ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เกิดใหม่มาเป็นสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง

    ลำดับตอนที่ #25 : ท่านอาจารย์(รีไรท์)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.99K
      188
      28 ส.ค. 64

                     ผู้คนสัตว์อสูรเดินสวนกันไปมา มีทั้งเหล่าพ่อค้าแม่ค้านักเดินทาง จอมยุทธ์ทั้งชายและหญิงที่นี่คือเมืองหลวงของแคว้นหยาง หลิ่งเฟยที่ได้รับจดหมายจากไอ๋อั๋นว่าฮ่องเต้มีประสงค์ต้องการพบเจอกับหลิ่งเฟย ทำให้ตนเองต้องนั่งรอฝาแฝดที่ร้านน้ำชาในแคว้นหยาง

              หลิ่งเฟยในร่างมนุษย์ทั่วไปที่มีหน้าตางดงาม ดวงตาสีดำคมแต่เพราะถักเปียไว้ข้างทำให้ใบหน้าดูอ่อนโยนขึ้นชุดเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ดูสมเป็นกุลสตรีที่งดงามจนเหมือนคุณหนูผู้เฉลียวฉลาด บุรุษสตรีต่างต้องแอบมองเป็นระยะ

               ทำไมถังอี๋กับไอ๋อั๋นยังไม่มาอีก

              หลิ่งเฟยเริ่มรำคาญกับสายตาผู้อื่นที่มักจะมองมาอยู่เรื่อยๆพยายามหันไปสนใจอย่างอื่นแทน อย่างหญิงสาวในชุดนางกำนัลที่เคยเห็นในละครเมื่อชาติก่อนเข้ามาพบเจอกับชายแก่ที่ดูน่าสงสัยหลิ่งเฟยนึกถึงละครแนววังหลังที่ต้องแก่งแย่งชิงตำแหน่งกันเพื่อความอยู่รอด

              ถ้าอย่างนั้นนางกำนัลคนนั้นก็คงจะมาซื้อข่าวจากชายแก่รึเปล่านะ

              หลิ่งเฟยรีบตั้งใจบทสนทนาของนางกำนัลคนนั้น แต่ความบันเทิงก็ต้องจบลงเมื่อมีทหารนายหนึ่งเข้ามาทัก

               “ขออภัยขอรับ ท่านคือท่านอาจารย์หลิ่งเฟยใช่หรือไม่

              ทหารวัยกลางคนเข้ามาทักด้วยท่าทีที่นิ่มนวลให้ความเคารพ หลิ่งเฟยที่ถูกขัดหันมายิ้มให้กับทหารอย่างเป็นมิตรในทันที

              ท่านรองแม่ทัพให้ข้ามารับท่าน เนื่องจากติดราชการกะทันหัน

              ท่านพอทราบหรือไม่ว่าติดราชการอะไรบอกว่าจะมารับข้าแต่กลับส่งคนอื่นมารับแทน หากราชการที่ว่านั้นไม่สำคัญจริงข้าจะซ้อมพวกเจ้าทั้งคู่ให้เกือบตายแน่

              ขออภัยด้วยข้าไม่ทราบขอรับ

              ทหารก้มหัวขออภัย หลิ่งเฟยถอนหายใจครุ่นคิดหากยอมไปกับทหารนายนี้ก็เหมือนกับยอมก้มหัวให้แก่แคว้นหยางที่ยอมเชื่อฟังเหตุผลและตามไปแต่โดยดี แต่ถ้าไม่ยอมไปอีกก็แปลว่าหลิ่งเฟยที่มาในฐานะท่านอาจารย์รองแม่ทัพแคว้นหยางกำลังไม่ให้เกียรติแก่งานราชการ

               “ข้าจะไปก็เมื่อต่อเมื่อสองคนนั้นมารับข้า ไปบอกพวกเขาซะว่าข้าจะรออยู่ในเมืองหลวงนี่แหละให้คนใดคนหนึ่งมารับข้าหากพระอาทิตย์ตกดินแล้วยังไม่มีใครมารับ เจอกันครั้งหน้าข้าจะให้วิ่งรอบก้อนหิน

              ทหารที่มารับดูไม่เข้าใจกับคำสุดท้ายหลิ่งเฟยหัวเราะออกมาเสียงเบา เพราะคนที่รู้ความหมายของคำนี่มีเพียงแค่สองคนนั้นเท่านั้น

