คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #46 : อันตราย(รีไรท์)
พายุลูกใหญ่ยังคงทำลายทุกอย่างที่ขวางทางมัน ทำให้เซี่ยจื้อนึกถึงพายุลูกใหญ่ในนรกที่ไป๋หู่เป็นผู้สร้างมันขึ้นมาเพื่อขับไล่ตนเอง
แต่ทำไมไป๋หู่ถึงสามารถทำได้ถึงขนาดนี้ละหรือว่าร่างของหลิ่งเฟยจะเป็นเพียงแค่ภาชนะเหมือนกับหยางซือ
เซี่ยจื้อคิดไปต่างๆนานา วิญญาณที่เห็นก่อนถูกผลักออกมาคือวิญญาณของไป๋หู่จริงๆ แต่หากมีแค่วิญญาณก็ไม่น่าจะสามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่
"เละเทะไปหมดเลยนะขอรับ ฝีมือของจิ้งจอกเก้าหางงั้นหรือ"
ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มราวกับอสรพิษ ใบหน้าครึ่งล่างถูกปกปิดตัวผ้าพันแผลผมถูกมัดรวบตึงปักด้วยปิ่นปักผมหลายอันที่แต่ละอันเคลือบไปด้วยยาพิษ เซี่ยจื้อมองหวังตงเฉินด้วยแววตาที่เรียบเฉย แต่ซ่อนความสับสนเอาไว้
(ใช่ ตอนนี้มันอยู่ในป่า)
"หืม...ดูเหมือนว่าตอนนี้ท่านจะไม่เหลือเยื่อใยกับจิ้งจอกเก้าหางแล้วสินะขอรับถึงได้แทนด้วยคำว่า มัน "หวังตงเฉินแสดงความยินดีที่เซี่ยจื้อสามารถตัดใจจากจิ้งจอกเก้าหาง เพราะมันจะทำให้ทำอะไรได้ง่ายมากขึ้น
ในอดีตที่หวังตงเฉินไม่สามารถฆ่าจิ้งจอกเก้าหางได้เพราะมันอยู่ในเงื่อนไขของการเป็นคู่สัญญาว่าจะไม่สังหารจิ้งจอกเก้าหางที่มีนามว่าไป๋หู่ ถึงแม้จะเป็นเพราะไป๋หู่ด้วยซ้ำที่ทำให้ตนเองสามารถจูงใจเซี่ยจื้อมาจากนรกได้แม้ว่าในช่วงท้ายไป๋หู่เป็นตัวอุปสรรคต่อแผนการสังหารเหล่าสัตว์เทพอสูรก็ตาม
"หากข้าจะสังหารนางตอนนี้เลยก็ย่อมได้สินะขอรับ"ปากยิ้มดวงตาเปิดเล็กน้อยเป็นรูปโค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยวซึ่งค่อนข้างดูน่ารังเกียจไม่น้อยสำหรับเซี่ยจื้อ แต่อสุรกายที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากมองไปยังพายุลูกใหญ่
ลมอากาศรอบตัวแปรปรวนอย่างรุนแรงจนเซี่ยจื้อกับหวังตงเฉินต้องเคลื่อนไหวไปตามแรงลม เมื่อทรงตัวได้แล้วพายุพร้อมกับสายฟ้าก็บังเกิดขึ้นพร้อมกันราวกับวันนี้จะเป็นวันสิ้นโลก
พายุที่ไม่ได้หมุนด้วยการบังคับด้วยลมปราณ แต่มันยังเชื่อมไปถึงเมฆนภาทำให้ท้องฟ้าวิปริตแปรปรวนฟ้าแลบฟ้าร้องส่องแสงและเสียงเป็นระยะ ก่อนจะมีสายฟ้าฟาดลงมาจากปรากฏการณ์ธรรมชาติหวังตงเฉินไม่ชอบเปียกฝนเอาผ้าคลุมมาคลุมตัวพร้อมกับกางโล่ลมปราณไปในตัวกันน้ำฝนอีกชั้นหนึ่ง
"ไม่ได้เกิดจากพลังอำนาจของลมปราณอย่างเดียว... แต่ทำไมข้าถึงรู้สึกว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้องละขอรับ"หวังตงเฉินหันมาถามเซี่ยจื้อ
