คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : ร่างกายคนเราเป็นเหมือนแก้วใบหนึ่ง(รีไรท์)
แฮ่ก แฮ่ก
เสียงหอบดังขึ้นเพราะอากาศที่ร้อนจัดจากแสงอาทิตย์ที่อยู่กลางท้องฟ้าอย่างพอดิบพอดี ใบหน้าแดงอย่างเห็นได้ชัดถึงแม้จะเป็นบุรุษและเป็นถึงรองแม่ทัพก็ตาม
“ดาบของเจ้าฟันไม่โดนข้าเลยนะถังอี๋ นี่เจ้าเหนื่อยแล้วอย่างนั้นหรือ”
หลิ่งเฟยถือกระบี่ไม้ใช้แทนดาบจริงในการฝึกซ้อมเมื่อหลายวันก่อนได้ขอให้ฮ่องเต้สั่งพักงานคู่ฝาแฝดรองแม่ทัพเพื่อให้มีเวลาเต็มที่กับการฝึกนรก แต่เพราะด้วยสถานการณ์บ้านเมืองที่เริ่มมีผู้ไม่หวังเข้ามาสร้างความเดือดร้อนอยู่เรื่อยๆ ไหนจะขุนนางที่คิดทุจริตอีก ฮ่องเต้จึงไม่อาจอนุญาตให้สั่งพักงานพร้อมกันทั้งสองคนได้แต่อนุโลมให้ใช้พื้นที่ในราชวังเป็นสถานที่ฝึกซ้อมได้เป็นกรณีพิเศษ
หลิ่งเฟยจึงจัดการให้ทั้งสองคนมาผลัดกันซ้อมคนละวัน
ฮ่องเต้ก็เข้าใจคิดดีนะ อนุญาตให้ใช้พื้นที่สนามฝึกซ้อมได้ตามสบายจะได้อยู่ในสายตาพระองค์ดูอย่างตอนนี้สิมีนางกำนัลกับขันทีมองอยู่เรื่อยๆ เลย
ดาบมารพิภพฟันอากาศครั้งแล้วครั้งเล่า หลิ่งเฟยหลบหลีกไปมาเหมือนกับว่าทักษะดาบของถังอี๋นั้นไม่สามารถทำอะไรนางได้
อย่างที่คิดเอาไว้เลยถังอี๋ยังด๋อยประสบการณ์การมองหาจุดอ่อนและโอกาสในการโจมตี เพราะมัวแต่คิดจะพึ่งแต่พลังลมปราณขืนเป็นแบบนี้สักวันคงถูกศัตรูเล่นงานใส่จุดตายแน่นอน
ดาบมารพิภพถูกฟันเข้ามาครั้งนี่หลิ่งเฟยจงใจไม่หลบแต่ใช้มือห่อหุ้มด้วยลมปราณเล็กน้อยกดดาบให้จมดินก่อนจะเตะที่ไปที่หัวไหล่โดยที่ไม่มีการออมแรงเอาไว้
กร๊อบ
เพราะไม่มีการออมแรงแต่มีการเล็งจุดเอาไว้อยู่แล้วกระดูกหัวไหล่จึงหลุดทันที ถังอี๋ได้แต่ก้มลงไปกุมหัวไหล่เพราะความเจ็บปวดที่ไม่ได้รู้สึกมานานจากอาการกระดูกหัก ครั้งล่าสุดก็เป็นตอนที่เฟิงหู่โยนตนเองออกไปจากเรือนมายาจนกระดูกในร่างกายแตกแทบทั้งหมด
“ฟังให้ดีถังอี๋นี่คือจุดบกพร่องที่ข้าพบในวันนี่ หนึ่งเจ้าพึ่งพลังลมปราณมากเกินไป สองเจ้าเอาฟันดาบมารพิภพอย่างโง่ๆ จนมันกลายเป็นเพียงแค่ดาบยักษ์โง่ๆ สามเจ้าไม่คิดพลิกแพลงการใช้ดาบให้มันใช้ได้มากกว่านี่ อย่าลืมสิว่าดาบเล่มนี่ทำมาจากสัตว์เทพอสูรเต่าดำ”
