ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : เรื่องเล่าจากความฝัน : ‘เจ้าสอนของเรียมเอย’
‘เจ้าสอนของเรียมเอย’
“แม่ วู้ววววววว แม่”
เสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นมาถึงชั้นบนของเรือนไม้ใต้ถุน
สูง ตั้งแต่ยังไม่ทันเห็นตัวเจ้าของเสียง เรียกความสนใจจาก
ผู้หญิงสามคนสามวัยที่เพิ่งนั่งล้อมวงลง เปิบข้าวได้ไม่กี่คำ
ได้ทันที
ผู้หญิง ที่อายุน้อยที่สุดอยู่ในวัยสาวรุ่นยันตัวลุกขึ้นยืนจากท่าที่นั่ง
ขัดสมาธิ อยู่อย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งรี่ลงไปตามไม้กระดานที่นำมา
พาดไว้ลวกๆแทนกระได อ้อมตรงไปทางท่าน้ำริมคลองเล็กๆหน้า
บ้านทันที
ได้ยินเสียงเอ็ดตามหลังจากผู้สูงวัยที่สุดแต่ไม่ได้เป็นใหญ่ที่สุดใน
บ้านดังตามมา
“อีเล็กกกกก เอ็งจะลุกจะนั่งก็ให้มันดีๆ ผาดโผนเป็นทโมนอย่างนี้
เอ็งไม่ขึ้นคานอยู่ให้ข้าเลี้ยงไปจนแก่เรอะ อีหลานคนนี้”
ร่างโปร่งบางของคนที่ถูกเรียกว่า ‘อีเล็ก’ ตอบโต้ด้วยการหัวเราะ
เสียลั่นคุ้ง โดยที่ไม่ได้ลดความเร็วของการวิ่งลงเลย
“ไง....แม่สายสวาท วิ่งอย่างนี้ถ้าผ้าถุงหลุดพี่จะสมน้ำหน้า”
“พี่สอน ฉันนึกว่าพี่จะมาไม่ทันเรือเที่ยวสุดท้ายเสียแล้ว นี่ก็เพิ่งตั้ง
สำรับ ทั้งแม่ทั้งย่าชะเง้อคอยพี่กันจนคอยาว ฉันล่ะหมั่นไส้จริงๆ”
“แม่กับย่าชะเง้อคอคอย แล้วเอ็งล่ะ?”
“ฮี่ๆๆ ฉันก็ชะเง้อ แต่ไม่ได้คอยพี่หรอกนะ ฉันคอยของฝากจาก
บางกอกตะหาก”
แม่สายสวาทของพี่สอนและอีเล็กของย่าแสวง หรือย่าแหวงคนดัง
แห่งบ้านไผ่ช้างล้อมรับถุงกระดาษที่พี่ชายยื่นให้มาถือไว้ เดินนำ
กลับเรือนไปก็แหวกปากถุงออกดูของไปด้วย
“หึๆๆ เดินไปดูบนบ้านก็ได้สายถุงใหญ่นั่นของเอ็ง ที่เหลือของแม่
กับย่า”
“เหอะ ถึงพี่จะให้ฉันเอาถุงเล็กฉันก็ไม่เอาหรอก สีคนแก่......เออ พี่
สอน พี่จำอีเผื่อนได้ไหม”
“อีเผื่อนไหน”
“ก็อีบัวเผื่อนลูกผู้ใหญ่ผันไง นี่เขาว่า......”
แม่สายสวาทที่ตามสำมะโนครัวชื่อนางสาวสายใจยังไม่ทันได้
บอกว่าเขาไหนว่ามาว่าอย่างไร ก็พอดีเดินขึ้นมาถึงบนเรือนเสีย
ก่อน
“ย่า แม่ สวัสดีจ้ะ ฉันไปบางกอกแค่ไม่เท่าไหร่ ทำไมกลับมาคราวนี้
ย่าถึงผอมลงนักล่ะจ๊ะ ไม่ค่อยกินข้าวเหรอ”
ไอ้ สอนก้าวขึ้นเรือนวางของลงได้ก็ทรุดลงนั่งกราบย่าที่ตัก ก่อน
มื้อเย็นจะเริ่มขึ้นอีกครั้งพร้อมหน้ากันทั้งบ้านเป็นครั้งแรกในรอบ
สามเดือน
“น้ำค้างตกแล้วนะพี่ ไม่เข้าบ้านอีกเหรอ”
“พี่ขอตากน้ำค้างอีกนิดเถอะสาย อยู่ในบางกอกนานจนจะลืมกลิ่น
น้ำค้างเสียแล้ว” ไอ้สอนนอนหงายหนุนหมอนขวานเก่าๆอยู่นอก
ชานเรือน สายตาจับไปที่ดวงดาวดวงที่สุกใสที่สุดกลางท้องฟ้า
ขาข้างหนึ่งชันขึ้นในขณะที่อีกข้างไขว่ห้างแถมยังกระดิกตีนไปมา
อย่างสบาย อารมณ์
“เออ พี่สอนเรื่องอีเผื่อนน่ะ.....” น้องสาวคนเดียวเลยเดินย้อนกลับ
ไปหยิบแส้เก่าๆที่เอาไว้ใช้ปัดไล่ยุง แล้วจึงย้อนกลับมาทรุดตัวลง
นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ มือก็คอยปัดยุงให้พี่ชายไปด้วย ก่อนจะเริ่มบท
สนทนาที่ค้างคาอยู่ขึ้นมาอีก
“ฮ่าๆๆๆ นี่เอ็งคันปากอยากเล่าขนาดนั้นเลยรึ เฮ้อ....เอ็งนี่น้า.....”
ไอ้สอนยกตัวขึ้นขยี้หัวน้องสาวไปที แล้วค่อยเอนตัวลงนอนในท่า
เดิมต่อ
“แหม......นี่ถ้าไม่เกี่ยวกับพี่ ฉันก็ไม่เล่าหรอกน่า”
“หืมมมมม แล้วเรื่องของลูกสาวผู้ใหญ่ผันจะมาเกี่ยวอะไรกับพี่ล่ะ”
“ก็เขาว่ามันท้องไม่มีพ่อ”
“นั่นยิ่งไม่เกี่ยวกับพี่เข้าไปใหญ่ พี่ไปอยู่บางกอกงวดนี้ตั้งสามเดือน
ยังไงก็เป็นพ่อให้ลูกในท้องอีเผื่อนของเอ็งไม่ได้หรอก หึๆๆ”
“ก็ไม่ได้จะบอกว่าพี่สอนเป็นพ่อนี่.....คนที่อีเผื่อนมันบอกว่าเป็นพ่อ
เด็กน่ะ คือพี่มั่นตะหาก”
“ไอ้มั่น!!!”
ชื่อที่หลุดจากปากน้องสาวคนเดียวทำให้เรือนร่างแกร่งเกร็งแบบ
คนทำงานของไอ้สอนสะดุ้งขึ้นทั้งตัว แต่ชั่วอึดใจสีหน้านั้นก็กลับ
สงบนิ่ง แล้วหันไปจับสายตาอยู่กับดวงดาวดวงเดียวนั้นเหมือนเดิม
แต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่น้องสาวคนเดียวอย่างอีสายจะสรุปสิ่งที่
สงสัยมาตลอดได้
“พี่สอน.....พี่กับพี่มั่น รักกันใช่ไหม”
“.....................”
“....................”
