ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องเล่าจากความฝัน by anajulia (YAOI)

    ลำดับตอนที่ #8 : เรื่องเล่าจากความฝัน : ลูบคมมังกร

    • อัปเดตล่าสุด 23 ส.ค. 54


    เรื่องเล่าจากความฝัน :ลูบคมมังกร


    ฮ่องกง ปี 1962

    แก๊งค์มังกรแดง



    “พี่หมิน ได้ตัวมันมาแล้วพี่”



    “แก้มัดมัน แล้วพวกแกออกไปได้”





    ...............................


    ย้อนกลับไปเช้าตรู่สองวันก่อน





    “พี่หมิน คนของเราเจ็บ 7 ตาย 2 สูญหายไป 1 ครับ”


    “พวกไหน?”
    เสียงทุ้มต่ำราบเรียบดังเอื่อยๆออกมาจากปากชาย

    หนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ในสูทสี ขาวบริสุทธิ์จนทำให้ทั้งห้องใหญ่ทึบ

    ทึมนั้นเหมือนกับจะสว่างเรืองรองไปด้วย ร่างนั้นยืนเท้าแขนทั้ง

    สองกับกรอบหน้าต่าง เหม่อมองออกไปด้านนอกราวกับกำลังชื่น

    ชมกับธรรมชาติและเสียงนกร้องเพลงยาม เช้า



    “เอ่อ.....”


    “พวกแกมีเวลานับจากตอนนี้ ยี่สิบสี่ชั่วโมง ถ้าหาคำตอบมาไม่ได้

    พี่คงต้องรายงานมาดาม”



    “พี่หมิน!!!”



    สิ้นเสียงประสานกันของอาเล่ยที่เปรียบเสมือนมือขวากับลูกน้องที่

    เข้ามารายงานผล หลังงานล้มเหลว แถมยังถึงกับสูญเสียชีวิตของ

    ลูกน้องไป ร่างที่ยังคงความสงบนิ่ง ไม่แสดงอาการว่าร้อนรนสักนิด

    จึงหันกลับมาช้าๆ แล้วค่อยๆกราดสายตาจับไปยังใบหน้าลูกน้องที่

    มายืนเรียงกันไปทีละคน




    “คงรู้นะว่าจะเป็นไง มาดามไม่ได้ใจดีแบบพี่ อย่างน้อยพวกแกต้อง

    หาข่าวมาให้ได้ ชีวิตที่เสียไป ไม่ว่าจะจากแก๊งค์อื่น หรือจากตำรวจ

    เราต้องเอาคืน”



    “อาเล่ย ไม่ต้องออกไป แกสอบสวนพวกข้างในให้หมด ดูให้

    ละเอียด นอกจากหนึ่งคนที่สูญหายมีใครหายไปตามตัวไม่ได้ และ

    มีใครที่รู้กำหนดการณ์ส่งของแล้วตอนนี้ติดต่อไม่ได้บ้าง ได้ผลยัง

    ไงรายงานพี่ทันที”
    สั่งเสร็จจ้าวหมินก็สาวท้าวก้าวออกจากห้อง



    “พี่หมินจะไปไหนพี่”


    “ไปโรงพยาบาล คนของเราบาดเจ็บตั้งเจ็ดคน พี่ต้องไปเยี่ยมดู

    อาการ”




    “ให้ผมคุ้มกันนะพี่”
    ร่างสูงในชุดขาวไม่เสียเวลาชะงักฝีเท้าสักนิด

    เมื่อยกมือขึ้นโบกปฏิเสธ



    จาก เวลานั้นอีกสามชั่วโมง ลูกน้องอีกรายหนึ่งเสียชีวิตที่โรง

    พยาบาลหลังจากทีมแพทย์พยายามยื้อชีวิตไว้ เต็มที่ ภายใต้สี

    หน้าท่าทางเรียบเฉย แท้จริงจ้าวหมินเริ่มรู้สึกร้อนใจ เขาเป็นเด็ก

    กำพร้าและมาดามจ้าวรับเขามาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม ให้เขาใช้

