ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องเล่าจากความฝัน by anajulia (YAOI)

    ลำดับตอนที่ #3 : เรื่องเล่าจากความฝัน : Beija-Flor of the Amazon: วิหคสวรรค์แห่งฮาวารี 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 601
      3
      20 ส.ค. 54

    Beija-Flor of the Amazon : วิหคสวรรค์แห่งฮาวารี



    ‘หนาว....หนาวจัง’ โอย....ปวดหัว ปวดหัวจนเหมือนจะระเบิด แล้ว

    ก็หนาว....หนาวเหลือเกิน

    ‘อื้อ...ขม ไม่เอา อืม.....’



    ผม........อยากตื่น แต่กลับลืมตาไม่ขึ้น ในหูได้ยินเสียงเคลื่อน

    ไหวอยู่ใกล้ๆ  เสียงของการเคลื่อนไหวที่แผ่วเบา ฝีเท้าที่ก้าว

    ย่าง.....แผ่วเบาราวกับการย่องเข้าตะครุบเหยื่อของเสือดาว


    ผมกลัว........


    โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดเมตตาสัตว์ผู้ยาก โปรดปลดปล่อยลูกจาก

    ห้วงเหวแห่งความมืดลึกสุดหยั่งนี้ด้วยเทอญ


    เฮือกกกกก!!



    “ปล่อย คุณเป็นใคร ....อื้อ อะ แค่กๆๆ”


    พระ ผู้เป็นเจ้าทรงฟังคำอ้อนวอนของผม ปลดปล่อยผมจากความ

    มืดมนจริงๆ แต่นี่มันอะไรกัน ที่นี่มันที่ไหน แล้วคน.....ใช่ ถึงจะดู

    แปลกๆ แต่ผมก็มั่นใจว่าเขาเป็นคนแน่ๆที่เมื่อกี้พอเห็นว่าผมลืมตา

    ก็พูดอะไรไม่รู้ สองสามคำแล้วส่ายหัว ก่อนจะตรงเข้ามาประคอง

    ให้ผมนั่งแล้วยัดเยียดน้ำคั้นจากใบอะไรสักอย่างสี เขียวปี๋กรอก

    ปากผม




    รสชาติที่ผมจำได้ว่าได้ลิ้มรสมาแล้วหลายครั้ง ระหว่างที่ยังลืมตา

    ไม่ขึ้น งั้น.....ถึงรสชาติจะขมจะเฝื่อนแค่ไหน แต่กินเข้าไปก็คงไม่

    ตายหรอก......มั้ง? ผมคิดว่านะ.....