“สอนเอ๊ย......กลับบ้านมาช่วยไถนาคราวนี้ เอ็งนัดกับไอ้มั่นแล้วยัง
ลูก แม่ว่าไม่เกินวันนี้พรุ่งนี้ฝนคงตกแล้วนะ”
“ยังเลยจ้ะแม่ เดี๋ยวบ่ายๆหนูจะเดินไปดูมันเสียหน่อยแล้วจะได้นัด
กันเลย อาบน้ำให้อีแหง่มันก่อน มันโตไวเหมือนกันนะแม่ อีแหง่
เป็นสาวแล้วสงสัยต้องหาผัวให้มันเสียที แม่สายสวาทจะได้มีลูก
แหง่น้อยๆไว้เลี้ยงเล่น เผื่อหน้านาปีหน้า ไม่มีใครมันอยากจะมา
ช่วยไถช่วยหว่าน บ้านเราจะได้มีควายสองตัวช่วยผ่อนแรง หึๆๆๆ”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปหากคนไม่คุ้นเคยย่อมเข้าใจว่าผู้พูดรู้สึกสนุก
สนาน เหมือนกับเนื้อความ หากสำหรับแม่ที่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงลูก
มาเข้ายี่สิบปีอย่างแม่เปี่ยมกลับ สะดุดหูกับประโยคท้ายเหมือนลูก
ชายจะมีตะกอนในใจกับเพื่อนรักเสียแล้ว
“.....สอน เอ็งได้ยินข่าวแล้วรึ”
“....... แม่.....แม่รู้......”
คำถามของนางเปี่ยมที่ดูเป็นคำถามทั่วๆไป และน้ำเสียงเรียบ
เรื่อยนั้นย่อมไม่ ทำให้ไอ้สอนตกใจได้หากไม่ประกอบกับสายตา
แสดงความเข้าอกเข้าใจที่คนเป็นแม่ทอดมองมา
“น้องเอ็งมันปากมาก ....แล้วเอ็งเชื่อปากคนรึเปล่าล่ะลูก” ใช่ว่าคน
เป็นแม่จะภาคภูมิใจที่รับรู้ว่าบุตรชายคนเดียวของตนมีหัวใจรักให้
ผู้ชายด้วยกัน แต่เมื่อคืนนางเปี่ยมได้ยินเสียงกุกกักนอกชานเลย
ย่องออกไปดู แล้วบังเอิญได้ยินบทสนทนาของลูกทั้งสองเข้าพอดี
คำถามของลูกสาวทำ ให้หัวอกคนเป็นแม่ปั่นป่วน แล้วยิ่งความ
เงียบที่เป็นคำตอบจากลูกชายหัวแก้วหัวแหวน สำหรับคนเป็นแม่
แล้วมันดังยิ่งกว่าเสียงระฆังที่พระท่านตีบอกเวลาเพลเสียอีก นาง
เปี่ยมในวัยเฉียดห้าสิบปีค่อยๆถอยหลังกลับเข้าไปในมุ้ง พลิกตัว
กระสับกระส่ายอยู่ค่อนคืน จิตใจร้อนรนครุ่นคิด ทบทวนแต่ว่าจะทำ
อย่างไร
จนสายใจมุดมุ้งเข้ามานั่งคุกเข่าสวดมนต์ กราบพระอยู่ข้างๆแล้ว
ล้มตัวลงนอน นางก็แข็งใจแสร้งทำเป็นหลับสนิท จนได้ยินเสียง
หายใจสม่ำเสมอจากลูกสาวนั่นแหละ นางเปี่ยมจึงลุกขึ้นมานั่ง
พนมมือสวดมนต์ ขอเอาคุณพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่
พึ่ง นั่งหลับตากำหนดจิตให้เป็นสมาธิ สักครู่คำสอนที่ได้ฟังมานับ
ครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่ยังเยาว์ก็ดังขึ้นในห้วงความ คิด ‘หากยังยึดถือ
ว่าตัวกู ของกู ก็จะปลดทุกข์ไม่ได้ สังขารนั้นมันไม่เที่ยง ชีวิต
ก็ไม่เที่ยง ตัวเราไม่ใช่ของเรา เสื้อผ้าไม่ใช่ของเรา ลูกก็ไม่
ใช่ของเรา ผัวก็ไม่ใช่ของเรา......ไม่ใช่ของเราทั้งนั้น’
“แม่จ๋า หนูขอโทษ......หนูไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้” ไอ้สอนวางมือ
จากอีแหง่ลูกรัก แล้วก้าวสวบๆขึ้นมาก้มลงกราบแม่ที่กำลังเลือก
เก็บมะเขือขื่นลงตรงไหล่บอบบาง หากไอ้สอนรู้ว่าไหล่นี้บ่านี้แข็ง
แกร่งนัก
ปฏิเสธว่าสิ่งที่แม่รู้ ไม่เป็นความจริงไปก็เท่านั้น นางเปี่ยมไม่ใช่คน
มักพูดแบบหญิงชาวบ้านทั่วไป แม่ของเขาคิดก่อนพูดเสมอ และถ้า
เรื่องไหนไม่มั่นใจว่าเป็นความจริงจะไม่มีทางหลุดจากปากของแม่
ได้เลย
ไอ้สอนยิ่งคิดยิ่งอยากจะหัวร่อ เป็นมันเองแท้ๆที่ทำพิรุธจนแม่กับ
น้องจับได้ ก็ตั้งแต่จำความได้ เพื่อนสนิทที่สุดก็มีเพียงไอ้มั่นคน
เดียว โตมาด้วยกัน บ้านก็ห่างกันแค่คลองกั้น คลองสายเล็กๆ ว่าย
น้ำแค่ไม่ทันเหนื่อยก็ไปเจอกันได้แล้ว ทั้งมันทั้งไอ้มั่นบวชเรียน
เป็นเณรก้นกุฏิท่านพระครูรูปเดียวกัน เรียนหนังสือที่วัดด้วยกันมา
ตลอด จนจบเปรียญ ไอ้มั่นลาสิกขาออกมารับมรดกที่นาเหยียบร้อย
ไร่เพราะพ่อมันตายกะทันหัน ในขณะที่ไอ้สอนเข้าไปเป็นนักมวย
ในบางกอก สองสามเดือนจึงจะกลับมาบ้านที
เวลา ที่ต้องกลับมาทุกปีนอกจากสงกรานต์ที่ต้องกลับมารดน้ำให้
แม่กับย่า ก็ก่อนเข้าพรรษาหน้านานี่แหละ ที่ไอ้สอนมันต้องกลับมา
ช่วยไถดะไถแปรไปจนถึงหว่านข้าว ที่นาแค่ห้าไร่ก็จริง แต่ลำพัง
แม่กับอีสายน้องสาวคนเดียว ถึงอีสายมันจะบอกว่าไหว แต่ไอ้สอน
เองนั่นแล้วที่ไม่อยากให้แม่กับน้องต้องเหนื่อยจนเกินกำลัง
นอก ไปจากนั้น.....เพราะมีเพียงช่วงเวลานี้ ที่มันกับไอ้มั่นจะใช้
ด้วยกันสองคนโดยไม่ต้องเกรงสายตาใคร ถึงแดดจะกล้าแค่ไหน
แต่พอจับคันไถไล่ต้อนควายให้ก้าวไปพร้อมๆกับไอ้มั่น มีไอ้มั่น
คอยเย้าแหย่ คอยชวนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ แถมบางทียังแถมร้อง
เพลงให้ฟังเสียอีก ไอ้สอนเลยได้อาบเหงื่อไปพร้อมกับอาบสุขได้
ทุกที
สองปีที่แล้วน้ำ ท่วมหนักจนนาล่ม แม่ปรึกษากับไอ้สอน แล้วในที่
สุดก็ตัดสินใจขายอีหมาควายที่เลี้ยงไว้ใช้งานตัวเดียวเพื่อเอาเงิน
ไปใช้หนี้ค่าปุ๋ยที่ไปเชื่อร้านเขาไว้ ไอ้สอนในตอนนั้นที่ยังไม่ได้เข้า
ไปเป็นนักมวยในบางกอกเล่าให้เพื่อนรักฟัง เพื่อระบายตามประสา
ไอ้มั่นถึงกับเสนอจะเอาเงินของมันไปจ่ายหนี้ให้แทน แต่มีหรือไอ้
สอนที่ถึงจะเป็นลูกชาวนาแท้ๆแต่ก็รักศักดิ์ศรีจะยอมให้เพื่อน รัก
ช่วยเหลือเรื่องเงิน วันที่ตัดสินใจเอาอีหมาไปขายทั้งน้ำตา ไอ้มั่น
มันโกรธจนไม่ยอมพูดด้วยและไม่ยอมมองหน้าไปเกือบเดือน
แต่พอพ้นเดือนเท่านั้น จู่ๆมันก็มาตะโกนเรียกหน้าบ้านพร้อมกับจูง
อีแหง่ลูกรักนี่มาด้วย จะไม่รับไว้เพราะเห็นเป็นของมีราคา ไอ้มั่นมัน
ก็ว่าอีสวยของมันตกลูกแฝด เลี้ยงลูกแหง่สองตัวไม่ไหว
ไอ้สอนมันรู้ใจตัวเองดี ที่อยู่มาจนอายุครบบวชแล้วยังไม่มีใครก็
เพราะทั้งหัวใจมันมีแต่ไอ้มั่น ตั้งแต่เล็กจนโต มันไม่เคยมีสายตา
แลสาวบ้านไหน ก็เพราะมันคอยแต่จะมองไอ้มั่นเพื่อนรักอยู่คน
เดียว แต่ที่มันไม่รู้ก็คือใจของไอ้มั่น.....ไอ้ความรักแบบเพื่อนต่อ
เพื่อน ไอ้มั่นมันมีให้แน่ๆ แต่ความรักแบบที่จะอยากอยู่ด้วยกันไป
จนแก่นั้น ไอ้สอนเองก็ไม่เคยกล้าที่จะคิดจะฝันถึง
“ไม่ต้องรู้สึกผิด เอ็งไม่ได้ทำอะไรผิด......ใจของเอ็งก็เป็นของเอ็ง
ถ้าไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร ไม่ได้เบียดเบียนใคร เอ็งก็ไม่ได้
ทำผิดนะสอน”
“..................”