    สกุลจ้าว ตั้งแต่อายุสิบขวบ ตอนที่เขาเริ่มจะแน่ใจแล้วด้วยซ้ำว่า

    ตัวเองคงต้องใช้ชีวิตอยู่ในบ้านพักของ มูลนิธิจนกว่าจะบรรลุ

    นิติภาวะ



    สิบหกปีในฐานะคุณชายของสกุลจ้าวและ หนึ่งในผู้มีสิทธิสืบทอด

    ตำแหน่งหัวหน้าแก๊งค์มังกรแดง จ้าวหมินพยายามทำตัวให้ดีที่สุด

    เก่งที่สุด ให้สมกับโอกาสที่มาดามจ้าวหยิบยื่นให้


    ตั้งแต่เรียนจบแล้วเข้ามารับ ตำแหน่งในแก๊งค์ ไม่มีสักครั้งที่งานที่

    อยู่ในมือจะเกิดความผิดพลาดร้ายแรง ยิ่งผิดพลาดจนถึงขั้นสูญ

    เสียชีวิตลูกน้องทีเดียวถึงสามคน ทำให้จิตใจที่ตัวเองเชื่อมาตลอด

    ว่าแกร่งดั่งหินผาคลอนแคลน





    ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ใจแข็งพอจะรายงานความผิดพลาดให้

    มาดามรู้ ไม่ใช่แค่เพราะเป็นห่วงลูกน้องที่ขึ้นตรงกับตัวเอง

    แต่ที่ทำให้จ้าวหมินละอายแก่ใจ.....


    ใช่ เขากลัวสายตาผิดหวังจากมาดามผู้เป็นเสมือนแม่พระ

    ประจำชีวิต......





    “เจอตัวอาปิงแล้วพี่ คนที่ตอนแรกมันตกน้ำที่ท่าเรือแล้วรายงานว่า

    สูญหายน่ะครับ”



    “ดี สอบมันรึยัง”


    “เรียบร้อยพี่ มันบอกว่ามันสงสัยว่าจะเป็นคนจากแก๊งค์ธนูเพลิง”



    “หืม......แก๊งค์จากเซี่ยงไฮ้”



    “ครับพี่หมิน อาปิงมันว่ามันเห็นรอยสักรูปธนูที่ต้นแขนของไอ้คนที่

    ยิงมันจนตกน้ำ แล้วมันก็บอกว่าจำหน้าไอ้ตัวหัวหน้าได้ด้วยนะพี่”


    “ให้ช่างของเราวาดรูปตามคำบอกของอาปิง แล้วควานหา

    ตัวมาให้ได้ โดยเฉพาะไอ้ตัวหัวหน้า อย่าให้มีรอยขีดข่วน

    เราต้องการข้อมูลจากมัน”




    เสียงกระดิ่ง กระเบื้องเคลือบดังระรัวขึ้นเป็นจังหวะกระชั้น


    ตามอารมณ์ของผู้ดำรงตำแหน่ง ประมุขของคฤหาสน์ ร่าง

    ระหงในชุดคลุมหลังอาบน้ำผ้าไหมเนื้อดีสีแดงสดของเผยผิว

    ขาวราวงาช้าง ในท่านั่งหลังตรงสง่างามอยู่หน้ากระจกโต๊ะ

    เครื่องแป้ง ผิวเนียนละมุนและใบหน้าที่หากไม่สังเกตจะไม่มี

    ทางพบริ้วรอยแห่งวัยเลยสักนิด ขมวดคิ้วแสดงความไม่พอ

    ใจเล็กน้อยในความไม่ทันใจของคนสนิท




    “มาแล้วค่ะมาดาม”


    “เรียกอาซื่อมาพบฉันที”


    “เอ่อ....คือ”


    “พูดมา อย่าอ้ำๆอึ้งๆ เธอก็รู้ว่าฉันไม่ชอบ” สายตาคมกริบจับจ้องไป

    นี่ดวงตาของสาวใช้คนสนิทผ่านเงาสะท้อนจากกระจกทันที


    “คุณชายน้อยยังไม่ตื่นเลยค่ะมาดาม”


    “นี่ยังไง เพราะอาซื่อเป็นแบบนี้ ฉันถึงปล่อยมือไม่ได้”


    “โธ่.....มาดามคะ คุณชายน้อยเพิ่งกลับมาฮ่องกงไม่ถึงสาม

    วัน คงยังปรับเวลาไม่ได้”



    “เสี่ยวหลาน!! เธออย่านึกว่าฉันไม่รู้ไม่เห็นว่าลูกรักของเธอทำ

    อะไรลงไปบ้าง ไม่ตื่นก็ต้องปลุก เดี๋ยวนี้!!”



