ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เกิดใหม่มาเป็นสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง

    ลำดับตอนที่ #42 : ต้องคิดแบบคนไม่ปกติ(รีไรท์)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.13K
      86
      3 ม.ค. 64

         หลังจากที่หลิ่งเฟยไม่ยอมเดินตามมาพอเห็นไปมองก็พบว่าหลิ่งเฟยยืนนิ่งไปราวกับตกอยู่ในภวังค์แถมยังคลายร่างจำแลงมนุษย์ทำให้ฮ่องเต้ได้แต่ตกใจที่สัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางมาอยู่ที่นี่ ยูซานได้แต่หันมามองขอความช่วยเหลือจากซุยฟ่งเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดี พอจะเข้าไปปลุกซุยฟ่งกลับสัมผัสได้ถึงดวงวิญญาณอีกดวงหนึ่งแม้จะบางเบาจนแทบไม่รู้สึกถึงตัวตน แต่มันก็ยังแปลกอยู่ดี

         "ห่ะ" ยิ่งสีหน้าของหลิ่งเฟยที่กำลังฟ้องว่าซุยฟ่งพูดถึงอะไร ทำให้ซุยฟ่งไม่อยากจะซักไซ้อะไรที่เสียเวลาในตอนนี้

         "ก็อย่างที่เห็น หลิ่งเฟยเป็นจิ้งจอกเก้าหางดังนั้นรีบเอาพันธสัญญาออกมาแล้วทำลายซะที"อะไรที่สามารถจัดการได้ก็อยากทำให้เสร็จๆไป ฮ่องเต้ที่ยังคงตกใจไม่หายมีสีหน้าหนักใจกว่าเดิม

         "พันธสัญญาที่ว่าก็คือตำหนักแห่งนี้ ไม่มีการกล่าวถึงตำหนักอะไรมากนอกจากว่ามันเคยเป็นสถานที่สัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางใช้พักอาศัยอยู่ และก่อนสิ้นใจได้ทำพันธสัญญาไว้ในตำหนักนี้นี่คือข้อความที่ส่งต่อกันมาแต่อดีต" มันคือความลับที่สืบทอดกันมาในแต่ในรัชสมัยของการปกครองนับพันปี ข้อมูลอันน้อยนิด แต่ก็ถือว่ายังดีที่ระบุสถานที่ไว้ให้

         "เข้าใจแล้ว ข้าจะจัดการต่อเอง"

         ฮ่องเต้พาฮองเฮากับองค์รัชทายาทออกมาไม่ให้เกะกะสายตาซุยฟ่ง สัตว์เทพอสูรหงส์แดงแอ่นหลังเงยหน้ามองท้องนภาอย่างหนักใจว่าไม่มีทางที่จิ้งจอกเก้าหางตนก่อนจะวางพันธสัญญาแบบตั้งโชว์ไว้กลางตำหนักไร้ชื่ออย่างแน่นอน 

         ประตูเปิดออกเป็นครั้งแรกในรอบพันปี ภายในตำหนักไร้ฝุ่นไร้หยากไย่ผิดจากที่คาดไว้ แต่ในขณะเดียวกันข้าวของเครื่องใช้กลับไม่มีภายในตำหนักนี้แม้กระทั่งโต๊ะเก้าอี้ก็ยังไม่มีนอกจากห้องที่ถูกแบ่งไว้ในใช้งาน 

         ซุยฟ่งจุดไฟให้ความสว่างแต่ไม่มีคบเพลิงหรือเทียนไขในห้องอีกตามเคย ทำให้หลิ่งเฟยกับยูซานต้องจุดไฟจากลมปราณไว้ในมือให้ความสว่างและเพิ่มระยะทางของการมองเห็น

         วังเวงนิดๆแฮะ

         "ท่านซุยฟ่งเท่าที่ข้าฟังมาดูเหมือนว่าพันธสัญญานั้นจะทำให้แคว้นฉินตกอยู่ในที่นั่งลำบากไม่น้อยเลยนะ" หลิ่งเฟยถามข้อสงสัยคลายความวังเวง ซุยฟ่งที่กำลังค่อยๆเดินสำรวจอธิบายออกไป

         "พันธสัญญาที่ว่ามันออกจะเป็นคำสาปซะมากกว่า พยัคฆ์ขาวตนก่อนบอกว่าจิ้งจอกเก้าหางเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเพื่อเป็นการสำนึกในความผิดบาปของตน ที่ข้ารู้มีเพียงแค่แคว้นฉินจะไม่สามารถทำสงครามกับแคว้นอื่นได้ข้าลองไปค้นประวัติศาสตร์เก่าๆที่เก็บอยู่ตามแต่ละที่ในอดีตก็มีฮ่องเต้ผู้หนึ่งอยากจะขยายอำนาจด้วยการยึดแคว้นหยางแต่สุดท้ายก็ตายคาบังลังก์อย่างเป็นปริศนา"