“วันบุญใหญ่ ที่แล้วแม่ไปทำบุญที่วัด หลงปู่ของเอ็งท่านสอนเรื่อง
พระสูตรอะไรน้า....ชื่อเรียกยาก แม่ก็จำไม่ได้เสียด้วย แต่ใจความ
ท่านว่า อย่าได้ปักใจเชื่ออะไรง่ายๆ..... อย่าเชื่อเพราะครูท่านว่า
อย่าเชื่อ....เพราะเขาเล่าว่า.....ไอ้ข้อท้ายๆหลงปู่ท่านยังสอนอีกนะ
ว่าอย่า เชื่อ....แค่เพราะสายตาเห็นว่า.....”
“แม่จ๋า......หนู.....เฮ้อ..........”
“เออ สอนคิดอย่างไรล่ะลูก ถ้าแม้แต่ครูเรายังเชื่อไม่ได้ แถมสาย
ตาเรามองไปเห็นแท้ๆพระพุทธองค์ท่านยังห้ามไม่ให้เชื่อ.....แล้ว
เรายัง จะเชื่ออะไรได้อีกล่ะลูก”
“แหม.......แม่ ฉันว่านะ ถ้าอะไรๆมันก็เชื่อไม่ได้ ไอ้ที่หลงปู่ท่าน
สอน เราก็อย่าเชื่อเลยนะแม่ ฮะๆๆๆๆ”
“เอ็ง ก็เหมือนกันสาย เที่ยวเก็บเอาขี้ปากคนอื่นมาพูดดีนัก” ว่าแล้ว
นางเปี่ยมก็เงื้อมือเตรียมจะฟาดลูกสาวเสียหนึ่งเผียะ แต่นกรู้อย่าง
อีสายก็ปรู๊ดหลบไปอยู่หลังพี่ชายเสียก่อน “ทโมนเหมือนที่ย่าเอ็ง
ว่าจริงๆลูกคนนี้ หึๆๆๆ”
‘น้ำค้าง เดือนหกตกแล้ว น้องเอยน้องแก้วเจ้าไม่หนาวบ้าง
หรือไร เมื่อไหร่จะหาเพื่อนมาช่วยจับคันไถ รู้ตัวหรือเปล่าว่า
ใคร คนหนึ่งชอบน้องงงงงงง’
เสียงเพลงจากลำคอหนาของร่างสูงแกร่งกล้ามเป็น มัด ที่
หนายิ่งกว่าคนที่เป็นนักมวยไทยอาชีพอย่างไอ้สอนดังคลอ
กับเสียงของนักร้อง ชื่อดังจากลำโพงทรานซิสเตอร์เครื่อง
น้อยอย่างไม่เกรงว่าใครจะได้ยิน
จนไอ้สอนก้าวเข้าไปจนชิดกับแคร่ไม้ไผ่ที่ต่อขึ้นอย่างลวกๆที่
ใต้ถุนเรือนไม้ สักทั้งหลังนั่นแล้ว ร่างหนาของไอ้คนที่คิดว่าตัวเอง
เสียงดีนักหนาก็ยังไม่รู้สึกตัวอยู่ดี ไอ้สอนจึงตัดสินใจนั่งลงไปข้างๆ
ร่างที่กึ่งนั่งกึ่งนอนหลับตาฟังเพลงอย่าง สบายอารมณ์เสียเลย
เมื่อรู้สึกถึงความยวบของแคร่ไม้ไผ่ ไอ้มั่นจึงแสร้งทำจมูกฟุดฟิด
ผินหน้าไปซ้ายทีขวาทีทั้งที่ยังไม่ลืมตา แล้วก็เลื่อนตัวควานจนเจอ
ตักอุ่นๆของไอ้สอน ก่อนจะวางหัวที่มีผมหยักศกดำขลับลงไปบน
ตัก แล้วทั้งๆที่ยังไม่ลืมตานั่นแหละ ไอ้มั่นก็เริ่มจีบไม้จีบมือ ร้อง
เพลงไทยเดิมที่เคยได้ยินวงปี่พาทย์เบิกโรงของลิเกคณะเพชรน้อย
เอามาเล่น เมื่อปีกลายแล้วมันฝังใจคิดถึงไอ้สอนมันทันที
“หอมกลิ่น เกสร.....เกสรดอกไม้ อือฮื่อ....... หอม กลิ่น
คล้าย...คล้ายเจ้าสอนของเรียมเอย.....หอมกลิ่นกรุ่นครัน
หอมนั้น....ยังบ่เลย เนื้อหอมทรามเชยเอ๋ยเรา.......
ละเหนอ....”
