ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เกิดใหม่มาเป็นสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง

    ลำดับตอนที่ #22 : บทจะสู้ก็เกือบถึงตาย(รีไรท์)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.13K
      197
      27 พ.ค. 64


                    หลังจากเดินทางจนมาถึงยังป่าแถบชายแดนระหว่างแคว้นหยางและแคว้นฉินไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม หลิ่งเฟยที่ไม่คิดว่าตัวเองเป็นเหมือนภาระสำหรับยูซานบอกให้ยูซานหยุดอยู่ตรงนี้เมื่อเห็นหมอกสีม่วงปกคลุมในป่าแต่ไม่ได้กินบริเวณกว้างนัก

                    “ท่านเห็นอะไรหรือขอรับ

                    ยูซานที่ไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดกับป่าเอ่ยถามหลิ่งเฟย หลิ่งเฟยไม่ตอบเพราะกำลังสงสัยว่าบนโลกนี้มีหมอกสีม่วงด้วยหรือ จะพูดว่ามันเป็นวิชาบางอย่างยังจะน่าเชื่อกว่าอีก

                    หมอกสีม่วงเริ่มเข้มขึ้นเรื่อยๆจนหลิ่งเฟยได้กลิ่นแสบจมูก นึกได้ทันทีว่ามันคือพิษรีบให้ยูซานบินขึ้นให้สูงกว่านี้ ส่วนตนเองยังคงยืนกลางอากาศคอยสังเกตการณ์                

                    ตามองเห็นการปะทะของสัตว์อสูรสองตน แต่หากพอมองให้ชัดกว่านี้มันคือการต่อสู้ระหว่างสัตว์อสูรกับสัตว์เทพอสูรซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งหลิ่งเฟยรู้จักเป็นอย่างดี

                    เฟิงหู่กับใครอีกคนก็ไม่รู้                

                    สัตว์อสูรที่สู้อยู่กับเฟิงหู่เป็นแมงมุมขนาดตัวเท่ากับรถยนต์คันหนึ่ง มันแยกเขี้ยวพ่นพิษ เฟิงหู่หลบได้ก่อนจะตวัดมือใส่ สัตว์อสูรแมงมุมกรีดร้องพ่นใยออกมาขวางทางเพื่อถ่วงเวลา

                    หลิ่งเฟยเปลี่ยนมาใช่ร่างกายเด็กอายุ 6 ขวบลงสู่พื้นล่างกางโล่ลมปราณครอบคลุมตัวเอง ต้นไม้รอบตัวต่างตายหมดไม่ได้เหี่ยวเฉาตายแต่มันถูกหมอกสีม่วงนี้กัดกร่อนไม่เว้นกระทั้งพื้นดินที่แห้งแล้งจนแทบเป็นผุยผงเมื่อได้เหยียบพื้น

                    “เจ้ามันบ้าเฟิงหู่ ตอนนี้ข้าไม่มีแขนมาสู้แล้วนะ!!

                    เสียงแหลมตวาดใส่เฟิงหู่ในร่างมนุษย์ สัตว์อสูรแมงมุมเปลี่ยนมาใช้ร่างมนุษย์เพื่อการสื่อสาร แต่เหมือนว่าเฟิงหู่ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นยังไงต้นไม้ที่ถูกใยสีขาวยึดเอาไว้ถูกเฟิงหู่ถอนมันออกทั้งรากก่อนขว้างใส่สตรี เฉียดหัวหลิ่งเฟยในร่างเด็ก

                    “แต่เจ้าก็ยังเหลือแขนอยู่ข้างหนึ่งนี่นา ไม่สิเหลือขาตั้ง4ขา ใช้ร่างจริงซะก่อนที่ข้าจะขยี้หน้าของเจ้าอีกครั้ง

                    ใยสีขาวถูกพ่นออกมาจากปากเฟิงหู่จงใจไม่หลบถูกยึดติดกับต้นไม้สตรีในชุดสีดำ หน้าตาจัดได้ว่าสวยคม พยายามพยุงร่างกายหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