(มีบางอันที่เป็นภาพลวงตา และกลายเป็นของจริง)
"มันเป็นไปได้ด้วยหรือขอรับ ภาพลวงตากลายเป็นของจริง"ผู้ใช้ศาสตร์มนต์ดำไม่อยากเชื่อว่าโลกนี้จะมีวิชาที่ทำให้ภาพลวงตากลายเป็นของจริง เพราะแง่ของการกำเนิดสรรพสิ่งไม่ว่าสิ่งใดต้องมีที่มาที่ไป แต่ภาพลวงตามันถือได้ว่าเกิดจากความว่างเปล่าเช่นนั้นการที่มันกลายเป็นของจริงถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุผลและไม่มีทางเป็นไปได้
(เป็นวิชาที่มีแต่จิ้งจอกเก้าหางเท่านั้นที่ใช้ได้ หากเจ้าคิดว่ามันไม่ใช่ของจริงมันก็จะไม่ใช่ของจริงแต่คงจะยากหน่อยหากจะมาแยกแยะว่าอันไหนคือของจริงของปลอม)
"มันมีทางที่ง่ายกว่านั้นอีกนะขอรับ" ไอสีดำออกมาจากตัวหวังตงเฉิน เซี่ยจื้อบินห่างออกไปอีกไอสีดำกลายเป็นกลุ่มวิญญาณสัตว์อสูรหลายตัวที่ถูกกักขังด้วยวิชาของหวังตงเฉิน
"ฆ่านางซะ แล้วข้าจะปล่อยให้ตัวที่ฆ่าได้เป็นอิสระ"
เมื่อได้ยินข้อแลกเปลี่ยนสัตว์อสูรวิญญาณที่ถูกทำให้แปดเปื้อนทำให้ปลายทางของวิญญาณมีเพียงแค่นรกเท่านั้นที่ต้อนรับรีบพุ่งไปยังจุดที่พวกมันรู้สึกได้ว่าเป้าหมายที่ต้องฆ่าอยู่ในดงพายุ
ร่างสตรีผมสีเงินนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ท่ามกลางความวุ่นวายอลหม่าน หวังตงเฉิน เซี่ยจื้อ ตามวิญญาณสัตว์อสูรมาดูว่าตัวไหนจะสามารถฆ่าสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางได้ก่อนกัน
หลิ่งเฟยในร่างวิญญาณมองสัตว์อสูรวิญญาณและหวังตงเฉิน ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครมองเห็นยกเว้นเซี่ยจื้อ สัตว์อสูรวัวธวัลพุ่งเข้ามาหมายจะขวิดร่างของจิ้งจอกเก้าหางให้สิ้นชีพ หลิ่งเฟยที่กำลังจะบรรลุระดับลมปราณไปอยู่เหนือราชันสวรรค์ มองเห็นแก่นแท้ของดวงวิญญาณสัตว์อสูรอย่างชัดเจนว่าพวกมันไม่ได้ต้องการจะทำแบบนี้
ด้วยความเห็นใจ หลิ่งเฟยเข้าไปกอดสัตว์อสูรที่พุ่งเข้ามาอย่างอ่อนโยนก่อนจะมองไปยังหวังตงเฉินที่เปลี่ยนให้สัตว์อสูรต้องกลายเป็นปีศาจ
ต้องปลดปล่อยพวกเขา
เพียงแค่คิดละอองสีฟ้าก็พาออกมาจากวิญญาณหลิ่งเฟย จนทำให้หวังตงเฉินที่มองไม่เห็นในตอนแรกได้เห็นดวงวิญญาณของหลิ่งเฟยมือหยิบยันต์ออกมาจากแขนเสื้อกลายเป็นง้าวเล่มยาว เตรียมตัดคอหลิ่งเฟยเซี่ยจื้อนึกขำในความโง่เขลาของหวังตงเฉินที่คิดจะตัดหัวหลิ่งเฟยในขณะที่กำลังทำการชำระล้าง เพราะร่างกายของหวังตงเฉินนั้นเป็นของมนต์ดำที่เกิดจากวิธีกรรม
"อ้าก!!"
