คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #43 : ความทรงจำ(รีไรท์)
ม้วนกระดาษถูกส่งคืนแก่จิ้งจอกไป๋หู่หลังจากที่แก้เนื้อหาพันธสัญญาเสร็จเรียบร้อย กระดาษพันธสัญญาก็หายไป ไป๋หู่ขึ้นมาบนไหล่หลิ่งเฟย
"เจ้าต้องแข็งแกร่งมากกว่านี้หากเจ้าอยากจะเอาชนะเซี่ยจื้อ"
"คนที่ท่านให้กล่องรูปร่างแปลกๆนะเหรอ"
"ใช่"
"ถ้าเช่นนั้นท่านมีความสัมพันธ์ยังไงกับเซี่ยจื้อละ"แววตาเป็นประกาย จิ้งจอกไป๋หู่รู้สึกขนลุกกับสายตาของหลิ่งเฟย ตนเองยังจำได้ดีตอนที่หลิ่งเฟยบอกว่าอยากจะมีชีวิตอยู่เพื่อมองดูผู้ชายหน้าตาดี ซึ่งเซี่ยจื้อก็หล่อจนไม่มีใครอาจเทียบติดได้
"ถ้าอยากรู้ขนาดนั้นก็ไปให้หงส์แดงมันย้อนความทรงจำเองซะ ตอนนี้เจ้าควรกลับไปได้แล้ว"ไป๋หู่กระโดดขึ้นมาเอาอุ้งเท้าแปะกลางหน้าผากเกิดกลายเป็นสายลมลมปราณพัดหลิ่งเฟยกลับไปยังที่จากมา โซ่ที่ตรึงร่างยูซานเอาไว้หายไปพอดีกับหลิ่งเฟยที่โผล่ออกมาพันธสัญญา
"พันธสัญญาถูกแก้ไขแล้ว"ซุยฟ่งอ่านเนื้อหาในพันธสัญญาซึ่งมันถูกเปลี่ยนว่าแคว้นฉินจะตอบโต้ผู้ที่มารุกรานแคว้น จากบรรดาเนื้อหาทั้งหมด
"แล้วเจ้าปิดหน้าทำไมกัน"ไท่หลงถามหลิ่งเฟยที่ตอนนี้หูทั้งสองข้างแดงไปหมด ยูซานที่ช่วยพยุงก็สงสัยเช่นกัน
ใครจะกล้าบอกว่าในหัวกำลังคิดพล็อตเรื่องรักสามเส้าระหว่างบุรุษของจิ้งจอกเก้าหางตนก่อนละ..
"ไม่มีอะไรหรอก"หลิ่งเฟยเปิดหน้า พูดไปยิ้มไปเหมือนคนบ้าก่อนจะปิดหน้าอีกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องของซุยฟ่งกับไท่หลงทันทีที่เห็นหน้า
บ้าเอ่ย ทำไมในยุทธภพนี้ไม่มีใครเขียนหนังสือความรักระหว่างชายกับชายกัน!
