ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องเล่าจากความฝัน by anajulia (YAOI)

    ลำดับตอนที่ #2 : เรื่องเล่าจากความฝัน:The Sweet Mirage: ภาพลวง ฤา คือฝัน......

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 857
      2
      18 ส.ค. 54

    The Sweet Mirage:   ภาพลวง ฤา คือฝัน......



    “หยุด หยุดเดี๋ยวนี้”


    เสียงฝีเท้าม้าแทนที่จะดังกุบกับ กลับได้ยินเป็นเสียงสวบสาบๆ ดัง

    กระชั้นเข้ามาทุกทีร่าง สูงโปร่งที่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าคลุมสีดำรุ่มร่าม

    ถูกกระชากขึ้นไปพาดอยู่ด้าน หน้าของผู้ควบคุมม้าตัวใหญ่สีดำ

    สนิทราวกับราตรีกาลอันไร้ดาว โดยที่อาชาพ่วงพีนั้นไม่ได้ชะลอ

    ฝีเท้าลงเลยสักนิด ยังคงควบขับต่อไปบนพื้นทรายอันร้อนระอุ ทิ้ง

    ให้ฝุ่นทรายฟุ้งกระจายเป็นทางอยู่เบื้องหลัง



    “ปล่อยยยยยยยยย ปล่อยข้าลง”  

    “เจ้ามันบ้า เจ้าจะจับข้ากลับไปทำไมกัน ปล่อยนะ

    ปล่อยข้า.....แค่กๆๆ”


    ร่าง โปร่งที่ถูกจับพาดลงกับหลังม้าทั้งเจ็บทั้งหายใจลำบาก เนื่อง

    ด้วยเมื่อถูกมือแข็งแรงของคนที่ยังบังคับม้าอยู่กระชากขึ้นมานั้น

    คนกระชากก็ปล่อยให้ช่วงอกกระแทกลงกับขอบอานที่ทำขึ้นจาก

    หนังแข็งๆทันที



    แรงกระแทก ที่ไม่มีปรานีปราศรัย แล้วยิ่งควบขับม้าด้วยความเร็ว

    แม้จะเป็นการเดินทางบนพื้นทรายแต่แรงกระแทกตรงกลางอกก็ยัง

    ทำให้หายใจได้ ลำบาก จนต้องไอออกมาเมื่อพยายามตะโกนเรียก

    ร้องขออิสระอยู่ดี


    “ปล่อยข้าลง เจ้าคนถ่อย แค่กๆๆๆ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาจับตัวข้า

    ปล่อยยยยยยย แค่กๆๆๆๆ ปล่อยซี่ ไอ้คนบ้า ไอ้ป่าเถื่อน”

    “ไอ้คนถ่อย ข้าบอกให้ปล่อยข้า หูหนวกรึไง”



    ไม่มีเสียงโต้ตอบใดๆหลุดรอดออกมาจากริมฝีปากใต้ผ้าคลุมหน้าที่

    พันไว้จนมิดชิด เหลือเพียงดวงตาคมกร้าวที่มีแววตาสีน้ำตาลอ่อน

    เหลือบทองโผล่ออกมาส่งสายตาดุ ดันแต่กลับแฝงซ่อนความขบ

    ขันไว้เร้นลึก ให้กับแผ่นหลังของเจ้าของเสียงโวยวายที่ตั้งแต่ลาก

    ขึ้นมาอยู่บนหลังม้าด้วย กันได้ นอกจากเวลาที่ไอกับพักกลืน

    น้ำลายแล้วยังไม่ยอมหยุดโวยวายเลยสักนิด



    เจ้าของดวงตาสีเหลือบทองยิ่งเร่งกระตุ้นให้เจ้าดำปลอดเร่งฝีเท้า

    ขึ้นอีกโดยไม่สนใจกับเสียงโวยวาย ทำราวกับเสียงนั้นเป็นเสียงนก

    เสียงกา   ก็จะมัวช้าอยู่ได้อย่างไร กลางทะเลทราย แดดกล้าขนาด

    นี้ แล้วคนที่ปากเก่งอยู่ตอนนี้ก็หายออกมาจากกระโจมที่พักตั้งสี่

    ชั่วโมงแล้ว ตอนที่เห็นจากระยะไกลก็ว่าท่าเดินดูแปลกๆ ยิ่งควบ

    ม้าเข้ามาใกล้ก็ยิ่งชัดว่าเซไปเซมา



         คงทั้งเหนื่อย ทั้งหิว แถมน้ำในถุงกระเพาะวัวที่พกมาก็คงหมด

    ไปนานแล้ว ไอ้ที่ยังปากดีอยู่ได้ก็แค่แรงทิฐิประจำตระกูลเท่านั้น

    แหละ....




    .....ซาเยต นิโคล อัล นาอีม......