เป็นไปตามที่เซี่ยจื้อคาดไว้ ทันทีที่สัมผัสกับละอองการชำระล้างร่างกายก็เริ่มเน่าเปื่อย เซี่ยจื้อรีบพ่นลูกไฟคลุมร่างหวังตงเฉินเอาไว้พร้อมกับกับกางปีกกันหวังตงเฉินออกไป
วิญญาณสัตว์อสูรทุกตัวได้รับการปลดปล่อยไปในสู่โลกหลังความตายสำหรับสัตว์อสูร หลิ่งเฟยหันมามองเซี่ยจื้อก่อนจะยิ้มให้อย่างไม่มีสาเหตุ
ด้วยสัญชาตญาณเซี่ยจื้อรีบคว้าตัวหวังตงเฉินออกมาให้ห่างจากหลิ่งเฟยทันที คลื่นลมปราณขยายตัวเป็นวงกว้างก่อนจะระเบิด เหม่ยเหมยและเฟิงหู่ที่รอดูสถานการณ์ตั้งหลักรับแรงกระแทกแทบไม่ทัน
ร่างสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางในระดับลมปราณเหนือราชันสวรรค์ปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับแรงกดดันอันมหาศาล อสุรกายสัตว์อสูรนรกที่รอดจากระเบิดเมื่อมองใบหน้าของจิ้งจอกเก้าหางต้องรีบคุกเข่าด้วยความหวาดหวั่น ความรู้สึกอันน่าเกรงขามแทบไม่ต่างไปจากเซี่ยจื้อเลยแม้แต่น้อย
(แล้วข้าต้องทำไงต่อ)
หลิ่งเฟยคิดในใจไม่รู้จะทำอะไรต่อหลังจากได้เห็นท่าทางที่ดูหวาดกลัวของเหล่าผู้รอดชีวิต
"ก็ต้องกลับไปรวมตัวกับสัตว์เทพอสูรตนอื่นสิ เจ้าไม่รู้สึกหรือไงว่าพยัคฆ์ขาวกำลังรอเจ้าอยู่นะ"
เสียงประชดประชันของไป๋หู่ไม่ได้ดังอยู่ในหัว แต่มันมาจากจิ้งจอกตัวเล็กตรงหน้าหลิ่งเฟย
"เจ้าจะยืนโง่รอให้เซี่ยจื้อมาฆ่าเจ้าหรือไงกัน"
พอเห็นมังกรหลายตัวใหญ่กำลังจ้องมองมาที่ตนเองอย่างกินเลือดกินเนื้อ หลิ่งเฟยที่ไม่อยากต่อสู้รีบออกไปจากแคว้นหานทันที
"บัดซบ สุดท้ายแล้วท่านก็จงใจปล่อยให้นางรอด!"หวังตงเฉินที่ร่างกายเน่าเปื่อยไปเกือบครึ่งจ้องเซี่ยจื้อด้วยความไม่พอใจอย่างสุดขีด
สายสัมพันธ์อันไร้ความหมาย ความรู้สึกผูกพันที่มีแต่จะเป็นตัวถ่วง ทุกอย่างที่อสุรกายไร้หัวใจอย่างเซี่ยจื้อไม่ควรมี แต่ในท้ายที่สุดเซี่ยจื้อกลับมีมันทุกอย่างไม่เคยเปลี่ยนเพียงแค่คำว่าจิ้งจอกเก้าหาง
"ไม่ดีหรือไง สุดท้ายนางก็จะกลับไปหาพรรคพวกทำให้รู้แหล่งรวมตัวของพวกมัน ด้วยพลังของข้ากับเจ้าในตอนนี้ก็สามารถฆ่าสัตว์เทพอสูรได้แล้วมิใช่หรือ"
เซี่ยจื้อกลับมาใช้ร่างมนุษย์ อุ้มกายหยาบของหวังตงเฉินกลับไปยังห้องทดลองที่ยังมีร่างสำรองสำหรับหวังตงเฉิน หวังตงเฉินเค้นเสียงหัวเราะในคำแก้ตัวของเซี่ยจื้อหากไม่ใช่เป็นเพราะว่าเซี่ยจื้อนั้นแข็งแกร่งที่สุดตนเองก็คงฆ่าได้ไปตั้งนานแล้ว
.
.
.