    ผมกล้ำกลืน ฝืนความอยากอาเจียนเอาไว้ได้แล้วถึงได้เงยหน้าขึ้น

    มองหน้าผู้ช่วยชีวิต แล้วก็ได้เห็นดวงตาคมดุราวกับเหยี่ยวที่มอง

    ตรงมาก่อนจะส่งรอยยิ้มหวานที่สุด เท่าที่เคยได้เห็นจากใบหน้า

    ผู้ชายมาให้




    เอ่อ.....ผมคงพลาดลืม เล่า งั้นเล่าตรงนี้เลยแล้วกัน ผมเป็นนัก

    สำรวจ ถูกส่งมาจากกองทัพของโปรตุเกส แต่ผมไม่ใช่ทหารนะ ผม

    เป็นนักวิทยาศาสตร์



    เมื่อ วานนี้ หรืออาจจะมากกว่านั้น ผมก็ไม่รู้ เพราะผมยังไม่รู้ว่าตัว

    เองหมดสติไปนานแค่ไหน เรือที่เราล่องมาตามแม่น้ำฮาวารี สาขา

    หนึ่งของอะมาซอนถูกจู่โจมโดยสัตว์น้ำขนาดใหญ่ ผมก็ไม่รู้เหมือน

    กันว่ามันเป็นตัวอะไร ที่แน่ๆคือลำตัวของมันส่วนที่ผมเห็นมีเส้น

    ผ่านศูนย์กลางไม่ต่ำกว่าครึ่งเมตร แล้วก็ความยาวของมันคง

    มากกว่านั้นหลายเท่า เพราะผมมีโอกาสเห็นมันเพียงแวบเดียว

    แล้วก็มองเห็นแค่ช่วงลำตัวหนานั่น ไม่ได้เห็นส่วนหัวหรือมีโอกาส

    ทำความรู้จักกับหน้าตาของมันเลยด้วยซ้ำ



    เสียง อื้ออึงและคำสั่งโหวกเหวกจับความไม่ได้ ทำให้ผมรู้ว่าพวก

    เรากำลังเจอกับวิกฤตการณ์ที่อันตรายถึงชีวิต ผมทำได้แค่คว้าเอา

    เป้ประจำตัวที่ทุกคนต้องวางไว้ที่หัวนอนเสมอมาถือไว้ แล้วจาก

    นั้น.......ผมก็ตกลงไปในกระแสน้ำดำมืดของฮาวารี



    รู้สึกตัวอีกที ก็มานอนแอ้งแม้งขยับนิดนึงก็ปวดไปหมดทั้งตัวอยู่

    ตรงนี้แล้ว



    .....เอ่อ ผมรู้สึกว่าผู้ช่วยชีวิตของผมคงต้องการจะพูดอะไร

    บางอย่าง แต่เขาก็ไม่พูดออกมา ก็เมื่อกี้พอผมเงยหน้าขึ้นสบตา

    เท่านั้นแหละ เขาก็ทำท่าเหมือนกับตะลึง หรือไม่ก็อึ้งกับความหล่อ

    ของผมจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก



    กระบอกไม้ไผ่ที่อยู่ในมือก็ยกค้างอยู่อย่างนั้นแหละไม่วางลงเสียที

    มองกันขนาดนี้ มันอึดอัดนะครับคุณผู้ช่วยชีวิต


    “คุณ คุณชื่ออะไรเหรอ?” มนุษยสัมพันธ์ดีก็งี้แหละผมน่ะ ก็ถูกมอง

    แบบนี้ถ้าหากสายตาของคุณผู้ช่วยชีวิตเป็นรังสีทะลุทะลวง ป่านนี้

    ผมคงพรุนไปแล้ว เพราะงั้นหาเรื่องคุยดีกว่า



    “ดากา.......ดา กา”
    เฮ้ยยยยยยยย!! จะไม่ให้ตกใจได้ไง ก็พอผม

    ถามว่าชื่ออะไร แทนที่จะตอบมาแบบธรรมดา อิตานี่กลับโผเข้า

    มากอดผมไว้ทั้งตัว พูดซ้ำไปซ้ำมา ดากา ดากา ชื่อดากาหรือไง

    เนี่ย ปล่อยยยยยยยยยยย ปล่อยสิโว้ยยยยยยยยย



    “ปล่อยๆๆ อื้อออออ”
    คำแรกผมยังพูดได้เป็นคำอยู่หรอก แต่ไอ้บ้านี่

    ปล่อยให้ผมพูดได้เดี๋ยวเดียว พอผละออกให้ผมโล่งใจว่าจะได้

    อิสระแค่สองวินาที มองหน้าผม ส่งยิ้มเหมือนกับดีใจเป็นบ้าเป็น

    หลังแล้วก็กดหัวผมให้ซบลงกับซอกคอหนาๆของ ตัวเองอีก



    แต่....จะว่าไป ทำไมผมถึงรู้สึกดีที่ถูกกอดไว้แน่นๆแบบนี้ก็ไม่รู้แฮะ

    แถมยังเป็นอ้อมกอดของผู้ชายซะด้วยสิ



    เอ หรือจะเป็นเพราะผมกำลังหนาว แล้วเนื้อตัวของหมอนี่มันก็อุ่น

    คงจะเป็นอย่างนั้นละมัง....แต่ เฮ้ย จะมาหลงปลื้มไปกับความอุ่น

    ของหมอนี่ไม่ได้ ต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อน




    “ชื่อน่ะ ชื่อ เข้าใจมั้ย?” ผมออกแรงจากสองแขนเต็มที่ยันตัวให้

    ห่างออกมาจากอกของคุณคนป่า แล้วมองไปรอบๆก่อนจะถามอีก

    ครั้ง