    น้ำเสียงกราดเกรี้ยวที่ไม่ได้ใช้กับคนสนิทบ่อยนักดังลอดจากริม

    ฝีปากบางเฉียบ ผู้รับคำสั่งที่เป็นเหมือนเพื่อนมากกว่าสาวใช้ก็ถึง

    กับสะดุ้ง รีบย่อตัวรับคำแล้วออกไปทำตามคำสั่งทันที



    จากนั้นอีกไม่ทันชั่วน้ำ เดือด เสียงปึงปังก็ดังแว่วมาจากปีกซ้าย

    ของคฤหาสน์สีแดงอิฐที่กินเนื้อที่เฉพาะ อาคารหลักกว่าสองไร่

    เสียงตึงตังดังอยู่เพียงชั่วครู่ ร่างสูงโปร่งการเคลื่อนไหวประเปรียว

    ก็เดินลากขาผ่านประตูไม้ที่เปิดอ้ากว้าง ตกแต่งด้วยม่านกำมะหยี่สี

    แดงเข้มเดินดิ้นทองเข้ามาในห้อง กวาดตามองชั่วครู่ไม่เห็นร่าง


    ของประมุขคฤหาสน์ คุณชายน้อยของคฤหาสน์จึงก้าวผ่านม่าน

    กำมะหยี่อีกชั้นที่กั้นส่วนด้านนอกกับ ส่วนแต่งตัวเข้าไป



    “แม่จ๋า....อืม.....หอมจังเลย....”
    พอก้าวเข้าไปถึงตัวร่างประเปรียว

    นั้นก็ทรุดตัวลงโอบแขนไปรอบเอวของผู้ที่ กำลังแตะแต้มเรียวปาก

    ด้วยพู่กันให้เป็นสีแดงสดอยู่พอดี ก่อนจะวางศีรษะลงกับตักนิ่ม

    อย่างออดอ้อน




    “ไม่ต้องมาอ้อนแม่ ทำอะไรตามอำเภอใจไม่ปรึกษาแม่สักนิด อาซื่อ

    ยังเห็นว่าแม่สำคัญอยู่มั้ย”
    น้ำเสียงตัดพ้อดังจากริมฝีปากของร่าง

    ระหง ในขณะที่ฝ่ามือที่ประกอบไปด้วยนิ้วเรียวดั่งลำเทียนกับเล็บที่

    ตัดแต่งอย่าง ดีเคลือบสีแดงสดไม่ต่างจากริมฝีปากละจากพู่กันที่

    กำลังวาดลงบนริมฝีปากมาลูบ ไล้บนกลุ่มผมหยักศกสีน้ำตาลเข้ม

    เหลือบทองของลูกชายคนเดียว




    “โธ่....... แม่สำคัญที่สุดอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า....ผมอยากจะลงมือ

    ด้วยตัวเอง แซมโตแล้วนะจ๊ะแม่จ๋า แม่อย่าห้ามแซมเลยนะ ให้แซม

    ได้ทำถึงที่สุดก่อน....นะจ๊ะแม่”



    “ตกลง แต่ถ้าเรื่องไม่เป็นไปอย่างที่ลูกคิด อาซื่อก็ต้องปล่อยวางนะ

    ลูก”





    “ขอบ คุณครับแม่ ใครว่าแม่ผมดุกัน ทั้งใจดีทั้งสวยที่สุดในโลกเลย

    นะเนี่ย”
    ได้รับคำอนุญาตแบบไม่ค่อยเต็มใจ แซมมวล หรืออาซื่อก็

    โหย่งตัวขึ้นจูบหนักๆที่สองข้างแก้มของผู้หญิงสวยที่สุดในโลก ที่

    ปล่อยให้เสียงหัวเราะเบาๆที่คนนอกไม่เคยได้ยินหลุดออกมาจนได้



    .............................