"เปิดตัวได้อลังการดีนะ"ซุยฟ่งกอดอกพูดประชดแกมความจริงมองจิ้งจอกตัวเล็กที่ทำให้ตนเองต้องบาดเจ็บอยู่หลายครั้งเวลาจะดูความทรงจำของหลิ่งเฟย ยังไม่นับเรื่องกับดักในตำหนักไร้ชื่ออีก หลิ่งเฟยหัวเราะแห้งทำตัวไม่ถูกเมื่อถูกเหล่าสัตว์เทพอสูรมองมาตนเองพร้อมกันหลังจากทุกคนตกลงมาพบเจอกันที่เรือนมายา
ชุนนำชากับขนมมาให้อย่างเงียบๆ เชาเหมาไม่กล้าเข้าไปใกล้เพราะแรงกดดันที่มากเกินไปสำหรับตนเอง เหม่ยเหมยนั่งนิ่งเงียบมองเฟิงหู่ที่เอาแต่กินเป็นเพื่อนกับเต่าดำ ไท่หลงหยิบกล่องมาดูใกล้ๆ พอลองเปิดฝาออก มีแต่ความว่างเปล่า
"ต้องใช้สิ่งที่มีกลิ่นอายของความตายหรือมาจากนรก ข้าคิดว่าเจ้าจะนำตัวหยางซือมาที่นี่เสียอีก"
"เซี่ยจื้อสามารถล่วงรู้ข้อมูลได้จากหยางซือ การพาหยางซือมาเท่ากับทำให้ฝ่ายศัตรูรู้ที่อยู่"ซุยฟ่งค้านทันที หลิ่งเฟยเองก็เห็นด้วยอย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่าหยางซือจะยังเป็นตัวของตัวเองแต่เซี่ยจื้อก็จะเห็นและได้ยินทุกอย่างที่หยางซือได้เห็น
"เป็นสัตว์เทพอสูรซะเปล่า"ไป๋หู่พูดเยาะเย้ย
"ว่าไงนะ"ซุยฟ่งชักสีหน้าใส่ไป๋หู่ในทันที ไท่หลงรีบห้ามการวิวาทะอันไร้ความหมายระหว่างซุยฟ่งกับไป๋หู่
"ท่านมีวิธีจัดการกับหยางซือหรือไม่ขอรับ หากจำเป็นต้องใช้หยางซือจริงๆ"ไท่หลงเลือกจะใจเย็นถามวิธีการกับไป๋หู่ซึ่งเคยขึ้นเป็นจักรพรรดิปกครองแคว้นฉิน
"ก็แค่ต้องทำลายตัวปรสิตที่อยู่ในตัวหยางซือ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเซี่ยจื้อจะตามหาพวกเราไม่เจอหรอกนะ"
"หมายความว่าไง มีอะไรอีกที่ทำให้รู้ตำแหน่ง"ซุยฟ่งถามอีก
"ในอดีตเซี่ยจื้อเคยโค่นสัตว์เทพอสูรได้ถึงสองตน และได้กินสัตว์เทพอสูรหงส์แดงเข้าไปทำให้มีพลังในการเข้าถึงจิตวิญญาณเหมือนกับเจ้าไงละ"
สีหน้าของซุยฟ่งเปลี่ยนไปในทันที ไม่เพียงแค่ซุยฟ่ง สัตว์เทพอสูรต่างเริ่มจริงจังขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้รู้ว่าเซี่ยจื้อสามารถเอาชนะสัตว์เทพอสูรได้ถึงสองตน
"แล้วอีกสัตว์เทพอสูรอีกหนึ่งละ"เต่าดำถามไปเคี้ยวขนมไป แต่แววตาที่มักจะเฉยเมยต่อทุกสิ่งกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
"สัตว์เทพอสูรมังกรฟ้า แต่ได้เต่าดำช่วยเอาไว้ก่อนตายและสัตว์เทพอสูรมังกรฟ้าได้ร่วมมือสร้างสถานที่หนึ่งกับเต่าดำซึ่งข้าตั้งใจจะให้พวกเจ้าไปที่นั่น"
"งั้นข้าจะพาไปหาหยางซือเดียวนี้เลย ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี"ซุยฟ่งรู้ดีว่าหากสิ่งที่ไป๋หู่พูดมานั้นเป็นความจริง ยิ่งเสียเวลาไปมาเท่าไรโอกาศที่เซี่ยจื้อจะหาเจอนั้นก็ยิ่งมีมากขึ้น
"ใช่ ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี หลิ่งเฟยพาพวกเขาไปยังถ้ำที่เจ้าสู้กับพยัคฆ์ขาว ข้าจะรีบไปจัดการธุระกับหงส์แดง"
