ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องเล่าจากความฝัน by anajulia (YAOI)

    ลำดับตอนที่ #4 : เรื่องเล่าจากความฝัน : Beija-Flor of the Amazon: วิหคสวรรค์แห่งฮาวารี END

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 535
      1
      20 ส.ค. 54


    Beija-Flor of the Amazon:วิหคสวรรค์แห่งฮาวารี



    แซโจ้หลับไปแล้ว....น่าสงสารเหลือเกิน ที่รักของข้า

    คง เป็นลิขิตแห่งอัมมุนที่ทำให้ข้าได้พบกับร่างน้อยแสนงามนี้ ผิว

    ขาวราวกับกลีบยามินาร์กับเส้นผมอ่อนนุ่มสีเหลือบทองอันยามแสง

    แห่งอัมมุนส่องกระทบ ก็ราวกับมีมงกุฎทองคำแท้ประดับ



    ข้าไม่อยากจะคิด หากเมื่อสองราตรีที่ผ่านมาข้าไม่ไปพบเข้าพอดี

    แซโจ้คงตกเป็นเหยื่อของกาห์..วิญญาณแห่งอะมาซอนไปแล้ว





    ข้า...มาฮัวคาแห่งฮัวโอรานีนับอายุได้ครบสิบเจ็ดฝนเมื่อเพ็ญที่

    ผ่านมา ข้าออกเดินทางลงใต้เพื่อมุ่งสู่ปลายทางแห่งลำน้ำฮาวารี

    ตามคำทำนายของพ่อปู่ ผู้ประกาศตนเป็นโอษฐ์แห่งอัมมุน ชายที่

    พ้นวัยเด็กจะต้องพิสูจน์ตนด้วยการเดินทางผู้เดียวตามคำทำนาย

    หลังอายุ ครบสิบเจ็ดปี หากใช้เวลาสามรอบเพ็ญอยู่ในป่าได้โดย

    ไม่เกิดอันตรายถึงชีวิต เมื่อเดินทางกลับสู่เผ่าชายหนุ่มผู้นั้นจะได้

    รับการยอมรับให้เป็นนักรบแห่ง ฮัวโอรานีอย่างเต็มภาคภูมิ ข้ายัง

    จำคำทำนายของพ่อปู่ผู้เฒ่าได้ขึ้นใจ



    ‘เมื่อแสงแรกแห่งอัมมุนจับขอบฟ้า มาฮัวคา...วิหคสวรรค์แห่งฮา

    วารี เจ้าจงเดินเท้าลงใต้ เลียบไปตามลำน้ำฮาวารีอันเป็นถิ่นกำเนิด

    คำตอบของโชคชะตาที่เจ้าตามหาจะมาอยู่ต่อหน้า แสงสว่างแห่ง

    อัมมุนจะอยู่กับเจ้าเสมอ ไปเถิด....มาฮัวคา’




    ‘เดี๋ยวท่านผู้เฒ่า คำตอบของโชคชะตาที่ข้าตามหา....?’   



    ‘เจ้ารู้แก่ใจ สิ่งที่เจ้ารอนั่นแล้วคือคำตอบ หึๆๆ’


