรามไว้ก่อน เอาให้อยู่หมัดก่อนล่ะมั้ง





    “อืม.......อะ พี่หมิน อ๊ะ......พี่ทำอะไร ปล่อยผมนะ!!!”

    “หึๆๆๆ”
    เสียงหัวเราะต่ำๆในลำคอดังออกมาจากร่างสูงผมดำสนิทที่

    ตอนนี้อยู่ในชุดคลุม ตัวใหม่ หยดน้ำยังเกาะตามไรผม จ้าวหมิ

    นโน้มตัวลงไปจนใกล้กับร่างของน้องชายเจ้าวางแผน ที่พอตื่นขึ้น

    มาเห็นสภาพของตัวเองก็โวยวายเสียงลั่น



    ก็อาซื่อเล่นวาง แผนแกล้งกันขนาดนี้ จะไม่เอาคืนเดี๋ยวจะได้ใจไป

    กันใหญ่ ปล่อยให้หลับยาวตั้งแต่เมื่อคืนจนนี่เช้าวันใหม่แล้ว เมื่อ

    คืนนอนกอดน้องชายที่ขนาดจับพลิกหน้าพลิกหลังเช็ดตัวทำความ

    สะอาดจนทั่ว ยังไม่รู้ตัวทั้งคืน จ้าวหมินหลับสนิทแถมยังฝันดีอย่าง

    ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วน้องชายตัวดีเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกันนัก

    หรอก เล่นหลับยาวจนเช้า แถมเขาลุกไปอาบน้ำแล้วกลับมาแกล้ง

    จับถอดเสื้อผ้าออกจนหมดก็ยังไม่ยอมรู้ตัว



    เมื่อ คืนจัดการให้น้องชายหลับสบายแล้วจ้าวหมินก็เรียกลูกน้องใน

    ปกครองทั้งหมดมาพบ แล้วจัดการสอบรายตัว พบว่าอาเล่ยแหละ

    ตัวดีรับคำสั่งของเขาก็จริง แต่ก็รับคำสั่งพิเศษจากนายใหญ่อย่าง

    มาดามจ้าวที่ขอเป็นกรณีพิเศษให้ช่วย ภารกิจของคุณชายน้อย.....

    ภารกิจลูบคมมังกรอย่างเขา มังกรต่างเลือดอย่างจ้าวหมิน




    จ้าวหมินคาดโทษลูกน้องทุกคน อาเล่ยมือขวาโดนหมายหัวเป็น

    พิเศษ ดีนะ.....ที่เขาคิดแล้วคิดอีกแล้วสรุปได้ว่าเจอกันครั้งแรก

    แบบนั้นก็ดี เพราะอย่างน้อย ท้ายที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายชนะ รีดเอา

    ความจริงออกจากปากอาซื่อได้โดยไม่เสียท่าไปเสียก่อน ไม่อย่าง

    นั้นถึงจะเป็นคนอารมณ์เย็นแค่ไหน แต่ลูกน้องคงจะได้เจ็บตัวกัน

    ถ้วนหน้าแน่



    “พี่หมิน ปล่อย ผมบอกให้ปล่อยไงเล่า!!”




    “อา ซื่อ อย่าดิ้นแรงนักสิ เดี๋ยวข้อมือเป็นแผล พี่ไม่อยากให้เราต้อง

    เจ็บนะ”
    จ้าวหมินแตะจูบลงตรงข้อมือที่ถูกล็อคไว้ด้วยกุญแจมือติด

    กับหัวเตียง เพียงเบาๆเท่านั้น แต่ร่างเปลือยเปล่าที่พอถอดกางเกง

    ออกถึงเห็นสีผิวขาวอมชมพูแบบลูกผสมก็ สะดุ้งขึ้นทั้งตัว แสง

    แดดยามเช้าที่ควรจะทอเข้ามาอาบห้องให้สว่างถูกกรองด้วยม่าน

    บางๆที่ร้อย วันพันปีไม่เคยถูกรูดปิดแต่วันนี้เจ้าของห้องกลับรูดปิด

    หน้าต่างไว้เสียทุก บาน




    “อ๊ะ!!” เสียงอุทานดังขึ้นมาพร้อมๆกับใบหน้าขึ้นสีจัด ทำให้อารมณ์

    อยากแกล้งของจ้าวหมินเริ่มเปลี่ยนไป....ก็ทั้งๆที่ตอนอาบน้ำก็

    จัดการตัวเองไปแล้วแท้ๆ ต้องให้น้องชายที่รักรับผิดชอบแล้ว

    มั้ง.....