"ยูซาน ถ้าเจ้านายของเจ้าหายบ้าเมื่อไรก็พากลับไปพักผ่อนแล้วกัน ข้าเองก็จะกลับไปที่หอของข้าแล้ว"ต้องมาเจอกับดักที่ไม่ใช่กับดักติดกันหลายครั้งทำให้จิตใจรู้สึกเหนื่อยไม่น้อย ไท่หลงก็เห็นด้วยที่จะแยกย้ายกันไปพักผ่อน แต่ตนเองก็มีธุระที่ต้องไปจัดการในแคว้นฉินต่อเลยยังไม่กลับตอนนี้
“อร่อยจังเลยเต้าหู้ทรงเครื่องสูตรเป่าซานเผ็ดได้ถูกใจข้ามากเลยจริงๆ”
เต้าหู้ทรงเครื่องชามที่ห้าถูกเอาไปวางซ้อนกับชามอื่น เป่าซานที่เป็นทั้งพ่อครัวและเจ้าของร้านปรุงชามที่หกต่อให้กับหลิ่งเฟยที่เป็นผู้มีพระคุณ
หลิ่งเฟยที่ไม่มีธุระอะไรมากที่วังหลวงอีกแล้วจึงออกมาพักกับพ่อของยูซานที่ชื่อเป่าซาน เป่าซานเป็นคนใจดีและอ่อนโยนยิ่งกว่าผู้ใดที่หลิ่งเฟยเคยเจอ พอรู้ว่าหลิ่งเฟยเป็นจิ้งจอกเก้าหางก็ถ่อมตนพร้อมกับกล่าวขอบคุณแล้วขอบคุณเล่าที่ช่วยยูซานมาตลอดจนตนเองได้มาพบเจอกับยูซานอีกครั้ง เพราะที่ผ่านมาเป่าซานนั้นคอยติดตามความเป็นอยู่ของยูซานตลอด แต่ตนเองเป็นแค่พ่อครัวร้านอาหารธรรมดาไม่มีเงินทองมากมายจะไถ่ตัวยูซาน ส่งข้าวของไปอาหารไปมากเพียงใดก็ไม่เคยถึงมือยูซาน และยูซานก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป่าซานคอยส่งของมาให้ตลอด
“แค่ท่านพอใจข้าก็ดีใจแล้ว”
ชายวัยกลางคนร่างโตยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนเมื่อได้รับคำชม ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเช้าทำให้ยังไม่มีลูกค้าเข้ามาในร้านมากนัก ยูซานที่ตื่นแต่เช้ามืดช่วยเป่าซางเปิดร้านโดยจัดเตรียมวัตถุดิบทำความสะอาดลดภาระแก่บิดาที่เริ่มแก่ตัวลง
“ต้องขออภัยด้วยที่ข้าต้องมารบกวนท่านอย่างกะทันหันหวังว่าท่านจะเมตตาจิ้งจอกตัวน้อยตัวนี้”หลิ่งเฟยพูดหยอกล้อเป่าซานที่ดูไม่มีอาการหวาดหวั่นกับตัวตนของตนเอง ซึ่งบางทีอาจจะเป็นเพราะเป่าซานเคยเป็นพ่อค้าและได้พบเจอสัตว์อสูรมากมายจนไม่นึกแปลกใจอะไรอีกแล้ว
เป่าซานยิ้มไปทำอาหารไปนึกถึงตอนที่เจอยูซานในขณะที่กำลังรับลูกค้าเหมือนวันธรรมดาทั่วไป แต่พอได้เห็นใบหน้าของยูซาน ปีกสีดำที่อยู่ข้างหลังแม้จะไม่เคยเห็นหน้าแม้กระทั่งตอนที่ถือกำเนิดแต่ก็มั่นใจทันทีว่านี้คือบุตรชายของตนเองที่ถูกนักล่าสัตว์อสูรลักพาตัวไป ความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยใครได้ทั้งคนที่รักและเลือดเนื้อเชื้อไขตนเองออกมาเป็นน้ำตาจนห้ามไว้ไม่อยู่ นึกแล้วก็น่าละอายที่ร้องไห้ต่อหน้าลูกชายตนเอง