    พวกเราเผ่าฮัวโอรานีนับถืออัมมุนซึ่งให้ทั้งแสงสว่างและความ

    อบอุ่น รวมถึงทำให้กาห์แห่งป่าคงอยู่ และเหล่าสรรพสัตว์เจริญ

    เติบโต เป็นเทพเจ้าอันควรค่าแก่การเคารพสูงสุด



    ทุกรุ่งเช้าเราจะหันหน้าไป ทางทิศที่แสงสว่างสีทองจับขอบฟ้า

    แล้วระลึกถึงการเกิดขึ้นของชีวิต เมื่ออัมมุนลอยสูงขึ้นจนตรงกับ

    ศีรษะและทำให้เงาที่ทอดยาวเข้ามารวมเป็นหนึ่ง เดียวกับร่างกาย

    เราจักหลับตาลงสงบใจเพื่อให้ร่างกายและกาห์..จิตวิญญาณแห่ง

    เราได้ประสานรวมเป็นหนึ่ง และเมื่อลำแสงสุดท้ายแห่งอัมมุน

    กำลังจะลาลับ เราฮัวโอรานีจักระลึกถึงบุญคุณแห่งอัมมุนสำหรับ

    สัตว์และพืชที่เติบโตใต้ความ อบอุ่นนั้นแล้วได้ใช้ไปเพื่อเป็น

    อาหารในแต่ละวัน




    แต่ตอนนี้ นอกจากระลึกถึงบุญคุณแห่งอัมมุน ข้า.....ยังลงคุกเข่า

    วิงวอนขอพร ขอให้ความอบอุ่นแห่งอัมมุนช่วยให้แสงสว่างกับกาห์

    ของร่างน้อยนี้ด้วย



    แซโจ้กำลังไม่สบายมาก มีไข้หนัก ร่างกายรุมร้อนไปทั้งตัว ข้ารู้ดี

    ว่าใบแก่ของต้นอัวลันบดละเอียดคั้นเอาน้ำผสมกับผงจากเปลือก

    ไม้มาราคูจาที่ข้าป้อนเข้าไปจะยังไม่ออกฤทธิ์จนกว่าจะผ่านเวลา

    ชั่วน้ำเดือด หากเป็นตัวข้าที่ต้องทรมานกับอาการไข้คงไม่เท่าไหร่

    แต่เมื่ออาการทรมานนี้มาเกิดกับเจ้าของดวงตางามราวประกายดาว

    นี้ข้ากลับทนแทบ ไม่ได้



    ดวงตางามคู่เดียวกันกับที่ข้าเคยเห็นในความฝันตั้งแต่ยัง เยาว์

    เมื่อยามที่พ่อของข้าเหลาหน้าไม้ของเด็กเล่นให้เป็นคันแรก และ

    ยังฝันถึงอยู่เสมอแม้เมื่อเติบโตสู่วัยฉกรรจ์




    หลังแยกออกมาจาก เผ่าข้าเดินทางตามคำทำนายล่องใต้มา

    ตลอด บางครั้งเดินทางยามมีแสงแห่งอัมมุน หากแต่บางค่ำคืนเมื่อ

    ข้าไม่รู้สึกว่าต้องการหลับ ข้าก็เดินทางใต้แสงดวงดาว สองราตรี

    ก่อนขณะข้าเดินเลี้ยวพ้นโค้งแห่งคุ้งน้ำเชี่ยวกรากในส่วนที่กว้าง ที่

    สุดของลำฮาวารีและกำลังตั้งใจจะพักนอน ข้าก็เหลือบไปเห็นแสง

    สะท้อนจากอะไรบางอย่างที่ข้างโขดหินต่ำลงไปกว่าระดับ ที่ข้ายืน

    อยู่เพียงสามช่วงก้าว



    ข้าค่อยๆย่องเข้าไปจนใกล้ด้วยเกรงว่า จะมีอันตราย จนเมื่อจะพ้น

    แง่หินที่บังสายตาอยู่ข้าจึงได้รับรู้ว่าร่างที่เห็นนอนตะแคง แนบไป

    กับแท่นหินนั้นเป็นร่างกายของมนุษย์ ขณะข้ากำลังจะเข้าไป

    สำรวจว่าร่างนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ลมที่เปลี่ยนทิศกะทันหันก็ทำ

    ให้ข้าสำเหนียกถึงอันตรายจากสาบสางของสัตว์ใหญ่ ที่ลอยมา

    เข้าจมูก ความรุนแรงของกลิ่นนั้นมากขึ้นเรื่อยๆทำให้รับรู้ได้ว่ามัน

    กำลังมุ่งตรงมา ทางทิศนี้



    ข้าเลื่อนคันหน้าไม้ที่สะพายติดไหล่อยู่ลงมาไว้ที่มือ อย่างแผ่วเบา

    อีกมือก็เอื้อมไปหยิบลูกดอก เลือกเอาดอกที่อาบกัมโป....พิษจาก

    กบมีพิษสีแดงที่บาดแผลเลือดออกเพียงสะกิด ก็ทำให้ถึงตายได้

    อย่างรวดเร็ว




    ซุ่มรออยู่ชั่วอึดใจ เจ้าของกลิ่นสาบสางรุนแรงก็เยื้องกรายออกมา

    ให้เห็นตัวท่ามกลางแสงสลัวรางของ คืนเดือนมืด สัตว์สี่เท้าหนึ่ง

    ในเผ่าพันธุ์อันเป็นที่เคารพบูชา ร่างกายที่เคลื่อนไหวแผ่วเบาปก

    คลุมด้วยพื้นขนสีเหลืองทองมีจุดสีดำแทรกอยู่ โดยทั่ว ข้ายก

    หน้าไม้ขึ้นเตรียมพร้อม ขึ้นลูกดอกรอ แล้วเล็งไปที่เป้าหมายตรง

    ก้านคอ พร้อมเริ่มอธิษฐานส่งกระแสจิตเตือนว่าข้าและร่างน้อยที่

    เห็นนั่นมิใช่เหยื่อ หากไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกันมาก่อนก็จงผละ

