คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : ยูซาน(รีไรท์)
หลิ่งเฟยยืนมองหน้าร้านที่ดูหรูหราตกแต่งด้วยโคมไฟสีแดงเป็นส่วนใหญ่ มองเข้าไปข้างในก็จะเห็นขวดโหลดที่ภายในนั้นบรรจุไข่ไว้มากมาย มันคือร้านที่ขายสัตว์อสูรประมูลสัตว์อสูรที่หายาก ตอนแรกหลิ่งเฟยก็เคยคิดอยู่ว่าในแคว้นหยิ่งที่มีสัตว์เทพอสูรมังกรฟ้าปกป้องคุ้มครองอยู่นั้น จะมีการค้าขายสัตว์อสูรอยู่ด้วยรึเปล่า และดูเหมือนว่าการค้าขายสัตว์อสูรนั้นไม่สามารถกำจัดออกไปได้เพราะมันเป็นเรื่องที่มีมาช้านานจนยากที่จะแก้ไข
หลิ่งเฟยมองสามคนที่ติดตามตนเองจนมาถึงที่นี่เซี่ยหย่งเซิงที่เป็นมนุษย์ไม่ค่อยคิดมากหรอกแต่อีกสองคนที่เป็นองครักษ์สัตว์อสูรเนี้ยสิ
ไม่อยากให้ทั้งสองคนต้องมาเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น
“พวกท่านไม่ต้องตามข้ามาแล้วละ จากนี่ไปข้าจะไปเอง”
“เดียวก่อนสิเจ้ามาถึงสถานที่แห่งนี้เจ้าคิดว่าตนเองจะมีเงินพอที่จะไถ่ตัวยูซานหรือไง”
เซี่ยหย่งเซิงพูดด้วยความเป็นห่วง
แต่กลับทำให้หลิ่งเฟยอยากจะชกหน้าทีหนึ่งเพราะขึ้นชื่อว่าการประมูลหรือการค้าขายสิ่งที่ไม่ถูกต้องมูลค่าเงินก็ต้องสูงขึ้นอยู่แล้ว
ไม่ได้โง่เง่าถึงขั้นไม่เตรียมเงินมาเองหรอกนะ
“ท่านคิดว่าข้าจะมาโดยที่ไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยรึไงกัน อีกอย่างนะองครักษ์ของท่านเป็นสัตว์อสูรไม่ใช่หรือไงข้าไม่อยากให้พวกเขารู้สึกแย่ก็เท่านั้น”
หลิ่งเฟยอธิบายเหตุผลออกไป
เซี่ยหย่งเซิงเหมือนจะหน้าชาไปชั่วขณะก่อนจะไปพูดคุยอะไรบางกับองครักษ์ หลิ่งเฟยที่ไม่ได้แอบฟังแต่หูมันได้ยินเองว่าเซี่ยหย่งเซิงให้องครักษ์ของตนเองรออยู่แถวนี่
ซึ่งทั้งสองคนก็เชื่อฟังเป็นอย่างดี ทำให้หลิ่งเฟยหมดคำพูดกับความพยายามของเซี่ยหย่งเซิง
เจ้ากระรอกตัวน้อยโผล่หัวออกมาจากสาบเสื้อพร้อมกับเมล็ดแตงโมในปาก
ที่หลิ่งเฟยซื้อให้ระหว่างทางโดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่าหากเจ้ากระรอกน้อยอยากจะมาด้วยก็ต้องกินอะไรด้วยเช่นกัน
แผลโดยรวมแล้วมีแต่รอยช้ำที่คอนอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรให้เป็นห่วง
ข้าอยากเห็นยูซานโดยเร็ว
“ได้สิ แต่ตอนนี่เจ้ากลับเข้าไปในเสื้อก่อนเถอะนะ”
ซงเชื่อฟังเป็นอย่างดี
ยูซานคือชื่อของลูกครึ่งสัตว์อสูรที่ซงบอก หลิ่งเฟยมองนักล่าเอาสัตว์อสูรมาขายต่อบ้าง
มีลูกค้าเข้าออกบ้าง
มองดูแล้วก็เหมือนร้านทั่วไปแต่หูที่ดีเกินไปของข้ากลับได้ยินโหยหวนของความเจ็บปวดดังออกมาจากในร้านด้วย