              ท่านรีบไปบอกพวกเขาเถอะ หากใครจะลงโทษท่านก็อ้างชื่อข้าได้เลยรอยยิ้มที่อ่อนโยนทำให้ทหารวัยกลางคนที่มีครอบครัวแล้วอดใจเต้นไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะหลิ่งเฟยเป็นถึงอาจารย์ของสองฝาแฝดรองแม่ทัพแล้วละก็ตนเองคงจะขอปฏิเสธและจะพาไปส่งถึงประตูวังเลย

              ขอรับ

              เมื่อทหารที่มาส่งสารกลับไปหารองแม่ทัพ หลิ่งเฟยจ่ายเงินค่าน้ำชาก่อนออกไปเดินเล่นแก้เบื่อชมร้านค้าต่างๆที่มีอยู่มากมาย

              พลั่ก

              เอ๊ะ ขอโทษข้าไม่ดูทางเอง

              หลิ่งเฟยรีบขอโทษอย่างลืมตัวเพราะตนเองก็เป็นฝ่ายผิดจริงที่เดินไม่ดูทาง ชายหนุ่มผมสีดำขลับนัยน์ตาสีทองดำท่าทางดูเกียจคร้านและเฉยชาแต่แรงกดดันที่รู้สึกทำให้ต่างฝ่ายต่างแปลกใจ

               ท่าน / เจ้า?”

               “.............”

               “ทำไมเราไม่หาที่นั่งคุยกันดีๆล่ะ ท่านคิดแบบนั้นหรือไม่

              หลิ่งเฟยพูดเชิญชวน สัตว์เทพอสูรเต่าดำก็เห็นด้วยห้องพักชั่วคราวหนึ่งห้องคือสถานที่ที่เหมาะที่สุดสำหรับการพูดคุย อาหารคาวหวานถูกยกเข้ามาจนหมดหลิ่งเฟยจึงมองเงินจำนวนให้คนรับใช้ไปแบ่งกันและไล่ให้ทุกคนออกไปจากห้อง

               ท่านดูร่ำรวยมากเต่าดำเมินอาหารคาวข้ามไปหยิบขนมหวานมากินแทน หลิ่งเฟยไม่ถือสากับพฤติกรรมของเต่าดำเพราะหนักกว่านี้ก็เจอมาแล้ว

               เพราะข้าเป็นบุคคลที่ค่อนข้างมีความต้องการเหมือนดั่งเช่นมนุษย์ทั่วไปเลยต้องสร้างช่องทางหาเงินเพื่อสนองกิเลสตัวเอง เชิญท่านทานได้ตามสบายเลยนะ

              ดูเหมือนเต่าดำจะชอบทานของหวานมากหลิ่งเฟยย้ายจานของหวานไปฝั่งเต่าดำจนเกือบหมด เต่าดำผงกหัวทีหนึ่งปากเคี้ยวขนมเชื่องช้าเหมือนเต่าเคี้ยวผักไม่มีผิด

               “ข้าชื่อหลิ่งเฟย แล้วท่านละ

               “กุย

              หลิ่งเฟยอึ้งไปชั่งครู่เมื่อได้ยินชื่อที่เรียบง่ายฟังแล้วเข้าใจเลยว่ามันแปลว่าอะไรถ้าไม่ใช่คำว่าเต่า

               “ช่างเป็นชื่อที่เหมาะกับท่านจริงๆ

              หลิ่งเฟยพูดชมจากใจ สีหน้าของเต่าดูนิ่งเฉยแต่บรรยากาศรอบตัวเหมือนเห็นออร่าของความสุขแผ่ออกมาเต็มเปี่ยมหลิ่งเฟยไม่พูดต่อปล่อยให้สัตว์เทพอสูรเต่าดำมีความสุขไปกับการกิน

               เจ้าอาศัยอยู่กับเจ้าเสือโง่พออาหารหมดโต๊ะเต่าดำเป็นฝ่ายพูดก่อน หลิ่งเฟยตอบว่าใช่มันคงไม่แปลกว่าจะมีกลิ่นของเฟิงหู่ติดตัวเพราะอาศัยอยู่ด้วยกัน

              “ท่านดูไม่ชอบท่านเฟิงหู่นะ”หลิ่งเฟยเก็บโต๊ะอย่างคล่องแคล่วนำจานไปวางไว้หน้าห้อง มือรินน้ำชาให้กุย เต่าดำขมวดคิ้วกับสรรพนามที่ได้ยิน

               “เจ้าเรียกไอเสือโง่ว่าท่านเฟิงหู่?”