         ถ้าจิ้งจอกเก้าหางเป็นคนสร้างมันขึ้นมาจริงๆนับว่าท่านได้สร้างปัญหาที่หนักหนามาก

         หลิ่งเฟยนึกเสียดายที่ไม่ถามชื่อจิ้งจอกเก้าหางตนก่อนตอนที่มองพลังให้กับตนเอง ไม่อย่างนั้นก็คงจะได้เรียกชื่อถูก

         "และอีกครั้งหนึ่งที่บังลังก์แคว้นฉินถูกเปลี่ยนแผ่นดินโดยการทำรัฐประหารจากเหล่าคณะขุนนาง เหล่าคณะขุนนางไม่รู้ความลับข้อนี้ได้สังหารฮ่องเต้และสร้างกองทัพขึ้นมา เพียงแค่คืนเดียวข้าเห็นกับตาว่ากองทัพทหารที่ฝึกซ้อมมาดีถูกน้ำท่วมพัดจนกองทัพหายไปในพริบตาเดียว ออกจะดูน่าเชื่อถือและบังเอิญเกินไปที่ตอนนั้นจะเกิดฝนตกติดต่อกันไหนจะทายาทที่ซ่อนตัวอยู่ก็ปรากฏตัวออกมาครองบังลังก์ต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น"

         ซุยฟ่งยังคงจำได้อีกว่าช่วงเวลานั้นหลายแคว้นต่างจับตามองแคว้นฉินที่เกิดการรัฐประหาร แต่สุดท้ายก็สูญเปล่าสายเลือดดั้งเดิมก็กลับมาขึ้นครองบังลังก์ต่อ มนุษย์ทั่วไปต่างคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ซุยฟ่งกลับคิดว่ามันถูกกำหนดตายตัวไว้มาตั้งแต่แรกแล้ว

         "ถ้าเป็นเจ้า เจ้าคิดว่ายังไงเดิมทีข้าคิดว่ามันก็แค่มันเป็นเพียงนิทานแต่พอได้ยินแบบนี้ถึงแม้ว่าบังลังก์แคว้นฉินจะไม่ถูกเปลี่ยนสายเลือดแต่ก็มีวิธีมากมายที่จะครองแคว้นฉิน"แคว้นฉินคือจุดยุทธศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่เพราะมีอาณาเขตติดต่อกับทุกแคว้นไหน หากตัวการที่ก่อเรื่องวุ่นวายที่งานประลองยึดแคว้นฉินขึ้นมาได้การกำจัดก็จะเป็นได้ยาก

         "มันก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป แต่ในเวลานี้การมีพันธสัญญาเป็นข้อเสียมากกว่าข้อดีดังนั้นข้าก็เห็นด้วยที่จะจัดการพันธสัญญา"หลิ่งเฟยเห็นด้วยกับความคิดเห็นของซุยฟ่ง จะอย่างไรแคว้นโจวก็ถือว่าเป็นพวกเดียวกับแคว้นหานไปแล้วหากยังได้แคว้นฉินไปอีกจะเสียเปรียบเป็นอย่างมากต่อให้มีสัตว์เทพอสูรอยู่ก็ตาม

         หลิ่งเฟยเดินสำรวจแต่ละมุมห้องจนครบทุกห้องเช่นเดียวกับคนอื่นที่เดินวนหาพันธสัญญาจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีตกหล่นแม้แต่ตารางนิ้ว แต่กลับไม่เจอพันธสัญญาหรือสิ่งที่บ่งบอกถึงสถานที่เก็บพันธสัญญาที่แท้จริง ทำให้ซุยฟ่งตัดใจที่จะค้นหาและใช้วิธีอื่นแทน

         "หลิ่งเฟย ข้าคิดว่าจะย้อนความทรงจำวิญญาณอีกดวงที่อยู่ในร่างเจ้า"เจ้าของร่างทำหน้างง การแสดงออกทางสีหน้าที่ซุยฟ่งคิดว่าเป็นการแสดงออกที่เสียของเป็นอย่างมาก เกิดมาไม่เคยเจอใครทำหน้าได้ตลกเท่านี้มาก่อน

         "ในร่างกายเจ้ามีวิญญาณอีกดวงหนึ่งถึงแม้จะสัมผัสถึงตัวตนไม่ได้ แต่ข้าคิดว่าวิญญาณดวงนั้นอาจเป็นจิ้งจอกเก้าหางตนก่อน"

         มันก็แค่ความเป็นไปได้ แต่พอได้ยินแบบนั้นกลับไม่รู้แปลกใจเลยสักนิดทำให้หลิ่งเฟยใช้เวลาไม่นานในการตอบตกลงทันที

         "........เอาสิ"

         ยูซานเดินออกมาจากตำหนักเผื่อว่าจะเจอสิ่งที่พอจะเป็นประโยชน์ซึ่งเวลาก็ผ่านไปจนกลายเป็นเวลากลางคืน นอกจากทิวทัศน์อันสวยงามที่เกิดจากตำหนักไร้ชื่อสะท้อนกับแสงจันทร์จนดูสว่างไปทั้งตำหนักแล้วก็ไม่เจออะไรอีกเลย

         "ท่านซุยฟ่ง!"