    หึ....ตระกูล อัล นาอีม ถือศักดิ์นักว่าตัวเองสืบเชื้อสายจากสุลต่าน

    องค์ก่อน นี่ขนาดรายนี้เป็นชั้นหลาน แถมยังเป็นหลานลูกเสี้ยวที่มี

    ย่าเป็นหญิงต่างชาติแท้ๆ ไอ้เจ้าอาการทิฐิแรงถือดีจนน่าหมั่นไส้นี่

    ยังไม่ผิดเพี้ยนไปจากพวกญาติวงศ์ คนอื่นๆเลย



    “โว้ยยยยยยย บอกว่าให้ปล่อยไงเล่า ไอ้ป่าเถื่อน เจ้าไม่ได้ยินที่ข้า

    สั่งรึไง โอ๊ะ!!”


    เสียง ก่นด่าต้องสะดุดลงจนได้เพราะจู่ๆม้าที่ควบด้วยความเร็วเต็ม

    ฝีเท้ามาเกือบ ครึ่งชั่วโมงก็หยุดลงอย่างกะทันหัน พร้อมทั้งเจ้าของ

    ร่างใหญ่ที่ดำรงตนราวกับเป็นใบ้มาตลอดทางตวัดขาพาตัวเองลง

    จากหลังเจ้าดำปลอด แล้วจึงโอบอุ้มเอาร่างของคนที่เพิ่งจะโล่งอก

    ว่าจะได้เป็นอิสระจากท่าพาดหลัง ม้าไปยืนบนพื้นด้วยขาตัวเอง

    เสียทีต้องโมโหกรุ่นจนต้องโวยวายออกมาอีกครั้ง ทั้งที่ลำคอแห้ง

    ผากและรู้สึกได้แต่ความสากระคายของฝุ่นทราย เนื่องจากพอพ้น

    จากหลังม้าแข็งๆร่างที่แทบจะหมดแรงต่อต้านโดยสิ้นเชิงก็ถูก จับ

    พาดบ่าพาเดินมุ่งหน้าเข้าสู่กลางโอเอซิสทันที




    “หยุดดิ้น แล้วก็เงียบเสียทีซาเยต ตะโกนโวยวายมาตลอดทาง

    เจ้าไม่เหนื่อยบ้างหรือไง?”



    น้ำ เสียงเรียบเรื่อยเหมือนไม่มีอันใดในโลกจะทำให้เกิดความทุกข์

    ร้อนได้ของคนที่ เปลี่ยนตัวเองมาทำหน้าที่พาหนะแทนม้าดังออก

    มาจากใต้ผ้าสีดำที่พันพาดตั้งแต่ ลำคอจนปิดมาถึงใต้ดวงตาคู่คม

    แล้วก็แค่ประโยคเรียบๆเย็นๆนั้นไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ แต่กลับส่งผล

    ให้ร่างโปร่งเจ้าของนามซาเยตหยุดดิ้นรนได้ทันทีเหมือนกัน



    “แค่กๆ แค่กๆ เจ้าไม่ต้องการข้า ก็ปล่อยข้าไปสิ ข้าไม่เข้าใจเจ้า

    เลยเจ้าเบดูอินป่าเถื่อน....”



    คนที่โวยวายเสียงดังมาตลอดเลยพลอยพูดออกมาด้วยน้ำเสียง

    สงบเสงี่ยมขึ้นได้ แต่ถ้อยคำที่ใช้ก็ไม่พ้นการบริภาษเจ้าของ

    นัยน์ตาคมอยู่ดี



    “ไอใหญ่แล้วซาเยต เดี๋ยวเข้าไปให้ถึงตาน้ำก่อน แล้วเจ้าค่อยด่า

    ข้าต่อเถิดนะ อย่าทรมานตัวเองนักเลย”


    น้ำเสียงยังคงเรียบเรื่อยก็จริง แต่ความหมายที่แสดงออกถึงความ

    เป็นห่วงเป็นใยแบบนั้นก็ทำให้คนที่โวยวายต่อต้านมาตลอดทาง

    ถึงกับยิ้มออก



    “งั้นก็ปล่อยข้าลงสิ ข้าจะเดินเอง”



    “อย่ามาอวดเก่งหน่อยเลย เจ้าไม่มีแรงแล้ว ทำไมข้าจะไม่รู้”


    “ถ้างั้น....ก็อุ้มดีๆไม่ได้เหรอ จับข้าห้อยหัวอย่างนี้มันคลื่นไส้

    ข้าจะอ้วก”