“เต้าหู้ผัดพริกได้แล้วกินได้เรื่อยๆเลยนะ”เป่าซานทำมาให้อีกชาม หลิ่งเฟยตั้งหน้าตั้งตากินอย่างตั้งใจ
เผ็ดดดดดดดด
กระรอกตัวน้อยที่สงสัยว่าสิ่งที่หลิ่งเฟยกินเข้าไปนั่นมันอร่อยอย่างไรเอาลิ้นแตะนิดเดียวก็วิ่งวนรอบร้านเหมือนถูกไฟลวกยูซานรีบหาน้ำมาให้แทบไม่ทันภาพบุรุษร่างโตมีปีกสีดำวิ่งตามกระรอกตัวน้อยรอบร้านจนไม่เป็นอันทำงานชวนให้หัวเราะออกมา เป่าซานยื่นเมล็ดแตงโมให้ซงที่กำลังดื่มน้ำดับเผ็ด
“เอานี่ไปกินสิซง”
ซงก็ยังคงเหมือนเดิม แม้ระดับลมปราณจะไม่เพิ่มขึ้นแต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาอะไรระหว่างอยู่ที่นี่กับยูซาน
ถ้ายูซานมีความสุขข้าก็ชอบนะบรรยากาศแบบนี้
ร้านของเป่าซานอยู่ในแคว้นฉินก็จริงแต่ก็ไกลจากเมืองหลวงและมีบรรยากาศที่ต่างจากเมืองหลวงโดนสิ้นเชิง หลิ่งเฟยที่มาพักอาศัยอยู่ที่บ้านของเป่าซานออกมาเดินตลาดในช่วงกลางคืน บรรยากาศครึกครื้นยิ่งกว่าเมืองหลวงเสียอีกไม่ว่าจะบุรุษที่สวมใส่เหมือนเป็นชาวอุยกูร์ สตรีที่แต่งตัวเหมือนสมัยแมนจู ที่น่าตกใจที่สุดคงจะเป็นทรงผมที่ยัดสารพัดเครื่องประดับเพื่อโอ้อวดความงามของเครื่องประดับแทน
ย่านโคมแดงที่เหมือนเป็นอีกโลกหนึ่ง แม้ว่าหลิ่งเฟยจะเคยใช้ร่างบุรุษไปเรียนรู้ความสุขจากย่านโคมแดงในแคว้นหยิ่งมาแล้ว แต่พอดูจากสถานที่หากเดินเข้าไปโดยที่ยังอยู่ในร่างสตรีต่อให้แต่งตัวต่างจากคณิกามากแค่ไหนก็คงจะมีชายหน้าโง่มาเกี้ยวตนเอง
"คุณหนูท่านมาคนเดียวหรือ"บุรุษหน้าสวย มีแต่งแต้มใบหน้าเล็กน้อยเข้ามาใกล้ หลิ่งเฟยที่ยังคงไม่เข้าไปในย่านโคมแดงมองบุรุษที่ดูเหมือนว่าจะเป็นหนึ่งในคณิกา
แคว้นฉินก็มีนางโลมที่เป็นบุรุษด้วยสินะ หรือต้องเรียกว่านายโลม
"ข้าแค่แวะมาดูเฉยๆ"หลิ่งเฟยปฏิเสธคณิกาชายด้วยรอยยิ้ม ก่อนเข้าไปในที่ลับตาคนและออกมาในรูปลักษณ์ของบุรุษ เพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ที่จะเรียนรู้ได้จากบุรุษ
ก็แค่เข้าไปจิบชานั่นแหละ
หลิ่งเฟยเข้าไปนั่งจิบชาหมการแสดงร่ายรำจากบุรุษในหอที่หนึ่ง ส่วนใหญ่มีแต่บุรุษที่อยู่ที่นี่ สตรีก็มีน้อยและยังเป็นนางโลมที่มากับบุรุษด้วย
ถือว่าคิดดีแล้วที่ไม่เดินเข้ามาในรูปลักษณ์ผู้หญิงไม่เช่นนั้นคงโดนมองเป็นตัวประหลาดตลอดทาง
“ท่านชายข้าขอนั่งกับท่านได้หรือไม่พอดีว่าโต๊ะเต็มแล้ว”
หลิ่งเฟยที่กำลังเพลิดเพลินกับการแสดงพยักหน้าอนุญาต กลิ่นกายที่รู้จักลอยมากับลมเบาๆทำให้หลิ่งเฟยในรูปลักษณ์บุรุษรีบมองคนที่มาขอนั่งด้วยทันที
หยางซือ!?