         ยูซานรีบกลับเข้าไปข้างในเมื่อน้ำเสียงของหลิ่งเฟยฟังดูจะไม่ดีเท่าไรนัก สัตว์เทพอสูรหงส์แดงทรุดลงไปนั่งที่พื้นเลือดไหลออกจากจมูกหลิ่งเฟยรีบเอาแขนเสื้อเช็ดให้อย่างร้อนรนใจก่อนที่ยูซานจะยื่นผ้าเช็ดหน้าของตนเองให้เอาไปเช็ดคราบเลือดต่อ

         "เกิดอะไรขึ้นขอรับ"

         "เมื่อครู่นี้ข้าตกลงกับท่านซุยฟ่งว่าจะย้อนความทรงจำจากดวงวิญญาณอีกดวงหนึ่งที่อยู่ในร่างกายข้า แต่พอข้าหลับตาทำสมาธิท่านซุยฟ่งก็ล้มลงไป"

         "ไอจิ้งจอกเวรนั้นมันเล่นตีพลังกลับใส่ข้า"ซุยฟ่งยืมผ้ามาปิดจมูกซับเลือด มือกำหมัดหากไม่ติดว่าจิ้งจอกเก้าหางในเวลานี้คือหลิ่งเฟยที่ไม่รู้อะไรเลยก็คงจะตบหน้านานไปแล้ว

         เมื่อไม่พบอะไรซุยฟ่งจึงตัดสินใจว่าลำพังแค่นี้คงไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้ จึงกลับไปยังที่พักยูซานขอแยกตัวกลับไปพักกับบิดาตนเองซึ่งไม่ได้อยู่ไกลอะไรมากนักสำหรับลูกครึ่งสัตว์อสูร

         การบาดเจ็บของซุยฟ่งและสิ่งที่ได้รู้มาในวันนี้ทำให้หลิ่งเฟยเริ่มสงสัยในตัวเองว่าสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางตนก่อนที่เป็นผู้ส่งมอบพลังให้กับตนเองเต็มใจที่จะส่งมอบพลังมาให้จริงๆรึเปล่า

         ไหนจะความทรงจำที่เห็นอีก มั่นใจแน่นอนว่าใบหน้านั้นเป็นใบหน้าเดียวกับชายแปลหน้าไม่มีทางที่จำผิดซึ่งนั้นก็หมายความว่าชายแปลกหน้ารู้จักกับจิ้งจอกเก้าหางตนก่อน และมีอายุมามากกว่าหนึ่งพันปีแล้ว

         "ชายแปลกหน้าคนนั้น..เป็นใครกันแน่ มนุษย์หรือว่าสัตว์อสูร"หลิ่งเฟยนอนคิดไม่ตกเพราะไม่ว่าจะอย่างไหนก็คงไม่สามารถกำจัดความได้ว่าชายแปลกหน้าผู้นั้นอยู่ในระดับที่ไม่สามารถจะกำจัดได้ และสิ่งที่น่าสงสัยยิ่งกว่าคือกล่องหกเหลี่ยมใบนั้นมันคืออะไร

         ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายแท้ๆ

         ความปรารถนาเพียงอย่างเดียวที่อยากให้เป็นจริงมากที่สุด ชีวิตที่เป็นอิสระจากทุกสิ่งได้ใช้ชีวิตตามใจชอบแต่ดูเหมือนว่าการเกิดใหม่ก็ไม่ได้แปลว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามอย่างตามใจนึก

         วันรุ่งขึ้นหลิ่งเฟยมองไท่หลงที่กำลังรออยู่หน้าตำหนักไร้ชื่อพร้อมกับซุยฟ่ง ยูซานบอกว่าไท่หลงมาตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นซึ่งนั้นทำให้หลิ่งเฟยกลายเป็นคนมาสายที่สุด

         "ซุยฟ่งส่งจดหมายมาหาข้าการทำลายพันธสัญญาที่เป็นจุดอ่อนก็ถือว่าไม่ได้แย่มาก"ไท่หลงเห็นด้วยกับแผนการของซุยฟ่ง หากปล่อยให้แคว้นฉินถูกยึดไปได้จะเสียเปรียบอย่างมาก

         "ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรนี้นา แต่ว่าเมื่อวานเราหาจนทั่วตำหนักแล้ว"

         "ของสำคัญเช่นนี้คงมีลูกเล่นซ่อนอยู่ไม่ให้คนอื่นแม้กระทั่งสัตว์เทพอสูรก็มองไม่เห็น"