“หึๆๆๆ ไอ้มั่น เพลงนี้ออกดัง เอ็งก็เอามาร้องผิดๆได้เนอะ”
“ก็ที่รักของข้าชื่อสอน ไม่ได้ชื่อสูนี่หว่า แล้วข้าจะร้องเพลงชมกลิ่น
ไอ้สูมันทำไมล่ะ ฮ่าๆๆๆ”
“เอ็ง มันก็ดีแต่ล้อข้าเล่นไปวันๆ แล้วว่าอย่างไร จะให้ข้าช่วยอะไรก็
บอก เอ็งจะจัดงานยังไงเมื่อไหร่ ข้าจะมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้เอ็ง
แน่ๆ”
“เพื่อน เจ้าบ่าว.....พูดเรื่องอะไรของเอ็ง” ได้ยินคำจากปากเจ้าของ
ตักที่ยึดเป็นหมอนหนุนนอน ไอ้มั่นถึงกับเด้งตัวลุกขึ้นพรวดพราด
แล้วเปลี่ยนเป็นนั่งเผชิญหน้าพร้อมทั้งจับยึดข้อมือของไอ้สอนไว้
ทันที
“.............................” ไอ้สอนไม่ตอบคำถาม แต่กลับเบือนหน้า
หนีไปทางอื่น จนเมื่อไอ้มั่นเอื้อมมือไปแตะปลายคางให้หันกลับมา
นั่นแหละ จึงได้เห็นว่ามีน้ำตาคลออยู่จนเกือบล้นออกมาจากดวง
ตาที่ปกติก็หวานหยาดเยิ้ม อยู่แล้วทั้งสองข้างของคนที่มันเรียกว่า
ที่รักเสียแล้ว
“สอน.....มี เรื่องอะไร เอ็งไปได้ยินอะไรมา ข่าวลือเรื่องข้ากับ
อีเผื่อนใช่หรือไม่” พอไอ้มั่นมันถามออกไป ไอ้สอนก็ก้มหน้าหลบ
สายตาลงทันที พร้อมๆกับที่ไอ้มั่นรู้สึกถึงน้ำอุ่นๆหยดหนึ่งที่ตกต้อง
ลงบนหลังมือด้านที่ ใช้เชยคางของไอ้ตัวขี้แยอยู่เมื่อกี้
ไอ้สอนมันเป็นอย่างนี้แหละ เป็นมาตั้งแต่เด็ก เวลามีเรื่องกับคนอื่น
มันสู้ได้ไม่เคยถอย แต่พอเรื่องจบแล้วมาเห็นว่าไอ้มั่นมันเจ็บเท่า
นั้น แม้จะมีบาดแผลแค่รอยแมวข่วน ไอ้สอนมันก็ร้องไห้ได้ง่ายๆ
พูดง่ายๆขอให้เป็นเรื่องของไอ้มั่นเถอะ ไม่ว่าจะดีใจหรือเสียใจ ไอ้
สอนมันจะรู้สึกมากกว่าเจ้าตัวเสียทุกครั้งไป
“อื้ม”
“เอ็ง ก็รู้ ข้ารักเอ็ง รักเอ็งอยู่คนเดียว แล้วข้าจะไปเป็นพ่อเด็กใน
ท้องอีเผื่อนมันได้ยังไง......หรือเอ็งไม่รู้”
คราวนี้ไอ้มั่นจึงได้คำตอบ เป็นการส่ายหน้าถี่ๆจากไอ้สอน ทั้งที่ยัง
ไม่ยอมสบตาด้วยอยู่นั่นเอง
“เอ็งไม่รู้ว่าข้ารักเอ็ง หรือไม่รู้ว่าข้าจะไปเป็นพ่อเด็กได้ยังไงกันแน่”
“บ้า ไอ้มั่น เอ็งนี่นะ ฮึ่ยยยยยยยยย”
“หึๆๆ หน้าแดงอย่างนี้ ข้าจับปล้ำเอาไม่รู้นะเว้ย”
ไม่ว่าเปล่าไอ้มั่นฉวยทีเผลอฉกจูบลงไปบนริมฝีบางบางเฉียบของ
ไอ้คนที่นั่ง หน้าตาแดงก่ำเป็นลูกตำลึงสุกทันที ก็บอกด้วยปากมากี่
ครั้งมันยังบอกว่าไม่รู้ ไอ้มั่นเลยตัดสินใจบอกมันด้วยการกระทำนี่
แหละ ง่ายดี
“โอ๊ยยยยยยย!!”
ได้ ผล ไอ้คนถูกขโมยจูบมันลุกพรวดแล้วเสยเข้าปลายคางพอดิบ
พอดี ไอ้มั่นถึงกับร้องเสียงหลงพร้อมทั้งลงไปวัดพื้นทำหน้าตา
เหยเกทันที แล้วพอตั้งสติได้ ก็เป็นไอ้สอนอีกแหละที่รีบพยุงไอ้คน
เข่าอ่อนลงไปพับเพียบกับพื้นขึ้นมานั่ง บนแคร่
“เจ็บมากไหม ข้าขอโทษ.......ก็ ข้าตกใจ จู่ๆเอ็งก็....ก็...”
“เจ็บ สิ เจ็บมาก เจ็บที่อกเนี่ย คนบอกรักแทนที่จะบอกรักตอบ กลับ
ถูกชกเสียได้....ว่าที่เมียข้านี่หมัดหนักแท้ๆ กว่าจะได้เอ็งมาเป็น
เมียข้าไม่น่วมเป็นกระท้อนเรอะ แต่สำหรับเอ็งนะสอน ข้า
ยอม....อยากจะทุบจะถองเท่าไหร่ก็ยอม ให้เอ็งคนเดียวเลย.....”
“....................” ไอ้มั่นมันเลื้อยตัวเองจนวางหัวลงบนตักไอ้สอน
อีกแล้ว แถมคราวนี้ยังจับยึดมือทั้งสองข้างของไอ้สอนเอามากุมไว้
ตรงหว่างอกอีกด้วยสิ
“ถึงข้าจะไม่เหมือนกระท้อนที่ยิ่งทุบก็ยิ่งหวาน แต่สำหรับเอ็ง ข้า
หวานได้ทุกเวลาเลยนะสอน”
“ก็นี่แหละ เพราะเอ็งดีแต่พูดเล่นแบบนี้ ข้าเลยไม่รู้....ว่า....เอ่อ....”
“สอน..... ขอให้เชื่อข้าเถิดนะ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ข้า
มองเอ็งคนเดียว มีแต่เอ็งคนเดียวมาตลอด ข้ารู้ว่ามันแปลกที่ข้ารัก
เอ็งทั้งที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ทำไงได้ ก็มันรักไปแล้วนี่ อีก
อย่าง เอ็งรู้ไหม......ที่ข้าคอยแหย่ คอยพูดเล่นกับเอ็งแบบนี้ได้ ก็
เพราะอยู่กับเอ็งทีไร ข้าก็รู้สึกสบายใจ รู้สึกมีความสุข จนความ
สุขมันแทบจะจุกอกทุกที ข้าเคยคิดว่าข้าคงไม่ชอบผู้หญิงแต่ชอบ
ผู้ชาย แต่พอข้าลองมองผู้ชายคนอื่น ข้าก็ไม่เห็นจะรู้สึกรักแบบที่
รู้สึกกับเอ็งได้เลยสักที....เพราะอย่างนั้น เอ็งเชื่อข้าเถิดนะ ข้าไม่มี
อะไรกับอีเผื่อนมันจริงๆ สายตาของข้า มีไว้มองเอ็งคนเดียว.......
อือ....อื้ม..”
ไอ้สอนมันคงเขินมากกระมัง จะเอามือปิดปากที่พูดบอกรักอยู่นั่น
แก้เขินก็ทำไม่ได้ จะลุกหนีก็ถูกยึดตักไว้เสียอีก มันเลยก้มหน้าลง
เอาปากมันนั่นแหละ แนบไปกับปากที่ขยับเจื้อยแจ้วอยู่เสียเลย
เอ.....หรือไอ้สอนมันจะกลัวไอ้มั่นน้อยใจ ก็ไอ้มั่นเล่นบอกทั้งคำพูด
ทั้งการกระทำออกขนาดนั้น ไอ้สอนมันเลยเอาบ้าง ไม่กล้า
บอกออกจากปาก บอกทางการกระทำคงทดแทนกันได้หรอก
และดูนั่น ดูท่าไอ้มั่นจะถูกใจเสียด้วยสิ พอไอ้สอนมันขยับจะถอน
ปากออก ไอ้มั่นมันถึงเอื้อมมือไปกดที่ท้ายทอยเอาไว้ไม่ให้ไอ้สอน
ผละจากไปได้......
เป็นอย่างนี้ ไอ้มั่นมันคงไม่ต้องกังวลแล้วกระมังว่าตัวเองจะน่วม
ก่อนจะได้ไอ้สอนเป็นเมีย.....