นอกจากกลิ่นกายแล้วยังมีกลิ่นเลือดปะปนมาด้วย ถึงเสื้อผ้าจะสะอาดและใบหน้าดูสุขสบายดีแต่หลิ่งเฟยรู้ว่าหยางซือคงจะไปพบเจอกับความยากลำบากที่แคว้นหานมาแน่นอน
“ท่านสนใจข้าหรือท่านชายน่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่พวกต๋วนซิ้วข้าเพียงแค่มาพักผ่อน”สีหน้าของหยางซือขัดกับคำพูดโดยสิ้นเชิง
“เช่นนั้นท่านควรไปหอนางโลมมิใช่ที่นี่” หลิ่งเฟยออกปากไล่ประชดเมื่อได้ยินคำพูดว่าไม่ใช่ ’พวกต๋วนซิ้ว’ เหมือนแบ่งแยกออกชัดเจนจนเกิดนึกไม่ชอบใจขึ้นมา
ข้าเองก็ไม่ได้เป็นต๋วนซิ้วแค่ชอบพวกต๋วนซิ้วต่างหากเล่า
หลิ่งเฟยหันไปสนใจการแสดงต่อ สายตาอันเย้ายวนจากนักแสดงบนเวทีส่งข้ามหัวหลิ่งเฟยไปยังหยางซือ หลิ่งเฟยมองสลับไปมาพร้อมกับนึกจินตนาการภาพในหัวในพล็อตเรื่องความรักระหว่างจอมยุทธ์กับนายโลม
แต่ระหว่างนายโลมกับหยางซือใครจะอยู่บนอยู่ล่างละ ขนาดตัวก็ดูจะเท่ากันหรือต้องให้ทั้งคู่มายืนเทียบกัน
หยางซือมองใบหน้าของหลิ่งเฟยที่ดูสมกับเป็นบุรุษแต่แววตาที่เป็นประกายเหมือนเด็กๆรอยยิ้มประหลาดคล้ายจะสะใจก็ไม่ใช่ดีใจก็ไม่เชิง แต่หยางซือพอดูออกว่าหลิ่งเฟยกำลังคิดอะไรอยู่ในหัว
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่หรือหลิ่งเฟย”
แววตาที่เป็นประกายมองหยางซืออย่างงุนงง ก่อนจะมองซ้ายทีขวาที
"เจ้ากำลังคิดจินตนาการเกี่ยวกับข้าและชายที่กำลังแสดงอยู่ใช่หรือไม่"
ถือเป็นเรื่องน่าแปลกที่จะมีสตรีมาชอบคิดจินตนาการความรักระหว่างบุรุษด้วยกัน
“ข้านึกว่าเจ้าจะไม่รู้เสียอีก”
"สายตาเจ้ามันแสดงออกหมดแล้วละ"หยางซือพูดไปขำไป หลิ่งเฟยเลิ่กลั่กกลอกตาไปมาก่อนแกล้งทำเป็นจิบชา
“เจ้าบาดเจ็บ”เพราะกลิ่นเลือดที่ออกมาจากตัวหยางซือยังคงกวนหลิ่งเฟย หยางซือไม่ตอบแต่ถามกลับแทน
“เจ้ามีธุระที่นี่หรือ”
“บุรุษมาย่านโคมแดงก็ต้องมาหาความสุขสิ”จิ้งจอกเก้าหางในร่างจำแลงบุรุษพูดเหมือนกำลังอวดว่าตนเองจะได้ทำเรื่องที่น่าภูมิใจ หยางซือยิ่งเอ็นดูเข้าไปอีกเพราะความจริงตนเองสังเกตเห็นหลิ่งเฟยตั้งแต่ถูกนายโลมเชิญชวนจนถึงตอนที่กลับมาในร่างบุรุษ
อันที่จริงมันก็สมควรโกรธอยู่ไม่น้อยที่เห็นคนรักมาเดินเพ่นพ่านในย่านโคมแดง แต่พอได้พูดคุยกับเห็นสายตาที่มีชีวิตชีวาของหลิ่งเฟยก็โกรธไม่ลง
“เช่นนั้นไปหอนางโลมเตี้ยฟู่เถอะข้ามีธุระที่นั่น”พูดจบหยางซือก็ลุกขึ้นจ่ายเงินค่าน้ำชา พาหลิ่งเฟยไปยังหอเตี้ยฟู่ หอนางโลมและนายโลมชั้นสูงและเป็นอันดับหนึ่งในย่านโคมแดงของแคว้นฉินที่เลื่องชื่อ
แค่คิดว่าที่หอนางโลมเตี้ยฟู่จะมีสาวงามบุรุษงามให้เชยชมก็อดวาดภาพในหัวไม่ได้ก่อนไปถึง จนกระทั่งได้เห็นซุยฟ่งนอนพิงหมอนใบใหญ่พ่นควันยาสูบออกจากกระบอกยาสูบสีทองที่ทำจากไม้สนแดงชั้นดี