                    แต่นับว่าโชคร้ายของนางคืออีกฝ่ายเป็นสัตว์เทพอสูรพยัคฆ์ขาวเฟิงหู่ใช้ร่างสัตว์เทพอสูรคำรามใส่ เท้ากระทืบใส่นาง หลิ่งเฟยที่แอบมองมาได้สักพักพอรู้แล้วว่าสตรีที่กำลังแพ้คงเป็นนางพญาแมงมุมที่เฟิงหู่ที่เคยพูดถึงอยู่

                    นางพญาแมงมุมที่ไม่อาจสู้กับเฟิงหู่ได้พยายามรักษาชีวิตให้นานที่สุด เมื่อกี้นางหลบการโจมตีของเฟิงหู่ได้ พยัคฆ์ขาวฉีกยิ้ม แววตาเต็มไปด้วยความรื่นเริง ต่างจากนางพญาแมงมุมที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด

                    นางพญาแมงมุมกลับมาใช้ร่างเดิม แต่ด้วยขาที่นางเหลืออยู่เพียงแค่สี่ขาจากแปดขา นางจึงทำได้แค่ฝังคมเขี้ยวใส่ขาเฟิงหู่ราวกับกิ่งไม้งัดท่อนซุง เฟิงหู่ที่ไม่เป็นอะไรเลยสะบัดนางพญาแมงมุมก่อนกระโจกเข้าไปเหยียบซ้ำจนนางพญาแมงมุมส่งเสียงกรีดร้องด้วยความทรมาน                

                    เจ้าเสือนั้นบ้าไปแล้วรึไง....

                    นี้เป็นครั้งแรกของหลิ่งเฟยที่ได้เห็นเฟิงหู่สู้นอกจากตนเอง ไม่มีเค้าเฟิงหู่ในยามที่อยู่ในเรือนมายาหรือกับตนเองสิ่งที่เห็นมีแต่ความบ้าคลั่ง

                    กี๊ดดดดด!!!

                    เสียงกรีดร้องที่แสดงถึงความทรมานอย่างขีดสุดทำให้หลิ่งเฟยตัดสินใจไม่รอช้าที่จะเข้าไปหยุดเฟิงหู่ที่ตนเองไม่รู้จัก

                    “พอได้แล้วท่านเฟิงหู่”

                    ถึงเสียงจะเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่เฟิงหู่จำเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเจ้าของเสียงได้สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เคยเจอมา              

                    “นางแพ้แล้วนะเฟิงหู่

                    หลิ่งเฟยพูดเสียงเรียบเมื่อเฟิงหู่ยังเหยียบร่างนางพญาแมงมุม เฟิงหู่ยกเท้าออกกลับมาใช้ร่างมนุษย์

                    “เหตุใดเจ้าถึงทำหน้าเช่นนั้น”

                    เฟิงหู่พูดอย่างไม่ชอบใจในอดีตก็มีคนทำหน้าเช่นเดียวกับหลิ่งเฟย เป็นใบหน้าที่ไม่ได้หวาดกลัวหรือเวทนา

                    แต่หากมันว่างเปล่าจนน่าหงุดหงิด

                    “ดูจากภายนอกเหมือนท่านจะยังสบายดีอยู่นะ”

                    หลิ่งเฟยเดินผ่านเฟิงหู่อย่างเมินเฉย เข้าไปดูอาการนางพญาแมงมุมที่เรียกได้สภาพไม่เหลือชิ้นดีแต่ยังคงหายใจอยู่                

                    เพราะหมอกพิษทำให้หลิ่งเฟยรู้สึกอึดอัดตัวอยู่ไม่น้อย หลิ่งเฟยแผ่ลมปราณออกมาลบล้างหมอกพิษซึ่งเฟิงหู่มองการใช้ลมปราณอย่างสิ้นเปลื้องของหลิ่งเฟยด้วยความหมั่นไส้

                    “ยูซานลงมาได้แล้ว”

                    เฟิงหู่มองปีกสีดำเมื่อยูซานทะยานลงมาจากฟ้า ยูซานที่รู้ตัวว่าถูกมองอยู่รีบทำความเคารพอีกฝ่าย