    ไปเสีย




    หากแต่กระแสจิต ของข้าถูกตอบกลับในทางตรงกันข้าม ข้าตัดสิน

    ใจปล่อยลูกดอกให้ทะยานออกจากแล่ง จังหวะเดียวกับที่ร่างสี

    เหลืองลายดำนั่นโจนขึ้นแล้วพุ่งเข้าใส่ร่างน้อยที่ ข้าเองก็ยังไม่รู้ว่า

    ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ข้ารู้ดีว่ามีโอกาสเพียงครั้งเดียว หากลูกดอก

    อาบยาพลาดเป้า......ข้าย่อมตกเป็นเป้าหมายของผู้ล่าในทันที

    ร่างใหญ่โตยาวเกือบสองเมตรนั่นชะงักกลางอากาศ ตกลงกับพื้น

    แล้วกลับตัววิ่งกลับเข้าไปในราวป่า ข้ารอฟังเสียงสักครู่จนแน่ใจว่า

    กาห์ของสัตว์ร้ายนั้นได้สละร่างไปแล้ว จึงออกจากที่อำพรางตัว

    เข้าไปที่ร่างของมนุษย์ผู้นั้น




    ผิวขาวซีดราว กับแสงจันทร์ในคืนแรมกับเปลือกตาปิดสนิททำให้

    ข้าหวั่นใจ ต่อเมื่อเอานิ้วรอที่ปลายจมูกถึงได้พบว่ายังมีลมหายใจ

    อยู่แม้จะแผ่วเบานักก็ตาม ข้าก้มลงแนบหูกับตำแหน่งกลาง

    หว่างอกอันเป็นที่อยู่ของหัวใจ เสียงตุบเบาๆช้าๆแต่สม่ำเสมอนั้น

    บ่งบอกถึงสัญญาณของชีวิต


    ข้าค่อยๆโอบอุ้มเอาร่างของมนุษย์ผู้หมดสตินั้นขึ้นมาสู่พื้นที่แห้ง

    และเหมาะจะพักแรม จัดการก่อกองไฟเล็กๆขึ้น ก่อนจะถอดเอาสิ่ง

    ที่มนุษย์ผู้นี้ใช้ห่อหุ้มร่างกายออกจนหมด เก็บเศษไม้ลำยาวๆมาปัก

    ใกล้กองไฟแล้วนำเครื่องหุ้มกายที่ขาดวิ่นเป็นริ้วขึ้น ย่างไฟไว้เพื่อ

    ไล่ละไอน้ำออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงบดใบอัวลันคั้นเอาน้ำผสม