    ผม ไม่โง่พอจะตอบโต้ด้วยการทำร้ายร่างกายอย่างชกสักหมัด

    หรอกน่า ก็ที่นี่มันส่วนไหนของฮาวารีก็ไม่รู้ หรือกระแสน้ำเชี่ยว

    กรากนั่นพัดผมมาไกลจนมาถึงสาขาอื่นของอะมาซอนแล้วก็ไม่ รู้

    แถม....ผมหิวจนไส้จะขาดแล้วด้วย ขืนทำเป็นเก่งหาเรื่องกับคุณผู้

    ช่วยชีวิตจนต้องถูกทิ้งไว้กลางป่าคนเดียว ผมไม่รอดแน่ๆ




    ก็พอได้กวาดสายตาไปโดยรอบ ผมถึงได้รู้ว่านอกจากลำธารเล็กๆ

    ที่อยู่ต่ำลง ห่างออกไปเกือบยี่สิบก้าวนั่น มองไปทางไหนก็มีแต่

    ต้นไม้สูงใหญ่ ปกคลุมครึ้มไปหมดจนแม้แต่เงยหน้าขึ้นยังไม่เห็น

    ท้องฟ้าเลยสักนิด  ที่ผม หนุนนอนอยู่เมื่อกี้ก็รากไม้ รากเล็กๆขนาด

    เท่าต้นขาล่ำๆของคุณผู้ช่วยชีวิตที่คุยกันไม่รู้เรื่องแต่กอด เอากอด

    เอาคนนี้แหละ คนบ้าอะไรต้นขาใหญ่ชะมัด




    อันที่จริง จะบอกว่าต้นขาใหญ่อย่างเดียวคงไม่ถูกนัก เพราะผู้ชาย

    คนนี้ใหญ่ไปทุกส่วนเลย ทั้งแขนกล้ามเป็นมัดๆ อกหนาๆ ขาใหญ่ๆ

    เอ่อ......แล้วก็สะโพกด้วย คือ ไม่ได้หมายถึงสะโพกผายแบบ

    ผู้หญิงนะ แต่ผมหมายถึงกล้ามเนื้อ เอ่อ...ที่แก้มก้นน่ะ ใหญ่จริงๆ

    นะ ใหญ่รับกับต้นขานั่นแหละ คือตอนนี้เขาลุกขึ้นไปหยิบอะไรสัก

    อย่างลักษณะเป็นแผ่นกลมๆสีเหลืองอ่อนออกมา จากสิ่งที่หน้าตา

    คล้ายๆย่าม เพียงแต่มันไม่ได้ทำมาจากผ้า แต่เป็นเชือกจาก

    เถาวัลย์เหนียวๆเอามาลอกเป็นเส้นเล็กๆแล้วสานสลับไปมามีสาย

    สะพายที่คงเอาไว้สะพายเฉียงไหล่ได้พอดี




    ผู้ชายคนนี้ตัวสูงมาก มากกว่าผมเกือบสองคืบได้ เขามีผมสีน้ำตาล

    เข้มยาวถึงกลางหลัง ดวงตาสีเข้มคมเหมือนตาเหยี่ยว ปากยกขอบ

    หนา จมูกโด่งงุ้มงอที่ส่วนปลายน้อยๆ ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่ใบไม้สด

    หนึ่งใบปกปิดความเป็นชายโดยใช้เชือกเถาวัลย์ เส้นเล็กๆร้อยไว้

    แล้วผูกเหนือสะโพกเท่านั้น แล้วพอเขาลุกขึ้นเดินอย่างนี้ ทุก

    จังหวะของการก้าว ผมก็เลย...เห็นหมด เฮ้อ.....ใบไม้ใบออกใหญ่

    ก็ยังปิดไม่ได้เอาจริงๆ



    ไม่ได้การแล้ว ผมต้องไม่ไปสนใจกับอวัยวะส่วนนั้นของผู้ชายสิ ผม

    เงยหน้าขึ้นพิจารณาส่วนลำตัวช่วงบนต่อเพื่อให้หายฟุ้งซ่าน ก็เห็น

    ว่าที่หน้าผากของคุณคนป่ามีสัญลักษณ์เป็นเส้นตรงสามเส้นลาก

    ขวางไว้ ด้วยสีแดงสด บนศีรษะมีสายรัดเหนือหน้าผากที่ประดับไป

    ด้วยหินและขนนกสีเหลือบฟ้าและเหลือง



    แต่.....ถึงจะเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ช่วงบน ทำไมอาการใจสั่น

    ฟุ้งซ่านของผมถึงไม่ลดลงเลย



    ผู้ ช่วยชีวิตของผมเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆอีกครั้งพร้อม

    กระบอกไม้ไผ่ อีกกระบอก เขาเอาใบไม้ใบใหญ่วางลงกับพื้น แล้ว

    วางแผ่นแป้งสีเหลืองอ่อนนั่นลง ก่อนจะหยดน้ำจากกระบอกลงไป

    เล็กน้อย จากนั้นก็บิแผ่นแป้งออกเป็นชิ้นพอดีคำแล้วส่งให้ผม พอ

    ผมรับมาถือไว้เขาก็จัดการบิอีกชิ้นใส่ปากตัวเอง



    ผมจัดการกินอาหาร ชาวป่าแท้ๆดูบ้าง ก็ไม่ได้แย่อะไร แป้งนี้มีกลิ่น

    หอมอ่อนๆของดอกไม้อะไรสักอย่าง แล้วก็มีรสเค็มน้อยๆ กินไปได้

    สองคำ ผู้ช่วยชีวิตก็เอื้อมมือมาเช็ดเบาๆที่มุมปากของผม เขาส่งยิ้ม

    มาให้ แล้วก็ชี้ไปที่ตัวเอง




    “มาฮัวคา”