                    “....ลูกครึ่งหรอกหรือ”เฟิงหู่เหมือนพูดกับตนเองหลิ่งเฟยที่ทำการรักษาอยู่แอบแปลกใจเล็กน้อย แต่สิ่งสำคัญตอนนี้คือการรักษานางพญาแมงมุม

                    “ทำไมเจ้าถึงไปรักษาศัตรูแทนที่จะมารักษาข้ากันหลิ่งเฟย”

                    หลิ่งเฟยกรอกตามองบน เมื่อกี้ตอนที่เดินผ่านเฟิงหู่ก็แอบสังเกตอาการของเฟิงหู่อยู่เหมือนดูเหมือนพิษของนางพญาแมงมุมจะออกฤทธิได้ไม่มากเมื่ออีกฝ่ายคือเฟิงหู่ แต่อาการหนาวสั่นและอาการชาที่ขาตรงจุดที่โดนกัดคงก่อกวนใจเฟิงหู่ไม่น้อย               

                    “ยืนรอไปสักพักมันไม่ตายหรอกท่านเฟิงหู่”

                    หลิ่งเฟยพยายามรักษานางพญาแมงมุมที่ตนเองไม่รู้ชื่อเท่าที่จะทำได้ ทั้งการรักษาบาดแผลภายในและบาดแผลภายนอกแต่ด้วยวิชาความรู้ที่มีทำได้แค่ช่วยยืดเวลาออกไปเท่านั้น

                    พา..ไป

                    เสียงที่แผ่วเบาฟังไม่ชัดหลิ่งเฟยพยายามฟังสิ่งที่นางพญาแมงมุมพยายามพูดอีกครั้ง

                    พาข้าไปที่พรรคหมื่นพิษ

                    นั้นคือสิ่งที่หลิ่งเฟยสามารถจับใจความได้ หากนั้นคือสิ่งที่จะทำให้นางพญาแมงมุมรอดหลิ่งเฟยก็จะไม่ลังเลที่จะทำ

                    “ข้าจะไล่พิษออกจากร่างกายให้ แต่ท่านต้องพายูซานกลับไปที่เรือนมายา”

                    “หลิ่งเฟยข้าไม่ได้อยู่ในเรือนมายา ตอนนี้เจ้าไม่มีสิทธิมาสั่งข้า”

                    เฟิงหู่ที่จำข้อตกลงได้พูดด้วยความมั่นใจจนหลิ่งเฟยอยากจะเอาสุราที่เฟิงหู่ชอบหนักหนามาสาดใส่แผลสักสิบครั้ง

                    “งั้นก็เชิญยืนตายอยู่ตรงนี้ไปก็แล้วกันนะท่านเฟิงหู่ ยูซานเดียวข้าจะให้จดหมายแนะนำ”

                    “เออๆ เดียวข้าพาไปก็ได้แค่นี้ก็พอแล้วใช่มั้ย”

                    เพราะไม่รู้วิธีรักษาและด้วยความที่ไม่รังเกียจยูซานอยู่แล้ว ที่พูดไปเมื่อกี้ก็แค่หยอกเล่นหลิ่งเฟยมองด้วยความเอื้อมระอาสัตว์เทพอสูรที่ควรดูสูงส่งตอนนี้เหมือนเพื่อนที่คอยกวนประสาทอยู่ตลอด

                    เมื่อหลิ่งเฟยไล่พิษออกจากร่างกายจนหมดแล้วเฟิงหู่ก็คำรามเสียงดังในร่างมนุษย์ทีหนึ่งว่า ข้าหายแล้ว ยูซานกับซงหูแทบแตกและไม่อยากไปกับท่านผู้นี้ด้วย

                    “ถึงจะไม่เข้าใจว่าเจ้าจะรักษามันไปทำไมก็เถอะ รู้ไว้ด้วยซะว่านี้เป็นครั้งเดียวที่ข้าจะยอมทำตามคำขอของเจ้า”