    แล้วพอความรู้สึกดีๆเอ่อท้นขึ้นมา น้ำเสียงแข็งกระด้างต่อว่าต่อ

    ขานมาตลอดทางก็กลับกลายเป็นน้ำเสียงออดอ้อนไปโดยเจ้าของ

    ไม่ทันรู้ตัว



    ส่วนคนฟังก็ยิ้มออกมาเต็มที่จนรอยย่นรอบเบ้าตานั้นกดลึก ยิ่งขับ

    เน้นให้โครงหน้าที่มีกรอบตาลึกนั้นชัดเจนขึ้นไปอีก   น่าเสียดาย

    ....ที่เจ้าของเสียงที่ทำให้เกิดรอยยิ้มได้ไม่มีโอกาสได้เห็น


    “ไม่ ได้หรอกซาเยต ข้าเองก็ไม่มีแรงจะอุ้มเจ้าดีๆเสียแล้ว ก็ก่อนจะ

    หนีออกมา นอกจากถุงน้ำที่เจ้าเอาติดตัวมาด้วยถุงนั้นเจ้าก็เล่นเท

    น้ำดื่มทิ้งจนหมด ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดหรือ ข้าจะปล่อยให้เจ้ากระหาย

    จนเสียงแหบเสียงแห้งอย่างนี้.....”


    น้ำเสียงที่โต้ตอบมายังคงเรียบเรื่อย ไม่มีร่อยรอยของความโกรธ

    เกรี้ยวเลยสักนิด ทั้งๆที่สิ่งที่ทำลงไปถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงนัก

    ทำลาย สิ่งจำเป็นที่สุดสำหรับการดำรงชีวิตในทะเลทราย....จงใจ

    ทำให้หัวหน้าเผ่าแห่ง เบดูอินต้องตกอยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการบาด

    เจ็บและอันตรายต่อชีวิต


    ก็ เพราะมายัลลีเป็นอย่างนี้ ตั้งแต่รับตัวของหลานชายคนเล็กแห่ง

    ตระกูลอัล นาอีม มา ทดแทนกับหนี้ที่ตระกูลติดอยู่กับเผ่าที่มายัลลี

    เป็นหัวหน้า ไม่เคยมีสักครั้งที่จะปฏิบัติด้วยดั่งซาเยต นิโคล เป็น

    คนที่ต่ำต้อยกว่า ทั้งที่มีสิทธิ์เต็มที่แท้ๆ ในขณะที่กับคนอื่นมายัลลี

    ไม่เคยไว้หน้า เมื่อทำผิดโทษที่จะได้รับจะเป็นโทษขั้นสูงสุดเสมอ




    .....ขโมยของ ตัดมือ .....ขโมยชีวิต ตัดหัว



    ทำไมคนฉลาดอย่างซาเยตจะไม่รู้ว่ามายัลลีคิดกับตนเองอย่างไร

    แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อตอนแรกออกฤทธิ์ไว้มากมาย จน

    ตอนนี้ถูกพามาอยู่กับมายัลลี ถูกบังคับให้ไปไหนมาไหนด้วยตลอด

    เวลา   ต้อง เจอหน้ากันทุกวัน เวลานอนก็ต้องนอนอยู่ในกระโจม

    เดียวกัน....ที่จริงก็ไม่ใช่แค่กระโจมเดียวกัน หรอก แต่เป็นการนอน

    บนพู่ลาดผืนเดียวกันเลยด้วยซ้ำ



    แถมเจ้าของตาคมๆ เหลือบทองนี่ยังขยันส่งสายตาเป็นประกายมา

    ให้วันละไม่รู้ว่ากี่ครั้ง ต่อให้ดื้อ ให้หัวแข็งแค่ไหนมันก็ต้องมีหวั่น

    ไหวกันบ้าง



    “เอาล่ะ ดื่มน้ำซะ แล้วอย่าได้คิดจะวิ่งหนีไปจากข้าอีก”



    กำลัง คิดเพลินๆ คนที่อุทิศตนเป็นพาหนะให้กับร่างกายอ่อนล้า

    ของซาเยตก็วางร่างเพรียวที่แบกมา ไม่ต่ำกว่าห้านาทีลงบนพื้นหิน

    ข้างแอ่งน้ำขนาดใหญ่เสียแล้ว



    “แค่กๆๆ อื้ม....”


    ไม่น่าเชื่อว่ามือใหญ่ที่ทั้งหยาบทั้งกร้านเนื่องจากการใช้ชีวิตบน

    หลังม้าในทะเลทรายพอๆกับในเมืองจะให้สัมผัสที่อ่อนโยนได้

    ขนาดนี้


    มายัลลีทรุดตัวลงเคียงข้าง ลูบหลังร่างโปร่งบางที่กำลังสำลัก

    กระอักกระไอเพราะดื่มน้ำเร็วเกินไปช้าๆ


    “ซาเยต เจ้าเด็กน้อย...... เราชาวทะเลทรายควรรู้ดี ว่าหลังจากไม่

    ได้ดื่มน้ำเป็นเวลานานๆ ไม่ควรดื่มอย่างรวดเร็วแบบที่เจ้าทำ”