สัตว์เทพอสูรหงส์แดงเป็นเจ้าของหอนางโลมหนำซ้ำยังยังมานอนสูบควันสบายใจใส่อีก ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมถึงไม่สมหวังกับท่านไท่หลงที่เป็นสัตว์เทพอสูรด้านคุณธรรม
"เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่"ซุยฟ่งเคาะยาสูบถามหยางซือที่ได้หายตัวเข้าไปในแคว้นหานและตอนนี้กำลังอยู่ต่อหน้าตนเองพร้อมกับกลิ่นของความตาย
หากเป็นกุยหรือเฟิงหู่คงจะหนีออกไปจากห้องเพราะไม่คุ้นชินกับกลิ่นของความตาย
"การจะหาตัวตนของสัตว์เทพอสูรไม่ใช่เรื่องยากสำหรับข้าหากใช้ความรู้สึกในการสัมผัส"
นัยน์ตาสีแดงจ้องมองหยางซือหากใช้ความรู้สึกจากความตายหาสิ่งที่มีพลังชีวิตก็ถือว่าเป็นไปได้อยู่ แต่ถ้าหากในกรณีที่ปิดกั้นลมปราณหรืออยู่ในรูปลักษณ์อื่นละ จะยังหาเจออีกหรือไม่
"ในเวลานี้แคว้นหานได้ปิดกั้นชายแดนรอบแคว้นไม่ให้ใครเข้าออกไปยกเว้นกลุ่มคนบางกลุ่มที่ดูเหมือนจะต้องพกบางอย่างเอาไว้ถึงจะสามารถเข้าออกแคว้นได้"หยางซือมองหลิ่งเฟยที่กลับมาใช้ร่างปกติ พยายามไม่พูดถึงเรื่องที่ตนเองเป็นมนุษย์ที่เหมือนตายไปแล้ว
ซุยฟ่งก็พอเข้าใจในสิ่งที่หยางซือกำลังสื่อถึง เงื่อนไขในการเข้าออกเขตอาคมแคว้นหานคงจะเป็นเงื่อนไขที่ร่างกายต้องมาจากนรกภูมิหรือไม่มีชีวิตซึ่งหยางซือถือว่าอยู่เงื่อนไขที่สองจึงสามารถเข้าออกได้ ส่วนมนุษย์ที่กล่าวถึงคงจะพกสิ่งของหรือทำบางอย่างให้ตรงกับเงื่อนไขที่สองถึงจะเข้าออกได้"
แล้วเจ้ามาเพื่อแค่จะบอกเรื่องเงื่อนไขในการเข้าออกแคว้นหรือไง"แม้ว่าหยางซือจะมีใบหน้าที่น่าดึงดูดชวนให้น่าหลงใหลกว่าสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางแต่ความน่าหลงใหลนั้นก็ใกล้เคียงกับความงามของสัตว์เทพอสูรหงส์แดงมากเกินไปจนไม่อยากเห็นหน้าของหยางซือนานสักเท่าไรนัก
หยางซือถอดเสื้อแกะผ้าพันแผลออก บาดแผลสีดำคล้ำคล้ายเนื้อเน่าผ่ายาวมาตั้งแต่หัวไหล่จนเลยหน้าอกเห็นได้ชัดว่าศัตรูตั้งใจจะปริชีพหยางซือภายในครั้งเดียว หากเป็นคนอื่นต่อให้อยู่ในระดับลมปราณสวรรค์ก็คงถึงตายเพราะพิษบาดแผลที่ไม่รู้วิธีการรักษา
ถึงจะใช้ลมปราณยับยั้งพิษและใช้สมุนไพรปิดปากแผลเอาไว้ไม่ให้ส่งกลิ่นออกไปรบกวนจมูกคนอื่น แต่บาดแผลก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นตัวแต่ก็ไม่ได้แย่ลงกว่าเดิม
"ข้าขอลองดูหน่อย"หลิ่งเฟยเอามือไปสัมผัสบาดแผลพยายามขับพิษออกมาจากแผลแต่กลายเป็นว่าทำไมให้เลือดมันพุ่งออกมาอย่างรุนแรงจนต้องเอาผ้ามาปิดปากแผลเอาไว้