         เหมือนท่านกำลังจะบอกว่าจิ้งจอกเก้าหางเป็นสัตว์เทพอสูรที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ยังไงอย่างงั้น

         ไท่หลงเดินไปสัมผัสกับตำหนักไร้ชื่อก่อนอัดลมปราณเข้าไปจนพื้นดินสั่นสะเทือนไปถึงวังหลวง ฮ่องเต้ที่กำลังออกว่าราชการไม่แปลกใจเท่าไรบอกให้ขุนนางทั้งหลายสงบสติเข้าไว้ เพราะเวลานี้มีสัตว์เทพอสูรสามตนอยู่ในวัง ซึ่งบางคนก็มีสีหน้าไม่อยากเชื่อบางคนก็ผิดแปลกไปจากปกติจนฮ่องเต้คิดว่าวังหลวงเองก็มีหนูสกปรกจากแคว้นหานเข้ามาอยู่ในท้องพระโรงในตอนนี้แล้วเช่นกัน

         ตำหนักไร้ชื่อที่ควรหายไปกลับไม่เป็นอะไร ไม่มีแม้แต่รอยร้าวให้เห็น

         "ตำหนักก็สร้างมาจากหินอ่อนเป็นส่วนใหญ่แต่ไม่เห็นมีอะไรเป็นวัสดุพิเศษ ดังนั้นสิ่งที่ดูดซับลมปราณของไท่หลงคงเป็นสิ่งที่อยู่ในตำหนักนั่นแหละ"ซุยฟ่งเอามือเคาะผนัง มองตำหนักไร้ชื่อไม่ชอบมาพากล และมั่นใจว่าพันธสัญญาต้องถูกเก็บไว้ที่นี่อย่างแน่นอนหากตำหนักจะแข็งแกร่งขนาดนี้

         เมื่อพิสูจน์แล้วว่าตำหนักไร้ชื่อนี้ไม่ได้เป็นแค่ของประดับตั้งโชว์ทั้งหมดจึงเข้าไปค้นตำหนักอีกรอบ ยูซานเดินวนรอบห้องโถงเพราะติดใจบางอย่างในเมื่อวาน

         "ท่านหลิ่งเฟยข้าคิดว่าตำหนักนี้มันแปลกขอรับ"ยูซานเดินเข้ามาบอกหลิ่งเฟย เมื่อวานก็คิดว่าตำหนักนี้แปลกอยู่แล้วและยิ่งมั่นใจเพิ่มขึ้นเมื่อเห็นการกระทำของไท่หลงเมื่อก่อนหน้านี้

         "ทำไมหรือ"อันที่จริงก็แปลกตั้งแต่ไม่มีชื่อเรียกแล้วละ

         "คือว่าผนังของห้องโถงมันไม่กว้างเกินไปหรือขอรับ และความหนาที่เชื่อมกับแต่ละห้องก็ไม่เท่ากันด้วย"ยูซานที่เติบโตมาในโลกใต้ดินเห็นกลไกลูกเล่นมามาก หนึ่งในนั้นคือการซ่อนห้องลับเอาไว้ในฝาผนัง แต่ความหนาก็ผนังก็บางเกินกว่าจะเป็นห้องหนึ่งห้องแต่ถ้ามีไว้เก็บของมีค่าก็ย่อมทำได้

         หลิ่งเฟยรีบหาเชือกมาวัดทาบความหนาของกำแพงแต่ละห้องซึ่งกำแพงละด้านไม่เท่ากันอย่างที่ยูซานพูดถึงจะเล็กน้อย แต่การก่อสร้างตำหนักในวังหลวงและตำหนักที่เคยเป็นที่พักนักของสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางไม่ควรมีข้อบกพร่องแบบนี้

         "ต้องทุบกำแพงออก.."หลิ่งเฟยกำหมัดเพ่งสมาธิไปที่มือก่อนชกใส่กำแพง ซึ่งทำได้เพียงแค่สร้างแรงสั่นสะเทือนแต่ไม่มากพอที่จะทำลายกำแพงได้

         ซุยฟ่งกับไท่หลงรีบมายังห้องโถงเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น แค่ครู่เดียวที่ซุยฟ่งมองเห็นการไหลเวียนของลมปราณลงพื้นและกระจายหายไป

         "เจ้าจะทำลายผนังนี้หรือ"หลิ่งเฟยพยักหน้าแทนคำตอบ ซุยฟ่งอัดลมปราณใส่อีกแรงหนึ่งแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากข้อสังเกตวัสดุที่ใช้สร้างผนังพวกนี้

         "คงไม่ได้หรอกผนังทำมาจากบางอย่างที่แข็งเหมือนเพชรและไหนจะลงอาคมเอาไว้"ซุยฟ่งเคาะผนังหินอ่อนยอมรับว่าคนที่สร้างตำหนักนี้ต้องมีฝีมือมากแน่นอน และผู้ที่ลงอาคมเอาไว้คงเป็นสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง

         "แก้ได้รึเปล่า"ซุยฟ่งถามไท่หลงที่ถนัดเรื่องเขตอาคมเป็นที่สุด 

         "ข้าคิดว่าคนที่จะต้องลงมือแก้คือหลิ่งเฟย ตำหนักดูดซับการโจมตีของข้ากับเจ้าแต่กับหลิ่งเฟยคงพอมีโอกาสที่จะมีการตอบสนองแบบอื่น"

         ความหวังตกไปอยู่ที่หลิ่งเฟย เมื่อไม่วิธีอื่นหลิ่งเฟยเอามือไปทาบกับผนังถ่ายโอนลมปราณเข้าใส่เหมือนตอนสร้างเขตอาคมซ่อนเร้นของเรือนมายา

         เจ้าก็ช่างคิดซะจริงนะ เอาผลึกสัตว์อสูรระดับเหนือสวรรค์มาทำเป็นผนังแบบนี้มนุษย์คนอื่นคงเสียดายตาย

         ตำหนักสีขาวที่ยังคงอยู่ในระหว่างก่อสร้าง ชายที่กำลังถูกจิ้งจอกเก้าหางบ่นยิ้มกว้างอย่างร่าเริงในขณะที่ในมือกำลังถือที่ฉาบปูนซึ่งส่องประกายจากเศษผนึกที่ถูกบดละเอียด

         ตำหนักของท่านไป๋หู่ก็ต้องทำมาจากสิ่งที่ดีสุดสิ ข้าบอกแล้วไงว่าข้าจะดูแลทุกอย่างที่เป็นของท่านเองทั้งท่านและสมบัติของท่าน

         ผนังสีขาวส่องแสงแบ่งออกเป็นเสาแยกตัวออกมาล้อมรอบสามสัตว์เทพอสูรและลูกครึ่งสัตว์อสูร หลิ่งเฟยกลับมาอยู่ปัจจุบันจากเสาแต่ละเสาเชื่อมต่อกันจนกลายเหมือนผืนภาพวาดฝาผนังอันสวยงาม ภาพวาดทางช้างเผือกที่เต็มไปด้วยดวงดาวมากมาย พื้นหินอ่อนกลายเป็นกระเบื้องและหายไปในทันทีทำให้ไม่มีพื้นที่ไว้ยืน

              เอ๊ะ?

         ชื่นชมกับความงามได้ไม่นานทั้งสี่คนก็ร่วงหล่นสู่หลุมลึกยูซานกางปีนบินก่อนจับแขนหลิ่งเฟยเอาไว้ ซุยฟ่งไท่หลงลอยตัวกลางอากาศมาอยู่ในความสูงระดับเดียวกับยูซาน ประตูที่เปิดอยู่ด้านบนก็หายไปแล้วทำให้พื้นที่โดยรอบเป็นเหมือนหลุมลึกที่ไม่มีทางกลับขึ้นไป

         "นี้เป็นกับดักสินะ!"ซุยฟ่งประสาทเสียกับความโง่เง่าของตนเองที่มาติดกับดักอันสวยหรูของตำหนักไร้ชื่อ ไท่หลงมองซุยฟ่งอย่างหนักใจและยอมรับว่าจะเรื่องกับดักที่พื้นเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายมากที่สุดเท่าที่เจอมา

         "ไม่หรอกนี้เป็นทางเข้านะ"หลิ่งเฟยพอเข้าใจระบบการทำงานที่จะไปสู่ห้องลับที่เป็นห้องเก็บทรัพย์สมบัติทั้งหมดของจิ้งจอกเก้าหางในอดีต แต่เพราะมัวแต่ตกตะลึงกับความสวยงามทำให้ขั้นตอนการถ่ายโอนลมปราณนั้นขาดตอนจึงเป็นเหตุทำให้ตกอยู่ในช่องว่างของทางเข้าปริศนา

              เหมือนประตูวาปไปยังแผนที่อื่นในเกมRPGเลย นับถือคนสร้างที่เอาผนึกสัตว์อสูรมาสร้างของแบบนี้จริงๆ

              "ทางเข้าบ้านไหนที่ทำเป็นหลุมกัน!"