    “แค่กๆ ไอ้คนเถื่อน แทนที่เจ้าจะดุด่าข้า เจ้าควรจะปลอบข้าถึงจะ

    ถูก ฮึ่ม อีกอย่างข้าอายุสิบแปดแล้ว ไม่ใช่เด็กน้อยอย่างที่เจ้าว่า”



    “กอด เจ้าอยู่ทุกวัน ทำไมข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าโตแล้ว แต่การกระทำของ

    เจ้าต่างหากทำให้ข้าเข้าใจว่าภายใต้ร่างกายที่เติบโตเป็น หนุ่มนี้

    เจ้าก็แค่เด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น”



    ได้ผล ร่างเพรียวเจ้าของแววตาดื้อรั้นที่งอตัวไออยู่เมื่อครู่แว้งตัว

    กลับราวกับงู ปัดมือที่กำลังลูบหลังให้อยู่ทันที แล้วพุ่งหมัดกะจะ

    ประเคนให้ตรงหน้าของมายัลลี


    แต่ก็ทำร้ายได้แค่ลม เมื่อมายัลลีทำแค่เบี่ยงตัวออกด้านข้างนิด

    เดียว หมัดที่พุ่งตรงมาก็เลยผ่านหน้าไปเสียแล้ว   แถมยังส่งผลให้

    เจ้าของหมัดเสียหลักไถลลงไปในแอ่งน้ำกว้างใหญ่เสียทั้งตัว



    ///ตู้มมมมมมมมมมม///




    “ซาเยต อย่าเล่นเป็นเด็กๆ ขึ้นมาได้แล้ว”


    “ถ้าเจ้าช้าเราจะต้องค้างแรมที่นี่นะ”



    “ซาเยตตตตตตต ซาเยตตตตตตตตตตต!!!”


    ร่าง ใหญ่หนาปลดอาภรณ์ที่เกะกะชั้นนอกออกจนเหลือเพียง

    กางเกงผ้าฝ้ายรัดข้อเท้าตัว ใน แล้วพุ่งตัวตามลงไปในจุดที่เห็น

    เจ้าของดวงใจหายลับไปทันที



    ////ตู้มมมมมมมม////



    เสียง บรรเลงแห่งท่วงทำนองที่ไม่รู้จักจากเครื่องดนตรีจำพวก

    เครื่องสายดังขึ้นใน โสตประสาทของหนุ่มน้อย พร้อมๆกับภาพที่

    ปรากฏขึ้นในคลองจักษุเปลี่ยนไป 



    ปาล์ม น้ำมันและเฟิร์นโบราณที่ขึ้นอยู่ทั่วไปในโอเอซิสใกล้ที่ราบ

    สูงอักกาห์ที่เคย ชินแปรเปลี่ยนเป็นพรรณไม้ดอกหอมระรวย และ

    ไม้ยืนต้นที่มีใบดกหนาสีเขียวหลากเฉด


    ซาเยตยกมือขึ้นขยี้ตาก็แล้ว ลองหลับตาแล้วนับหนึ่งถึงสิบแล้ว

    ค่อยลืมตาขึ้นใหม่ด้วยหวังว่าภาพลวงตาที่ เห็นจะหายไปก็แล้ว

    ภาพและเสียงตรงหน้าก็ยังไม่หายไป  แต่กลับต้องตกใจยิ่งขึ้นกับ

    สภาพของตัวเอง



    เมื่อมองเห็นผิวที่เคยขาวอม ชมพูแบบเลือดผสมยูเรเชี่ยนกลับ

    กลายเป็นผิวสีน้ำนม เสื้อผ้าที่เป็นชุดคลุมสำหรับเดินทางในทะเล

    ทรายสีดำสนิทกลับกลายเป็นแพรบาง เบาสีชมพูอ่อน



    ใช่แล้ว....สีชมพูอ่อนเหมือนกลีบบัวที่เห็นในบึงน้ำ ก่อนจะก้าวขึ้น

    มานี่เอง แล้วท่อนบนที่เปลือยเปล่า มีเพียงเครื่องประดับทำจาก

    ทองคำและรัตนชาติมีค่า เรียงร้อยในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

    ประดับอยู่ทั้งที่คอ ข้อมือ ต้นแขน รอบสะโพก และยังรวมไปถึงข้อ

    เท้า  นี่ยังไม่รวมถึงอากาศ อากาศรอบกายที่เมื่อกี้ยังแห้งผากและ

    ถูกอาบเลียด้วยเปลวแดดร้อนแรง แปรเปลี่ยนเป็นอากาศเย็นสบาย

    ราวกับถูกปรับไว้ด้วยเครื่องปรับอากาศชั้นเลิศ ที่นอกจากจะให้

    ความเย็น ยังปลดปล่อยความชื้นสู่บรรยากาศได้ด้วย




    พลันก็มีเสียงทรงอำนาจเสียงหนึ่งดังขึ้น



    “ศวัตรา เลิกเล่นซนเถิด อยู่ในน้ำนานๆ เจ้าจักไม่สบายไปเสีย”