    เขาชี้ซ้ำๆที่อกตัวเอง อ้อ.....มาฮัวคา คงเป็นชื่อของเขาสินะ


    “มาฮัวคา,  โย ดาก๊า?”
    เอาแล้วไง ทำไมต้องมองมาที่ผมเหมือน

    กับคาดหวังอะไรสักอย่างด้วยล่ะ




    “แซร์จิโอ้” ผมทำตามเขาบ้าง ชี้ที่ตัวเองแล้วก็บอกชื่อ แล้วเลยลอง

    เลียนแบบประโยคของเขาดู “แซร์จิโอ้, โย ดาก๊า”




    “ดา กา........แซโจ้”
    เออๆแซโจ้ก็แซโจ้ แล้วนี่มันอะไร.....แค่ผม

    พูดตามเท่านั้น หมอนี่...เอ่อ มาฮัวคาก็ดึงผมเข้าไปกอดอีกแล้ว

    แล้วทำไมต้องมองมาด้วยแววตาที่แสดงออกถึงความดีใจขนาดนั้น

    ด้วย




    “มา ฮัวคา อย่าร้องไห้.......” ผมไม่รู้จะทำยังไง จู่ๆเขาก็มีน้ำตา

    คลอ รู้ทั้งรู้ว่าพูดปลอบไปเขาก็ไม่เข้าใจ แต่ทำไม....ผมถึงรู้สึกทน

    ไม่ได้ถ้าผู้ชายคนนี้จะต้องมีน้ำตา ไม่ทันได้ห้ามตัวเองผมก็เป็น

    ฝ่ายกอดเขาเอาไว้จนแน่นเสียแล้ว


    มาฮัวคา ก้มลงจูบเบาๆที่หน้าผากของผม ผมก็ปล่อยให้เขาทำตาม

    ใจ แถมยัง......เริ่มรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมา ความอายมันเริ่มมาทักทาย

    ผมอย่างไม่ทันตั้งตัว ผมเลยพยายามจะผละออกจากร่างกายอุ่นๆ

    แล้วก็แน่นไปทุกส่วนนั่น แต่อ้อมแขนแข็งแกร่งไม่ยอมปล่อยผม

    เสียแล้ว มาฮัวคาจับผมให้นั่งอิงกับอกเขาดีๆแล้วบิแผ่นแป้งนั่น

    ป้อนให้ผมเรื่อยๆ



    ทำไงได้ล่ะ จู่ๆผมก็รู้สึกว่าที่ตรงนี้ ในอ้อมแขนนี้แหละคือที่ของผม

    เป็นที่ที่ผมจะอยู่ได้อย่างสบายที่สุด ปลอดภัยที่สุด.....




    พอ ผมแสดงท่าว่าอิ่มแล้ว เขาก็จัดการเอาแผ่นแป้งที่เหลือไปผิง

    ไฟเพื่อไล่น้ำ แล้วสะพายย่ามหยิบหน้าไม้พร้อมกระบอกขึ้นสะพาย

    ไหล่อีกข้าง ส่งเป้ของผมที่ตอนแรกคิดว่าคงหายไปกับกระแสน้ำ

    แล้วมาให้ รั้งให้ผมลุกขึ้นเดินตามไปที่ลำธาร ปล่อยให้ผมล้างหน้า

    ทำความสะอาดตัวเองเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะทำท่าให้ผมเดินตาม

    เขาไป



    ผมก็ทำได้แค่ทำตามคำสั่งแบบไม่มีปาก เสียง ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่

    จะหยิบเข็มทิศในเป้ขึ้นมาเทียบหาทิศด้วยซ้ำ หึๆก็ถึงพูดถามอะไร

    ไปเขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เอาเถอะ..อย่างน้อยก็เชื่อได้ว่ามาฮัวคาจะ