    “พี่หมิน ได้ตัวมันมาแล้วพี่”



    “แก้มัดมัน แล้วพวกแกออกไปได้”



    สิ้น คำสั่งจากจ้าวหมิน เรือนร่างโปร่งในกางเกงยีนส์สีซีดมีรอย

    ขาดตรงปลายขาทั้งสองข้างกับเสื้อ เชิ้ตสีดำสนิทปล่อยชายที่ถูก

    จับมัดทั้งแขนทั้งขาจนอยู่ในสภาพตัวงอเข่าทั้ง สองชิดอก ก็ถูก

    ปล่อยลงกับพื้น




    อาเล่ยจัดการก้าวเข้ามาแก้เชือกที่ มัดแขนและขาติดกับลำตัวออก

    ตามคำสั่ง แต่ยังคงทิ้งผ้าปิดปากและปิดตาจนใบหน้าเปื้อนฝุ่นและ

    ร่องรอยบวมช้ำใต้โหนก แก้มขวาโผล่ออกมาให้เห็นแต่ปลายคาง

    แหลม ผิวแก้มสีแดงเหมือนคนที่ใช้ชีวิตอยู่กลางแดดจ้า และผมสี

    น้ำตาลทอง....เหมือนพวกลูกครึ่ง



    รอจนทั้งมือขวาและลูกน้องออก ไปจนหมด ร่างสูงในชุดคลุมหลัง

    อาบน้ำสีขาวบริสุทธิ์จึงเดินตามไปปิดพร้อมลงล็อคประตู แล้วเดิน

    กลับมาพิจารณาเรือนร่างที่ยังคงสลบไสลไม่ได้สติจนชิด



    จ้าวหมินเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนจะกลับออกมาพร้อมน้ำ

    หนึ่งแก้ว แล้วค่อยๆรินรดลงไปบนใบหน้าของร่างที่ยังไม่ได้สติที่

    กองอยู่บนพื้น



    ร่างนั้นสะดุ้งขึ้นทันทีที่รู้สึกถึงสายน้ำเย็นจัด แต่อาการดิ้นรนที่จ้าว

    หมินคาดว่าจะได้เห็นกลับไม่มี มีเพียงอาการสะดุ้งขึ้นครั้งเดียว

    แล้วพอมีสติรู้ตัวก็พลิกตัวจนอยู่ในท่านั่งเหยียดขา บิดตัวซ้ายที

    ขวาทีเหมือนต้องการขับไล่อาการเมื่อยขบ ไม่ได้ส่งเสียงประท้วง

    ใดๆสักนิด


    จ้าวหมินถอยไปทรุดตัวลงนั่งบน โซฟาปลายเตียงเงียบๆหันหน้า

    จับตามองการกระทำของร่างโปร่งผู้ต้องสงสัยว่า เป็นหัวหน้ากลุ่ม

    ของพวกที่เข้าจู่โจมแล้วชิงของตัดหน้าคู่ค้ารายใหญ่ไปได้ รวมถึง

    ทำให้คนของเขาบาดเจ็บถึงหกคน เสียชีวิตรวมแล้วสามคนอย่าง

    สนใจ


    ร่างนั้นยกมือที่เป็นอิสระดึงผ้าปิดปากให้เลื่อนลงมากองอยู่ที่ลำคอ

    ระหง ก่อนจะเอื้อมมือปลดผ้าปิดตาออกง่ายๆ แล้วเงยหน้าขึ้นสบ

    ตากับจ้าวหมินที่นั่งไขว่ห้างแผ่นหลังเหยียดตรงมองตรงมา จาก

    ปลายเตียง



    เพียงได้สบตา ฝ่ายที่ต้องสะกดอารมณ์เก็บอาการให้นิ่งที่สุดกลับ

    เป็นจ้าวหมิน



    แค่ สบตา.....เหมือนมีแรงผลักจากภายในทำให้อยากจะตรง

    เข้าไปหา ไปประคองให้ขึ้นมานั่งบนเตียงให้สบาย อยากจะ

    ช่วยซับน้ำที่ไหลเปรอะเปื้อนตั้งแต่ศีรษะจนลามเลยถึงใบหน้า

    สีทองแดง นั้นให้อย่างเบามือ




    สายตาสองคู่ประสานกันนิ่ง ไม่มีฝ่ายใดยอมเอ่ยปากส่งเสียงออก

    มาก่อน ราวกับเสือสองตัวที่กำลังช่วงชิงจังหวะได้เปรียบ หากฝ่าย

    ใดเผยช่องว่างให้คู่ต่อสู้ อึดใจแห่งความตายคงมาถึงในทันที



    “ยินดีที่ได้พบ......คุณชายจ้าว”
    สุดท้ายร่างที่นั่งชันเข่าเท้า

    แขนทั้งสองไปด้านหลังก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน




    “แกเป็นใคร”