              ท่าทางแบบนี้น่าจะเกลียดแล้วละ

              หลิ่งเฟยไม่ตอบมือจิบน้ำชา พยายามไม่ขำกับความรังเกียจที่กุยมีให้กับเฟิงหู่แต่ให้ใช้คำว่าโง่ก็ออกจะดูถูกไปหน่อยเพราะเฟิงหู่ก็ไม่ได้โง่เลยซะทีเดียว

               “ช่างไร้เดียงสากว่าที่คิด

              ข้าแค่ให้ความเคารพแก่ผู้ที่มาก่อนมาหลังเท่านั้นเอง

               “แต่ผู้ที่มาก่อนมาหลังที่ว่านั่น ก็ไม่สมควรได้รับคำเรียกขานเช่นนี่คำว่าเสือโง่ยังน้อยเกินไปซะด้วยซ้ำ

              หลิ่งเฟยปิดปากก่อนจะหัวเราะออกมาจนตัวสั่น นึกสงสัยว่าสัตว์เทพอสูรพยัคฆ์ขาวไปทำอะไรให้เต่าดำที่ดูสุขุมและน่ารักเช่นนี้แสดงความเกลียดชังจนไม่อยากเอ่ยนาม

              ท่านช่วยเล่าให้ข้าได้หรือไม่ว่าท่านเฟิงหู่ทำอะไรให้ท่าน

              ถ้วยน้ำชาถูกวางกระแทกอย่างแรง แต่กระทำเช่นนี่ไม่ได้เปลี่ยนรอยยิ้มของหลิ่งเฟยเลยกุยมองพินิจใบหน้าของหลิ่งเฟยที่ถึงจะอยู่ในร่างมนุษย์แต่มันก็ควรมีบางอย่างที่เหมือนตนเองอย่างความเยือกเย็นที่จะไม่แสดงสีหน้าความรู้สึกชัดเจนแบบนี้

                    “เจ้าดูเหมือนมนุษย์มาก

                    “ข้าจะถือว่านั่นคือคำชม หากข้าเข้าใจไม่ผิดท่านกับท่านเฟิงหู่เคยสู้ด้วยกันท่านเฟิ่งหู่เล่าว่าแต่ละครั้งที่สู้กับเหล่าสัตว์เทพอสูรไม่สามารถตัดสินผลได้เลยว่าใครแพ้ ใครชนะ แต่ว่าข้าสงสัยจริงๆว่า

              ขณะที่หลิ่งเฟยพยายามถามถึงสาเหตุกุยที่ไม่อยากคุยด้วยแล้ว ล้มตัวนอนไปกับพื้นหลิ่งเฟยถึงหยุดถามเอ็นดูกับท่าทางที่เหมือนเด็กน้อยชวนให้นึกถึงสองฝาแฝดสมัยยังเป็นเด็ก

              จะให้สตรีอุ้มบุรุษไปที่เตียงก็คงดูแปลกๆ หลิ่งเฟยเลือกที่จะหยิบหมอนกับผ้าห่มมาให้                

                    “ข้าไม่ต้องการ

                    คนนอนกับพื้นพูดในขณะที่ตายังปิดอยู่ หลิ่งเฟยไม่สนคำปฏิเสธมือจัดแจงให้หัวกุยอยู่บนหมอนห่มผ้าไหมให้ก่อนจะแยกตัวไปนั่งที่ริมหน้าต่างหยิบนิยายที่ซื้อมาจากร้านหนังสือมาอ่านฆ่าเวลารอให้หนึ่งในฝาแฝดมาหา

              จวบจนพระอาทิตย์จะตกดินกุยที่หลับสนิทกับหลิ่งเฟยที่อ่านนิยายจนแทบจะหมดทุกเล่มที่ซื้อมานึกในใจว่าให้ทั้งคู่วิ่งรอบก้อนหินกี่พันรอบดี        

              จะให้วิ่งจนอ้วกแตกต่อหน้าลูกน้องเลยคอยดู        

                    ปัง!!!