“เฟย?”เซี่ยหย่งเซิงที่เห็นคนข้างตัวยืนนิ่งเอ่ยชื่อ
“ไม่มีอะไรเข้าไปกันเถอะ”
หลิ่งเฟยเดินนำเข้าไปในร้านบอกกับพนักงานต้อนรับหญิงว่าอยากจะซื้อลูกครึ่งสัตว์อสูรที่ชื่อว่ายูซานทันใดนั้นใบหน้าสวยของนาง
ก็ยิ้มออกมาเหมือนเห็นอะไรบางอย่างที่ถูกใจนางและมีความดูถูกแอบแฝงอยู่
“นายท่านเจ้าสัตว์ชั้นต่ำนั้นกำลังถูกประมูลออกไปในวันนี่
หากท่านต้องการท่านก็ต้องเข้าร่วมประมูล”
คำว่าสัตว์ชั้นต่ำที่ออกมาจากปากนั้นทำให้หลิ่งเฟยรู้สึกแปลกใจกับคำที่ใช้เรียก
แต่เซี่ยหย่งเซิงก็บอกอยู่แล้วว่าคนกลุ่มนี่จะไม่ได้ยอมรับจากสังคม
ดูเหมือนว่าต้องเข้าร่วมงานประมูลด้วยสินะ
“ข้าอยากจะประมูลซื้อตัวยูซาน
โปรดนำทางข้าไปทีสิ”
หลิ่งเฟยบอกด้วยสายตานิ่งเฉยแต่แฝงไปด้วยความเหยียดหยามสตรีตรงหน้า
จนตอนนี้ได้แต่หน้าซีดเพราะสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่กำลังกดดันตนเอง
พนักงานร้านเดินนำทางทั้งคู่มาที่ห้องใต้ดิน
ยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไรเสียงกรีดร้องของสัตว์อสูร เสียงที่พูดเสนอราคาก็ดังขึ้นเรื่อยๆ
หลิ่งเฟยขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกปวดหัวเพราะมันมีมากเกินไปเซี่ยหย่งเซิงที่เห็นหลิ่งเฟยดูมีอาการไม่ค่อยจะดีนักรีบเข้ามาดูอาการทันที
“เจ้าดูไม่ดีเท่าไรเลยนะเฟย”
“ข้าสบายดีเดินต่อเถอะ”
หลิ่งเฟยนึกในใจว่าเสร็จธุระจากที่นี่เมื่อไรจะเผาที่นี่และปลดปล่อยสัตว์อสูรออกไปให้หมด
“นี่คือสัตว์อสูรปักษาวายุ ท่านสามารถใช้มันในการเดินทางติดต่อธุรกิจ
เทียมรถ
หรือจะใช้มันในการสู้รบยังไงก็ได้ระดับลมปราณของมันในตอนนี้คือเหนือธรรมชาติแต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะเราได้ให้ยาสั่งกับมันไป
เพราะฉะนั้นท่านไม่ต้องกลัวเรื่องที่มันจะไม่เชื่อฟังแน่นอนเจ้าค่ะ”
สตรีแต่งตัวน้อยชิ้นใช้ลมปราณในการขยายเสียงพูดอธิบายให้บรรดาแขกในงานฟัง
ที่นี่มีเพียงแค่ที่นั่งไม่ได้มีการต้อนรับเหมือนหอประมูลอย่างเช่นพวกน้ำชา
หรือของว่างเลยนับว่าเป็นการให้แขกนั้นมุ่งความสนใจไปที่การประมูลอย่างเดียว
สภาพของสัตว์อสูรปักษาวายุนั้นก็เรียกว่าดีก็คงไม่ได้เพราะเนื้อตัวของมันเต็มไปด้วยบาดแผลและเลือด
คอก็ถูกล่ามด้วยโซ่ขนาดใหญ่ปีกก็ถูกเจาะและคล้องโซ่เอาไว้ เห็นแล้วก็อดยอมรับไม่ได้เลยว่าสงสารมันจริงๆ
สภาพแย่กว่าซงเสียอีก
“ราคาเริ่มต้นนั้น 100 เหรียญทอง!!”