เลือดสีแดงคล้ำอาบไปทั่งบริเวณที่หยางซือและหลิ่งเฟยนั่งอยู่ หยางซือมองหลิ่งเฟยอย่างกังวลใจว่าอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติเพราะมนุษย์ทั่วไปจะไม่มีเลือดเป็นสีแดงคล้ำออกมามากขนาดนี้ไหนจะเรื่องกลิ่นอีก
"ถ้าเป็นแบบนี้คงมีแต่ต้องชำระล้างใช่หรือไม่"
"ใช่"ซุยฟ่งตอบหลิ่งเฟยที่กำลังปวดใจกับสิ่งที่เห็น ใบหน้าของคนที่กำลังรู้สึกทุกข์ใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา
"แต่ถ้าหากชำระล้างไม่ได้ก็แค่ดึงมันออกมา แต่เจ้าต้องใช้ลมปราณเป็นสื่อกลางแบบนี้"เปลวเพลิงลุกไหม้รอบตัวหยางซือพิษในร่างกายถูกดึงออกมาพร้อมกับเลือดใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วซีดลงไปอีกจนกระทั่งพิษถูกดึงออกมาหมด ซุยฟ่งถือกลุ่มก้อนพิษไว้ในมือที่ตอนนี้เหมือนก้อนเหนียวๆจะเอาไปปาทิ้งมั่วซั่วที่อื่นก็ไม่ได้อีกสุดท้ายเลยเอาใส่หีบใบเล็กที่เอาไว้เก็บกระบอกยาสูบ
หลิ่งเฟยเอาผ้าพันแผลมาปิดปากแผลไว้ให้เหมือนเดิมเพราะรู้ดีว่าร่างกายของหยางซือคงยากที่จะฟื้นฟูหากไม่ได้รับพลังงานชีวิตจากที่อื่น
"เจ้าดูไม่ตกใจเลยนะ"
"ข้ารู้อยู่แล้ว ว่ากายของเจ้าไม่ได้มีชีวิต"น้ำเสียงสั่นเครือ แม้ว่าหยางซือจะยังคงสามารถพูดคุยบอกความรู้สึกหรือแสดงอารมณ์ได้แต่ร่างกายที่ไม่ต่างไปจากหุ่นกระบอกและกำลังเสื่อมถอยลงเรื่อยๆก็ไม่ต่างกับคนที่กำลังจะตาย
"ถ้าจะมาแสดงความรักต่อหน้าข้าก็ไปที่อื่นเลยนะ"ซุยฟ่งที่ไม่ได้สมหวังในความรักไล่ทั้งคู่ทันที
"ที่ข้ามาเพราะข้าคิดว่าท่านน่าจะอ่านมันออก"ม้วนแผ่นไม้สมัยก่อนที่ทำมาจากไม้ไผ่มีลักษณะรูปร่างแคบและยาวนำมาผูกร้อยรวมกันเป็นเล่มโดยใช้เส้นไหมชั้นดีซึ่งเป็นการจดบันทึกที่ในสมัยนี้ไม่มีใครทำกันแล้ว ซุยฟ่งรับมันมาเปิดอ่านเนื้อหาข้างใน
"วันที่สิบสี่ยามซวี รู้สึกได้ถึงความคับแค้นที่แผ่ออกจากไหเมื่อส่องดูก็เห็นแต่สายตาของสัตว์อสูรที่รอดชีวิตแต่ก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ยากจะหยั่งถึงยิ่งกว่าสัตว์อสูรหรือยิ่งกว่าท่านเซี่ยจื้อผู้มาจากนรกภูมิ"
ซุยฟ่งอ่านออกเสียงให้ฟังมันคือบันทึกการทดลองพิธีโคโดกุแต่สิ่งที่ทำให้หลิ่งเฟยรู้สึกแปลกกว่าเดิมคือคำว่าเซี่ยจื้อที่เป็นนามของบุรุษคนหนึ่งโดยยังไม่รู้ว่ามีที่มาอย่างไร สิ่งรู้ก็มีเพียงแค่เซี่ยจื้อมีความเกี่ยวข้องกับไป๋หู่ที่ไม่น่าใช่เพียงแค่คนรู้จัก
"ความคับแค้นความทรมานสายตาที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังไร้ที่สิ้นสุด ความรู้สึกอันดำมืดยิ่งกว่านรกภูมิที่ดูมีความว่างเปล่ามากกว่าหากใช้สิ่งที่มีพลังมากกว่า..."