                    ประตูถูกเปิดออกอย่างรุงแรง ถังอี๋ในชุดเกาะสีดำดูเรียบหรูบ่งบอกถึงตำแหน่งหายใจหอบที่ต้องมาวิ่งตามหลิ่งเฟยในเมืองหลวงทั้งวัน

                    “ข้ายังมาทันอยู่รึเปล่า

              ถังอี้ที่ไม่อยากจะวิ่งรอบก้อนหินจนอ้วกแตกถามอย่างมีหวัง หลิ่งเฟยทำหน้าเสียดายที่ไม่ได้แกล้งทั้งคู่แต่มาทันก็คือมาทันจนมาได้พูดนอกจากแสดงสีหน้าออกไปว่าเสียดายมากแค่ไหนที่ไม่ได้แกล้งพวกเขา

              ถังอี้เข้ามาในห้อง แอบสนใจคนที่นอนหลับอยู่ที่พื้นแต่คงไม่ใช่บุคคลสำคัญอาจเป็นคนน่าสงสารที่หลิ่งเฟยช่วยกลางทาง

                    “ตอนนี่ก็เย็นแล้ว เรื่องที่จะพูดคุยคงต้องเอาไว้วันพรุ่งนี่หลิ่งเฟยเอามือปิดปากหาวบอกให้รู้ว่าตอนนี้ขี้เกียจมากแค่ไหนที่จะไปเข้าพบฮ่องเต้ เท้าเหยียดตรงถังอี้นั่งตรงข้ามนวดกดจุดฝ่าเท้าให้หลิ่งเฟย

              “ฮ่าฮ่าฮ่า ปล่อยเดียวนี้เลยนะ”

              หลิ่งเฟยชักเท้ากลับ ถังอี้ปล่อยแต่โดยดีเสียงหัวเราะทำให้กุยตื่นเต็มตาแต่ยังนอนนิ่งไม่ขยับตัว

                    “ทางราชสำนักมีจุดประสงค์หวังจะคุยเรื่องนี่ในทันทีที่พบตัวท่าน

                    “ข้าเกรงว่าด้วยประชนมายุของฮ่องเต้มันคงจะไม่ดีเท่าไรที่จะมาพูดคุยในเวลานี้

                    “หยุดพูดภาษาโลกสวยได้แล้วหลิ่งเฟย เจ้ารู้ไหมว่าข้าต้องเหนื่อยมากแค่ไหนที่ต้องวิ่งตามหาเจ้าไปทั่วเมืองหลวงนะ

                    ฮุ

              ทั้งสองมองไปยังที่มาของเสียง คนแกล้งหลับยอมเผยตัวว่าตื่นมาได้สักพักแล้วแววตากับพลังลมปราณที่ตอบสนองดาบมารพิภพทำให้ถังอี๋รู้ทันทีว่าบุรุษคนนี้ไม่ใช่คนข้างทางแต่เป็นสัตว์เทพอสูรเต่าดำถังอี๋รีบเปลี่ยนท่านั่งมาเป็นคุกเข่า อย่างสุภาพหลิ่งเฟยเบะปากกับความสองมาตรฐาน

              “ชื่ออะไร”

                    “ชู ถังอี๋ขอรับ

                    “อายุเท่าไร

                    “ 17 ปีขอรับ

                    “17 ปี?”

              เป็นตัวเลขที่น้อยมากสำหรับมนุษย์ที่อยู่ในระดับจุติ กุยหันมามองหลิ่งเฟยที่คาดว่าจะเป็นคนเลี้ยงดูมนุษย์คนนี้ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ได้อยู่ในระดับนี้แน่นอน

              “ใช่ ข้ากับคนที่บ้านข้าเป็นคนช่วยเลี้ยงดูถังอี๋กับน้องชายฝาแฝดของเขาเอง”

              หลิ่งเฟยพูดแนะนำไอ๋อั๋นอีกคนกุยพยักหน้าว่าเข้าใจในสิ่งที่พูด ถังอี๋ที่เห็นว่าเต่าดำดูใจดีกว่าที่คิดจึงขอพูดธุระสำคัญของตัวเองต่อ               

              “หลิ่งเฟยเรื่องที่เจ้าจะไปพบกับฮ่องเต้วันนี้ไม่เป็นไร แต่ข้าขอยืนยันหน่อยว่าข้ากับไอ๋อั๋นไม่ต้องวิ่งรอบก้องหินแล้วใช่หรือไม่”