ท่ามกลางการอบรมสั่งสอนของหลิ่งเฟยก็มีเหล่านางกำนัลและขันนางมามุงดูอย่างสนใจน้อยครั้งที่จะได้เห็นผู้อื่นนอกจากคนในราชวงศ์มาใช้สนามซ้อมดาบ และน้อยครั้งที่อาจารย์ผู้สอนจะเป็นสตรี ถึงแคว้นหยางจะเปิดเสรีทางเพศก็ตาม
และเหล่านางกำนัลขันทีก็ต้องตกใจเมื่อมีผู้หนึ่งบินลงมาจากฟ้า เป็นชายรูปงามน่ามอง ปีกสีดำสนิทบินลงมาหาบุคคลที่อยู่กลางสนามซ้อม
“ท่านหลิ่งเฟยท่านเฟิงหู่ให้มาแจ้งข่าวแก่ท่าน”
ยูซานคำนับผู้ที่เป็นดั่งเจ้าชีวิตสายตาเหลือบมองคนเจ็บที่จำได้ว่าเป็นมนุษย์ที่เคยพักอาศัยอยู่ที่เรือนมายา แม้จะมีเสื้อบังไว้อยู่แต่จากประสบการณ์คนที่เจ็บตัวอยู่บ่อยๆ ก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายหัวไหล่หลุด ยูซานหันไปมองขอความเห็นจากหลิ่งเฟย เพราะอยากจะออกไปจากตรงนี้โดยเร็ว เนื่องจากไม่ชินกับสายตาสอดรู้สอดเห็น มันแตกต่างจากสายตาที่เหยียดหยามที่เคยได้รับมา
“ไปหาหมอหลวงซะแล้วข้าจะตามไปทีหลัง”
“ขอบพระคุณที่ชี้แนะ”
ถังอี๋ก้มหัวให้ก่อนจะเดินออกไปจากสนาม ก่อนจะถอดหายใจอย่างโล่งอกที่การซ้อมจบลงแล้วแถมตอนนี้ไหล่ก็มาหลุดวันแรกก็ถูกอัดลมปราณเข้าใส่เพื่อให้รับรู้ถึงระดับลมปราณจุติสวรรค์จนร้องแทบไม่ออก
“ไม่ต้องห่วงเรื่องวิชาการปฐมพยาบาลข้าไปตามไปอัดใส่หัวทีหลัง เจ้ามีเวลาสองชั่วยามที่จะได้พัก”
ไม่นะ!!
รองแม่ทัพสายบู๊อ้าปากค้าง คิดว่าการฝึกนรกจะจบลงแล้วไม่นึกว่าบุคคลที่เลี้ยงตนเองจนเป็นดั่งเหมือนลูกเหมือนหลานจะใจแข็งอัดวิชาความรู้ใส่ตลอดทั้งวัน ตั้งแต่การฝึกวิชาการต่อสู้ไปจนกลยุทธ์แล้วตอนนี่ยังเป็นวิชาการแพทย์!
นางกำนัลที่แอบปลาบปลื้มรองแม่ทัพที่มาฝึกซ้อมก็เข้ามาถามหาอย่างเป็นห่วงยกน้ำยกผ้ามาเช็ดมาป้อนอย่างเต็มใจ หากเป็นยามปกติถังอี๋คงชอบแต่ตอนนี่ตนเองมีเวลาเพียงแค่สองชั่วยามในการกินแล้วนอนจึงรีบขอตัวไปหาหมอหลวงเพื่อทำการรักษา
“ไปหาที่คุยกันเถอะยูซาน”
“ขอรับ”
เสียงกิ่งไม้ในสวนสั่นไหว ไร้ผู้คนเดินผ่านมีเพียงสัตว์เทพอสูรและลูกครึ่งยืนอยู่ หลิ่งเฟยปาก้อนหินให้มันกระดอนไปกับผิวน้ำแก้เบื่อ
“ท่านเฟิงหู่เชิญท่านให้ไปงานเทศกาลชมดอกไม้ที่จะมาถึงในอีกสองเดือนข้างหน้าขอรับ”