....................................
....................................
“แม่ วู้ววววววว แม่”
เสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นมาถึงชั้นบนของเรือนไม้ใต้ถุน
สูง ตั้งแต่ยังไม่ทันเห็นตัวเจ้าของเสียง เรียกความสนใจจาก
ผู้หญิงสามคนสามวัยที่เพิ่งนั่งล้อมวงลง เปิบข้าวได้ไม่กี่คำ
ได้ทันที
ผู้หญิง ที่อายุน้อยที่สุดอยู่ในวัยสาวรุ่นยันตัวลุกขึ้นยืนจากท่าที่นั่ง
ขัดสมาธิ อยู่อย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งรี่ลงไปตามไม้กระดานที่นำมา
พาดไว้ลวกๆแทนกระได อ้อมตรงไปทางท่าน้ำริมคลองเล็กๆหน้า
บ้านทันที
ได้ยินเสียงเอ็ดตามหลังจากผู้สูงวัยที่สุดแต่ไม่ได้เป็นใหญ่ที่สุดใน
บ้านดังตามมา
“อีเล็กกกกก เอ็งจะลุกจะนั่งก็ให้มันดีๆ ผาดโผนเป็นทโมนอย่างนี้
เอ็งไม่ขึ้นคานอยู่ให้ข้าเลี้ยงไปจนแก่เรอะ อีหลานคนนี้”
ร่างโปร่งบางของคนที่ถูกเรียกว่า ‘อีเล็ก’ ตอบโต้ด้วยการหัวเราะ
เสียลั่นคุ้ง โดยที่ไม่ได้ลดความเร็วของการวิ่งลงเลย
“ไง....แม่สายสวาท วิ่งอย่างนี้ถ้าผ้าถุงหลุดพี่จะสมน้ำหน้า”
“พี่สอน ฉันนึกว่าพี่จะมาไม่ทันเรือเที่ยวสุดท้ายเสียแล้ว นี่ก็เพิ่งตั้ง
สำรับ ทั้งแม่ทั้งย่าชะเง้อคอยพี่กันจนคอยาว ฉันล่ะหมั่นไส้จริงๆ”
“แม่กับย่าชะเง้อคอคอย แล้วเอ็งล่ะ?”
“ฮี่ๆๆ ฉันก็ชะเง้อ แต่ไม่ได้คอยพี่หรอกนะ ฉันคอยของฝากจาก
บางกอกตะหาก”
แม่สายสวาทของพี่สอนและอีเล็กของย่าแสวง หรือย่าแหวงคนดัง
แห่งบ้านไผ่ช้างล้อมรับถุงกระดาษที่พี่ชายยื่นให้มาถือไว้ เดินนำ
กลับเรือนไปก็แหวกปากถุงออกดูของไปด้วย
“หึๆๆ เดินไปดูบนบ้านก็ได้สายถุงใหญ่นั่นของเอ็ง ที่เหลือของแม่
กับย่า”
“เหอะ ถึงพี่จะให้ฉันเอาถุงเล็กฉันก็ไม่เอาหรอก สีคนแก่......เออ พี่
สอน พี่จำอีเผื่อนได้ไหม”
“อีเผื่อนไหน”
“ก็อีบัวเผื่อนลูกผู้ใหญ่ผันไง นี่เขาว่า......”
แม่สายสวาทที่ตามสำมะโนครัวชื่อนางสาวสายใจยังไม่ทันได้
บอกว่าเขาไหนว่ามาว่าอย่างไร ก็พอดีเดินขึ้นมาถึงบนเรือนเสีย
ก่อน
“ย่า แม่ สวัสดีจ้ะ ฉันไปบางกอกแค่ไม่เท่าไหร่ ทำไมกลับมาคราวนี้
ย่าถึงผอมลงนักล่ะจ๊ะ ไม่ค่อยกินข้าวเหรอ”
ไอ้ สอนก้าวขึ้นเรือนวางของลงได้ก็ทรุดลงนั่งกราบย่าที่ตัก ก่อน
มื้อเย็นจะเริ่มขึ้นอีกครั้งพร้อมหน้ากันทั้งบ้านเป็นครั้งแรกในรอบ
สามเดือน
“น้ำค้างตกแล้วนะพี่ ไม่เข้าบ้านอีกเหรอ”
“พี่ขอตากน้ำค้างอีกนิดเถอะสาย อยู่ในบางกอกนานจนจะลืมกลิ่น
น้ำค้างเสียแล้ว” ไอ้สอนนอนหงายหนุนหมอนขวานเก่าๆอยู่นอก
ชานเรือน สายตาจับไปที่ดวงดาวดวงที่สุกใสที่สุดกลางท้องฟ้า
ขาข้างหนึ่งชันขึ้นในขณะที่อีกข้างไขว่ห้างแถมยังกระดิกตีนไปมา
อย่างสบาย อารมณ์
“เออ พี่สอนเรื่องอีเผื่อนน่ะ.....” น้องสาวคนเดียวเลยเดินย้อนกลับ
ไปหยิบแส้เก่าๆที่เอาไว้ใช้ปัดไล่ยุง แล้วจึงย้อนกลับมาทรุดตัวลง
นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ มือก็คอยปัดยุงให้พี่ชายไปด้วย ก่อนจะเริ่มบท
สนทนาที่ค้างคาอยู่ขึ้นมาอีก
“ฮ่าๆๆๆ นี่เอ็งคันปากอยากเล่าขนาดนั้นเลยรึ เฮ้อ....เอ็งนี่น้า.....”
ไอ้สอนยกตัวขึ้นขยี้หัวน้องสาวไปที แล้วค่อยเอนตัวลงนอนในท่า
เดิมต่อ
“แหม......นี่ถ้าไม่เกี่ยวกับพี่ ฉันก็ไม่เล่าหรอกน่า”
“หืมมมมม แล้วเรื่องของลูกสาวผู้ใหญ่ผันจะมาเกี่ยวอะไรกับพี่ล่ะ”
“ก็เขาว่ามันท้องไม่มีพ่อ”
“นั่นยิ่งไม่เกี่ยวกับพี่เข้าไปใหญ่ พี่ไปอยู่บางกอกงวดนี้ตั้งสามเดือน
ยังไงก็เป็นพ่อให้ลูกในท้องอีเผื่อนของเอ็งไม่ได้หรอก หึๆๆ”
“ก็ไม่ได้จะบอกว่าพี่สอนเป็นพ่อนี่.....คนที่อีเผื่อนมันบอกว่าเป็นพ่อ
เด็กน่ะ คือพี่มั่นตะหาก”
“ไอ้มั่น!!!”
ชื่อที่หลุดจากปากน้องสาวคนเดียวทำให้เรือนร่างแกร่งเกร็งแบบ
คนทำงานของไอ้สอนสะดุ้งขึ้นทั้งตัว แต่ชั่วอึดใจสีหน้านั้นก็กลับ
สงบนิ่ง แล้วหันไปจับสายตาอยู่กับดวงดาวดวงเดียวนั้นเหมือนเดิม
แต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่น้องสาวคนเดียวอย่างอีสายจะสรุปสิ่งที่
สงสัยมาตลอดได้
“พี่สอน.....พี่กับพี่มั่น รักกันใช่ไหม”
“.....................”
“....................”
.................................................