                    รีบๆกรุณาไสหัวไปเถอะท่านเฟิงหู่ เส้นเลือดในสมองจะแตกอยู่แล้ว

                    หลิ่งเฟยตัดสินใจที่จะนำนางพญาแมงมุมเข้าไปในแหวนมิติและใช้ไฟสีฟ้าที่สามารถช่วยฟื้นฟูห่อหุ้มตัวเอาไว้อีกที

                    เพราะไม่เคยได้ยินชื่อพรรคหมื่นพิษและไม่รู้จักหลิ่งเฟยเลือกจะถามสัตว์อสูรในป่าจนได้ความว่าพรรคหมื่นพิษนั้นอยู่ในหุบเขาที่อยู่ในแคว้นโจวซึ่งอยู่ระหว่างแคว้นฉินกับแคว้นหยาง

                    ถึงจะไกลมากแต่นั้นก็ไม่ใช่ปัญหา หลิ่งเฟยไม่รอช้าที่จะเดินทางไปยังที่นั้นเมื่อถึงป่าที่มีภูมิประเทศตรงตามที่รู้มาหลิ่งเฟยรีบเดินทางไปยังพรรคหมื่นพิษตามคำบอกเล่าของสัตว์อสูรที่อยู่แถบนั้น

                    ป้ายที่เขียนคำว่า พรรคหมื่นพิษไว้อย่างยิ่งใหญ่ ประกอบกับยามที่เฝ้าหน้าประตูที่ดูน่ากลัวพร้อมจะฆ่าทุกคนที่เดินเข้าไปหลิ่งเฟยไม่อยากจะเสียเวลาให้ยามที่เฝ้าอยู่นั้นเข้าใจว่าตนเองเป็นศัตรูจึงใช้ร่างเด็กผู้หญิงและปล่อยนางพญาแมงมุมมาไว้ข้างนอกก่อน

                    “พี่ชายคะ”

                    ไม่ทันไรยามสองคนก็เล็งปลายหอกมาที่หลิ่งเฟย หน้าตาเต็มไปด้วยความไม่ไว้ใจ หลิ่งเฟยทำเป็นหวาดกลัวจนยามเฝ้าหน้าประตูผ่อนแรงลง

                    “คือว่าข้าเจอนางพญาแมงมุมบาดเจ็บ นางบอกให้ข้าพามาที่นี่”

                    คำๆนี้ไม่น่าใช่คำล้อเล่นถึงแม้ว่าเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาจะดูแปลกๆแต่สัตว์อสูรที่อยู่แถบนี้ย่อมรู้ดีว่านางพญาแมงมุมไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาพูดพล่อยๆ หลิ่งเฟยวิ่งเข้าไปในป่าบอกให้รีบตามมายามคนหนึ่งอาสาที่จะไปเองจนได้เห็นร่างของนางพญาแมงมุมในร่างจริงที่ดูไม่ได้เลยแม้แต่น้อย                

                    “ท่านมี่อิง!? “

                    นั้นเป็นครั้งแรกที่หลิ่งเฟยได้ยินชื่อของนางพญาแมงมุม  ผู้คนมากมายรีบทำการเคลื่อนย้ายนางพญาแมงมุม หลิ่งเฟยที่อยากรู้วิธีการรักษาก็ขอไปด้วยคน

                    ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นตั้งแต่เคลื่อนย้ายนางพญาไปจนถึงหาห้องรับรองหลิ่งเฟยแม้ว่าหลิ่งเฟยต้องการที่จะอยู่ใกล้กับมี่อิงก็ตามแต่คำตอบที่ได้รับคือประมุขพรรคต้องการพบตัวเป็นการส่วนตัว

                    “พี่ชายเจ้าคะ ข้าขอไปอยู่ข้างท่านนางพญาแมงมุมได้หรือไม่”

                    หลิ่งเฟยใช้รูปร่างหน้าตาที่เป็นเด็กไร้เดียงสาพูดแกมขอความเห็นใจ ยามเฝ้าหน้าห้องคนหนึ่งก็ดูเห็นใจหากไม่ถูกอีกคนหนึ่งขัดเสียก่อน                