    กับผงจากเปลือกมาราคูจา กรอกใส่ปากให้คนที่ยังไร้สติและเริ่ม

    เพ้อเพราะพิษไข้




    ตลอดวันที่ผ่านมาอาการไข้ของร่างน้อยนี้ก็ค่อยๆลดลง แล้วเพียง

    แค่เขาลืมตาตื่นขึ้นและข้าได้สบตากับเขาครั้งแรกเท่านั้น ความฝัน

    ที่ตามรบกวนข้ามาตั้งแต่ยังเยาว์ก็ย้อนกลับมาหา ชัดเจนทุกบททุก

    ตอน


    “ดา กา.......ดากา” จำได้แล้ว....ข้าจำได้แล้ว ไร้ซึ่งความเคลือบ

    แคลงใดๆ ร่างน้อยเจ้าของดวงตาแห่งประกายดาวนี่แล้วคือคำ

    ตอบของคำถามตลอดชีวิตของข้า


    ความรู้และระลึกได้ทำให้ข้าอยากกอดแซโจ้ เป็นชื่อที่ประหลาด

    นัก......ภาษาของคนนอกออกเสียงตามได้ลำบาก แต่กระนั้นเมื่อ

    มันเป็นนามของผู้เป็นที่รัก ข้าย่อมฟังแล้วระรื่นหูอยู่ดี ข้าไม่เคย

    ห้ามตัวเอง เมื่ออยากกอดข้าจึงกอด ตอนแรกร่างน้อยๆนั่นเกร็งขืน

    ตัวไว้ แต่พอเวลาผ่านไปไม่นานนักก็กลับโอนอ่อนยอมอยู่ในอ้อม

    กอดของข้าแต่โดยดี ข้าพยายามอธิบายว่าถึงข้าจะรักเจ้าและ

    สงสารเจ้าที่กำลังไม่สบายแถมยังมีบาด แผลฟกช้ำจากการกระทบ

    กระแทกแง่หินขณะลอยมาตามลำน้ำแค่ไหน แต่เราก็ควรต้องออก

    เดินทางเสียที




    แซโจ้.......ข้าเสียใจที่ทำให้เจ้าต้องฝืนเดินทางทั้งยังอ่อนแอแบบ

    นี้  ข้าพลาดที่นึกเอาเองว่าเจ้าคงจะไหว รู้ตัวอีกทีเจ้าก็หมดแรง

    ล้มลงเสียแล้ว


    ถ้าเจ้าร้องเรียกข้าบอกกับข้าสักนิดว่าเหนื่อย.....ว่าเดินต่อไปไม่

    ไหวแล้ว ข้าย่อมไม่ปล่อยให้เจ้าต้องฝืนตัวเองจนไข้ขึ้นสูงอีกเช่น

    ตอนนี้


    ข้าเอนกายลงเคียงข้างแล้วโอบกอดร่างน้อยที่สั่นสะท้านเพราะ

    พิษไข้ไว้แนบอก เจ้าของร่างนุ่มนิ่มนั่นก็ยิ่งเบียดกายเข้าหา ไม่

    นานนักอาการสะท้านสั่นนั้นก็หยุดลง เมื่อดูแลให้คนได้ไข้หลับ

    สนิทดีแล้วข้าจึงลุกขึ้นมาเติมเศษไม้แห้งลงไปในกอง ไฟอีก พอ

    ข้าผละห่างมาได้ไม่นานแซโจ้ก็ส่งเสียงอืออาแล้วผุดลุกขึ้นนั่ง พอ

    มองมาสบสายตากับข้าก็เรียกชื่อข้าด้วยสุ้มเสียงดีใจ เหมือนกับ

    เด็กน้อยที่กลัวว่าพ่อแม่จะทิ้งให้ต้องอยู่คนเดียวกลางป่าเปลี่ยว

    กระนั้น



    “มาฮัวคา”
    ข้ารีบตรงเข้าไปจับมือน้อยๆที่ยื่นมาหาเอาไว้ ก่อนจะ

    ทรุดกายลงเคียงข้างแล้วโอบประคองร่างกายที่ขับเหงื่อออกมา

    เนื่องจากยา ที่ข้าให้ไปจนเครื่องหุ้มกายนั้นชุ่มโชก ข้าแตะหลังมือ

    ลงกับหน้าผากชื้นเหงื่อ ยามนี้ที่สัมผัสได้คือความเย็น เย็นชืดจน

    น่ากลัว



    “ไม่เป็นไรนะ เจ้าจะไม่เป็นไร ไข้ก็ไม่มีแล้วจะหายแล้วนะแซโจ้”

    ข้ารู้ดีว่านี่คือการปลอบใจตัวเอง ก็ในเมื่อข้าพูดไปแซโจ้ก็ฟังไม่

    ออก แล้วจะให้ข้าใช้คำพูดปลอบได้อย่างไร ที่ทำได้ก็คือการ

    กระชับอ้อมกอดให้แน่นเข้า และก้มลงประทับจูบปลอบประโลมที่

    หน้าผากนวลเนียนนั่นเท่านั้น


    “quente, to’ com quente…..”

    “me ajud…….ahh ajuda  hah…..Mahuaca”



    มีบางอย่างผิดแปลกไป จู่ๆร่างบางในอ้อมกอดก็เริ่มปลดเครื่องห่ม

    กายของตนเองออก เสียงสั่นพร่าที่พูดคำในภาษาอื่นออกมาไม่

    ต้องมีคำแปลก็เข้าใจได้ในทันทีว่า คงจะรู้สึกร้อน ร้อนมากจนทน

    ให้มีอันใดมาพันกายไว้ไม่ไหว และสำเนียงสั่นพร่าที่เอ่ยนามของ

    ข้านั่นก็ชักจะทำให้ร่างกายของข้ารุ่มร้อน ตามไปด้วย



    ผิวกายเย็นชืดเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นอุ่นจัดจนเกือบร้อน ราวกับมีไฟ