    ความ รู้สึกอุ่นวาบแล่นริ้วขึ้นมาจนเอ่อล้นหัวใจ อยากจะห้ามขาไม่

    ให้ก้าวไปหาต้นเสียงนั้น แต่ขาเจ้ากรรมกลับไม่เชื่อฟัง เร่งก้าวจน

    แทบจะเป็นวิ่งพุ่งไปหาเจ้าของเสียงทันที



    และเพียงแค่ เหลือบตาเห็นบุรุษผู้มีรัศมีเรืองรองล้อมกาย ยืนอยู่

    หน้าแท่นศิลาทอดตาแลมาเท่านั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นภายในจิต

    วิญญาณโดยตรง



    โอ้ใจมิอาจรั้ง   รึจะขังก็ยังกล้า

    โบกโบย ณ เวหา   และจะพัก ณ ที่หมาย

    อ้อมอก ธ ปกป้อง   จะประคองมิเว้นวาย

    น้องนี้จะทอดกาย   รติรักนิรันดร




    ซา เยต นิโคล อัล นาอีม เกิดตัวรู้ผุดขึ้นในทันใด ว่าบุรุษผู้มีรัศมี

    เรืองรองที่กำลังทอดตามองมาไม่ใช่ใครอื่น หากแต่คือคนคนเดียว

    กับมายัลลี หัวหน้าเผ่าเบดูอินนาห์ยันแห่งที่ราบสูงอักกาห์


    “ซาเยต ซาเยตตตตตต เจ้าฟื้นสิ ซาเยต!!!”

    “แค่กๆๆ มะ.....มายัลลี”

    ครั้งแรกที่ปล่อยให้ชื่อของอีกฝ่ายหลุดออกจากปาก เกือบจะสาย

    ไปแล้วมายัลลี ข้าเกือบจะไม่มีโอกาสได้เรียกชื่อเจ้าเสียแล้ว

    เจ้า ของร่างกายใหญ่หนาผิวคล้ำแดด ไม่ได้สนใจกับปฏิกิริยาและ

    เสียงเรียกนั้นสักนิด เพราะตอนนี้สัญญาณที่บ่งบอกว่าร่างตรงหน้า

    มีชีวิตสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด



    มายัลลีดึงร่างกายของคนที่เกือบจะทิ้งกันไปเสียแล้วเข้ามากอดไว้

    กับอก ปากก็พร่ำเรียกแต่นามซาเยตซ้ำไปซ้ำมา



    “ซาเยต ซาเยต...... เกือบไปแล้ว ข้าเกือบจะสูญเสียเจ้าไปแล้ว

    ทำไมกัน ทุกทีเจ้าก็ว่ายน้ำคล่องราวกับปลา?”



    “ก็.....ข้า.....”


    “ไม่เป็นไร เจ้ายังเหนื่อย ยังไม่ต้องตอบข้าหรอกนะ แค่กลับมา

    อย่างนี้ก็ดีเกินพอแล้ว”


    เมื่อ สัมผัสถึงหยาดน้ำอุ่นๆจากใบหน้าของร่างโปร่งที่กลายเป็นลูก

    แมวเชื่องๆยอมซุก ซบกับอกโดยดี มายัลลีจึงประคองดวงหน้านั้น

    ให้นอนลงกับตักช้าๆ แล้วลูบแผ่วๆผ่านเปลือกตา บังคับให้เจ้าของ

    แววตาหวานสุกใสที่ทำให้หลงใหลตั้งแต่แรกเห็นหลับตาลง



    “หลับ ตาเสียเถิด ข้าพอมีขนมหวานติดมาบ้าง พอให้เราสองคนอยู่

    ได้โดยไม่ต้องกลับไปรวมกับชุมนุมอีกไม่ต่ำกว่าสองวันเชียว ล่ะ

    พักเถิดนะซาเยต น้องน้อยของข้า”




    ซาเยต นิโคล ตื่นขึ้นอีกครั้งก็พบกับผืนฟ้าประดับไปด้วยดวงดาว

    เสียแล้ว เมื่อยันกายขึ้นนั่งจึงพบว่าตัวเองถูกจับเปลี่ยนชุดเรียบร้อย

    เป็นเสื้อผ้า ของมายัลลี มองไปทางขวาจึงเห็นเจ้าของชุดอยู่ในชุด

    กางเกงขายาวสีขาวตัวเดียว ปล่อยให้ร่างกายท่อนบนที่เต็มไป

    ด้วยมัดกล้ามทักทายกับสายลมหนาวของยามค่ำคืน ในทะเลทราย

    อยู่ข้างกองไฟ





    มายัลลีกำลังย่างตัวอะไรสักอย่างที่ซาเยตชักจะไม่อยากรู้เท่าไหร่

    ว่าคืออะไร เพราะกลัวว่าถ้าเกิดรู้จะไม่กล้ากินทั้งๆที่เนื้อย่างนั้นเริ่ม

    ตกมันและส่ง กลิ่นหอมชวนน้ำลายสอแล้ว



    “ตื่นแล้วหรือ? รออีกนิดนะ เดี๋ยวเดียวก็สุกแล้ว”


    เหตุการณ์ระทึกผ่านไป มายัลลีก็กลับเป็นมายัลลีคนเดิม นิ่ง เฉย

    สงบได้ราวกับรูปปั้นหินทราย



    “เจ้ากลับไปเป็นรูปปั้นทรายอีกแล้วหรือมายัลลี?”