              กุยเอียงคอสงสัย หลิ่งเฟยหัวเราะเบาๆกับความไม่อยากวิ่งของทั้งคู่ก่อนจะตอบเสียงหวานให้ดูเหมือนนางฟ้า

              “ไม่ต้องแล้วละ”

              ถังอี๋หายใจโล่งอก แต่ประโยคถัดมาก็ทำให้ถังอี๋อยากจะกรีดร้องเมื่อหลิ่งเฟยพูดด้วยสีหน้าถมึงทึง

                    “แต่ทันทีที่คุยเรื่องพิธีโคโดกุเสร็จ ข้าจะขอให้ฮ่องเต้สั่งพักงานพวกเจ้าเป็นเวลาหนึ่งเดือนเพื่อฝึกฝนพวกเจ้าทั้งสองคนใหม่!

     

                    ประตูบานใหญ่สีแดง ทำจากไม้ชั้นดีและได้รับการบำรุงรักษาดูแลอยู่เสมอมีทหารสองนายเฝ้าหน้าประตูก่อนจะทำความเคารพผู้ที่มาเยือนถึงจะไม่รู้จักกับสตรีที่ยืนอยู่ข้างรองแม่ทัพถังอี๋ และด้วยยศศักดิ์ที่ถังอี๋เป็นถึงรองแม่ทัพและเป็นผู้ถือครองดาบมารพิภพถึงต้องทำความเคารพแม้จะมีอายุที่น้อยกว่าตนเองก็ตาม

                    เกี้ยวถูกจัดเตรียมไว้อย่างเรียบร้อยเพื่อรอรับอาจารย์ของสองรองแม่ทัพ แต่สัตว์อสูรหงส์ขาวหน้าตางดงามตัวหนึ่งบินลงมาจากฟ้าเข้ามาทำความเคารพหลิ่งเฟยทันทีที่ได้เห็น ผู้คนที่เดินผ่านไปรวมถึงทหารที่มารอรับต่างตกใจเพราะสัตว์อสูรตนนี่ต่างเป็นที่รู้ดีว่ามีความทะนงในตนเองสูงมาก ระดับลมปราณก็อยู่ตั้งระดับสวรรค์คนที่มันจะยอมให้นั่งเกี้ยวหรือนั่งบนตัวมันก็มีแต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน

                   อาจารย์ของรองแม่ทัพฝาแฝดผู้นี้ไม่ธรรมดา

                    “เจ้าจะไปส่งข้าที่วังหลวงงั้นหรือหลิ่งเฟยลูบขนสีขาว หงส์ขาวตอบรับอย่างสุภาพเพราะนางรู้ดีว่าหลิ่งเฟยคือใคร

                    เจ้าค่ะ

                    ถังอี๋มองหลิ่งเฟยกับสัตว์อสูรของฮ่องเต้สลับไปมา อย่างไม่เข้าใจไม่นานหลิ่งเฟยก็ขึ้นไปขี่หงส์ขาวด้วยท่วงท่าที่สง่างามให้เป็นที่ต้องตา

                    “ถังอี๋ ข้าขอไปก่อนนะ

                    “เดียวสิหลิ่งเฟย

              สัตว์อสูรหงส์ขาวบินขึ้นสู่ฟ้า ถังอี๋อยากจะให้ขี่กระบี่บินตามไปเดียวนี้แต่หลิ่งเฟยคงจะไม่ชอบใจได้แต่เกาหัวที่ไม่มีเป็นไปดั่งใจสักอย่าง

                    เพราะหลิ่งเฟยไม่ปิดบังหน้าตาเหมือนครั้งที่ไปแคว้นหานเลยดึงดูดสายตาข้าราชการในท้องพระโรง ใบหน้าอันอ่อนเยาว์ สายตาอันมีชีวิตชีวาเหมือนเด็กสาวจนไม่อยากเชื่อว่าสตรีผู้นี้คืออาจารย์ที่อบรมสั่งสอนสองแม่ทัพจนกลายเป็นยอดฝีมือของกองทัพ