มีเวลาตั้งสองเดือนนี่จะรีบเชิญไปถึงไหนกัน แล้วเฟิงหู่ไม่ได้คิดเป็นคนเชิญแน่ๆ ไปคนเดียวตั้งหลายปีพึ่งมาขอให้ไปด้วยมันแปลกเกินไปแล้ว
“เจ้ารู้เหตุผลรึเปล่า”
“ขออภัยด้วย ข้าเองก็ไม่ทราบ”
งั้นหรือ ช่างเถอะค่อยไปถามทีหลังแล้วกัน
“แล้วเจ้าสนใจจะไปด้วยรึเปล่าล่ะ”
ยูซานส่ายหน้าแทนคำตอบ
เออข้ามันโง่เองที่ถามออกไปให้ลูกครึ่งสัตว์อสูรไปออกงานสังคมมันก็ยังไงๆ อยู่ ให้พาเหม่ยเหมยไปด้วยก็กลัวว่าจะมีคนจำได้อีก ปฏิเสธเฟิงหู่ก็เท่ากับว่าปฏิเสธแคว้นหยิ่ง ปฏิเสธแคว้นหยิ่งก็เท่ากับปฏิเสธมังกรฟ้า ยุ่งยากเสียจริง
“งั้นเหรอ ช่างเถอะแล้วพรุ่งนี้เจ้าว่างรึเปล่า”
การที่ยูซานปฏิเสธก็นับว่าน่าเสียดาย ให้พาเหม่ยเหมยไปด้วยก็กลัวจะมีคนจำนางได้ปฏิเสธเฟิงหูก็เท่ากับว่าปฏิเสธแคว้นหยิ่งซึ่งไม่ต่างกับการปฏิเสธสัตว์เทพอสูรมังกรฟ้า
ยุ่งยากเสียจริง
“ขอรับ การสร้างศาลาเสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ”
ศาลาที่เอาไว้เป็นสถานที่พักผ่อนเพื่อตามใจเหม่ยเหมยเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวันก่อน หลิ่งเฟยมองสระน้ำตรงหน้าในหัวนึกเรื่องดีๆออกได้เรื่องหนึ่ง
“อืม ดีแล้วข้าอยากให้เจ้าเป็นคู่ซ้อมให้กับไอ๋อั๋นในวันพรุ่งนี้ถือว่าเป็นการฝึกเจ้าไปในตัวด้วย”
ยูซานถึงจะมีร่างกายที่แข็งแกร่งแต่ระดับลมปราณยังอยู่เพียงแค่ขั้นต้น ให้เป็นคู่ซ้อมไอ๋อั๋นที่เป็นคนอัธยาศัยดีคงจะไม่แย่เท่าไร ในยุทธภพนี่มีผู้แข็งแกร่งมากมายหากยูซานยังไม่แข็งแกร่งขึ้นก็คงไม่สามารถปกป้องสหายตัวน้อยอย่างซงได้
“ขอรับ”
แม้จะมีข้อสงสัยแต่สิ่งที่หลิ่งเฟยกล่าวมาก็ไม่มีสิ่งไหนที่เป็นสิ่งไม่ดี บุคคลที่ชื่อไอ๋อั๋นก็ดูเป็นคนดีและเหมือนจะมีนิสัยที่คล้ายตนเองอยู่หลายส่วนไม่เหมือนอีกคนหนึ่งที่มีหน้าตาเหมือนกันแต่การพูดการจานั่นค่อนข้างไม่น่าเข้าหาด้วย
เมื่อเสร็จธุระแล้วยูซานจึงขอตัวกลับไปที่เรือนมายา เพราะต้องไปช่วยชุนทำงานที่เรือนมายาไปพร้อมๆ กับการเรียนรู้งาน หลิ่งเฟยจึงวานให้เอาตำราการฝึกวรยุทธ์สองเล่มที่อยู่ชั้นสามมาให้ในวันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้ก็ต้องฝึกไอ๋อั๋นในการต่อสู้ระยะประชิดตัวต่อตัวอีก หวังว่าเราคงไม่เข้มงวดจนเกินไปนะ
.
.