    สุ้มเสียงล้อเลียนดังจากปากของร่างโปร่งบางทำให้คนที่กำลัง

    ประกอบอาหารถึงกับหันมาเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ

    ก็เกือบสองเดือนแล้วที่รับตัวมาจากคฤหาสน์ในเมืองของตระกูลนา

    อีม ไม่เคยเลยสักครั้งที่ซาเยตจะพูดด้วยอย่างเป็นมิตร


    แล้วยิ่งเรียกชื่อ....เอ หรือว่าจมน้ำคราวนี้สมองจะกระทบกระเทือน

    ด้วยกระมัง  ก็ทุกทีเรียกแต่ไอ้บ้า ไอ้เถื่อน ไอ้ถ่อย จนมายัลลีเอง

    แทบจะเชื่อเสียแล้วว่าตัวเองมีชื่อเล่นแบบนั้นจริงๆ



    “เอาล่ะสุกแล้ว มากินให้กระเพาะของเจ้าเต็มก่อนซาเยต แล้วเรามี

    เรื่องต้องคุยกันยาว”



    ซาเยตทำตัวเป็นเด็กดี ปฏิบัติตามคำสั่งเสียจนมายัลลียังแปลกใจ

    พอบอกให้มากิน ก็เดินเข้ามาทรุดตัวนั่งลงข้างๆ พอคนออกคำสั่ง

    ใช้มีดพกเฉือนเอาเนื้อย่างที่ห้อยคาอยู่เหนือกองไฟที่เริ่มรา ลงส่ง

    ให้ ก็รับไปนั่งแทะกินอย่างไม่มีเกี่ยงงอน




    จนอิ่มกันทั้งสองคน แล้วเดินไปล้างปากที่แอ่งน้ำแล้วนั่นแหละมา

    ยัลลีจึงดึงตัวเจ้าของร่างโปร่ง บางให้มานั่งอิงไหล่อยู่ข้างกองไฟ

    แล้วเลยยิ่งแปลกใจว่าซาเยตยอมนั่งใกล้แบบนี้โดยดี ไม่มีข้อโต้

    แย้งหรือการทำร้ายร่างกายสักนิด



    “ว่ามาสิ ทำไมเมื่อเช้าเจ้าถึงหนีออกมา ?  จากครั้งสุดท้ายที่เจ้า

    ตั้งใจหนีจากข้านั่นมันเดือนกว่าแล้วนะซาเยต”




    “ก็.....ก็เจ้ากำลังจะรับทาสสาวนั่นไว้ไม่ใช่เหรอ?”



    เสียงตอบตะกุกตะกักเหมือนกับเจ้าของเสียงไม่แน่ใจในตัวเอง ทำ

    ให้คนที่นั่งอุทิศไหล่เป็นพนักพิงต้องเอียงหน้าไปมองหน้าคนพูด

    ทันที



    “หืม......นี่เจ้าหึงข้า?”

    แล้ว ก็เหมือนเดิมถามคำถามแบบนี้ทั้งที่สีหน้าเรียบเฉย จนอีกคน

    แทบอยากจะเอากำปั้นประเคนใส่หน้าอีกรอบ แต่ที่ทำได้ก็แค่ส่ง

    เสียงจิ๊จ๊ะแสดงความไม่พอใจเท่านั้น



    “ไม่ได้หึง .....ก็ จะให้หึงได้ยังไง ในเมื่อเราไม่ได้เป็นอะไรกัน”

    ปฏิเสธเสียงแข็งทันควันที่ต้นประโยค แต่พอมาถึงท้ายประโยค

    เสียงแข็งๆนั่นกลับอ้อมแอ้มอยู่ในลำคอ


    จนเรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากคนที่รู้สึกว่าชัยชนะมาลอยอยู่ตรง

    หน้าได้


    “ก็ที่เราไม่ได้เป็นอะไรกันทางพฤตินัยสักที มันไม่ใช่เพราะเจ้า

    ปฏิเสธข้าหรอกหรือ.....”




    “ข้า.......”