    “แล้วคุณอยากให้เป็นใครล่ะ”




    “หึๆ นั่นสินะ.....” จ้าวหมินสูดลมหายใจเข้ายาวแล้วลุกขึ้นเดินไปที่

    ตู้กระจกที่สูงจรดเพดาน หยิบเอาขวดแก้วเจียระไนบรรจุของเหลว

    สีอำพันออกมาพร้อมแก้วใบหนาอีกสองใบ


    “บรั่นดีหน่อยมั้ย”


    “หนาวๆ อย่างนี้บรั่นดีสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน”
    คำตอบถูกส่งมา

    พร้อมกับรอยยิ้มที่ถ้าสายตาของจ้าวหมินไม่หลอกตัวเอง มันเต็ม

    ไปด้วยการยั่วเย้า



    “ก็แล้วถ้าผมบอกว่าอยากให้คุณเป็นอะไร คุณจะเป็นสิ่งนั้นสำหรับ

    ผมได้รึเปล่าล่ะ”
    ร่างสูงในชุดคลุมสีขาวเดินเข้ามาทรุดตัวลงส่ง

    แก้วที่มีบรั่นดีอยู่หนึ่งใน สามให้ร่างที่พื้น ไล้ปลายนิ้วไปตามกรอบ

    ใบหน้าเรียวจากโหนกแก้มบวมช้ำจนถึงปลายคางเรียว

    แหลมอย่างเบามือ อะไรบางอย่างในสัมผัสของเชลยยิ่งทำให้จ้าว

    หมินรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด



    อาคันตุกะ ผู้ไม่ยอมทำตัวเหมือนเชลยยกแก้วเนื้อหนาขึ้นแตะปาก

    เหมือนชิมรสชาติของเหลวใน แก้ว ยื่นปลายลิ้นออกมาแตะที่ริม

    ฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะกระดกข้อมืออีกครั้งเทบรั่นดีในแก้วลงคอ

    รวดเดียว ในขณะที่จ้าวหมินเองก็กระดกหมดในครั้งเดียวเช่นกัน

    หากสายตากลับไม่ละไปจากใบหน้าของเชลยตรงหน้าแม้เสี้ยว

    นาที



    “มันก็ ขึ้นกับข้อเสนอของคุณคืออะไร คุณชายจ้าว..... ยิ่งสิ่งมีค่า

    มาก เงื่อนไขย่อมสูงตามไปด้วย”
    คราวนี้แววตาที่เงยสบเต็มไป

    ด้วยความท้าทาย




    จ้าวหมินอ่านสารที่อีกฝ่ายสื่อมาได้ทะลุปรุโปร่ง.....ถ้าเขา

    กล้าพอ ก็เข้ามารับไปได้เลย




    “งั้นคำถามใหม่....ของอยู่ไหน”
    จ้าวหมินเลือกที่จะถอย ร่างสูงถอย

    ไปนั่งไขว่ห้างลงที่ปลายเตียงเหมือนเดิม ก่อนจะป้อนคำถามใหม่



    “เอาอย่างนี้ดีกว่า เรามาแลกกัน ถ้าคุณตอบหนึ่งคำถาม ผมก็จะ

    ตอบคุณหนึ่งคำถาม ยื่นหมูยื่นแมวแบบนี้แฟร์ดี คุณว่ามั้ย”




    “คุณไม่น่าจะให้ผมต้องย้ำนะ ว่าคุณอยู่ในฐานะอะไร คุณไม่มีสิทธิ์

    ต่อรอง ตอบคำถามมาดีกว่า”





    ร่างโปร่งของคนที่ตกเป็นเชลยยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อที่เริ่มซึม

    ออกมาบริเวณไรผม สายตาที่กราดไปทั่วห้องในทีแรกเบนกลับมา

    จับจ้องที่ใบหน้าของร่างในชุดคลุมขาวลมหายใจหอบสะท้อนถี่เร็ว


    “นี่.....ทำไมคุณมีสองคนล่ะ คุณชาย..จ้าว.......คุณ....วางยา...”


    “รู้ตัวช้าจริง.......มานอนบนเตียงดีๆดีกว่า”
    จ้าวหมินก้าวไปพยุงตัว

    คนที่ทำท่าจะนอนลงบนพื้นให้นอนลงบนเตียงช้าๆ




    “ยา....อะไร”




    “แค่ส่วนผสมบางอย่างที่จะช่วยให้คุณคายความลับออกมา

    ง่ายขึ้นโดยไม่รู้สึกผิดเท่านั้นเอง.......อ๊ะ!!”