“ท่านหลิ่งเฟยข้าขอพักสักประเดี๋ยวเถอะขอรับ”
ไอ๋อั๋นหายใจหอบจนหน้าแดง มือจับเข่าเพื่อไม่ให้ล้มลงไปไอ๋อั๋นเป็นเหมือนสมองของกองทัพไม่ถนัดการใช้แรงหรือการต่อสู้ระยะประชิดเหมือนถังอี๋ ที่ผ่านมาก็มักจะฝึกการใช้ธนูและลมปราณไม่ค่อยมาลงสนามฝึกซ้อมเท่าไรยูซานหยุดมือเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด ที่จริงตนเองก็เหนื่อยเช่นกันแต่ก็สามารถฟื้นฟูพลังกลับมาได้อย่างไวไม่เหมือนไอ๋อั๋นที่พลังลมปราณยังมีเหลือ แต่พลังกายนั่นได้หมดลงแล้ว
“ได้ งั้นเจ้าไปวิ่งรอบตำหนักนั้นสัก 50 รอบแล้วกันแล้วค่อยกลับมาซ้อมต่อ”
ไอ๋อั๋นยิ้มหน้าซีดทันทีเพราะสถิติการวิ่งของตนเองคือ 30 รอบส่งสายตาขอความเห็นใจจากหลิ่งเฟย แต่โชคร้ายนักที่คนเป็นอาจารย์ไม่ได้ใจอ่อน หลิ่งเฟยยิ้มอย่างชั่วร้ายไอ๋อั๋นรู้ทันทีว่าหากตนเองยังไม่ออกไปวิ่งอีกคงได้วิ่งเพิ่มเป็นเท่าตัวอย่างแน่นอน
“ไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือขอรับ ท่านไอ๋อั๋นเพิ่งจะอายุ 17 ปีเอง”
“เพราะอายุ 17 ปีเนี่ยแหละข้าถึงต้องเข้มงวดจะโทษก็ต้องโทษตำแหน่งรองแม่ทัพ เป็นถึงรองแม่ทัพถึงระดับลมปราณจะสูงกว่าคนวัยเดียวกันแต่พลังกายกลับไม่ไปตามด้วยกัน”
ยูซานทำหน้าไม่เข้าใจว่าหลิ่งเฟยพูดอะไรอยู่ หลิ่งเฟยจึงทำการอธิบายเพิ่มให้ยูซานได้รับรู้ไว้
“ฟังนะยูซาน ร่างกายของมนุษย์นั่นเปาะบางเปรียบเหมือนแก้วใบหนึ่งที่บรรจุน้ำเอาไว้”
ยูซานยืนฟังอย่างตั้งใจเพราะมันคือความรู้ที่หลิ่งเฟยจะสอนให้
“ร่างกายของถังอี๋และไอ๋อั๋นยังอยู่ในขั้นเจริญวัย จึงไม่มีผลกระทบมากนักแต่ในวันข้างหน้าวันที่ทั้งสองคนได้ไปถึงระดับจุติสวรรค์หากร่างกายปรับตัวไม่ทันคงไม่พ้นความเจ็บปวดที่แสนสาหัสอย่างแน่นอน และมันอาจถึงตายได้”
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับท่านช่างเป็นคนที่ใจดีอย่างคาดไม่ถึงจริงๆ”
เมื่อได้ฟังเหตุผลที่หลิ่งเฟยต้องเข้มงวดแบบนี้ ยูซานหันยิ้มให้หลิ่งเฟยที่ยืนกอดอกมองคนกำลังวิ่ง
“ท่านอาจารย์หลิ่งเฟย ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชาให้เข้าพบ"
เพราะมัวแต่คุยกันจนไม่ได้สังเกตเห็นว่าขันทีที่มาแจ้งข่าวได้เข้ามาใกล้ หลิ่งเฟยพยักหน้าก่อนจะหันไปมองคนที่แอบวิ่งอย่างช้าๆ เพื่อซื้อเวลาในการพักให้ได้มากที่สุด
“หากไอ๋อั๋นวิ่งเสร็จตอนไหนก็ให้ซ้อมวรยุทธ์ต่อนะยูซาน คอยเฝ้าไว้ละอย่าให้โกงแม้แต่รอบเดียว”
“ขอรับ”
เมื่อสั่งเสร็จเรียบร้อย หลิ่งเฟยจึงให้ขันทีนำทางไปหาฮ่องเต้คราวนี้เป็นห้องทรงงานไม่ใช่ท้องพระโรง ม้วนกระดาษแผ่นไม้มากมายวางกองไว้บนโต๊ะภายในห้องมีขุนนางเพียงไม่กี่คน กับฮ่องเต้ที่นั่งประทับที่โต๊ะกีฏาและนอกเหนือจากนั้นเป็นบุรุษผู้หนึ่งที่มีรอยเลือดสีดำเต็มตัว ส่งกลิ่นไม่พึ่งประสงค์ออกมาแต่ดูเหมือนว่ามนุษย์จะไม่ได้กลิ่นที่หลิ่งเฟยได้กลิ่น