    เมื่อ เตรียมจะผละออกห่าง ข้อมือของเด็กน้อยปากแข็งก็ถูกรั้งเอา

    ไว้ ก่อนมายัลลีจะรั้งให้ร่างโปร่งบางนั้นเข้ามานั่งลงตรงกลางหว่าง

    ขาแล้วกอดเอว ไว้เบาๆ



    “นางทาสที่พ่อเอามาขายให้เมื่อเช้า ข้าตั้งใจรับไว้ให้เป็นเพื่อนพูด

    คุยกับเจ้า.... เดือนหน้าข้าต้องไปติดต่อเรื่องเหมืองเพชรที่โมนา

    โค ข้ากลัวว่าเจ้าจะเบื่อเลยจะหาคนมาอยู่เป็นเพื่อน”




    “อะไรกัน แล้วทำไมไม่ให้ข้าไปด้วย?”


    “เฮ้อ...... ก็เพราะข้ากลัวน่ะสิ อยู่กลางทะเลทรายแบบนี้ ถึงเจ้าจะ

    คิดหนีข้าไปวิ่งเล่นบ้าง ไม่กี่ชั่วโมงข้าก็ตามเจอ แต่ถ้าเป็นในเมือง

    เจ้าเกิดเบื่อขี้หน้าข้า อยากจะหนีไปวิ่งเล่นที่ไหนขึ้นมา กว่าข้าจะ

    ตามเจ้าจนเจอ ข้าคงอกแตกตายเสียก่อน.....”




    “มายัลลี......”


    “ว่าอย่างไร?”



    “เจ้า คิดยังไงกับข้ากันแน่?”




    “ซาเยต...ซาเยต เท่าที่ข้าทำอยู่ทุกวันนี้ เจ้าไม่เข้าใจหรอก

    หรือ ที่ข้าผูกเจ้าไว้กับตัวทุกวัน แทบจะตลอดเวลาอย่างนี้

    ก็เพราะข้าอยากอยู่ใกล้ อยากให้เจ้าอยู่ในสายตา ข้ามีความ

    สุขแค่ได้เห็นหน้า แค่ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเจ้า หึๆๆ ถึงแม้

    ว่าเสียงนั้นจะมาพร้อมกับการผรุสวาท ข้าก็มีความสุขอยู่ดี

    แบบนี้.....เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือว่าข้าคิดอย่างไร”




    “งั้น ถ้าข้าถาม เจ้าจะตอบตามตรงมั้ย?”


    ซาเยตย่นคอหนีการซุกไซ้เข้าหาของคนที่นั่งซ้อนอยู่เบื้องหลัง

    พร้อมกับถามออกไป ขอยืดเวลาทำใจอีกนิด ทั้งที่หัวใจกำลังรู้สึก

    ปรีดิ์เปรมอย่างที่สุด



    “ว่ามาสิ ข้าไม่มีเรื่องอันใดปิดบังเจ้าอยู่แล้ว”

    มือร้อนๆที่เกาะเกี่ยวอยู่บริเวณบั้นเอวเริ่มสอดซุกเข้าหาผิวเนื้อ

    เนียนทางรอยแยกด้านข้างของชุดคลุม


    “ทำไม อื้ม...ทำไมถึงเป็นข้าล่ะมายัลลี?”



    “ข้าไม่มีเหตุผลหรอก เพียงแต่พบเจ้าและได้สบตากับเจ้าครั้งแรก

    ข้าก็เก็บเจ้ามาฝันถึงอยู่ทุกวัน....อืม...ซาเยต เป็นของข้าเถิดนะ”




    ไม่ รอคำตอบรับหรือปฏิเสธ อุ้งมือรุ่มร้อนข้างหนึ่งก็จัดการแตะ

    ประคองให้เจ้าของดวงตาที่สะกดหัวใจไว้ ตั้งแต่แรกเจอหันมารับ

    จุมพิตดูดดื่มอ่อนหวาน  ลิ้นร้อนจัดแทรกผ่านริมฝีปากบางที่เผยอ

    ตอบรับเข้าไปรุกไล่อยู่ภายในโพรงปาก



    ความรู้สึกคุ้นเคยจากสัมผัสลึกซึ้งทำให้ทั้งคู่ยิ่งแน่ใจ....ใช่แล้ว นี่

    แหละคนที่เกิดมาเพื่อเป็นของกันและกัน




    มายัลลีจัดการถอดเสื้อตัวยาวชั้นนอกออกจากร่างโปร่งตรงหน้า

    แล้วปูลาดลงกับผืนทรายข้างกองไฟนั้น เมื่อหันกลับมาอีกครั้งก็

    ต้องตื่นเต้นจนมือสั่น เมื่อเห็นเจ้าของเรือนร่างที่อยากจะครอบ

    ครองเหลือเกินกำลังปลดชุดด้านในออก เผยให้เห็นผิวเนื้อ

    ขาวกระจ่างของเลือดผสมยุโรปและเอเชียตะวันออกกลาง



    ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นร่างงามตรงหน้าเปลือยเปล่า ได้เห็นมาจนนับ