    ร่างหอบสะท้านที่เห็นว่าอ่อนแรงอยู่เมื่อครู่พลิกกลับมาอยู่ด้านบน

    พร้อมกับใช้เข่าทั้งสองข้างกดลงบนข้อพับเข่าของจ้าวหมินบังคับ

    ให้อยู่ในท่า คลาน ก่อนจะดึงลวดที่ซ่อนอยู่ในหัวเข็มขัดออกมาพัน

    รอบคอของคนที่เพิ่งถูกบังคับ ให้ตกอยู่ในเงื้อมมือของอีก

    ฝ่ายอย่างไม่ทันตั้งตัว




    “หะ........หะ........คุณ....ระ ร้ายยยยยย มาก.....หะ....หะ.....”



    “ถ้า คุณไม่อยากฆ่าผม ก็เอาลวดนี่ออกไปดีกว่า มือคุณสั่นออก

    ขนาดนี้ ถ้าพลาดขึ้นมามันจะยุ่ง”
    น้ำเสียงจากร่างในชุดคลุมขาวยัง

    คงเรียบเรื่อย ราวกับไม่ตระหนักถึงเงามัจจุราช




    “ของอยู่ที่ไหน”




    “โกดังยี่สิบ สี่....อื้อ...หยะ หยุดถามเดี๋ยวนี้นะ...”
    มือที่รั้งลวดสอง

    ข้างกระตุกเกร็งเป็นระยะ ทำให้คนป้อนคำถามแทบจะกลั้นหายใจ

    แต่สีหน้าที่เห็นผ่านกระจกบานเล็กหัวเตียงกลับนิ่งสนิท ในขณะที่

    สีหน้าของคนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังและมีอาวุธสังหารในมือกลับ

    ร้อนรน ทั้งแววตาสับสนและเหงื่อที่ซึมออกมาจนแทบจะเป็นน้ำ



    “หัวหน้าของคุณคือใคร”




    “มะ ไม่......มี” ประกายตาของผู้ตกเป็นเชลยสะท้อนแสงแวววับ




    “แปลว่าคุณคือหัวหน้าใหญ่ของแก๊งค์ธนูเพลิงงั้นสิ.....แปลก”




    “ไม่ใช่.....หะ......บอกให้หยุดถามไงเล่า......”



    จังหวะที่เหงื่อหยดหนึ่งไหลเข้าตาของร่างด้านหลัง จ้าวหมินที่จับ

    ตาดูอยู่ก็เหยียดมือหยิบโคลท์ .38 ใต้หมอนแล้วพลิกตัวจ่อ

    ปากกระบอกเข้ากับขมับของคนที่เบิกตากว้างด้วยความคาด ไม่ถึง

    พร้อมทั้งปลดห้ามไกทันที แรงจากการขยับตัวอย่างรวดเร็วทำให้

    ลวดที่ทาบอยู่กับลำคอบาดเนื้อจนเลือดซึม ออกมาเป็นสาย





    “ไม่!!!! อย่าเป็นอะไรนะ”



    แทนที่คนถูกจ่อด้วยปืนจะพยายามหนีห่างหรือแม้แต่หยุดนิ่งเพราะ

    ตกใจ ปฏิกิริยาของร่างโปร่งที่ชื้นเหงื่อกลับเป็นไปในทางตรงกัน

    ข้าม ร่างนั้นยื่นมือสั่นเทิ้มแตะลงบนรอยแผลด้านหน้าลำคอหนา

    แผ่วเบา ใช้ปลายนิ้วของตัวเองเช็ดซับของเหลวสีแดงเข้มที่ซึม

    ออกมาช้าๆนั่น ก่อนจะกดไว้แน่น




    “...............?............”




    “ห้ามเลือด...หะ......รีบห้ามเลือดสิ เร็วเข้า.......หะ.....เลือด...ไหล

    ใหญ่แล้ว....”



    จ้าวหมินปล่อยปืนในมือให้ตกลงกับพื้นเตียง แล้วรั้งร่างโปร่งที่

    กำลังสั่นสะท้านไปทั้งตัวเข้ามากอดไว้แน่น




    “หึๆ คุณชื่ออะไร”



    “เยี่ยนซื่อ........จ้าว.....เยี่ยนซื่อ......”