    กองใหญ่ลุกไหม้อยู่ภายใน มันเกิดอะไรกับแซโจ้ หรือสูตรยาที่ข้า

    ใช้มีอะไรผิดไป



    แซโจ้ถอดทุกสิ่งที่ปิดบังร่างกายจากสาย ตาของข้าออกไปจนหมด

    แล้วเริ่มขยับร่างกายเสียดสีกับเนื้อตัวของข้า ผิวกายนวลเนียนเต่ง

    ตึงไปทุกส่วนทำให้ข้ารู้สึกร้อนเร่าไปกับทุกสัมผัส เสียงทุ้มนุ่มแหบ

    พร่าพร่ำเรียกชื่อข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า



    ความแข็งขึงอุ่นจัดที่สัมผัสได้บริเวณหน้าท้อง และดวงตาเว้าวอน

    ของร่างน้อยที่โถมทับ ทำให้อารมณ์ปรารถนาในกายข้าลุกโชน

    ความรู้สึกปั่นป่วนและทะยานอยากโหมกระพือยิ่งกว่าเปลวไฟ

    เสียงแมลงกลางคืนที่ดังอยู่เมื่อครู่พลันเงียบสนิทราวกับจะเงี่ยหู

    สดับเสียง ครวญครางจากเราทั้งสองแทน


    พลันนั้นข้าก็พลิกกายกลับขึ้นไปซ้อนหลัง ของร่างน้อยที่ยังคงบิด

    กายส่ายเอวไปมายั่วยวนอยู่ตรงหน้า รั้งสะโพกขาวผ่องสะท้อน

    แสงจากกองไฟเป็นสีชมพูอมส้มให้ยกขึ้นสูงด้วยมือซ้าย แล้วใช้

    แขนขวาอ้อมไปกอบกุมเอาความแข็งขึงร้อนผ่าวที่ด้านหน้า เพียง

    แค่แตะต้องส่วนปลายเบาๆเสียงครวญครางแสนหวานก็ยิ่งดังขึ้น

    และเมื่อข้าเริ่มกำรอบแล้วรูดขึ้นลงเป็นจังหวะ ร่างน้อยที่บรรจุด้วย

    ไฟปรารถนาก็ขยับโยกตามการชักนำได้เป็นอย่างดี



    ข้าพรมจูบไล่ไปตามแผ่นหลังขาวผ่องนั้น จูบด้วยปาก แตะชิมด้วย

    ลิ้นอุ่นร้อนไปจนทั่วทั้งแผ่นหลัง ดูดดุนตามแนวกลางหลังเรื่อยมา

    จนถึงร่องที่แบ่งก้อนเนื้ออวบหยุ่นตึงมือออก เป็นสองข้าง ข้าละมือ

    จากการประคองสะโพกเอาไว้ แล้วเปลี่ยนมาแหวกเนินเนื้ออวบ

    หยุ่นทั้งสองข้างออก ลากนิ้วไปตามร่องนั้นอย่างแผ่วเบาจากบนลง

    ล่าง


    “อะ.......อาห์....”