    ครั้งไม่ถ้วนด้วยซ้ำ แต่ไม่เคยตื่นเต้นเท่าครั้งนี้


    เพราะมายัลลีรู้......คืนนี้ ใต้ท้องฟ้ากระจ่างดาว ซาเยตพร้อม

    แล้วที่จะรับเอาความรู้สึกของเขาทั้งหมดไว้



    และโดยที่ไม่ได้ละสายตาจากกัน ซาเยตก็ค่อยทรุดตัวลงกับผืนผ้า

    เนื้อหนานั่นทอดกายลงช้าๆ แล้วหลับตารอรับสัมผัสจากร่างใหญ่

    หนาที่แสดงออกจนหมดใจว่าปรารถนาในตัวเขาแค่ไหน


    เมื่อ หลับตาลงในมโนภาพกลับเห็นเป็นบุรุษสูงสง่าในพัสตราภรณ์

    สีเขียวเข้ม บนเศียรประดับด้วยมงกุฎทรงสูงทอดยิ้มส่งมา หากเมื่อ

    ลืมตาก็พบสายตาที่บรรจุไปด้วยเสน่หาของมายัลลีซ้อนทับ

    ฝ่า มือกร้านของร่างหนาเบื้องบนไล้ละไปตามร่างกาย เริ่มจากแผ่ว

    เบา แล้วค่อยรุนแรงขึ้นเรื่อยๆตามแรงอารมณ์ จุมพิตอ่อนหวาน

    ละมุนละไมเริ่มแปรเปลี่ยนไปสู่สัมผัสเร่าร้อน ลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดกับ

    ริมฝีปากที่ทั้งดูดทั้งดึงจนสติของซาเยตเริ่มล่อง ลอย




    มือไม้ที่แต่เดิมกำแน่นอยู่กับอกเริ่มลากไล้ไปตามบ่ากว้าง พอร่าง

    เบื้องบนจะผละริมฝีปากออกก็กลับออกแรงรั้งที่ต้นคอ ให้ก้มลงมา

    มอบจุมพิตต่อเนื่องอย่างไม่รู้จักอิ่ม



    รู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อ มือร้อนผ่าวกอบกุมเอาแก่นกายที่เริ่มแข็งขึงไว้

    แล้วเริ่มกระตุ้นให้ตื่นตัวขึ้นอีกด้วยการรูดรั้งไปตามความยาวเสีย

    แล้ว



    “อะ....ฮะ..... อื้อ” ใบหน้าแดงจัดของซาเยตแหงนเงยขึ้น พร้อมกับ

    ลำตัวที่ยกขึ้นเป็นจังหวะตามแรงกระตุ้น


    “ซาเยต .....ที่รัก” เสียงครางจากมายัลลีแหบเครือด้วยแรงอารมณ์

    ก่อนจะครอบปากลงบนยอดอกที่เป็นสีแดงจัดราวจะยั่วให้กลืนกิน


    “อ๊ะ......อาห์......”


    “ยอมให้ทั้งหมดเถิดนะซาเยต ขอทั้งหมดเลยได้มั้ย”



    แทน คำตอบ เรือนร่างโปร่งบางนั้นกลับยื่นมือไปแตะต้องความ

    เป็นชายที่แข็งตระหง่านของมา ยัลลี พร้อมกับแยกขาออกจากกัน

    ก่อนจะยื่นมือข้างที่ว่างไปจับเอามือของคนที่มากันถึงขนาดนี้แล้ว

    ยังมัวขอ อนุญาตมาตรงหน้า แล้วเริ่มแลบลิ้นออกมาลากเลียไป

    ตามข้อนิ้ว ทีละนิ้วๆ ก่อนจะปล่อยให้ปลายนิ้วนั้นล่วงล้ำเข้าไปใน

    โพรงปาก





    คืน นั้นใต้ฟ้าพร่างดาว ยามที่สองร่างร่วมรักกันไปจนถึงที่สุด

    ในจิตวิญญาณของทั้งคู่ได้ยินเสียงหนึ่ง สำเนียงทรงอำนาจที่

    แสนคุ้นเคย กับคำพูดที่ไม่รู้จักด้วยภาษา แต่ความหมายใน

    ประโยคนั้นกลับซ่านซึ้งถึงหัวใจ



    “ไม่ว่าเจ้าจักเกิดหรือตายอีกกี่ครั้ง เราสองจักได้พบและได้

    รักกันตามที่เจ้าขอทุกคราวไป”


    ..................................
    ..................................

    (จบ)


    *-*-*_*+*_*_*_*_(_*__&_*_*_*_*_*_*_*_*




    สวัสดีค่ะ อ่านตอนนี้เเล้วเเบบ   โอ้  มายัลลี อยากได้เเบบนี้มีไม๊ขออีกหนึ่ง ชอบๆๆ ฝาก

    เรื่องสั้นอีกตอนด้วยนะคะ เจอกันตอนหน้าค่ะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×