                    “ท่านคือท่านอาจารย์ที่เป็นคนสอนวิชาให้แม่รองแม่ทัพถังอี๋และไอ๋อั๋นสินะ

                    ฮ่องเต้แคว้นหยางภายนอกดูอยู่ในวัยกลางคน แต่หลิ่งเฟยรู้ว่าฮ่องเต้คงไม่ได้อายุเพียงแค่สี่สิบห้าสิบแต่มากกว่าเจ็ดสิบแน่นอน ใบหน้าของฮ่องเต้เหมือนคนลุงใจดีจมูกโด่งเป็นเอกลักษณ์หลิ่งเฟยขานตอบ

                    “เพคะ

              แม้ระดับลมปราณของฮ่องเต้จะต่ำกว่าของหลิ่งเฟย แต่ด้วยการปกครองที่ยึดความสุขของประชาชนเป็นหลักไม่สนับสนุนการค้าขายสัตว์อสูรอย่างชัดเจนหลิ่งเฟยเลยแอบนับถือกับวิถีการปกครองของฮ่องเต้ผู้นี้

              อย่างน้อยเรือนมายาก็อยู่ในเขตของแคว้นหยาง

                    “ข้าขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน ทำไมท่านถึงพึ่งมาบอกพิธีโคโดกุในเวลานี้

                    คำถามนี้ควรจะเรียกว่าเป็นคำถามที่โง่หรือฉลาดดีนะ  แล้วไอ๋อั๋นไปรายงานยังไงเขาถึงมาถามข้าแบบนี้เนี่ย

                    “เพราะข้าเห็นว่ามันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้า หากไอ๋อั๋นไม่พูดเรื่องการล่าสัตว์ของแคว้นหานข้าก็คงไม่พูดออกมา”

                    ความสับสนเกิดขึ้นในท้องพระโรงเหล่าขุนนางต่างมองหน้ากันเพื่อขอความคิดเห็นว่าเมื่อกี้ตนเองไม่ได้หูฟาดใช่หรือไม่ ใช้คำว่าไม่ได้เกี่ยวข้องแสดงว่าแคว้นหยางเองก็ไม่ได้มีเกี่ยวข้องกับสตรีผู้นี่ หรืออีกนัยหนึ่งนางสามารถเลือกที่จะไม่ช่วยก็ได้

                    ช่างกล้าที่มาพูดแบบนี้ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ถึงฮ่องเต้จะเป็นผู้ที่มีความเมตตาอยู่เต็มเปี่ยมแต่ก็เป็นคนที่เด็ดขาดอยู่ไม่น้อย

                    “งั้นรึ ถ้าเช่นนั้นท่านรู้จักพิธีกรรมโคโดกุได้ยังไง

                    “ข้าเองก็มีอยู่มานาน ความรู้ก็มีมากพิธีโคโดกุไม่ใช่พิธีกรรมที่ลึกลับอะไรมากมายเพียงแค่ไม่มีผู้ใดกล้านำออกมาใช้ด้วยความเสี่ยงหลายๆอย่างพูดว่าอยู่มานานมันก็เจ็บนิดๆแฮะ

                    ฮ่องเต้มองคนทำท่าคำนับเพื่อรายงานอย่างพิจารณาด้วยประสบการณ์ที่อยู่มานานบอกให้รู้ว่าสตรีผู้นี่แข็งแกร่งจนสามารถซ่อนลมปราณเอาไว้ให้เหมือนคนธรรมดา คำพูดคำจาที่ไม่ได้มีเกรงกลัวก็เป็นการบอกอย่างชัดเจนว่านางไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นราษฎรหรืออยู่ใต้อาณัติใคร  เหตุผลที่ต้องซ่อนลมปราณหากไม่ใช่เพื่อปิดบังตัวตนแต่เพื่อไม่ให้ลมปราณกดดันเหล่าขุนนางมากจนเกินไป

                    จะให้ตัดสินว่าสตรีคนนี้จะเป็นภัยคุกคามแก่แคว้นตนเองถือว่าคิดผิด นางยอมมาที่นี่เพื่อมาบอกเรื่องพิธีโคโดกุ ความแข็งแกร่งที่ไม่สามารถตัดสินได้ สามารถทำให้สองรองแม่ทัพที่ครอบครองอาวุธในตำนานต้องวิ่งไปทั่วเมืองหลวงเพื่อตามหาตัวนางเพราะไม่อยากสิ่งรอบก้อนหิน ก็เป็นเครื่องยืนยันชั้นดีแล้วว่าเป็นอาจารย์ของถังอี๋กับไอ๋อั๋นอย่างแน่นอน