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเพคะ”
เมื่อไม่มีใครพูดออกมา หลิ่งเฟยถามถึงทุกคนที่อยู่ในห้องต่างคนต่างทำหน้าเครียด
“วันนี้สายของเราที่ได้ส่งไปยังแคว้นหานได้พบกับสิ่งที่น่าจะเกิดมาจากพิธีกรรม”
“........” จะให้ข้ายืนฟังแบบนี้จริงๆ หรือ
“เจ้าเล่าสิ่งที่เจ้าได้พบเห็นให้ท่านอาจารย์ผู้นี้ฟังหน่อย”
“พ่ะย่ะค่ะ หลังจากที่ได้รับพระบัญชาให้ไปสืบผู้ประกอบพิธี”
ชายชุดดำตัวสั่นเหมือนได้เห็นบางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต ปากพยายามจะพูดจะใบหน้ากลับซีดเซียวมือที่คำนับกุมแน่น
“ที่นี่คือแคว้นหยาง เจ้าพูดออกมาได้เลยไม่ต้องกลัว” หลิ่งเฟยกุมมือสายสืบที่มีอาการหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด ตนเองรู้ดีว่าสายสืบผู้นี้กำลังกลัวอะไรอยู่ภาพของสัตว์อสูรที่กินกันเอง เสียงกรีดร้องที่ไม่อาจได้ยินแต่รับรู้ถึงมันได้ รอยเลือดสีดำที่ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์เป็นเครื่องยืนยันชั้นดีว่าสายสืบต้องเจออะไรมา
เมื่อได้รับกำลังใจจากสตรีที่มีแววตาเข้มแข็งทำให้สายสืบกล้าจะเอ่ยคำพูดออกมา
“นั่นไม่ใช่สัตว์อสูร แต่มันคือปีศาจ” สายสืบพูดเสียงสั่น
“พวกมันกินเอง มีหลายตัวที่ดูแข็งแกร่งมีลมปราณที่น่าสะพรึง ข้าไม่ทราบระดับลมปราณของมันและคนของข้าก็ถูกพวกมันกิน อ่า ข้ากลัว กลัว”
สองมือที่คำนับเริ่มเอามือจะจับหูเล็บจิบเข้าไปในเนื้อเหมือนไม่อยากได้ยินเสียงบางอย่าง หลิ่งเฟยสันนิษฐานทันทีแสดงว่าชายผู้นี่เข้าไปในอาณาเขตซ่อนเร้น
สายตาก็มองล่อกแล่กไปมาอย่างไม่เก็บอาการราวกับว่าภาพที่เห็นอยู่นั้นไม่ใช่ห้องทรงงาน ปากอ้ากว้างจนเห็นลิ้นไก่เหมือนจะตะโกนออกมาหลิ่งเฟยรีบจับไหล่สองข้างเพื่อเรียกสติที่เริ่มหลุด
“...เจ้าบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า”
หลิ่งเฟยมองหน้าที่มอมแมม สายตาคนหวาดกลัวกลับมองที่หน้าหลิ่งเฟยอีกครั้งน้ำตาของความหวาดกลัวไหลออกมา ปากสั้นระริกเหมือนคนที่พึ่งตื่นจากฝันร้าย
“ไม่ขอรับ”
ฮ่องเต้รับสั่งให้ไปหาหมอหลวง พร้อมกับค่าตอบแทนจำนวนหนึ่ง ภายในห้องเต็มไปด้วยความตึงเครียดจากการพูดคุยเมื่อกี้จับใจความได้ว่าไม่พบผู้ประกอบพิธี และมีการประกอบพิธีโคโดกุอยู่อีกหลายที่คนที่รอดกลับมาล้วนแล้วแต่เสียสติเมื่อถามกับสิ่งที่ให้ไปสืบมา และคนเมื่อกี้คือคนที่มีสติที่สุด
“ท่านมีความเห็นอย่างไรท่านอาจารย์หลิ่งเฟย”
ฮ่องเต้ถามด้วยความกังวลหากเกิดสงครามขึ้นมาจริงๆ แคว้นตนเองหากไม่แพ้ก็คงบอกช้ำอย่างแสนสาหัส ที่แคว้นหยางอยู่อย่างสงบสุขก็เพราะการรักษาความเป็นกลาง การเปิดเสรีการค้าขายและวิชาต่างๆ หากแต่ตอนนี้กำลังมีคลื่นใต้น้ำที่กำลังก่อตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