                    แต่หลิ่งเฟยก็ไม่ยอมแพ้ น้ำตาคลอเบ้า ตัวสั่นให้ยามรู้ว่าเด็กน้อยคนนี้กำลังทุกข์ใจมากแค่ไหนที่ไม่ได้อยู่ข้างนางพญาแมงมุม เมื่อได้เห็นเช่นนี้ยามทั้งสองต่างเห็นใจในทันทีแม้ว่านางจะเป็นสัตว์อสูรแต่ก็ยังเป็นเด็กเผลอๆกระบวนการความคิดคงไม่ซับซ้อนไปมากกว่ามนุษย์หรือก็คือนางคงโกหกไม่เป็น

                    “รอสักหน่อยนะ เดียวข้าจะลองไปสอบถามท่านประมุขดู”

                    ยามที่ขัดในตอนแรกเดินออกไปในทันที หลิ่งเฟยนึกขอบคุณที่ตนเองตัดสินใจมาอยู่ในร่างเด็กน้อยไม่เช่นนั้นคงไม่ได้รับความเห็นใจถึงขนาดนี้

                    หลิ่งเฟยออกมายืนข้างยามมองสิ่งรอบตัวด้วยความอยากรู้อยากเห็น  ทางเดินที่ดูเรียบง่ายไม่มีอะไรตกแต่งนอกจากภาพวาด และผลงานแกะสลักกลิ่นของสมุนไพรลอยอยู่ในอากาศจางๆ แม้กระทั้งหญิงรับใช้ที่เดินสวนทางไปมาก็ยังมีกลิ่นของสมุนไพรและกลิ่นของสัตว์อสูร

                    “แม่นางตัวน้อย”

                    ยามเฝ้าประตูคุกเข่าทำท่าเคารพในทันทีหลิ่งเฟยมองคนเรียกอย่างงุงงง จำได้ว่านี้คือเด็กชายที่ที่ตนเองเคยเจอเมื่อตอนที่ตนเองออกมาเดินเล่นและช่วยเอาไว้จากความตาย

                    ผ่านไปสองปีคนเรามันจะโตได้ถึงขนาดนี้เลยเชียวหรือ...

                    หลิ่งเฟยเงยหน้ามองคนตัวสูงที่สูงขึ้นมาก หยางซือยิ้มคล้ายอารมณ์ดีคนรับใช้ที่ตามหลังมาสองคนมองหน้ากันอย่างแปลกใจว่าประมุขพรรครู้จักสัตว์อสูรตนนี้ด้วยหรือ แถมยังดูดีใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

                    “เข้าไปข้างในก่อนเถอะนะแม่นางตัวน้อย ข้าเอาขนมกับสุรามาด้วยนะ

                    เจอหน้าก็เอาขนมมาล่อเลยหรือ

                    “ท่านมี่อิงได้รักการรักษาเรียบร้อยแล้วหรือ....เจ้าคะ”

                    หลิ่งเฟยพูดหางเสียงต่อท้ายเมื่อเห็นสายตาที่เป็นกังวลของคนรับใช้และยามเฝ้าประตู นอกจากความกังวลแล้วยังมีความหวาดกลัวตัวของประมุขพรรคที่หลิ่งเฟยยังไม่รู้นาม

                    “ไม่ต้องพูดสุภาพกับข้าหรอกแม่นางตัวน้อย เรื่องของมี่อิงค่อยคุยกับข้างในกัน”

                    ประมุขพรรคคุกเข่าในส่วนสูงใกล้เคียงกัน ใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความงามจนสตรีที่ว่างามล่มเมืองคงอยากลาออกจากตำแหน่งกำลังส่งสายตาราวกับลูกหมา

                    “ก็ได้”

                    โต๊ะที่ว่าตัวใหญ่แล้ว ก็ยังคงใหญ่ไม่พอสำหรับหยางซือ หยางซือสั่งเปลี่ยนโต๊ะให้นำแจกันใส่ดอกไม้มาตั้งประดับห้อง ขนมมากมายถูกเอามาจัดเรียงอย่างสวยงาม หลิ่งเฟยยืนมองคนพูดสั่งจนคนรับใช้ต้องวิ่งวุ่นหาสิ่งที่เจ้านายต้องการมาให้