ซุยฟ่งใช้ร่างสัตว์เทพอสูร ไป๋หู่ขึ้นไปบนไหล่หลิ่งเฟยที่พึ่งรู้ว่าถ้ำที่เอาไว้ฝึกซ้อมและสู้กับเฟิงหู่เป็นถ้ำที่มังกรฟ้าและเต่าดำในอดีตช่วยกันสร้างมันขึ้นมาก่อนนำทางทุกคนไปยังถ้ำที่ว่าให้เชาเหมากับชุนอยู่ที่เรือนมายาพร้อมกับเพิ่มการป้องกันให้มากขึ้น
หยดน้ำจากหินย้อยทำให้เหม่ยเหมยสะดุ้งทุกครั้งเมื่อถูกหยดใส่ ไท่หลงสัมผัสกับหินงอกเต่าดำมองสำรวจด้วยความแปลกใจ
“เป็นสถานที่แปลกดีจริงๆข้าไม่รับรู้ถึงข้างนอกเลย”
ไท่หลงที่ได้รู้ว่าถ้ำนี้เกิดขึ้นมาด้วยพลังของสองสัตว์เทพอสูรในอดีต อดแปลกใจไม่ได้กับวิธีการสร้างสถานที่ที่ทำให้เกิดการตัดขาดกับโลกภายนอก จนหลิ่งเฟยได้พาเข้าสู่พื้นที่ที่เป็นทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆ
"ชวนให้คิดถึงตอนที่ข้าสู้กับเจ้าครั้งแรกเลยนะ"เฟิงหู่พูดพร้อมกับมองมาที่หลิ่งเฟยด้วยแววตาของสัตว์ป่าผู้บ้าคลั่ง
"และท่านก็แพ้ด้วย"
คำนี้ดึงความสนใจสองสัตว์เทพอสูรในทันทีที่มาได้ยินว่าเฟิงหู่แพ้หลิ่งเฟย และหลิ่งเฟยก่อนหน้านั้นไม่ได้อยู่ในระดับลมปราณเหนือราชันสวรรค์ด้วย
"ก็ข้าไม่เคยเห็นการใช้ลมปราณโดยไม่มีสื่อกลางนี่ เจ้าไม่ได้ใช้แค่ลมปราณแต่เจ้ายังอัดเป็นรูปร่างได้อย่างชัดเจน ข้ากล้าพูดเลยว่าไท่หลงกับกุยยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ"
ห่ะ..
พอถูกพูดถึงสัตว์เทพอสูรทั้งสองที่กำลังยืนรอซุยฟ่งเข้ามาร่วมวงบทสนทนาด้วยทันที
"เจ้าหมายความว่าไงที่ข้าไม่สามารถทำได้"ไท่หลงรู้สึกไม่ชอบใจเล็กน้อยเมื่อถูกเปรียบเทียบว่ามีความสามารถบางอย่างที่ด๋อยกว่าหลิ่งเฟย
"ข้าพอเข้าใจที่เฟิงหู่พูดนะ การอัดลมปราณเป็นรูปร่างเป็นวิชาที่ค่อนข้างเปล่าประโยชน์เพราะมันสิ้นเปลืองมากเกินไป ปกติจะใช้สื่อกลางในการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุม"เต่าดำแบมือสร้างบอลดินก้อนเล็กจากลมปราณ
"คนที่ชอบใช้วิชานี้ก็มีแต่ท่านลุงซุยฟ่ง"บอลดินแตกสลายกลางฝ่ามือเต่าดำ เมื่อได้ฟังคำพูดอธิบายของเต่าดำหลิ่งเฟยเข้าใจในสิ่งที่เฟิงหู่พูดมาในตอนแรกทันที
เพราะมันวิชาที่แทบไม่สามารถสร้างบาดแผลให้กับศัตรูได้ ต่อให้ทำได้ก็ต้องใช้ในปริมาณมหาศาล
"แต่ว่าสัตว์เทพอสูรมีลมปราณไร้ขีดกำจัดไม่ใช่หรือ เช่นนั้นก็ไม่เห็นจำเป็นต้องหวงปริมาณเลย"หลิ่งเฟยถามเต่าดำอีกครั้ง
"....มีลมปราณไร้ขีดกำจัด แต่ข้อเสียเปรียบคือการประยุกต์ใช้วิชาในร่างจริงนั้นทำได้น้อยกว่าใช้ในร่างมนุษย์ให้เปรียบเทียบก็เหมือนเจ้าสร้างลมพายุหรือกระแสคลื่นพลัง แต่มีวิชาก็เปรียบเหมือนอาวุธที่สามารถฝ่ากระแสคลื่นลมปราณ"
"ข้าไม่เข้าใจเลยสักนิด"ทุกคนเข้าใจในสิ่งที่เต่าดำพูดหมดยกเว้นเฟิงหู่
"สายตาแบบนั้นมันอะไรกัน"เฟิงหู่ถามทุกคนที่มองด้วยสายตาต่างกันไป โดยเฉพาะเต่าดำที่มองราวกับกำลังมองสิ่งที่ต่ำกว่า