    “ฮะ!?!”


    จ้าวหมินดันร่างชื้นเหงื่อออกแล้วจ้องเข้าไปในดวงตาทันที ริม

    ฝีปากสีแดงสดสั่นสะท้าน แววตาเด็ดเดี่ยวนั่นก็มีความหวาดกลัว

    บางสิ่งบางอย่างซ่อนเร้น




    “จ้าวเยี่ยนซื่อ......เป็นคนของแก๊งค์ไหน”



    “......มังกรแดง......”





    “ตำแหน่ง ล่ะ” คนที่ถือว่าตัวเองเหนือกว่าเริ่มมีสีหน้าซีดลงอย่าง

    เห็นได้ชัด ในขณะที่คนตอบคำถามพยายามอย่างยิ่งที่จะห้ามตัว

    เองไม่ให้พูดความจริง





    “ผู้สืบทอด......พอแล้ว.....ผม....ผมเป็นลูกแท้ๆของมาดามจ้าว

    มาดามจ้าวคนเดียวกับคุณนั่นแหละ”



    “......คุณเป็นใครกันแน่”



    “เป็นคนรักของคุณชายจ้าว.....อ๊ะ!!”
     
    มือที่ทาบอยู่กับอก

    เปลือยเพราะชุดคลุมถูกดึงรั้งจนเลื่อนหลุดมากองอยู่ตรง เอวถูก

    เจ้าของดึงกลับไปปิดปากตัวเองกะทันหัน ในขณะที่ร่องรอยของ

    ความเข้าใจบางอย่างจุดขึ้นในดวงตาของจ้าวหมิน



    “คุณแม่.......มาดามส่งคุณมาเรอะ”



    “ไม่ใช่......ผมทำทั้งหมดเอง ผมวางแผนทั้งหมด”





    “เพื่ออะไร”




    “เพื่อ......รัก....ผมรักคุณ”



    ...................................................




    ///แปะๆๆๆๆ///



    เสียง ปลดล๊อคประตูจากด้านนอกดังขึ้นตามด้วยเสียงปรบ

    มือดังๆสามสี่ครั้ง ก่อนที่ร่างระหงของมาดามจ้าวในชุดยาวสี

    ดำสนิทจะก้าวผ่านประตูเข้ามา





    “แม่.....///คุณแม่!!”




    “อาหมิน แม่ยินดีแนะนำให้รู้จักน้องชายของลูก.....อาซื่อ



    “น้องชาย........”




    ร่าง โปร่งที่ยังคงสั่นสะท้านในอ้อมกอดเบียดซุกเข้าหาจนแนบ

    แน่น แขนสองข้างเกาะเกี่ยวกับพี่ชายจนต่อให้คนถูกกอดพยายาม

    อย่างไรก็ไม่มีทางจะ ผละห่างได้ และระหว่างที่จ้าวหมินยังไม่กล้า

    สบตากับผู้ที่เป็นเสมือนแม่พระของชีวิต ก็ได้ยินเสียงกระซิบแผ่ว

    เบาปนหอบดังให้พอได้ยินกันสองคน



    “พี่ หมิน....ต้องเป็นพี่ชายของผม เป็นผู้สืบทอดเหมือนกับ

    ผม......แล้วก็เป็นคนรักของผม ผมเชื่อ....ว่าเก่งอย่างพี่ ต้อง

    ทำหน้าที่ทั้งหมดได้ดีแน่ๆ โดยเฉพาะหน้าที่ของคนรัก....อ้อ

    พี่ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ เพราะผมจะไม่ยอมปล่อยพี่ไปแน่....”




    .......................................
    ...........(จบค่ะ).................





    อิอิ สวัสดีค่ะ ตอนนี้ไปกันไกลเลย ไปฮ่องกงเเละไปอยู่กับเเกงค์มาเฟีย โฮ่ ขอบคุณนะคะ

    คนอ่านที่เอา คาราไมล์ไปฝากหลังกองฟางค่ะ อิอิ รอบนี้ไปไกลเปลี่ยนโลเกชั่นเเทบไม่

    ทัน  กลัวตายด้วยอยากรู้ด้วย ฮี่ฮี่ฮี่ เจอกันตอนหน้านะคะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×