หลิ่งเฟยที่นั่งฟังรู้สึกคล้ายหน้ามืดจนภาพเบลอไปชั่วครู่ เมื่อกลับมาตั้งสติได้ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนเป็นหุบเหวตรงหน้าสัตว์อสูรนรกที่ซุยฟ่งเรียกมันว่าอสูรกายพยายามปีนขึ้นมาเพราะความร้อนของเพลิงสีนิลกำลังเผาไหม้พวกมัน
กลิ่นเหม็นเหมือนพลาสติกไหม้ เสียงวีดร้องเสียงของเท้าและมือที่พยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาอยากจะหันหน้าหนีแต่ร่างกายกลับไม่ขยับตาจ้องมองไปที่อสูรกายโดยที่ไม่สามารถบังคับร่างกายตนเองได้
"ครั้งหนึ่งข้าเคยสูงส่ง"จิ้งจอกตัวเล็กปรากฏขึ้นมา ทุกอย่างที่เห็นและได้ยินก็หยุดลงไป๋หู่มองไปยังเหวที่ตอนนี้เป็นภาพนิ่งเพราะตนเองได้หยุดความทรงจำเอาไว้เพื่อมาพูดคุยกับหลิ่งเฟย
"และตกต่ำด้วยความโลภและความหยิ่งยโสจนกระทั่งข้าได้มีโอกาสออกไปจากที่นี่"ไป๋หู่ที่ยังจำได้ภาพตรงหน้าได้ดีในวันที่ตนเองเดินเร่ร่อนในนรกภูมิอย่างไร้จุดหมายจนได้มาเจอกับกลุ่มฝูงสัตว์อสูรนรกที่ตกลงไปในเหวโดยไม่ทันระวัง และในตอนนั้นเซี่ยจื้อที่ถือได้ว่าเป็นตัวตนในระดับอสูรกายหรือเหนือกว่าสัตว์อสูรนรกก็ตามมาเซ้าซี้อยากผูกมิตรด้วย
แต่ไป๋หู่ที่ไม่มีอารมณ์จะมาผูกมิตรกับใครก็ไม่ตอบรับมองแต่ภาพอันน่าหดหู่ตรงหน้าเซี่ยจื้อจึงทำการพ่นลูกไฟใส่ให้หายไปจากสายตาของไป๋หู่เพื่อที่จะได้หันมาสนใจตนเอง
"ทำไมท่านถึงหยุดให้ข้าเห็นภาพนี้ละ"
"เห็นอะไรไปมากกว่านี้ก็มีแต่ตัวข้าที่น่าสมเพชในอดีต"
งั้นก็ให้ข้าดูอย่างอื่นก็ได้นี้นา
"เป้าหมายของหวังตงเฉินข้าเองก็เดาไม่ถูกหรอก บางทีคงจะกระหายในความรู้หรืออาจจะแค่อยากอยู่ในจุดสูงสุดตามประสามนุษย์"
"แสดงว่าตัวต้นเหตุก็มีเพียงแค่หวังตงเฉินกับเซี่ยจื้อสินะ"หากตัวปัญหามีแค่สองคนนี้ถือว่าเป้าหมายอยู่ไม่ไกลมาก
"ที่จริงก็มีคนอื่นแต่ไม่มีมนุษย์คนไหนจะอยู่ได้มาเป็นพันๆปีหรอกนะ"
"หวังตงเฉินไม่ได้เป็นมนุษย์หรอกหรือ"
"หวังตงเฉินเป็นมนุษย์แต่คงจะใช้วิชามนต์ดำอะไรของมันช่วยต่ออายุให้อยู่มาถึงตอนนี้"
"งั้นเป้าหมายของเซี่ยจื้อละ"
นัยน์ตาจิ้งจอกกะพริบถี่ทีหนึ่งเมื่อชื่อนี้ถูกเอ่ยออกมา
"ข้าไม่รู้กับมันหรอก"
น้ำเสียงก็ต่างไปจากเดิม ทำให้หลิ่งเฟยยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม
"หากเจ้าอยากรู้มากถึงขนาดนั้นก็จงดูด้วยตาตัวเองแล้วกัน"
ความคิดเห็น