                    รวมไปถึงเสื้อผ้าชั้นดีกับของเล่นสำหรับเด็กผู้หญิงด้วย

                    หลิ่งเฟยนั่งกอดตุ๊กตาที่ถูกปักเย็บให้เหมือนประมุขพรรค ในห้องมีเพียงแค่หลิ่งเฟยกับประมุขพรรค หยางซือรินสุราให้พร้อมกับยื่นจานขนมมาวางไว้ตรงหน้า

                    “เจ้าจำข้าได้หรือไม่ แม่นางตัวน้อย

                    ผ่านมาเกือบหนึ่งก้านธูปพึ่งมาถามว่าจำได้หรือเปล่า อย่างนี้ก็ได้หรือคุณชายรูปงาม

                    “ต้องจำได้อยู่แล้วสิ จะว่าไปเจ้าชื่ออะไรหรือ”

                    หลิ่งเฟยคิดว่าตนเองตาฝาดเพราะเมื่อกี้เหมือนเห็นหูกับหางสุนัขกำลังส่ายไปมา

                 “ข้าชื่อเยียน หยางซือแล้วเจ้าล่ะ”

                    “ข้าชื่อหลิ่งเฟย”

                    “หลิ่งเฟย ข้าชอบชื่อนี้”

                    มีหลายสิ่งที่หลิ่งเฟยรู้สึกสงสัยท่าทีของคนรับใช้ที่ดูหวาดกลัว การแสดงของหยางซือที่ดูแตกต่างจากครั้งแรกที่เจอกันและอาการของนางพญาแมงมุมในเวลานี้

                    “คือว่า ข้าขอไปหาพญาแมงมุมได้หรือไม่ ตอนนี้ข้ารู้สึกเป็นห่วงนางไม่น้อยเลย”

                    สายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเปลี่ยนไปเป็นความเกลียดชังรวมไปถึงความแค้นอย่างแรงกล้าเมื่อกล่าวถึงนางพญาแมงมุมโดยไม่เอ่ยนาม หลิ่งเฟยเดาออกทันทีว่าเวลาปกติหยางซือไม่ได้เป็นอย่างที่อยู่ต่อหน้าตนเองแน่นอน

                    “หากเจ้ายืนยันเช่นนี้ข้าจะพาเจ้าไปเองหลิ่งเฟย”

                    หยางซือพาหลิ่งเฟยไปยังห้องหนึ่งที่ดูแตกต่างจากห้องอื่นและดูวุ่นวายจนหาคำอธิบายไม่ถูกตั้งแต่ควันที่ลอยคลุ่งไปทั่วห้องเพื่อกล่อมประสาทมี่อิง คนรับใช้ที่วิ่งไปมาเพื่อคอยเปลี่ยนน้ำสะอาดอุปกรณ์การแพทย์ถูกโยนใส่ถาดสำหรับอุปกรณ์ใช้แล้วทุกวินาที

                    นี้คือการผ่าตัด เป็นภาพที่หลิ่งเฟยไม่ได้เห็นมานาน

                    “ไม่มีการถ่ายเลือดหรือนางเสียเลือดไปมากเลยนะหยางซือ”

                    “อ่า เรื่องนั้นเห็นว่าพวกเขาจะใช้เม็ดยาเพิ่มเลือด”

                    แต่แบบนั้นก็เป็นการสร้างภาระให้กับร่างกายไม่ใช่หรือไงกัน ข้าถึงไม่ทำอะไรเกี่ยวกับเลือดมากนอกจากฟื้นฟูบาดแผลภายนอกแล้วไงพวกเขาถึงมาผ่าตัด ควักนู่นนี่ออกให้เสียเลือดเพิ่มอีก..