“สอนเอ๊ย......กลับบ้านมาช่วยไถนาคราวนี้ เอ็งนัดกับไอ้มั่นแล้วยัง
ลูก แม่ว่าไม่เกินวันนี้พรุ่งนี้ฝนคงตกแล้วนะ”
“ยังเลยจ้ะแม่ เดี๋ยวบ่ายๆหนูจะเดินไปดูมันเสียหน่อยแล้วจะได้นัด
กันเลย อาบน้ำให้อีแหง่มันก่อน มันโตไวเหมือนกันนะแม่ อีแหง่
เป็นสาวแล้วสงสัยต้องหาผัวให้มันเสียที แม่สายสวาทจะได้มีลูก
แหง่น้อยๆไว้เลี้ยงเล่น เผื่อหน้านาปีหน้า ไม่มีใครมันอยากจะมา
ช่วยไถช่วยหว่าน บ้านเราจะได้มีควายสองตัวช่วยผ่อนแรง หึๆๆๆ”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปหากคนไม่คุ้นเคยย่อมเข้าใจว่าผู้พูดรู้สึกสนุก
สนาน เหมือนกับเนื้อความ หากสำหรับแม่ที่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงลูก
มาเข้ายี่สิบปีอย่างแม่เปี่ยมกลับ สะดุดหูกับประโยคท้ายเหมือนลูก
ชายจะมีตะกอนในใจกับเพื่อนรักเสียแล้ว
“.....สอน เอ็งได้ยินข่าวแล้วรึ”
“....... แม่.....แม่รู้......”
คำถามของนางเปี่ยมที่ดูเป็นคำถามทั่วๆไป และน้ำเสียงเรียบ
เรื่อยนั้นย่อมไม่ ทำให้ไอ้สอนตกใจได้หากไม่ประกอบกับสายตา
แสดงความเข้าอกเข้าใจที่คนเป็นแม่ทอดมองมา
“น้องเอ็งมันปากมาก ....แล้วเอ็งเชื่อปากคนรึเปล่าล่ะลูก” ใช่ว่าคน
เป็นแม่จะภาคภูมิใจที่รับรู้ว่าบุตรชายคนเดียวของตนมีหัวใจรักให้
ผู้ชายด้วยกัน แต่เมื่อคืนนางเปี่ยมได้ยินเสียงกุกกักนอกชานเลย
ย่องออกไปดู แล้วบังเอิญได้ยินบทสนทนาของลูกทั้งสองเข้าพอดี
คำถามของลูกสาวทำ ให้หัวอกคนเป็นแม่ปั่นป่วน แล้วยิ่งความ
เงียบที่เป็นคำตอบจากลูกชายหัวแก้วหัวแหวน สำหรับคนเป็นแม่
แล้วมันดังยิ่งกว่าเสียงระฆังที่พระท่านตีบอกเวลาเพลเสียอีก นาง
เปี่ยมในวัยเฉียดห้าสิบปีค่อยๆถอยหลังกลับเข้าไปในมุ้ง พลิกตัว
กระสับกระส่ายอยู่ค่อนคืน จิตใจร้อนรนครุ่นคิด ทบทวนแต่ว่าจะทำ
อย่างไร
จนสายใจมุดมุ้งเข้ามานั่งคุกเข่าสวดมนต์ กราบพระอยู่ข้างๆแล้ว
ล้มตัวลงนอน นางก็แข็งใจแสร้งทำเป็นหลับสนิท จนได้ยินเสียง
หายใจสม่ำเสมอจากลูกสาวนั่นแหละ นางเปี่ยมจึงลุกขึ้นมานั่ง
พนมมือสวดมนต์ ขอเอาคุณพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่
พึ่ง นั่งหลับตากำหนดจิตให้เป็นสมาธิ สักครู่คำสอนที่ได้ฟังมานับ
ครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่ยังเยาว์ก็ดังขึ้นในห้วงความ คิด ‘หากยังยึดถือ
ว่าตัวกู ของกู ก็จะปลดทุกข์ไม่ได้ สังขารนั้นมันไม่เที่ยง ชีวิต
ก็ไม่เที่ยง ตัวเราไม่ใช่ของเรา เสื้อผ้าไม่ใช่ของเรา ลูกก็ไม่
ใช่ของเรา ผัวก็ไม่ใช่ของเรา......ไม่ใช่ของเราทั้งนั้น’
“แม่จ๋า หนูขอโทษ......หนูไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้” ไอ้สอนวางมือ
จากอีแหง่ลูกรัก แล้วก้าวสวบๆขึ้นมาก้มลงกราบแม่ที่กำลังเลือก
เก็บมะเขือขื่นลงตรงไหล่บอบบาง หากไอ้สอนรู้ว่าไหล่นี้บ่านี้แข็ง
แกร่งนัก
ปฏิเสธว่าสิ่งที่แม่รู้ ไม่เป็นความจริงไปก็เท่านั้น นางเปี่ยมไม่ใช่คน
มักพูดแบบหญิงชาวบ้านทั่วไป แม่ของเขาคิดก่อนพูดเสมอ และถ้า
เรื่องไหนไม่มั่นใจว่าเป็นความจริงจะไม่มีทางหลุดจากปากของแม่
ได้เลย
ไอ้สอนยิ่งคิดยิ่งอยากจะหัวร่อ เป็นมันเองแท้ๆที่ทำพิรุธจนแม่กับ
น้องจับได้ ก็ตั้งแต่จำความได้ เพื่อนสนิทที่สุดก็มีเพียงไอ้มั่นคน
เดียว โตมาด้วยกัน บ้านก็ห่างกันแค่คลองกั้น คลองสายเล็กๆ ว่าย
น้ำแค่ไม่ทันเหนื่อยก็ไปเจอกันได้แล้ว ทั้งมันทั้งไอ้มั่นบวชเรียน
เป็นเณรก้นกุฏิท่านพระครูรูปเดียวกัน เรียนหนังสือที่วัดด้วยกันมา
ตลอด จนจบเปรียญ ไอ้มั่นลาสิกขาออกมารับมรดกที่นาเหยียบร้อย
ไร่เพราะพ่อมันตายกะทันหัน ในขณะที่ไอ้สอนเข้าไปเป็นนักมวย
ในบางกอก สองสามเดือนจึงจะกลับมาบ้านที
เวลา ที่ต้องกลับมาทุกปีนอกจากสงกรานต์ที่ต้องกลับมารดน้ำให้
แม่กับย่า ก็ก่อนเข้าพรรษาหน้านานี่แหละ ที่ไอ้สอนมันต้องกลับมา
ช่วยไถดะไถแปรไปจนถึงหว่านข้าว ที่นาแค่ห้าไร่ก็จริง แต่ลำพัง
แม่กับอีสายน้องสาวคนเดียว ถึงอีสายมันจะบอกว่าไหว แต่ไอ้สอน
เองนั่นแล้วที่ไม่อยากให้แม่กับน้องต้องเหนื่อยจนเกินกำลัง
นอก ไปจากนั้น.....เพราะมีเพียงช่วงเวลานี้ ที่มันกับไอ้มั่นจะใช้
ด้วยกันสองคนโดยไม่ต้องเกรงสายตาใคร ถึงแดดจะกล้าแค่ไหน
แต่พอจับคันไถไล่ต้อนควายให้ก้าวไปพร้อมๆกับไอ้มั่น มีไอ้มั่น
คอยเย้าแหย่ คอยชวนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ แถมบางทียังแถมร้อง
เพลงให้ฟังเสียอีก ไอ้สอนเลยได้อาบเหงื่อไปพร้อมกับอาบสุขได้
ทุกที
สองปีที่แล้วน้ำ ท่วมหนักจนนาล่ม แม่ปรึกษากับไอ้สอน แล้วในที่
สุดก็ตัดสินใจขายอีหมาควายที่เลี้ยงไว้ใช้งานตัวเดียวเพื่อเอาเงิน
ไปใช้หนี้ค่าปุ๋ยที่ไปเชื่อร้านเขาไว้ ไอ้สอนในตอนนั้นที่ยังไม่ได้เข้า
ไปเป็นนักมวยในบางกอกเล่าให้เพื่อนรักฟัง เพื่อระบายตามประสา
ไอ้มั่นถึงกับเสนอจะเอาเงินของมันไปจ่ายหนี้ให้แทน แต่มีหรือไอ้
สอนที่ถึงจะเป็นลูกชาวนาแท้ๆแต่ก็รักศักดิ์ศรีจะยอมให้เพื่อน รัก
ช่วยเหลือเรื่องเงิน วันที่ตัดสินใจเอาอีหมาไปขายทั้งน้ำตา ไอ้มั่น
มันโกรธจนไม่ยอมพูดด้วยและไม่ยอมมองหน้าไปเกือบเดือน
แต่พอพ้นเดือนเท่านั้น จู่ๆมันก็มาตะโกนเรียกหน้าบ้านพร้อมกับจูง
อีแหง่ลูกรักนี่มาด้วย จะไม่รับไว้เพราะเห็นเป็นของมีราคา ไอ้มั่นมัน
ก็ว่าอีสวยของมันตกลูกแฝด เลี้ยงลูกแหง่สองตัวไม่ไหว
ไอ้สอนมันรู้ใจตัวเองดี ที่อยู่มาจนอายุครบบวชแล้วยังไม่มีใครก็
เพราะทั้งหัวใจมันมีแต่ไอ้มั่น ตั้งแต่เล็กจนโต มันไม่เคยมีสายตา
แลสาวบ้านไหน ก็เพราะมันคอยแต่จะมองไอ้มั่นเพื่อนรักอยู่คน
เดียว แต่ที่มันไม่รู้ก็คือใจของไอ้มั่น.....ไอ้ความรักแบบเพื่อนต่อ
เพื่อน ไอ้มั่นมันมีให้แน่ๆ แต่ความรักแบบที่จะอยากอยู่ด้วยกันไป
จนแก่นั้น ไอ้สอนเองก็ไม่เคยกล้าที่จะคิดจะฝันถึง
“ไม่ต้องรู้สึกผิด เอ็งไม่ได้ทำอะไรผิด......ใจของเอ็งก็เป็นของเอ็ง
ถ้าไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร ไม่ได้เบียดเบียนใคร เอ็งก็ไม่ได้
ทำผิดนะสอน”
“..................”