พอได้ยินราคาเริ่มต้น แขกในงานต่างพากันเสนอราคามาสู้กัน
เท่าที่สังเกตดูก็เหมือนจะเป็นขุนนางไม่ก็พวกพ่อค้า เมื่อมีผู้เสนอราคาจนได้ราคาที่สูงที่สุดก็ได้ทำการปิดประมูล
สัตว์อสูรปักษาวายุถูกออกไปจากเวทีทันทีส่วนวิธีการนั้นก็นับว่าโหดร้ายเพราะมันคือการกระชากให้เดินตามอย่างไม่มีความปรานีต่อความเจ็บปวดของบาดแผลแม้แต่น้อย
ปีกถูกเจาะแบบนั้นแล้วมันจะบินอีกครั้งได้ยังไงกันนะ
หลิ่งเฟยเอามือกุมหน้าผากเพราะอาการปวดหัวหนักขึ้นเรื่อยๆ
เสียงหวีดร้องของสัตว์อสูรที่ถูกกระชากให้เดินไป มันทำให้รู้สึกโกรธ
อยากทำลายสิ่งที่อยู่หน้า แต่ต้องกัดฟัน
คุมลมปราณไม่ให้ไปกระตุ้นพวกยามหรือผู้อื่นโดยไม่จำเป็น ไม่เช่นนั้นการจะได้ตัวยูซานจะยุ่งยากขึ้นไปอีก
“ทำไมเจ้าถึงยอมมาที่นี่กัน หากเจ้าจะมีอาการแบบนี้”
“ข้ามาเพื่อสหายของเจ้าตัวน้อยยังไงละ”
ซงอดปลื้มในความพยายามของเฟยไม่ได้
เงยหน้ามองคนหน้าซีดด้วยเพราะอะไรก็ไม่รู้เพียงแต่สิ่งที่ตนเองทำมีเพียงแค่รักษาตัวเองดีๆตามที่ให้สัญญาไว้กับเฟยและนางโลมคนนั้น
หลิ่งเฟยพยายามทำเป็นไม่รับรู้กับความรู้สึกที่ออกมาจากที่แห่งนี้
มันมาจากพวกสัตว์อสูรที่มีให้ต่อมนุษย์
ความแค้น
ความกระหายเลือด
ชิงชัง
ใจเย็นหลิ่งเฟยเจ้าต้องอดทนจนกว่าจะได้ตัวยูซานมา
การประมูลนั้นก็ผ่านไปได้สามรายการแล้วแต่หลิ่งเฟยยังไม่ได้เสนอราคาซื้อสิ่งใด เซี่ยหย่งเซิงหันมามองหลิ่งเฟยเป็นระยะ
“ต่อไปจะเป็นสินค้าประมูลชิ้นสุดท้าย”
สินค้าชิ้นสุดท้ายได้ถูกนำขึ้นมาบนเวทีเป็นบุรุษที่มีหน้าที่หล่อเหลา
ผมและตา เป็นสีดำสนิท แต่สิ่งที่เตะตาหลิ่งเฟยมากที่สุดคือปีกสีดำที่อยู่ด้านหลังต่างหาก
มนุษย์ก็ไม่ใช่แต่จากการสัมผัสและดูจากภายนอกแล้วก็ไม่ใช่สัตว์อสูรเช่นกันนี้คือ
ลูกครึ่งสัตว์อสูร?
หรือว่าจะเป็นยูซาน?
มาแล้ว นั่นแหละยูซาน
เจ้ากระรอกตัวน้อยโผล่หัวออกมาพร้อมกับส่งเสียงฟ่อๆ
เพื่อเรียกเพื่อนของมันแต่เปล่าประโยชน์ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่มีสติ
และอยู่ไกลเกินไปหลิ่งเฟยลูบหัวเจ้ากระรอกน้อยเป็นการปลอบใจ
ก่อนจะตั้งสมาธิไปกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
“ราคาของมันเริ่มต้นที่ 50 เหรียญทอง!”
ทันทีที่คำว่า 50 เหรียญเข้ามาหู หลิ่งเฟยก็รู้สึกเลือดขึ้นหน้าอย่างแปลกประหลาด
ก่อนหน้านี่สัตว์อสูรที่ถูกประมูลไปนั้นมีค่าตั้ง 100 เหรียญขึ้นไปเลยเชียวนะ จะสื่อว่ายูซานมีค่าต่ำว่ามนุษย์และสัตว์อสูรอย่างนั้นหรือ!
เจ้าสัตว์ชั้นต่ำนั้นกำลังถูกออกไปประมูล
คำพูดของหญิงต้อนรับที่ได้เจอกันตอนแรกผุดขึ้นมาในหัวข้า คุณค่าของสิ่งมีชีวิตถูกตัดสินด้วยเพียงสายเลือดและเผ่าพันธุ์มันช่างเป็นเรื่องที่ขำไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
“ 50 เหรียญทอง!”