    การกระทำนั้นเรียกเสียงครางพร้อมกับอาการสะท้านสั่นไหวไปทั้ง

    ตัว จากเจ้าของร่างกายที่ทำให้ข้าหลงใหลได้ทันที แซโจ้เอี้ยวตัว

    หันหน้ามาหาข้า ส่งสายตาเหมือนจะร้องขอและเว้าวอน ก่อนจะ

    เอื้อมมือมารั้งคอข้าให้รับจุมพิตดูดดื่มร้อนแรงที่ริมฝีปาก



    ปลายลิ้นที่พัวพันทำให้ข้ารู้สึกเหมือนกายจะระเบิด ข้ารีบส่งปลาย

    นิ้วเข้าไปในช่องทางนุ่มนิ่มร้อนผ่าวที่เพิ่งจะลากนิ้วหยอกล้อ นั้น

    ทันที ร่างน้อยที่กำลังมอบจุมพิตให้ข้าสะดุ้งขึ้นทั้งตัว พยายามจะ

    ถอนจูบออก แต่มีหรือข้าจะยอม ข้าละมือจากการกระตุ้นความแข็ง

    ขึงที่ด้านหน้ามาประคองกดไว้ที่ท้ายทอยที่ปก คลุมด้วยเส้นผม

    อ่อนนุ่มนั้น ในขณะเดียวกันก็พยายามดันนิ้วรุกล้ำเข้าไปเรื่อยๆ

    ช่องทางร้อนผ่าว นั้นเกร็งเขม็ง บีบรัดข้าจนแน่น ข้ายอมปล่อยให้

    ริมฝีปากสีแดงจัดนั้นเป็นอิสระแล้วไล้เลียไปตามลำคอขาวผ่อง

    แทน เมื่อข้าจูบเบาๆลงที่หลังใบหู เสียงครางที่เงียบไปเมื่อครู่

    เพราะถูกรุกล้ำด้านหลังก็หลุดออกมาให้ได้ยิน อีกครั้ง คราวนี้ข้า

    ขยับนิ้วเข้าออกช้าๆหมุนวนไปทั่วภายในช่องทางนุ่มนิ่มนั้น จนร่าง

    น้อยเริ่มขยับส่ายสะโพกตามอีกครั้งข้าก็เพิ่มจำนวนนิ้วเข้าไปอีก

    ปากทางคับแคบเริ่มเปิดออกให้มองเห็นด้านในที่เป็นสีชมพูอ่อน

    ราวผลสุกของกัวราน่าที่มีรสชาติหวานหอม


    เมื่อความอดทนถึงขีดสุด ข้าก็เข้าไปในตัวของแซโจ้ มือข้างหนึ่ง

    ข้าเอื้อมไปปิดปากที่รักเอาไว้แน่นเพื่อสกัดกั้นเสียงกรีดร้อง อีกมือ

    ก็กุมทับไปบนมือน้อยๆที่เกร็งจนกำขยำลงกับพื้นหญ้า ข้ากระซิบ

    ปลอบโยนที่ข้างหูของร่างน้อย แม้จะด้วยถ้อยคำภาษาที่แตกต่าง

    แต่ข้าแน่ใจว่าคนที่กำลังประสานกันเป็นหนึ่งอยู่ย่อมเข้าใจความ

    หมายที่ข้า ต้องการสื่อไปถึง



    “ข้ารักเจ้า ที่รัก.......อาห์ รัก ข้ารักเจ้า”
    ข้าพร่ำพูดคำรักซ้ำแล้วซ้ำ

    เล่ายามที่เราทั้งสองต่างขยับกายสอดประสานอยู่ใน จังหวะเดียว

    กัน ตอบสนองซึ่งกันและกัน มอบความสุขและบอกรักผ่านการ

    กระทำทางกาย ในแบบที่ไม่ว่าภาษาใดก็ไม่อาจเทียบได้



    ข้าสะดุ้งตื่นในตอนใกล้รุ่ง เมื่อร่างบางข้างกายซุกซบเข้ามาหาไอ

    อุ่นเมื่อมองเห็นดวงหน้าอิ่มสุขที่เกยอยู่กับอกถึงมั่นใจว่าที่ผ่านไป

    เมื่อคืนไม่ใช่แค่ความฝันเหมือนที่เคย



    นับเวลาผ่านไปหนึ่งฝนแล้วตั้งแต่ข้าได้พบกับแซร์จิโอ้

    ที่รักของข้าบังคับให้ข้าหัดออกเสียงชื่อเขาจนถูกใจสำเร็จจนได้

    ส่วนตัวเขาเองก็เข้าใจภาษาของฮัวโอรานีได้เป็นอย่างดี ฟังได้พูด

    ได้ แต่การโต้ตอบอาจจะช้าไปบ้าง



    นี่ถ้าไม่มีพ่อปู่ผู้เฒ่า ข้าคงถูกขับออกจากเผ่า และเราสองคนคง

    ต้องไปใช้ชีวิตลำพัง แต่พ่อปู่ผู้ประกาศตนว่าเป็นโอษฐ์แห่งอัมมุน 

    กลับบอกทุกคนว่าแซร์จิโอ้ของข้า จะนำความรุ่งเรืองมาสู่เผ่าเรา

    และหลังจากนั้นไม่นานที่รักของข้าก็พิสูจน์ให้ทุกคนในเผ่าเห็นว่า

    คำทำนายของ ท่านผู้เฒ่าไม่เคยผิดพลาด เมื่อเขาสอนให้เราต้ม

    น้ำก่อนดื่มกิน และสอนให้ทำการเพาะปลูกข้าวโพด



    แซร์จิโอ้บอกกับข้าว่าที่จริงมี มากกว่านี้ที่เขาสามารถสอนชาวฮัว