              ทางเข้าบ้านนี้ไง

              "ใจเย็นซุยฟ่ง หลิ่งเฟยอาจคิดอะไรออกก็ได้ใช่ไหม"ไท่หลงที่ไม่อยากติดอยู่ในหลุมนานคาดหวังในตัวหลิ่งเฟยว่าจะหาทางออกได้

              หลิ่งเฟยลอยไปยังริมสุดของผนังซึ่งความกว้างก็พอดีกับห้องโถงในตอนแรก มือทาบกับผนังอีกครั้งลวดลายอักษระอันซับซ้อนปรากฏออกมาก่อนที่จะหายไปและปรากฏห้องที่กว้างใหญ่สุดหูสุดตาเต็มไปด้วยสมบัติมากมายภายในห้อง

              ตาของซุยฟ่งเป็นประกายเมื่อได้เห็นผ้าแพรผ้าไหมและเครื่องประดับที่ถูกจัดวางเป็นระเบียบกองสูงยาวยิ่งกว่าห้องเก็บสมบัติของเชื้อพระวงศ์ ข้างของเครื่องอันมีค่าถูกประดับด้วยเพชรพลอยผลึกสัตว์อสูรจนส่องแสงระยิบระยับทุกครั้งที่มอง

              "ท่านเคยบอกว่าครั้งหนึ่งแคว้นฉินเคยยิ่งใหญ่จากการปกครองของสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางสินะ"ทรัพย์สมบัติมากมายในอดีตอยู่เก็บซ่อนไว้ในที่นี้ ห้องลับที่เป็นมิติซ้อนทับกับตำหนักไร้ชื่อ ซึ่งทางเข้าก็คือห้องโถง

              "ที่นี่มันถูกสร้างโดยคู่สัญญาจิ้งจอกเก้าหางเพื่อเก็บรักษาสมบัติทั้งหมดของท่านไป๋หู่"หลิ่งเฟยเอ่ยนามจิ้งจอกเก้าในอดีตจะได้ไม่รู้สึกอึดอัดใจเวลาซุยฟ่งโมโหและพูดถึงอีก 

         "เจ้าเห็นมันจากความทรงจำสินะ แล้วพันธสัญญาละมันอยู่ที่ไหน"ซุยฟ่งอารมณ์ดีอีกครั้ง หลิ่งเฟยชี้นิ้วขึ้นด้านบนเป็นนัยว่าเพดานที่ทางเข้าที่ตกลงมาในตอนแรกนั่นแหละคือพันธสัญญา

              ไท่หลงเอาแขนเสื้อปิดหน้า ยูซานเริ่มสงสารซุยฟ่งที่เหมือนจะถูกปั่นหัวจากผู้ที่ตายไปแล้วได้แต่ภาวนาในใจว่าจะไม่มีใครสร้างสถานที่แบบนี้ขึ้นอีก

              ถ้วยน้ำชาสีขาวเคลือบขอบทอง ชาพันปีถูกเอามาดื่มสงบจิตสงบใจโต๊ะน้ำชาที่หาได้จากคลังสมบัติของจิ้งจอกเก้าหางที่ชื่อไป๋หู่ ยูซานรินชาให้ทั้งสามสัตว์เทพอสูรอย่างดี

              "เอาละ ในเมื่อก็รู้แล้วว่าพันธสัญญาคือพื้นกระเบื้องนั้นงั้นข้าขอรวบรวมข้อมูลหน่อยนะ"ไท่หลงพาซุยฟ่งมานั่งสงบอารมณ์สติ โชคดีที่ห้องนี้มีทุกอย่างพร้อมหมดถึงแม้ว่าของกินจะไม่สามารถกินได้ก็ตามนอกจากใบชาที่เก็บมานับพันปี

              "เจ้าบอกเห็นชายแปลกหน้าในความทรงจำและชายแปลกหน้าผู้นั้นคือคนเดียวที่เฟิงหู่ขวางการมองเห็นเมื่อตอนงานประลอง"

              "ใช่ ข้าสามารถวาดรูปได้ด้วยนะ"หลิ่งเฟยหยิบกระดาษกับดินสอออกมาวาดภาพสเก็ต 

              "ข้าก็เห็นคนนี้ในความทรงจำของสัตว์อสูรในงานประลองเช่นกัน"ซุยฟ่งหยิบภาพสเก็ตมาดูให้แน่ใจว่าไม่ได้มองผิด 

              "เช่นนั้นผู้ที่เราต้องกำจัดคือคนทำพิธีที่ชื่อหวังตงเฉินและชายแปลกหน้าคนนี้สินะ ข้าจะนำเรื่องนี้ไปบอกกุยกับเฟิงหู่เอง"ไท่หลงขอภาพสเก็ตจากหลิ่งเฟย เพราะเอาไปให้กุยดูว่าคนนี้คือคนที่ควรกำจัดถ้าหากเป็นไปได้ น่าเสียดายที่ภาพความทรงจำที่ซุยฟ่งเห็นว่ามันช่างเลือนรางและมืดมนเลยไม่เห็นใบหน้าของคนที่ชื่อหวังตงเฉิน

              หลิ่งเฟยพากลับมาที่ตำหนัก ซุยฟ่งอดทึ่งไม่ได้กับการทำงานอันน่าพิศวงของประตูทางเข้า