                    หลิ่งเฟยอยากจะเข้าไปหยุดทุกคนที่ดูจะสับสนเป็นอย่างมากว่าจะเริ่มจากอะไรดี หยางซือมองภาพตรงหน้าด้วยความพอใจและยินดีเป็นอย่างมากหากว่ามี่อิงจะตายไป แต่เมื่อเห็นสีหน้าของหลิ่งเฟยที่ดูเสียใจไม่น้อย ความคิดในใจก็เปลี่ยนไปในทันที

                    “เจ้าอยากให้มี่อิงรอดอย่างนั้นหรือหลิ่งเฟย”

                    “ใช่ เพราะว่าข้าคิดว่านางคงยังไม่อยากตาย”

                    ดวงตาสีเงินมีแววตาของความเสียดายบางสิ่งที่หยางซือไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ถ้าหากว่าหลิ่งเฟยต้องการแบบนั้นตนเองก็ยอมที่จะยื่อชีวิตของสัตว์อสูรชั้นเลวอย่างนางพญาแมงมุม

                    “ถอยออกไปให้ ไปเอาแมงมุมพันธุ์เดียวกับมี่อิงมา เตรียมน้ำเกลือ สมุนไพรสมานบาดแผลชนิดอ่อนมาด้วย”

                    ไม่พูดเปล่าหยางซือผลักคนที่กำลังสั่งการออกไป ทุกคนทำตามคำสั่งทันทีต่างพากันออกไปจากห้องไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นว่าหลิ่งเฟยได้เข้ามาห้องแล้ว

                    ควันสีเทาที่เกิดจากการเผาไหม้ถูกเป่าออกไปด้วยลมปราณของหยางซือ หลิ่งฟยไม่สามารถระบุได้หยางซืออยู่ในขั้นไหนเพราะไม่เคยเจอใครที่สามารถควบคุมลมปราณได้ละเอียดอ่อนถึงขนาดนี้

                    “เจ้าออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะ มันไม่ใช่ภาพที่น่าดูเท่าไรนัก”

                    “ไม่ ข้าจะอยู่ช่วยเจ้าด้วย”

                    หลิ่งเฟยมัดแขนเสื้อที่ยาวรุ่มร่ามขึ้นไป มือหยิบจับสมุนไพรลดไข้มาบดเอาผ้าสะอาดห่อเอาไว้และวางไว้บนศีรษะแมงมุม หยางซือมองแปลกใจที่สัตว์อสูรจะรู้วิธีการรักษาแบบนี้ถึงจะเป็นขั้นพื้นฐานก็ตาม

                    “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ขอรับไว้ด้วยความยินดี”

                    ทันทีที่สัตว์อสูรแมงมุมถูกนำเข้ามาประมาณสิบตัว หลิ่งเฟยแทบจะหัวใจวายเมื่อทันทีที่พวกมันเห็นว่านางพญาแมงมุมบาดเจ็บ ต่างไปรวมตัวกันที่โต๊ะและหยางซือก็ได้ตัดหัวแรกออกเชื่อมสายถ่ายเลือดให้โดยตรง หยางซือบอกว่านี้เป็นวิธีที่จะทำให้การถ่ายเลือดเสียออกไปนั้นเร็วที่สุด

                    พอมาถึงตัวที่สองหลิ่งเฟยที่เอายาลบล้างพิษให้มันกินรีบเอาเข็มไปเจาะที่ตัวมันตรงๆไม่ตัดหัวเหมือนที่หยางซือทำ

                    “การถ่ายเลือดเสียออก และนำเลือดเข้าไปใหม่จำเป็นต้องทำอย่างช้าๆไม่เช่นนั้นคนไข้อาจเกิดอาการช๊อกได้”

                    อีกครั้งที่หยางซือต้องแปลกใจสติปัญญาที่ชาญฉลาดเกินกว่าสัตว์อสูรและมนุษย์ที่เคยพบเจอทำให้หยางซืออดยิ้มออกมาไม่ได้ เพราะนั้นแปลว่าสิ่งที่ตนเองตั้งใจจะรักษามี่อิงและทรมานมี่อิงไปด้วยในตัวหลิ่งเฟยคงจะมองออกอยู่แล้ว