    โอรานีได้ พอข้าถามให้ยกตัวอย่าง ข้าก็เห็นด้วยกับที่รักว่าไม่จำ

    เป็นหรอก ในเมื่อฮัวโอรานีพอใจจะอยู่กับกาห์แห่งอะมาซอนต่อไป

    แบบนี้ ไม่ได้คิดที่จะเปิดตัวติดต่อค้าขายกับสังคมภายนอก


    ที่รักของข้าอุทาน ออกมาเมื่อข้าพาเที่ยวเล่นไปจนถึงต้นน้ำแห่ง

    ลำฮาวารี แซร์จิโอ้เอาอุปกรณ์หน้าตาประหลาดที่แอบหย่อนใส่

    ย่ามของข้าไปด้วยไปขุดๆ เจาะๆตรงผาหินที่มีน้ำตกหลายสายผุด

    พุ่งออกมาแล้วก็ตื่นเต้นอยู่สักพัก แต่หลังจากนั้นก็เก็บเครื่องมือนั่น

    ลงย่าม บอกกับข้าว่า ถ้าฮัวโอรานีเปลี่ยนใจอยากจะค้าขายกับโลก

    ภายนอกเมื่อไหร่ต้องระวังไม่ให้คน นอกเข้ามาที่ต้นน้ำนี่ได้ง่ายๆ

    มันจะเป็นอันตรายต่อกาห์แห่งอะมาซอนและทุกชีวิตแถบนี้ได้



    และวันนี้ หลังจากที่เมื่อวานข้าเกือบจะพลาดเจ็บหนักจากการออก

    ล่าชาคาแหร่ห์เกเร สัตว์ใหญ่แห่งลำน้ำฮาวารีที่ล่มเรือของชาวเผ่า

    ไปแล้วสองลำ แซร์จิโอ้ที่นอกจากกอดข้าไว้จนแน่นแต่ไม่ได้พูด

    ห้ามปรามอะไรก็ขอผืนหนังที่ ขัดฟอกจนเป็นสีอ่อน กับยางมาเรน

    โญ่ผสมไขสัตว์ที่ใช้สำหรับวาดสัญลักษณ์ตามร่างกายมา แล้วก็นั่ง

    ลงเขียนหนังสือบันทึกลงแผ่นหนังมาตั้งแต่สาย จนนี่จะเที่ยงอยู่

    แล้ว ยังไม่ยอมลุกมากินอะไรเลย



    “แซร์จิโอ้ ไม่หิวหรือ? หยุดบันทึกก่อนเถิด” ที่รักเงยหน้าเหลือบตา

    มองข้าแวบหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นยืน หากพอข้าเดินเข้าไปใกล้จะจูง

    ให้ตามออกไปนอกกระท่อมที่พักนอน แซร์จิโอ้ก็กลับเปลี่ยนใจบุ้ย

    ปากให้ข้านั่งลงแทนที่ แล้วตัวเองก็เข้ามาแทรกด้านหน้าหย่อนตัว

    นั่งซ้อนตักข้าไว้ ก่อนจะลงมือเขียนบันทึกนั่นต่อ



    “หิวแล้ว....แต่ข้าขี้เกียจบิกินเอง มาฮัวคา......”

    แค่นั้นแหละ แล้วข้าก็แพ้เสียงออดอ้อนนั่นเหมือนเคย แต่ใครจะไป

    สนเรื่องแพ้ชนะเล่า ตราบใดที่ข้ายังมีเจ้าของดวงตาประกายดาวคู่

    นี้อยู่ในอ้อมกอด


    ถึงจะต้องเป็นฝ่ายแพ้ไปจนกาห์ออกจากร่าง....ข้าก็ยอม


    ....................................



    “ศรา....เก็บอะไรมาเล่นน่ะเรา?”


    “พี่ภพ ข้างในนี้มีแผ่นหนังอะไรไม่รู้ ตอนแรกศรานึกว่าภาษา

    อังกฤษ แต่กลับอ่านไม่ออกเลยสักคำ พี่ภพดูสิ”



    เด็กหนุ่มที่ก้มๆเงยๆอยู่ริมหาดยกแผ่นหนังเก่าคร่ำคร่า ที่เพิ่งคลี่

    ออกมาจากม้วนในขวดแก้วเนื้อหนาชูขึ้นสูงเรียกร้องความสนใจ

    จากชายหนุ่มที่นั่งแผ่หลาอยู่บนเก้าอี้ชายหาดใต้ร่มเงาของต้น

    มะพร้าว ห่างออกไปเกือบสิบเมตร



    “เอามาให้ดูตรงนี้สิ พี่ขี้เกียจเดิน”



    “โห่.... พี่ภพอะ ทำตัวเป็นคนแก่ไปได้” หนุ่มน้อยที่ท่าทางจะแสบ

    เอาเรื่องบ่นกระปอดกระแปด แต่ก็ยอมลุกจากพื้นทรายหอบเอาทั้ง

    ขวดทั้งแผ่นหนังแปลกหน้านั่นเดินเข้ามาหา คนขี้เกียจเป็นตาแก่

    โดยดี


    มาถึงก็ยื่นแผ่นหนังที่พอกางออกก็ปรากฏว่า มีตัวอักษรสีแดงเข้ม

    เขียนไว้เต็มทั้งผืน แต่แทนที่ข้ามภพจะรับแผ่นหนังที่ยื่นส่งมา มือ

    ใหญ่ที่เอื้อมมาทำท่าจะรับกลับจับหมับลงที่ข้อมือเด็กซนแล้วดึงให้

    นั่งลงกลางหว่างขาบนเก้าอี้ชายหาดตัวเดียวกัน



    “พี่ภพ!!”