“วันบุญใหญ่ ที่แล้วแม่ไปทำบุญที่วัด หลงปู่ของเอ็งท่านสอนเรื่อง
พระสูตรอะไรน้า....ชื่อเรียกยาก แม่ก็จำไม่ได้เสียด้วย แต่ใจความ
ท่านว่า อย่าได้ปักใจเชื่ออะไรง่ายๆ..... อย่าเชื่อเพราะครูท่านว่า
อย่าเชื่อ....เพราะเขาเล่าว่า.....ไอ้ข้อท้ายๆหลงปู่ท่านยังสอนอีกนะ
ว่าอย่า เชื่อ....แค่เพราะสายตาเห็นว่า.....”
“แม่จ๋า......หนู.....เฮ้อ..........”
“เออ สอนคิดอย่างไรล่ะลูก ถ้าแม้แต่ครูเรายังเชื่อไม่ได้ แถมสาย
ตาเรามองไปเห็นแท้ๆพระพุทธองค์ท่านยังห้ามไม่ให้เชื่อ.....แล้ว
เรายัง จะเชื่ออะไรได้อีกล่ะลูก”
“แหม.......แม่ ฉันว่านะ ถ้าอะไรๆมันก็เชื่อไม่ได้ ไอ้ที่หลงปู่ท่าน
สอน เราก็อย่าเชื่อเลยนะแม่ ฮะๆๆๆๆ”
“เอ็ง ก็เหมือนกันสาย เที่ยวเก็บเอาขี้ปากคนอื่นมาพูดดีนัก” ว่าแล้ว
นางเปี่ยมก็เงื้อมือเตรียมจะฟาดลูกสาวเสียหนึ่งเผียะ แต่นกรู้อย่าง
อีสายก็ปรู๊ดหลบไปอยู่หลังพี่ชายเสียก่อน “ทโมนเหมือนที่ย่าเอ็ง
ว่าจริงๆลูกคนนี้ หึๆๆๆ”
‘น้ำค้าง เดือนหกตกแล้ว น้องเอยน้องแก้วเจ้าไม่หนาวบ้าง
หรือไร เมื่อไหร่จะหาเพื่อนมาช่วยจับคันไถ รู้ตัวหรือเปล่าว่า
ใคร คนหนึ่งชอบน้องงงงงงง’
เสียงเพลงจากลำคอหนาของร่างสูงแกร่งกล้ามเป็น มัด ที่
หนายิ่งกว่าคนที่เป็นนักมวยไทยอาชีพอย่างไอ้สอนดังคลอ
กับเสียงของนักร้อง ชื่อดังจากลำโพงทรานซิสเตอร์เครื่อง
น้อยอย่างไม่เกรงว่าใครจะได้ยิน
จนไอ้สอนก้าวเข้าไปจนชิดกับแคร่ไม้ไผ่ที่ต่อขึ้นอย่างลวกๆที่
ใต้ถุนเรือนไม้ สักทั้งหลังนั่นแล้ว ร่างหนาของไอ้คนที่คิดว่าตัวเอง
เสียงดีนักหนาก็ยังไม่รู้สึกตัวอยู่ดี ไอ้สอนจึงตัดสินใจนั่งลงไปข้างๆ
ร่างที่กึ่งนั่งกึ่งนอนหลับตาฟังเพลงอย่าง สบายอารมณ์เสียเลย
เมื่อรู้สึกถึงความยวบของแคร่ไม้ไผ่ ไอ้มั่นจึงแสร้งทำจมูกฟุดฟิด
ผินหน้าไปซ้ายทีขวาทีทั้งที่ยังไม่ลืมตา แล้วก็เลื่อนตัวควานจนเจอ
ตักอุ่นๆของไอ้สอน ก่อนจะวางหัวที่มีผมหยักศกดำขลับลงไปบน
ตัก แล้วทั้งๆที่ยังไม่ลืมตานั่นแหละ ไอ้มั่นก็เริ่มจีบไม้จีบมือ ร้อง
เพลงไทยเดิมที่เคยได้ยินวงปี่พาทย์เบิกโรงของลิเกคณะเพชรน้อย
เอามาเล่น เมื่อปีกลายแล้วมันฝังใจคิดถึงไอ้สอนมันทันที
“หอมกลิ่น เกสร.....เกสรดอกไม้ อือฮื่อ....... หอม กลิ่น
คล้าย...คล้ายเจ้าสอนของเรียมเอย.....หอมกลิ่นกรุ่นครัน
หอมนั้น....ยังบ่เลย เนื้อหอมทรามเชยเอ๋ยเรา.......
ละเหนอ....”