“เรื่องนี้ฝ่าบาททรงตัดสินใจเองเถอะเพคะ ข้าเป็นเพียงแค่คนนอกที่มาเยี่ยมลูกศิษย์”
สตรีเพียงหนึ่งเดียวในห้องทรงงานที่ไม่นับนางกำนัลด้วยตอบอย่างปัดปัญหา ฮ่องเต้รู้สึกว่าตนเองช่างโง่เขลาที่ถามออกไป ในเมื่อก็รู้จักพื้นเพนิสัยนางอยู่เป็นนิจ
“เพราะจะอย่างไร ฝ่าบาทก็เลือกที่จะปกป้องประชาชนมากกว่าสิ่งใดข้าเชื่อการตัดสินใจของพระองค์”
เหล่าขุนนางที่นั่งอยู่ด้วยยิ้มออกมาอย่างชื่นชมเพราะไม่ใช่เพียงแค่หลิ่งเฟยที่คิดเช่นนี่พวกตนเองก็คิดเหมือนกัน ถึงแม้องค์จักรพรรดิฮ่องเต้จะไม่มีระดับลมปราณที่สูงเหมือนองค์ก่อนๆ ไม่เก่งการต่อสู้ ไม่ได้มีสติปัญญาที่เฉียบแหลม แต่ทรงมักจะทำทุกอย่างเพื่อแผ่นดิน สนมนับร้อยก็ได้รับความรักความเมตตาอย่างเท่าเทียมกัน ขุนนางที่จงรักภักดีก็ได้สิ่งตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อ
“วาจาของท่านทำให้ข้ารู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ข้าจะไม่รบกวนท่านแล้ว”
ไม่เพียงแค่ขุนนาง ฮ่องเต้ก็ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีที่มีคนรับรู้ถึงความตั้งใจของตนเอง หลิ่งเฟยคำนับเพื่อขอตัวกลับไปฝึกซ้อมไอ๋อั๋นต่อ
“ขอตัวเพคะ”
เมื่อลับร่างสตรีไปแล้ว เสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีก็ดังออกมาเหล่าขุนนางต่างมองกันไปมาอย่างไม่เข้าใจว่าหัวเราะเรื่องอะไร
“ข้าละ สงสารสองรองแม่ทัพจริงๆ พวกเจ้าได้เห็นวิธีการสอนของนางรึยัง”
เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่เข้าใจ ฮ่องเต้จึงถามย้อนกลับหลายวันที่ผ่านมา ทั้งไปดูด้วยตนเองและฟังมาจากขันทีที่ให้ไปเฝ้ามอง ก็อดสงสารไม่ได้จริงๆ มีที่ไหนบ้างที่จะอัดลมปราณใส่ ปากพร่ำสอนการควบคุมสมาธิ ตำหนิข้อบกพร่องต่างๆ ออกมาอย่างชัดเจนทั้งที่ลูกศิษย์ยังนอนเจ็บเจียนตายอยู่กับพื้น แตกต่างจากการสอนอย่างปกติที่สอนให้ควบคุมลมปราณแบบค่อยเป็นค่อยไป กินเม็ดยาโอสถเพื่อบำรุงกำลัง และพึ่งโชคพึ่งดวงว่าจะไม่ตายจากการเลื่อนระดับลมปราณ
และนางก็ไม่ได้เป็นคนห่วงวิชา เมื่อให้ขันทีไปถามการฝึกซ้อมนางก็ตอบคำถามครบทั้งหมดจนดูเหมือนว่าเร็วๆ นี้ต้องมีการเปลี่ยนวิธีการเรียนการสอนใหม่ทั้งหมด
“นำสิ่งที่จดบันทึกเอาไว้เอาไปฝึกสอนทหารฝีมือชั้นดี แล้วค่อยถ่ายทอดต่อๆ กันไป พยายามรั้งให้นางอยู่ที่นี่ให้นานที่สุด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ต้องขอบใจที่ตัวเองเกิดมาเป็นจิ้งจอกเก้าหางก็พอเดาได้อยู่หรอกว่าต้องการเก็บเกี่ยววิชาการสอนของเราเอาไปถ่ายทอด แต่เล่นสั่งเหล่าขุนนางให้รั้งตัวเราเอาไว้มันก็ออกจะเกินไปหน่อยนะ
หลิ่งเฟยที่เดินตามนางกำนัลที่มาส่งคิดอย่างเหนื่อยใจที่ฮ่องเต้ยังคงไม่ยอมแพ้เกี่ยวกับเรื่องของตัวเอง
“ระวังขอรับ!”