    จ้าวหมินถอยร่างออกมาจากร่างเปลือยเปล่าไม่อยู่สุขแล้วปลด

    เชือกที่ผูกชุดคลุมสอง ข้างให้ปิดบังร่างกายไว้ออก เผยเรือนร่าง

    ของวัยหนุ่มที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามจากการออกกำลังกาย ผิดกับ

    ภาพลักษณ์นิ่งสงบยามปกปิดร่างกายด้วยสูทสีขาวเจนตา



    “คุณแม่ บอกว่าอาซื่อชอบแอบมองพี่ คราวนี้ไม่ต้องแอบแล้วนะ พี่

    เต็มใจให้มอง.....”
    จ้าวเยี่ยนซื่อที่มองอยู่ทำได้แค่สะบัดหน้าหนี

    แล้วส่งเสียงโวยวายที่ฟังยังไงก็เป็นการแก้อาย



    “พะ....พี่หมินหน้า ไม่อายว่ะ ปล่อยเลย ผมหิวแล้ว”
    เสียงแข็งๆนั่น

    กลับเจือไปด้วยกระแสสั่นจนเห็นได้ชัด แถมซีกแก้มที่โผล่ให้เห็นก็

    ยิ่งแดงจัดเข้าไปใหญ่


    “ถ้าเป็นเด็กดี พี่จะปล่อยไปกินข้าว”
    จ้าวหมินกระซิบจนใกล้ที่ริมหู

    แล้วเริ่มพรมจูบไปตามขมับละเรื่อยไปตามข้างแก้มแดงๆของคนที่

    ดิ้นหนีไปไหนไม่ ได้



    “อะ.....ก็ปล่อยเลยสิ แซมสัญญานะ จะไม่แกล้งพี่หมินอีก......”



    “พี่ก็อยากปล่อย แต่ทำไงดีล่ะอาซื่อ.....มันเป็นแบบนี้ซะแล้ว”

    พร้อมกับคำพูดนั้น จ้าวเยี่ยนซื่อก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่ร้อนผ่าวและแข็ง

    ขึงจากร่างของจ้าวหมินนาบอยู่แถวหน้าขา พอจะถดตัวหนีก็ติดที่

    ร่างเปลือยเปล่าของพี่ชายทิ้งน้ำหนักทับลงมาแทบทั้งตัว



    “อา ซื่อ......คนดี..... จะไม่รับผิดชอบพี่หน่อยเหรอ”
    ริมฝีปากรุม

    ร้อนเริ่มจู่โจมซุกไซ้ไปตามซอกคอ สลับกับป้อนจูบยั่วเย้าลงตรง

    ปากแดงๆของผู้ได้ชื่อว่าน้องชาย



    “คะ คือ.....แซม แซม.....ไม่เคยทำกับใครเลยนะ......”



    “ก็ เพราะแซมรอพี่ไม่ใช่เหรอ.....ให้พี่ได้รักแซมเถอะนะ.....”
    จ้าว

    หมินโน้มน้าวด้วยคำพูด แล้วมือทั้งสองก็ลูบไล้ไปตามเนื้อตัวของ

    ร่างโปร่งแข็งแกร่งที่เริ่มจะหายใจ ถี่ด้านล่าง




    “......พี่รักแซมจริงๆใช่มั้ย......”


    “ครับ.....รัก ตั้งแต่ได้สบตา แค่สบตาพี่ก็รู้แล้วว่าแซมคือคน

    ที่พี่รอ.......”



    จ้าว หมินละมือออกจากการลูบโลมผิวเนื้อตึงแน่นของจ้าวเยี่ยนซื่อ

    เพื่อเอื้อมหยิบ กุญแจที่หัวเตียงไขปลดล็อคกุญแจมือให้ และไม่

    ทันได้พูดจนจบประโยค คนเอาแต่ใจด้านล่างก็ใช้มือทั้งสองที่เพิ่ง

    ได้รับอิสระรั้งคอให้พี่ชายลงไป มอบจูบอีกครั้งเสียแล้ว



    วันนั้นเป็นวันแรกนับตั้งแต่ก้าวเข้ามาทำงาน ที่คุณชายจ้าวคนขยัน

    ลาพักโดยไม่ยอมแม้แต่ออกจากห้อง ไม่เสียเวลาแม้แต่จะออกไป

    บอกกับคนสนิทอย่างอาเล่ยเลยด้วยซ้ำ



    ...........................................



    แต่จะกังวลอะไรล่ะ ในเมื่อมาดามจ้าวเพิ่งสั่งงานพิเศษอยู่เมื่อ

    คืน......งานดูแลน้องชายเอาแต่ใจอย่างอาซื่อ ไม่ใช่จะทำ

    เสร็จได้ง่ายๆนี่นะ.......


    ....................................

    ....................................

    ..........จบจริงค่ะ............



    สวัสดีค่ะ มาเเล้วตอนสุดท้ายของ ลูบคมมังกร ตอนหน้ามาพร้ัอมตอนใหม่เเละเรื่องเมาท์

    ของสาวใช้ ฝากด้วยนะคะ เจอกันตอนหน้าค่ะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×