"บางวิชาจำเป็นต้องเขียนอักขระเพิ่มความสามารถของวิชา สมมติว่าเจ้าอยู่ในร่างพยัคฆ์ขาวเจ้าจะสามารถใช้อุ้งเท้าเขียนอักขระได้หรือไม่"
"ข้าก็ใช้เล็บเขียนสิ จำไม่ได้หรือไงที่ข้าเคยเขียนบอกให้เจ้าโผล่หัวออกมาจากกระดองตอนที่สู้กันนะ"
คำตอบของเฟิงหู่ทำเอาหลิ่งเฟยอดขำออกมาไม่ได้ เพราะสัตว์อสูรหรือสัตว์เทพอสูรเมื่ออยู่ในร่างจริงจะสื่อสารกันได้ยากมาก พอลองนึกภาพตอนที่เฟิงหู่ในร่างพยัคห์ขาวพยายามใช้เล็บเขียนมันยิ่งทำให้เฟิงหู่ดูน่ากลัวน้อยลงไปอีก
"เก่งแต่กำลังก็คิดได้แค่นี้แหละ"เฟิงหู่มองตาเต่าดำก่อนจะปล่อยลมปราณสร้างสายฟ้าฟาดใส่เต่าดำอย่างรุนแรง ไท่หลงรีบป้องกันเหม่ยเหมยที่เป็นมนุษย์เพียงคนเดียวก่อนจะพบว่าเหม่ยเหมยสร้างโล่ลมปราณขึ้นมาปกป้องตัวเองก่อนแล้ว
"ข้าไม่ชอบนิสัยส่วนนี้ของเจ้าเลยจริงๆ เจ้ามักจะดูถูกทุกคนอยู่อย่างเงียบๆเจ้าก็แค่โชคดีที่ได้มาเกิดเป็นสัตว์เทพอสูรและได้ซุยฟ่งเป็นผู้เลี้ยงดู"
เฟิงหู่กำมือแน่น การโจมตีด้วยสายฟ้าไม่สามารถสร้างบาดแผลให้กับสัตว์เทพอสูรเต่าดำที่มีพลังการป้องกันแข็งแกร่งที่สุด
"เจ้าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทั้งชีวิตนี้เจ้าเกิดมาเพื่ออะไรนอกจากกินแล้วนอน!"เฟิงหู่พุ่งเข้าไปชกเต่าดำด้วยความเร็วที่แทบมองไม่เห็นการเคลื่อนไหวของเฟิงหู่ เต่าดำที่ถูกชกหน้าใส่จนกระเด็นไปไกลลับสายตาลุกขึ้นมาปัดเศษดินตามเสื้อผ้าไท่หลงใช้วิชาโซ่ตรวนตรึงเฟิงหู่เอาไว้ แต่เฟิงหู่ปลดมันออกด้วยการระเบิดลมปราณลบล้างวิชาไท่หลง
"ทำตัวรักสงบ แต่เนื้อในเจ้าก็แค่เต่าขี้ขลาดที่เอาแต่ปกป้องตัวเองเจ้าจะกลัวอะไรในเมื่อเจ้าเป็นถึงสัตว์เทพอสูร"
อีกครั้งที่เฟิงหู่เคลื่อนที่ด้วยเร็วจนไท่หลงตามไม่ทัน เต่าดำสร้างโล่จากดินและลมปราณแต่ก็ยังช้าเกินไปสำหรับความเร็วของเฟิงหู่ที่เร็วที่สุดเท่าที่เคยเห็น หากแต่ซุยฟ่งที่มาถึงพอดีพร้อมกับหยางซือทำการปัดการโจมตีของเฟิงหู่ แต่พละกำลังมีมากกว่าที่ซุยฟ่งคาดไว้ ทำให้ซุยฟ่งถูกชกจนแขนขาดกระเด็น
ไท่หลงกับหลิ่งเฟยที่พาเหม่ยเหมยมาด้วยยืนมองด้วยความตกใจกับบาดแผลของซุยฟ่ง แต่ไม่นานนักซุยฟ่งนำแขนกลับมาต่อใหม่
"มาขวางข้าทำไม"
"ข้าต่างหากที่ควรถามว่าเจ้ากำลังทำอะไร เฟิงหู่"ซุยฟ่งยืนมองเฟิงหู่ด้วยความไม่พอใจที่มาใช้พลังไปอย่างเปล่าประโยชน์ เฟิงหู่จ้องซุยฟ่งกลับเช่นเดียวกันก่อนจะยิ้มเยาะเย้ย
"จะว่าไปนอกจากจิ้งจอกเก้าหางแล้ว พวกเจ้าไม่เคยสู้กับข้าอย่างจริงจังเลยนี่"รังสีสังหารแผ่ออกมาจากตัวเฟิงหู่ หลิ่งเฟยสังเกตสีหน้าของเต่าดำซึ่งกำลังมองเฟิงหู่ด้วยสายตาที่เฉยเมยต่างจากซุยฟ่งและไท่หลงที่กำลังประหลาดใจและวิตกกังวล
"ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาจะสู้กันนะ"ไป๋หู่ในร่างจิ้งจอกเตือนสติเฟิงหู่ แต่เฟิงหู่ไม่คิดจะฟังเลยแม้แต่น้อย
"หัดดูสถานการณ์รอบตัวบ้างสิท่านเฟิงหู่!!"