              "เจ้าจะไปไหน" ซุยฟ่งถามหลิ่งเฟยที่กำลังเดินออกจากตำหนัก

              "ก็พันธสัญญาคือพื้นของตำหนัก"หลิ่งเฟยพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติแต่ไม่ใช่กับซุยฟ่งและไท่หลงที่มองว่าพันธสัญญาเป็นของสำคัญมันไม่น่ามีใครเอามาทำเป็นพื้น

              แต่ถ้าคนทำคือสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางกับคู่สัญญาที่เป็นคนสร้างห้องเก็บสมบัติก็อีกเรื่องหนึ่ง

              เราควรชินกับเรื่องแบบนี้

              สองสัตว์เทพอสูรบอกกับตัวเองในใจ มีเพียงแค่ยูซานที่คิดว่าก็ไม่ได้ผิดอะไรเพราะมนุษย์มักซ่อนของสำคัญไว้ในที่ที่คาดไม่ถึงเสมอ

         เมื่อออกมาจากตำหนักครบทุกคนหลิ่งเฟยปิดประตู มือเคาะลงไปสามครั้งตำหนักสีขาวหายไปราวกับเป็นเพียงแค่ภาพยามาเหลือเพียงแค่พื้นกระเบื้องสีขาวที่ปรากฏลวดลายเป็นกระดองเต่าสีดำและมีตัวอักษรสีทองกำลังขึ้นเรียงลงมาทีละบรรทัด ทำให้รู้ว่าพันธสัญญาสร้างมาจากกระดองเต่าดำในอดีต และเปลี่ยนลวดลายมาเป็นตัวอักษร

              คนที่จะทำเช่นนนี้ได้นอกมีความคิดที่ไม่ปกติแล้วต้องเป็นที่มากวิชาความรู้ด้วย

              "ข้าอ่านมันไม่ออก"เป็นครั้งแรกที่หลิ่งเฟยเห็นตัวอักษรแบบนี้ ซึ่งเป็นตัวอักษรที่ใช้กันเมื่อหนึ่งพันปีก่อนซึ่งตัวอักษรในปัจจุบันเป็นตัวอักษรที่ถูกพัฒนามาจากในอดีต

         "ในนามของผู้ก่อตั้งแคว้นฉินและในนามสัตว์เทพอสูรที่ร่วงหล่นจากสวรรค์ พันธสัญญานี้จะมีผลหลังจากที่ผู้สร้างทั้งสองได้สิ้นชีพ เขตอาคมฟ้ามีตาจะเป็นสิ่งควบคุม สงครามจะไม่ก่อเกิด สายเลือดจะไม่เปลี่ยนบัลลังก์ เส้นทางสู่ปลายทางจะเป็นเครื่องมือสำหรับการเปลี่ยนแปลง  ไป๋หู่"

              ซุยฟ่งที่พออ่านออกได้อ่านให้ฟัง 

      "แบบนี้ก็ยากแล้วละ พันธสัญญาแบบนี้ไม่น่าแก้อะไรได้ยิ่งมาจากกระดองเต่าดำด้วยแล้วการทำลายพันธสัญญานั้นเลิกคิดได้เลย"สัตว์เทพอสูรเต่าดำขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่งด้านป้องกัน คนที่สร้างพันธสัญญานอกจากจะคิดมาดีแล้วยังถือว่ากล้ามากที่เอากระดองสัตว์เทพอสูรมาปูเป็นพื้นกระเบื้องแบบนี้

         "งั้นถ้าแก้ข้อความในนี้ละ เมื่อกี้นี้ท่านก็พูดเหมือนว่ามันยังมีทางแก้อยู่นะ"

         "เจ้าอ่านมันออกหรือไม่"ไท่หลงชี้ปัญหา หลิ่งเฟยส่ายหน้า

         "นั่นแหละปัญหา เพราะคนที่จะแก้ได้คือคนที่สร้างมันขึ้นมาซึ่งทั้งข้าและซุยฟ่งไม่สามารถทำอะไร มีแค่เจ้าที่ยังพอเป็นไปได้แต่รูปแบบตัวอักษรไม่เหมือนที่ใช้ในปัจจุบัน"

         "งั้นก็เขียนใหม่สิ"

         ไท่หลงมองหลิ่งเฟยอย่างไม่เชื่อว่าไอที่ได้ยินเมื่อกี้คือสิ่งที่ออกมาปากเพราะมันดูเหมือนคนไม่มีการศึกษาว่าการเปลี่ยนแปลงพันธสัญญาหรือวิชาอะไรก็ตามที่ใช้ตัวอักษรในการทำงานหากจะเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน ก็ต้องจัดเรียงลำดับเรียงตัวอักษรใหม่หากคนที่สร้างหรือคนทำอยู่ในระดับลมปราณเหนือสวรรค์ขึ้นไปการแก้ไขลำดับตัวอักษรนั้นจะเป็นสิ่งที่ยากมาก