                    “ข้าแค่อยากรักษามี่อิงให้เร็วที่สุดก็เท่านั้นเอง”

                    “ระยะเวลาก็เป็นสิ่งสำคัญนะหยางซือ”

                    “....ถูกของเจ้า ถ้าเช่นนั้นก็ตามข้าให้ทันนะแม่นางตัวน้อย”

                    หยางซืออยากจะเห็นความสามารถของหลิ่งเฟยให้มากกว่านี้อีก จึงทุ่มฝีมือเต็มที่กับการรักษามี่อิงเพราะเมื่อกี้หยางซือโยนหน้าที่การรักษาไปให้พวกที่เก่งแต่วางยาพิษ พวกนั้นจึงได้แต่รักษาแบบเด็กที่ยังตักข้าวกินเองไม่เป็น

                    เส้นลมปราณสีเขียวอ่อนออกมาจากนิ้วชี้ หลิ่งเฟยที่ไม่เคยเห็นแต่ก็ไม่มีเวลามาถามว่าทำได้อย่างไรรีบหยิบคีมจับแผลเปิดบาดแผลให้มือของหยางซือเข้าไปเย็บอวัยวะภายในได้

                    ชาติก่อนตนเองเป็นหมอที่มีฝีมือมากมายไม่ว่าจะผ่าตัดหรือการวินิฉัย แต่ตอนนี้หลิ่งเฟยคือคนที่มีแค่ความรู้และต้องเรียนรู้การรักษาเหมือนอย่างตอนนี้

                    เมื่อการเย็บส่วนปอดเสร็จแล้ว ต่อไปก็กระเพาะหลิ่งเฟยเข้าในทันทีว่าทำไมเมื่อกี้ถึงมีโยนทิ้งอุปกรณ์ผ่าตัดเป็นว่าเล่น เลือดของมี่อิงตอนนี้เมื่อสัมผัสกับอากาศนานๆจะจับตัวเป็นก้อนราวกับเนื้อเยื่อนอกจากต้องคอยเปิดแผลแล้วต้องตัดก้อนเลือดที่กำลังเสียออกอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

                    หยางซือเองก็ทำเช่นนั้นด้วยเหมือนกันเพียงแต่ใช้ลมปราณเลยไม่ต้องโยนมีดออกบ่อยๆ จนหลิ่งเฟยตัดสินใจให้คนใช้ไปเอายาที่ฤทธิตรงข้ามกับกับพิษของมี่อิงเพื่อเอามาเคลื่อบอุปกรณ์

                    การผ่าตัดที่กินเวลาไปถึงสี่ชั่วยาม ในที่สุดก็เสร็จเรียบร้อยสัตว์อสูรแมงมุมขึ้นไปนอนข้างมี่อิงเมื่อผู้นำของมันพ้นขีดอันตรายแล้ว หลิ่งเฟยล้างมือมองหยางซือที่นั่งพิงพนังหายใจหอบเหมือนคนวิ่งรอบสวนร้อยรอบ

                    เหนื่อยขนาดนั้นแต่ตอนที่กำลังผ่าตัดยังรักษาระดับการหายใจได้ ถือว่าเป็นมืออาชีพที่แท้จริงเลยทีเดียว

                    “ล้างเลือดก่อนเถอะ เลือดของนางพญาแมงมุมเป็นกรดไม่ใช่หรือ”

                    “รู้ถึงขนาดนี้ด้วยหรือหลิ่งเฟย สงสัยข้าเผลอเสียมารยาทกับเจ้าไปซะแล้ว...สิ”

                    หยางซือซบไหล่หลิ่งเฟยที่ถือกาละมังล้างตัวมาให้ เพราะจำเป็นต้องล้างตัวหลิ่งเฟยจึงให้คนรับใช้จัดการต่อเองหมดทุกอย่างยกเว้นการเข้าไปยุ่งกับมี่อิงเพราะกลัวว่าจะมีคนมือบอนมารื้อแผลของนางหลังจากที่ตนเองกับหยางซืออุตส่าห์รักษาไปแล้ว


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×