ผัวะ!
เหม่ยเหมยยืนดูมานานจนทนไม่ไหวกับนิสัยเอาแต่ใจของเฟิงหู่ที่มากเกินไป ตีเข้าที่กลางหลังส่งเสียงดังและยังสร้างความเจ็บปวดให้แก่เฟิงหู่อย่างคาดไม่ถึง
"นี้เจ้ากล้าตีข้ารึ!!"
"หากท่านยังไม่หยุด ข้าก็จะไม่หยุดตีด้วย"เหม่ยเหมยตะคอกกลับใส่ เฟิงหู่นึกเสียดายที่ช่วยชีวิตเหม่ยเหมย หากรู้ว่าตนเองต้องมาถูกตะคอกใส่อย่างอวดดีน่าจะปล่อยให้แข็งตายไปตั้งแต่ตอนนั้น
จะฆ่าคู่สัญญาตอนนี้ไปก็เปล่าประโยชน์ หากยังคิดจะท้าสู้กับสัตว์เทพอสูรก็จะโดนตีอีกเฟิงหู่กอดอกถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
"ข้าประมุขพรรคหมื่นพิษ เยียน หยางซือขอรับ"หยางซือแนะนำตัวเองทำความเคารพต่อสัตว์เทพอสูรตรงหน้า
หลิ่งเฟยอดยิ้มยินดีที่ได้เจอหยางซือไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากมองตาหยางซือด้วยความคิดถึง
ไท่หลงที่เป็นผู้เก็บกล่องประตูนรกหยิบมันออกมามอบให้แก่หยางซือ หยางซือรับมาเปิดแต่ข้างในกล่องมีแต่ความว่างเปล่า
"มันต้องหมุนข้างล่าง"ไป๋หู่บอกวิธีเปิด หยางซือลองหมุนเล็กน้อยฝาข้างบนกลับมาปิดเมื่อหมุนไปอีกทางคราวนี้ฝาทั้งหกด้านเปิดออกมีกลุ่มควันสีดำอยู่ข้างในหยางซือใช้นิ้วเกลี่ยนเล็กน้อยเหมือนปุยฝ้ายก้อนเล็กน่าสัมผัสกว่าที่คิด
"ไม่รู้สึกเลยว่ามันเป็นประตูเลยนะ"หลิ่งเฟยเจ้ามาดูใกล้ๆลองเอามือไปสัมผัสนึกว่านุ่นฟูเหมือนที่ตาเห็น แต่กลับรู้สึกร้อนและมีกลิ่นกำมะถันติดมือมาอีก
"หยิบมันออกมาสิ"หยางซือหยิบออกมาตามที่ไป๋หู่บอก ทันทีที่หยิบออกมากลุ่มก้อนควันขยายตัวกลิ่นเผาไหม้จนแสบจมูกออกมาจากประตูที่มองไม่เห็นจุดหมายนอกจากความมืด
"มันคงเหมาะที่หากจะใช้เป็นสถานที่หลบหนีจากเหล่าผู้ที่มาจากนรก แต่ข้าไม่คิดว่าสัตว์เทพอสูรจำเป็นต้องเข้าไปหรอกนะ"ซุยฟ่งยื่นมือเข้าไปข้างใน รู้สึกจับอะไรบางอย่างได้พอเอามือออกมาพบว่าเป็นหนอนปล้องแบบเดียวกับที่เจอในงานประลองเพียงแต่มีขนาดเล็กเท่าไส้เดือนดิน
ตึง!!