                    “ข้าได้รู้เรื่องหลายละเอียดและหนทางแก้ของพิธีกรรมแล้ว ท่านคิดว่าไงสำหรับการทำลายพิธีนี่

                    “ข้าคิดว่าควรหาผู้ประกอบพิธีนี่เพื่อสะท้อนมนต์กลับจะเป็นพิธีที่ดีที่สุด

                    ฟังดูง่ายแต่ทำได้ยาก ผู้คนมีเป็นร้อยล้านจะให้หาตัวคนทำก็คงทำได้ยากฮ่องเต้เคาะนิ้วไปกับเก้าอี้เพื่อครุ่นคิดบางอย่าง แววตามองมาที่ถังอี๋และไอ๋อั๋นสลับกับเหล่าแม่ทัพที่มารวมตัวกันในท้องพระโรง

                    “ข้าไม่แนะนำให้ใช้ถังอี๋และไอ๋อั๋นสองคนนี้ถึงจะมีฝีมือแต่ยังด้อยประสบการณ์และการวางกลยุทธ์อย่างเห็นได้ชัด ดังเช่นวันนี่ที่แค่หาข้าคนเดียวในเมืองหลวงยังหาแทบแย่

              “หาคนหนึ่งคนในหมู่คนนับหมื่นมันไม่ใช่เรื่องง่ายนะหลิ่งเฟย”ถังอี๋เถียงกลับ ไอ๋อั๋นกระตุกแขนเสื้อกระซิบเตือน

              “ที่จริงเจ้าสามารถใช้ลมปราณค้นหาหลิ่งเฟยได้นะ และเจ้าสามารถหาในขอบเขตที่มากกว่าข้าด้วย”

              พอถูกความจริงตอกหน้าด้วยน้องชายตัวเองถังอี๋สงบปากคำทันที

              “อย่างที่ท่านเห็นเมื่อครู่ อันที่จริงทั้งสองคนยังไม่คู่ควรกับตำแหน่งรองแม่ทัพด้วยซ้ำแต่ในเมื่อทั้งคู่ได้เป็นข้าก็ไม่คิดอะไรมากหรอกเพคะ”                

              ฮ่องเต้นึกในใจว่าหากหลิ่งเฟยสามารถด่าตนเองว่าที่ให้ทั้งสองคนเป็นรองแม่ทัพนั้นได้ใช้สมองคิดแล้วรึเปล่า

              แน่นอนว่าได้คิดดีแล้ว เพราะถึงอายุจะน้อยแต่ทักษะการต่อสู้ อาวุธที่ครอบครอง พลังลมปราณก็เหนือกว่าเกือบทั้งกองทัพต่อให้ทั้งคู่เป็นเพียงแค่ทหารธรรมดามีหรือที่คนอื่นจะมองแบบนั้น และถ้าหากไม่มีตำแหน่งรองแม่ทัพตระกูลที่เห็นแก่พลังก็คงจะหาจังหวะชิงพวกเขาไป

              จริงอย่างที่ท่านว่า ถังอี๋กับไอ๋อั๋นยังไม่คู่ควรกับตำแหน่งรองแม่ทัพ”

              ยอมรับในข้อผิดพลาดข้อนี้ ถังอี๋ไอ๋อั๋นรู้สึกกดันไม่น้อยเมื่อถูกตำหนิต่อหน้า

              “ ท่านอาจารย์ข้ามีเรื่องหนึ่งที่อยากจะให้ท่านช่วย

                    “เพคะ

                    “ข้าอยากให้ท่านเป็นที่ปรึกษาและอาจารย์สอนวิชาประจำกองทัพ

                    คราวนี่ไม่เพียงแค่ความสับสน แต่ขุนนางบางคนที่ทนไม่ได้ยังต้องหันไปขอความเห็นจากคนข้างๆอย่างคาดไม่ถึงถึงอาจารย์ของรองแม่ทัพจะเป็นสตรีที่หน้าตางดงามอย่างไร้ที่ติ แต่ก็ดูลึกลับเพราะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของลมปราณราวกับหลุมดำที่ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน

                    และถึงแม้สองรองแม่ทัพที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาจากอาจารย์ผู้นี่จะมีผลงานความดีความชอบอยู่มาก แต่มันออกจะมากเกินไปที่จะให้สตรีแปลกหน้าไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ชื่อแซ่ก็ยังไม่รู้จะมาเป็นที่ปรึกษาประจำกองทัพได้ยังไง

                    แต่ความสับสนก็ต้องหยุดลงเพื่อสัมผัสได้ถึงลมปราณที่เย็นยะเยือกราวกับจะแช่แข็งดวงวิญญาณไม่ใช่ร่างกาย ใบหน้าที่เคยมีรอยยิ้มประดับกลายเป็นใบหน้าที่เรียบเฉยตามองคนที่นั่งสูงกว่าด้วยความว่างเปล่าแต่แฝงด้วยความขุ่นเคือง ต่อให้มองจากด้านหลังก็ยังรู้สึกขนลุก ถังอี๋ไอ๋อั๋นมองหน้ากันก่อนเพราะรู้ว่าตอนนี่หลิ่งเฟยกำลังอารมณ์ไม่ดีถึงไม่มาก แต่คนที่ถูกอารมณ์เสียใส่อยู่ก็คือฮ่องเต้

                    ถึงจะมาให้นามของอาจารย์สองรองแม่ทัพแต่ก็ใช่ว่าจะมาเพื่อเป็นขี้ข้าใคร!

                    “ท่านคิดว่าเป็นถึงฮ่องเต้แล้วจะได้อะไรมาอย่างง่ายๆรึไง

                    ฮ่องเต้แล้วไงอย่าลืมว่าข้าไม่ได้อยู่ใต้อาณัติของใคร และเกลียดการอยู่ใต้คำสั่งเป็นที่สุด

                    ฮ่องเต้แคว้นหยางมองอย่างอดกลัวไม่ได้ ราวกับเห็นรัศมีบางอย่างที่ใหญ่โตน่าเกรงขามแต่หากไม่สามารถเห็นเป็นรูปร่างได้ แต่ใจกลัวมากแค่ไหนบ้านเมืองของตนเองและชีวิตของคนในที่นี้ก็ต้องมาก่อน

                    “ท่านหลิ่งเฟย

                    เสียงเรียกเพียงแค่ประโยคเดียว บรรยากาศเยือกเย็นก็หายไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลิ่งเฟยกลับมายิ้มติดตลกเหมือนเดิมแต่ตายังคงจดจ้องไปที่ฮ่องเต้แคว้นหยาง

                    “อ่า ดูเหมือนว่าหม่อมฉันจะเสียมารยาทมากเกินไปหน่อยหม่อมฉันคงไม่เหมาะที่จะเป็นที่ปรึกษาของทางกองทัพ พระองค์มีความเห็นว่าอย่างไรเพคะ

                    คำพูดที่ใช่คำราชาศัพท์เหมือนประชด ไม่มีใครกล้าไม่พอใจเพราะได้รู้แล้วว่าสตรีผู้นี่แข็งแกร่งของจริงถึงจะไม่ใช่จิตสังหาร และก็สร้างความกลัวให้ไม่น้อย ไม่มีผู้ใดกล้าออกมาพูดว่าไร้มารยาทหรอก

                    ฮ่องเต้ถอดหายใจออกมา เพราะโกรธสตรีผู้นี่ไม่ลงจริงๆตั้งแต่แรกที่มานางก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าตนเองเป็นใหญ่ที่สุดไม่ใช่ฮ่องเต้ถึงจะน่าเสียดายที่ไม่สามารถดึงผู้ที่มีฝีมือมาอยู่ในอำนาจได้ แต่อย่างน้อยนางก็อยู่ฝ่ายแคว้นหยางอย่างแน่นอน

                    “ข้าเห็นด้วยกับท่าน ท่านคงไม่เหมาะที่จะเป็นที่ปรึกษาจริงๆ

                    ถังอี๋ไอ๋อั๋นโล่งอกในใจ เพราะหากหลิ่งเฟยได้เป็นที่ปรึกษาจริงๆ การฝึกนรกแตกก็มาอยู่กองอยู่ตรงหน้าอย่างแน่นอนถึงภายนอกจะดูเป็นคนใจดีหากเนื้อแท้เป็นคนที่เข้มงวดสุดๆ   

                        

                 

                  

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×