    ไม่ปล่อยให้ผมเดินเข้าไปในดง ดอกไม้พิษ หรือว่าเดินตกบ่อทราย

    ดูดแน่ๆ




    เราสองคนเดิน เดิน เดิน แล้วก็เดิน จนผมไม่รู้แล้วว่าเราเดินมา

    นานแค่ไหน เพราะว่ามันทั้งเหนื่อย ทั้งเมื่อย จนผมต้องหาเรื่องอื่น

    มาคิดให้ลืมไปว่าตัวเองกำลังก้าวเดินอยู่ เดินไปได้สักพักผมก็รู้สึก

    ว่าป่าที่เมื่อกี้ว่าทึบแล้วมันยิ่งอับทึบขึ้นไป ใหญ่ บนพื้นเต็มไปด้วย

    เศษซากใบไม้แห้งที่ร่วงหล่นลงมากองทับถมกัน ความชื้นใน

    อากาศทำให้เกิดกลิ่นบางอย่างที่ทำให้หายใจไม่สะดวก



    ผม ตัดสินใจนับเลข นับทุกก้าวเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง

    พร้อมๆกับที่มาฮัวคาหันมาแล้วทำท่าว่าตั้งแต่นี้ผมต้องเดินตาม

    รอยเท้าเขาไป แบบก้าวต่อก้าว ในที่สุดผมก็หมดแรงขาทั้งสอง

    ข้างมันไม่ยอมทำตามคำสั่งของผมที่สั่งให้ก้าวไป ข้างหน้าอีก ผม

    ล้มฮวบลงกองกับพื้นเมื่อนับไปได้สองพันแปดร้อยสี่สิบก้าวพอดิบ

    พอดี




    “แซโจ้!!”




    มา ฮัวคาที่อยู่ห่างไปข้างหน้าเกือบสิบเมตรคงได้ยินเสียงดังตุบ

    เมื่อผมล้มลงไป นั่งพับอยู่บนกองใบไม้ที่ทับถมกันจนไม่ว่าจะก้าว

    ไปทางไหนก็รู้สึกยวบยาบไป หมดนั่นแหละ เขาค่อยๆเดินย้อน

    กลับมาโดยเหยียบลงบนรอยเท้าเดิมของตัวเองจนมาถึงตัวผม เขา

    ปลดกระบอกน้ำแล้วค่อยๆป้อนให้ผมจิบทีละน้อย แต่เมื่อผมขอจะ

    ดื่มอีกเขากลับส่ายหน้าไม่ยอมให้ดื่ม



    ผมคงทำสีหน้าไม่ พอใจออกไปเหมือนกับอารมณ์หงุดหงิดที่จู่ๆก็

    ปะทุขึ้นมาเพราะรู้สึกรำคาญความ อ่อนแอของตัวเองแน่ๆ มือ

    ใหญ่ๆของมาฮัวคาจึงลูบหลังลูบไหล่ผมเบาๆ ก่อนจะฉวยโอกาส

    จูบหนักๆลงบนหน้าผากของผมอีกครั้ง แล้วก็นั่งยองๆหันหลังให้

    ดึงแขนของผมให้ไปโอบรอบคอ จัดการเอาเชือกเถาวัลย์ในย่ามมา

    มัดเอวของผมติดกับเอวของเขา ให้สัญญาณเสียงที่ผมเข้าใจว่า

    หมายถึง ‘จะไปล่ะนะ’ แล้วก็เริ่มแบกผมติดหลังเป็นลูกลิงก้าวยาวๆ

    เดินทางต่อทันที





    ผมมา รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มาฮัวคาวางผมลงให้นั่งเหยียดขาพิงกับลำ

    ต้นไม้ใหญ่ที่สูง เสียจนมองขึ้นไปไม่เห็นยอด ภูมิประเทศที่เห็นใน

    ลานสายตาตอนนี้โปร่งโล่งกว่าที่เดินผ่านมาเมื่อหลาย ชั่วโมงก่อน

    มาก



    มาฮัวคาเอาหลังมือแตะลงกับหน้าผากของผมแล้วส่ายหน้า

    เหมือนหงุดหงิด ก่อนจะลงมือปลดเอารองเท้าบู๊ตพร้อมทั้งถุงเท้าที่

    ผมใส่อยู่ออก แล้วเลยยิ่งสบถออกมาเสียยาวเพราะเจอเข้ากับตุ่ม

    น้ำที่เกิดขึ้นจากการถูก เสียดสีเป็นระยะเวลานาน



    ผมไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด แต่เมื่อสบตากัน....

    ผมก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังขอโทษ เขากำลังรู้สึกผิดที่ดูแลผมไม่ดี ทำ

    ให้ผมต้องเจ็บแบบนี้



    ผมคงไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองเกินไปหรอกนะ

    หากจะสรุปว่าสายตาและการกระทำของมาฮัวคา....ทั้งหมด

    นั้นมันแปลว่า....รัก





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×