ซุยฟ่งสะบัดลงพื้นพร้อมกับวิชาบีบอัดลมปราณจนพื้นแตกเป็นเสียงพร้อมกับเศษซากสัตว์อสูรนรกผู้โชคร้าย
"อย่างน้อยก็ได้เห็นแล้วว่าประตูนรกมีหน้าตาเป็นยังไง รีบๆปิดมันสิ"ซุยฟ่งถอยห่างจากประตู ไป๋หู่แนะนำวิธีการปิดโดยให้หมุนกล่องอีกทางหนึ่ง ควันประตูนรกถูกดูดเข้ามาเก็บไว้เหมือนอย่างตอนแรก
"โชคดีจริงๆที่สัตว์เทพอสูรมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากัน"
ซุยฟ่งรีบผลักตัวหยางซือหลบหลังตนเอง เต่าดำที่ไม่สนใจอะไรเผลอมองเซี่ยจื้อในร่างมนุษย์ที่เข้ามาตอนไหนไม่รู้แต่ร่างกายรู้สึกหนักอึ้งจากแรงกดดัน เพียงแค่มองตาซึ่งเป็นสิ่งที่สื่ออารมณ์ได้ดีที่สุดเต่าดำก็รับรู้ว่าอสุรกายที่พูดถึงกันนั้นมันเป็นเช่นไร
อันตราย
เต่าดำกระชากซุยฟ่งให้พ้นจากการโจมตีหางลูกศรทิ่มลงพื้นทะลุจนมิดปลายหางของเซี่ยจื้อ เต่าดำควบคุมดินกักขังเซี่ยจื้อเอาไว้ข้างใน แต่ก็ไม่อาจกักขังอสุรกายเอาไว้ได้เซี่ยจื้อพังกรงขังออกมา ถูกโจมตีครั้งแรกของเต่าดำด้วยค้อนที่สร้างจากกระดูกเหวี่ยงเข้าที่กลางลำตัวจนกระเด็นหายลับสายตา
หัวค้อนทิ่มปักลงพื้น ในระหว่างที่เหล่าสัตว์เทพอสูรกำลังตื่นตากับการโจมตีครั้งแรกของสัตว์เทพอสูรที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์เทพอสูรรักสงบ เต่าดำมองไปยังทิศทางที่เซี่ยจื้อถูกฟาดรับรู้ได้ว่าเซี่ยจื้อกำลังพุ่งมาทางนี้ด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อแต่ก็ยังคงไม่เร็วเท่ากับเฟิงหู่
"ข้าคงไม่สามารถยื้อไว้ได้ไม่นาน หากใครมีความคิดดีๆที่จัดการกับอสุรกายตนนี้ก็ว่ามาเลย"
หลิ่งเฟยแทบนึกไม่ออกว่าจะเอาอะไรไปสู้นอกจากร่วมมือกันจัดการ แต่สิ่งที่เซี่ยจื้อได้เปรียบคือประสบการณ์และความรู้ลูกเล่นทั้งหลายที่อาจจะทำให้ฝ่ายสัตว์เทพอสูรเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
แล้วไหนจะการโจมตีที่อาจจะส่งผลกระทบไปยังนอกถ้ำอีก
"ถ้ำนี้สามารถดูดซับการโจมตีได้ไม่มีขีดกำจัด อย่าได้เป็นห่วงไป"ไป๋หู่เหมือนรู้ทันหลิ่งเฟยพูดถึงสิ่งที่สัตว์เทพอสูรบางตนกังวล
"ถ้าเช่นนั้นก็อย่าได้ยั้งมือ"ซุยฟ่งใช้ร่างมนุษย์กำยำแทนร่างสตรีที่บอบบาง เฟิงหู่เมื่อเห็นว่านี้เป็นโอกาสที่จะได้สู้อย่างเต็มที่ก็แยกเขี้ยวหันมามองเหม่ยเหมยว่าอย่ามายุ่งเรื่องนี้ ไท่หลงกลายร่างเป็นมังกรฟ้าทะยานขึ้นไปด้านบนเต่าดำฟาดค้อนใส่เซี่ยจื้อแต่คราวนี้หลบได้ หากก็ยังช้ากว่าการโจมตีของเต่าดำที่ใช้ด้ามค้อนฟาดเข้าที่กลางลำตัวอีกครั้ง
แรงฟาดที่ไม่อาจผลักดันมันออกไปได้เซี่ยจื้อไม่นึกผิดหวังและแปลกใจด้วยซ้ำกับรูปร่างผอมบางของเต่าดำแต่กลับมีเรี่ยงแรงมหาศาลเกินคาด
ฝนฟ้าคะนองสาดลงมาด้วยอำนาจของมังกรฟ้า เซี่ยจื้อที่ถูกฟาดจนกระเด็นมาไกลมองมังกรฟ้าที่จงใจก่อให้เกิดเพื่อทำให้ตนเองที่เป็นมนต์ดำถูกชำระล้าง เต่าดำขยายความยาวของค้อนเล็งฟาดใส่กลางศีรษะ
เซี่ยจื้อรับค้อนด้วยมือเดียว พร้อมมองมาที่เต่าดำด้วยแววตาเยาะเย้ยที่ไม่อาจปริชีพตนเองได้
"อ่อนหัด"
ความคิดเห็น