“หึๆๆๆ ไอ้มั่น เพลงนี้ออกดัง เอ็งก็เอามาร้องผิดๆได้เนอะ”
“ก็ที่รักของข้าชื่อสอน ไม่ได้ชื่อสูนี่หว่า แล้วข้าจะร้องเพลงชมกลิ่น
ไอ้สูมันทำไมล่ะ ฮ่าๆๆๆ”
“เอ็ง มันก็ดีแต่ล้อข้าเล่นไปวันๆ แล้วว่าอย่างไร จะให้ข้าช่วยอะไรก็
บอก เอ็งจะจัดงานยังไงเมื่อไหร่ ข้าจะมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้เอ็ง
แน่ๆ”
“เพื่อน เจ้าบ่าว.....พูดเรื่องอะไรของเอ็ง” ได้ยินคำจากปากเจ้าของ
ตักที่ยึดเป็นหมอนหนุนนอน ไอ้มั่นถึงกับเด้งตัวลุกขึ้นพรวดพราด
แล้วเปลี่ยนเป็นนั่งเผชิญหน้าพร้อมทั้งจับยึดข้อมือของไอ้สอนไว้
ทันที
“.............................” ไอ้สอนไม่ตอบคำถาม แต่กลับเบือนหน้า
หนีไปทางอื่น จนเมื่อไอ้มั่นเอื้อมมือไปแตะปลายคางให้หันกลับมา
นั่นแหละ จึงได้เห็นว่ามีน้ำตาคลออยู่จนเกือบล้นออกมาจากดวง
ตาที่ปกติก็หวานหยาดเยิ้ม อยู่แล้วทั้งสองข้างของคนที่มันเรียกว่า
ที่รักเสียแล้ว
“สอน.....มี เรื่องอะไร เอ็งไปได้ยินอะไรมา ข่าวลือเรื่องข้ากับ
อีเผื่อนใช่หรือไม่” พอไอ้มั่นมันถามออกไป ไอ้สอนก็ก้มหน้าหลบ
สายตาลงทันที พร้อมๆกับที่ไอ้มั่นรู้สึกถึงน้ำอุ่นๆหยดหนึ่งที่ตกต้อง
ลงบนหลังมือด้านที่ ใช้เชยคางของไอ้ตัวขี้แยอยู่เมื่อกี้
ไอ้สอนมันเป็นอย่างนี้แหละ เป็นมาตั้งแต่เด็ก เวลามีเรื่องกับคนอื่น
มันสู้ได้ไม่เคยถอย แต่พอเรื่องจบแล้วมาเห็นว่าไอ้มั่นมันเจ็บเท่า
นั้น แม้จะมีบาดแผลแค่รอยแมวข่วน ไอ้สอนมันก็ร้องไห้ได้ง่ายๆ
พูดง่ายๆขอให้เป็นเรื่องของไอ้มั่นเถอะ ไม่ว่าจะดีใจหรือเสียใจ ไอ้
สอนมันจะรู้สึกมากกว่าเจ้าตัวเสียทุกครั้งไป
“อื้ม”
“เอ็ง ก็รู้ ข้ารักเอ็ง รักเอ็งอยู่คนเดียว แล้วข้าจะไปเป็นพ่อเด็กใน
ท้องอีเผื่อนมันได้ยังไง......หรือเอ็งไม่รู้”
คราวนี้ไอ้มั่นจึงได้คำตอบ เป็นการส่ายหน้าถี่ๆจากไอ้สอน ทั้งที่ยัง
ไม่ยอมสบตาด้วยอยู่นั่นเอง
“เอ็งไม่รู้ว่าข้ารักเอ็ง หรือไม่รู้ว่าข้าจะไปเป็นพ่อเด็กได้ยังไงกันแน่”
“บ้า ไอ้มั่น เอ็งนี่นะ ฮึ่ยยยยยยยยย”
“หึๆๆ หน้าแดงอย่างนี้ ข้าจับปล้ำเอาไม่รู้นะเว้ย”
ไม่ว่าเปล่าไอ้มั่นฉวยทีเผลอฉกจูบลงไปบนริมฝีบางบางเฉียบของ
ไอ้คนที่นั่ง หน้าตาแดงก่ำเป็นลูกตำลึงสุกทันที ก็บอกด้วยปากมากี่
ครั้งมันยังบอกว่าไม่รู้ ไอ้มั่นเลยตัดสินใจบอกมันด้วยการกระทำนี่
แหละ ง่ายดี
“โอ๊ยยยยยยย!!”
ได้ ผล ไอ้คนถูกขโมยจูบมันลุกพรวดแล้วเสยเข้าปลายคางพอดิบ
พอดี ไอ้มั่นถึงกับร้องเสียงหลงพร้อมทั้งลงไปวัดพื้นทำหน้าตา
เหยเกทันที แล้วพอตั้งสติได้ ก็เป็นไอ้สอนอีกแหละที่รีบพยุงไอ้คน
เข่าอ่อนลงไปพับเพียบกับพื้นขึ้นมานั่ง บนแคร่
“เจ็บมากไหม ข้าขอโทษ.......ก็ ข้าตกใจ จู่ๆเอ็งก็....ก็...”
“เจ็บ สิ เจ็บมาก เจ็บที่อกเนี่ย คนบอกรักแทนที่จะบอกรักตอบ กลับ
ถูกชกเสียได้....ว่าที่เมียข้านี่หมัดหนักแท้ๆ กว่าจะได้เอ็งมาเป็น
เมียข้าไม่น่วมเป็นกระท้อนเรอะ แต่สำหรับเอ็งนะสอน ข้า
ยอม....อยากจะทุบจะถองเท่าไหร่ก็ยอม ให้เอ็งคนเดียวเลย.....”
“....................” ไอ้มั่นมันเลื้อยตัวเองจนวางหัวลงบนตักไอ้สอน
อีกแล้ว แถมคราวนี้ยังจับยึดมือทั้งสองข้างของไอ้สอนเอามากุมไว้
ตรงหว่างอกอีกด้วยสิ
“ถึงข้าจะไม่เหมือนกระท้อนที่ยิ่งทุบก็ยิ่งหวาน แต่สำหรับเอ็ง ข้า
หวานได้ทุกเวลาเลยนะสอน”
“ก็นี่แหละ เพราะเอ็งดีแต่พูดเล่นแบบนี้ ข้าเลยไม่รู้....ว่า....เอ่อ....”
“สอน..... ขอให้เชื่อข้าเถิดนะ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ข้า
มองเอ็งคนเดียว มีแต่เอ็งคนเดียวมาตลอด ข้ารู้ว่ามันแปลกที่ข้ารัก
เอ็งทั้งที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ทำไงได้ ก็มันรักไปแล้วนี่ อีก
อย่าง เอ็งรู้ไหม......ที่ข้าคอยแหย่ คอยพูดเล่นกับเอ็งแบบนี้ได้ ก็
เพราะอยู่กับเอ็งทีไร ข้าก็รู้สึกสบายใจ รู้สึกมีความสุข จนความ
สุขมันแทบจะจุกอกทุกที ข้าเคยคิดว่าข้าคงไม่ชอบผู้หญิงแต่ชอบ
ผู้ชาย แต่พอข้าลองมองผู้ชายคนอื่น ข้าก็ไม่เห็นจะรู้สึกรักแบบที่
รู้สึกกับเอ็งได้เลยสักที....เพราะอย่างนั้น เอ็งเชื่อข้าเถิดนะ ข้าไม่มี
อะไรกับอีเผื่อนมันจริงๆ สายตาของข้า มีไว้มองเอ็งคนเดียว.......
อือ....อื้ม..”
ไอ้สอนมันคงเขินมากกระมัง จะเอามือปิดปากที่พูดบอกรักอยู่นั่น
แก้เขินก็ทำไม่ได้ จะลุกหนีก็ถูกยึดตักไว้เสียอีก มันเลยก้มหน้าลง
เอาปากมันนั่นแหละ แนบไปกับปากที่ขยับเจื้อยแจ้วอยู่เสียเลย
เอ.....หรือไอ้สอนมันจะกลัวไอ้มั่นน้อยใจ ก็ไอ้มั่นเล่นบอกทั้งคำพูด
ทั้งการกระทำออกขนาดนั้น ไอ้สอนมันเลยเอาบ้าง ไม่กล้า
บอกออกจากปาก บอกทางการกระทำคงทดแทนกันได้หรอก
และดูนั่น ดูท่าไอ้มั่นจะถูกใจเสียด้วยสิ พอไอ้สอนมันขยับจะถอน
ปากออก ไอ้มั่นมันถึงเอื้อมมือไปกดที่ท้ายทอยเอาไว้ไม่ให้ไอ้สอน
ผละจากไปได้......
เป็นอย่างนี้ ไอ้มั่นมันคงไม่ต้องกังวลแล้วกระมังว่าตัวเองจะน่วม
ก่อนจะได้ไอ้สอนเป็นเมีย.....
....................................
....................................
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น