กรี๊ด!!
นางกำนัลที่เดินนำทางกรีดร้องออกมาอย่างตกใจ หลิ่งเฟยเข้าไปปะทะลมปราณให้มันกระจายตัวออกไปยูซานที่ตัวต้นเหตุรีบเข้ามาขอโทษทันที
“ขออภัยขอรับท่านบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า”
“ข้าไม่เป็นอะไร แต่ดูเหมือนนางกำนัลจะตกใจไม่น้อยเลย”
ยูซานเข้าไปดูอาการนางกำนัลที่เข่าอ่อนอยู่ด้านหลัง ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาน่ามองและความไร้เดียงสาในการพูดของยูซานทำให้นางกำนัลต้องอดหน้าแดงไม่ได้ทันที
“ขออภัยด้วยแม่นาง ข้าผิดเอง”
หลิ่งเฟยกระตุกยิ้มเมื่อเห็นท่าทีของยูซาน หลายวันที่ผ่านถังอี๋กับไอ๋อั๋นมีกลุ่มบุคคลที่ชื่นชอบพวกเขาและมาคอยให้กำลังใจอยู่บ่อยและดูเหมือนว่ายูซานก็คงจะมีกลุ่มคนที่ว่าเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งกลุ่มเมื่อดูจากท่าทางของนางกำนัล
“เจ้าควรพูดว่าบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่ายูซาน เจ้าพูดแบบนี้นางก็เขินแย่สิ”
ยูซานมองหน้านางกำนัลที่หน้าแดงอย่างตกใจ ปีกขยับไปตามอารมณ์จนดูเหมือนเทพบุตรจากฟ้ามาโปรดนางกำนัลที่ไม่มีแม้แต่บุรุษคนใดหันมามองนาง
“ขะ ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ”
นางยังคงไม่ยืนขึ้นยูซานจึงยื่นมือเพื่อช่วยพยุงหัวใจของสาวน้อยบริสุทธิ์เต้นโครมคราม ตามองผู้ที่เป็นเจ้านายของยูซานว่าควรทำยังไงดี
"ขออภัยแทนคนของข้าด้วย ยูซานยังไม่ชำนาญการคุมพลังลมปราณเท่าไรนัก"หลิ่งเฟยที่รับรู้ได้ถึงสายตาของนางกำนัลที่เลือกไม่ถูกว่าจะจับมือยูซานหรือปฏิเสธออกไปช่วยพยุงตัวนางกำนัลให้ยืนขึ้น
ผู้คนในวังที่เห็นเช่นนั้นต่างสรรเสริญหลิ่งเฟยในใจที่เป็นอาจารย์ที่เปี่ยมไปด้วยเมตตา ไม่ถือตัวสูงส่งเช่นเดียวกับผู้อื่น
พวกเราช่างโชคดีเสียจริงที่เกิดในแคว้นหยาง
ทำไมรู้สึกเสียวสันหลัง
"ข้า..ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ"นางกำนัลวิ่งออกไปหลิ่งเฟยเหล่มองยูซานที่ดูกังวลไม่น้อย
"เจ้าอย่าคิดมากเลย คราวหน้าคราวหลังก็ระวังหน่อยละ"
"ขอรับ"
ความคิดเห็น