         "ฟังนะหลิ่งเฟยการแก้ไขลำดับลมปราณมันมีขั้นตอนในการแก้ไข"ไท่หลงอธิบายหลักการทำงาน ซุยฟ่งยูซานมองหน้าหลิ่งเฟยที่ยิ้มเหมือนพึ่งรับรู้เรื่องนี้ซึ่งมันก็ไม่แปลก เพราะสัตว์เทพอสูรก็แค่มีพลังอำนาจที่เหนือชั้นกว่าสัตว์อสูรทั่วไปขั้นหนึ่ง ดังนั้นการจะรู้วิชาแบบนี้คงมีแต่ไท่หลงที่อยู่กับมนุษย์มานานกับซุยฟ่ง

         ยุ่งยากสุดๆ

         ยืนฟังมาเกือบหนึ่งชั่วยามสิ่งที่คิดออกมีเพียงเท่านี้ 

         "งั้นข้าขอลองดูก่อนแล้วกัน"ไม่พูดเปล่า แต่หลิ่งเฟยลองเอามือไปวางทาบพันธสัญญา ตัวอักษรเรืองแสงโซ่ผุดออกมาจากแผ่นพันธสัญญาพันแขนหลิ่งเฟยจนแน่น ยูซานรีบเข้าไปดึงโซ่ออกมาแต่โซ่และโผล่ต่อออกมาจากโซ่อีกทีพันยูซานจนไปถึงปีก

         "พวกเจ้าเล่นซนอะไรกันเนี้ย"สุดท้ายก็ลงเอ่ยด้วยการติดกับดักซุยฟ่งกอดอกยืนเฉย หลิ่งเฟยยิ้มแห้งก่อนลงไปนั่งทับพันธสัญญาคราวนี้โซ่พันทั่วทั้งร่าง

         "............."ซุยฟ่งพูดไม่ออก ดูก็รู้ว่าหลิ่งเฟยนั้นจงใจ

         โซ่ดึงร่างหลิ่งเฟยจมเข้าไปในแผ่นพันธสัญญา เหลือยูซานยังคงอยู่ที่เดิม

         ราวกับกำลังจมลงไปในมหาสมุทร โซ่ที่ตรึงร่างไว้หายไปหลิ่งเฟยพลิกตัวไม่จำเป็นต้องกลั้นหายใจเหมือนตอนอยู่ในน้ำ และข้างในพันธสัญญาก็รู้สึกเย็นสบายด้วย

         "มันอาจจะลำบากไปหน่อย แต่มันจะง่ายกว่าหากแก้จากข้างในเลย"จิ้งจอกตัวน้อยสีขาวปรากฏตัวขึ้นมาอยู่ข้างกายหลิ่งเฟยรู้ทันทีว่านี้คือจิ้งจอกตัวเดียวกับที่ตนเองเจอในครั้งแรก

         "ท่านไป๋หู่?"

         "เจ้าคงเห็นความทรงจำของข้าที่อยู่ภายในพลังแล้ว และดูจากสถานการณ์แล้วเหมือนจะแย่กว่าเมื่อพันปีก่อนเยอะเลย"ม้วนกระดาษโผล่มาอยู่ตรงหน้า ในมือถือพู่กันตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

         "ตอนที่ข้ารู้ว่าพลังของข้านั้นไม่สมบูรณ์ ข้าก็แอบน้อยใจท่านนิดหน่อยเหมือนกัน"

         "เจ้าหงส์แดงมันซี้ซั้วพูดเอง ข้าส่งมอบพลังให้เจ้าอย่างสมบูรณ์ไปนานแล้วตัวตนของข้าในตอนนี้เป็นเพียงแค่เศษของดวงวิญญาณที่ข้าเผื่อเอาไว้สำหรับเรื่องแบบนี้ ตอนนี้ข้าไม่มีพลังแม้กระทั่งจะทำร้ายใครด้วยซ้ำ"ไป๋หู่ไปอยู่ตรงหน้าหลิ่งเฟย ดวงตากลมสีเงินของจิ้งจอกกำลังจ้อมมองหลิ่งเฟยทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของหลิ่งเฟย การแก้ไขพันธสัญญาก็มีเพียงแค่หลิ่งเฟยเท่านั้นที่ทำได้

         "ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นของข้ามันเป็นของเจ้าแล้ว"

         เหมือนถูกโยนภาระการตัดสินใจมาที่หลิ่งเฟยตัวคนเดียว แต่แค่นี้ก็ไม่หนักหนาสาหัสเท่ากับตอนที่ถูกบังคับให้ต้องเรียนให้ได้อันดับที่หนึ่งของมหาลัยและต้องรักษาหน้าตาของวงศ์ตระกูลในชาติก่อนด้วยซ้ำ

         ก็แค่เลือกในสิ่งที่ถูกต้องสำหรับเรา








    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×