    “ไหน ศราจะให้พี่ดูอะไร?”
    ทำมาถามด้วยเสียงเอาการเอางานกลบ

    เกลื่อนอีก นายข้ามภพนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ นอกจากจะถามเอาการ

    เอางานแล้วจากที่นั่งพิงพนักตามสบายก็กลับลุกขึ้นนั่งหลัง ตรงจน

    แผงอกกำยำแนบไปกับแผ่นหลังของเด็กซนตรงหน้าที่เที่ยวได้

    เก็บโน่นเก็บ นี่มาเล่นเสียสนิทเชียว



    “นี่ไง....ตัวอักษรเหมือนภาษาอังกฤษเลยนะ แต่บางตัวก็ไม่เหมือน

    พี่ภพดูสิ ตัว c มีหางด้วย”



    “อืม.... ศราอ่านไม่ออกก็ไม่แปลกหรอก ก็นี่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ

    เท่าที่ดูพี่ว่าน่าจะเป็นพวกภาษาสเปนไม่ก็โปรตุเกส.....ไหนๆมีลง

    วันที่ด้วย นี่  Agosto, 1842 ถ้าพี่เดาไม่ผิด คงจะเป็น  August 

    เดือนสิงหาคม ปีค.ศ. 1842 โอ้โห....นี่ท่าทางเราจะซนจนได้เรื่อง

    แล้วล่ะศรา ถ้าเป็นปี 1842 ก็เกินร้อยห้าสิบปีอีกนะเนี่ย”




    “168 168 ปี  แล้วพี่ภพ หึๆๆ เราเอาไปขายดีกว่า น่าจะได้ราคาดี

    เนอะพี่ภพเนอะ”
    สุ้มเสียงตื่นเต้นดังมาจากหนุ่มน้อยที่นั่งซ้อนอยู่

    ด้านหน้า พร้อมกับเอี้ยวตัวกลับมาส่งยิ้มจนแก้มบุ๋มพร้อมด้วยสาย

    ตาเป็นประกายพราวที่ คนตัวโตนั่งซ้อนหลังเข้าใจแจ่มแจ้งเลยล่ะ

    ว่ามันหมายความว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเหลือเกินแล้ว

    ว่าข้อความบนแผ่นหนังที่ถืออยู่จะเกี่ยวกับอะไร



    “เวอร์แล้วศรา อาจจะไม่ใช่อย่างที่พี่บอกก็ได้ นี่อาจจะเป็นของเก่า

    แบบทำเทียมก็ได้”



    “หึ..... แล้วถ้ามันเป็นของจริงล่ะพี่ภพ ถ้าข้อความพวกนี้มันเป็น

    ลายแทงล่ะ พี่ภพ....ถ้าเป็นลายแทงจริงๆ พี่ภพจะไปหาสมบัติกับ

    ศรามั้ย?”
    มือขาวๆของศราเด็กซนแถมจินตนาการสูงเขย่ามือ

    ใหญ่ๆที่โอบอยู่รอบเอวแรงๆ ระหว่างที่ตั้งคำถามนี้




    “.......ไปสิ ศราอยู่ที่ไหน พี่ก็อยู่ที่นั่นด้วยเสมอแหละ เราจะไม่แยก

    จากกันอีก สัญญากันไว้แล้วนี่”




    “อื้ม.... แล้วถึงมีความจำเป็นจะต้องจากกันขึ้นมา เราสองคนก็จะ

    กลับมาพบกันอีก.....เป็นอย่างนั้นใช่มั้ย พี่ภพ?”
    ศราม้วนแผ่นหนัง

    บางๆในมือจนเรียวเล็กแล้วเก็บใส่ในขวดแก้วเหมือนเดิม ก่อนจะ

    วางลงกับพื้นทราย



    “ใช่ เราจะกลับมาพบกันอีกแน่นอน......พี่สัญญา”


    ..................................
    ..................................

    (จบ)


    *_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*____*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*



    กรี๊ดดดด อ่านตอนนี้เเล้วเป็นอีกตอนที่ชอบมาก  ยาวได้ใจเอาไปเลยเต็มๆ  งุงิงุงิ เค้า

    อยากได้ ป้อจายเเบบ "มาฮัวคา" อิอิ คนโพสต์ เพ้อเเระ ไปก่อนนะคะ เจอกันตอนหน้าค่ะ 

    ขอบคุณคนอ่าน คนเมนท์เเละคนที่เเวะมาค่ะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×