“ 55 เหรียญทอง”
เสียงของคนที่เสนอราคาเหมือนกำลังเล่นซื้อของแบบขำๆ
ลูกครึ่งสัตว์อสูรนั้นไม่ต่างจากพวกนอกรีตที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ไม่มีใครยอมรับหรอก
อย่างมากก็เป็นได้แค่ทาสไปจนวันตาย
ดีจังเลยนะคะคุณหมอ ที่ได้แต่งงานด้วย
ค่าสินสอดเองก็เหมือนว่าจะได้มาเยอะเลยนะคะ
เสียงหวานที่เคลือบด้วยยาพิษกัดกร่อนจิตใจคนฟังหลิ่งเฟยกำหมัดแน่นพยายามนึกถึงตัวเลขที่ต้องพูด
แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก
“ค่ะ ราคาสูงสุดในตอนนี้คือ 70 เหรียญทองเจ้าค่ะมีผู้ใดจะเสนอราคาซื้อเจ้าสัตว์ชั้นต่ำอีกหรือไม่”
ถึงจะไม่เหมือนกันแค่ก็สถานการณ์ก็คล้ายกับตอนที่ผู้ใหญ่ตนเองเสนอราคาเรียกร้องสินสอดในชาติก่อน
ราคาสินสอดที่คู่ควรกับความรู้ความสามารถของแพทย์หญิงอย่างเหม๋ยอิ๋ง
เบื้องหน้าดูสนิทกลมเกลียวรักใคร่กันดีแต่เบื้องหลังใครๆต่างก็รู้ว่าเหม๋ยอิ๋งถูกขายออกไปเพื่อนำเงินสินสอดมาค้ำจุนตะกูล
สินสอดตั้งหนึ่งร้อยล้านเลยนะคะ คุณเหม๋ยอิ๋ง
มีคนซื้อเจ้าสัตว์ชั้นต่ำตั้ง 70
เหรียญทองใครจะเสนอราคาอีกเหล่า
“ 10,000 เหรียญทอง!!”
แขกในงานที่กำลังพูดอย่างสนุกปากว่าใครมันจะกล้าเสนอราคาซื้อสูงกว่านี้รีบหันไปมองที่มาของเสียงทันที
เป็นหนุ่มรูปงามที่กำลังนั่งมองยูซานแต่ไม่ได้มีแววตาที่กำลังสนุกหากเป็นแววตาที่โกรธเคือง
พิธีกรหญิงอึ้งกับมูลค่าของราคาที่ได้ยินขนาดสัตว์อสูรระดับเหนือจุติยังไม่แพงเพียงนี้
10,000เหรียญทองสามารถซื้อบ้านพร้อมกับที่ดินได้สบายเลยเชียวนะ
“มีผู้ใดจะกล้าสู้ราคาข้าอีกหรือไม่”
ใครจะกล้าสู้ราคาตั้ง 10,000เหรียญทองกัน...
ทั้งห้องต่างคิดแบบเดียวกันหมดบางคนก็ส่ายหน้า
พิธีกรหญิงที่ได้สติกลับมาทำหน้าที่ตนเองถามออกไปถึงสามครั้งติด
ไม่มีใครเสนอราคาซื้ออีกแล้วจึงทำการปิดประมูล
“เฟยข้าว่าเจ้าออกไปข้างนอกก่อนเถอะนะ
สีหน้าของเจ้าดูแย่มากเดียวข้าจะไปรับตัวยูซานเอง”
เซี่ยหย่งเซิงเข้ามาจับแขนหลิ่งเฟยเป็นห่วงว่าการที่ตะโกนออกไปเมื่อกี้จะทำให้แย่ลง
แต่เมื่อมือสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่กำลังร้อนระอุของหลิ่งเฟยต้องรีบปล่อยมือ เซี่ยหย่งเซิงมองอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจ
เขาไม่เคยเห็นผู้ใดโมโหจนกลายเป็นแบบนี้มาก่อน
“ข้าไม่เป็นอะไร และข้าอยากจะไปรับตัวยูซานด้วยตนเองเท่านั้น”
หลิ่งเฟยยังคงยืนยันเหมือนเดิมเซี่ยหย่งเซิงลูบหน้าผากตัวเองที่ไม่สามารถเอาใจชายคนนี้ได้เลย
ทั้งคู่เดินไปที่หลังเวทีเพื่อไปรับยูซาน
ขุนนางที่ประมูลซื้อสัตว์เมื่อเดินมาเจอกับทั้งสองคนต้องหน้าซีดเพราะจำได้ว่าอีกคนหนึ่งคือท่านอ๋องเซี่ยหย่งเซิง
เซี่ยหย่งเซิงแกล้งทำเป็นไม่รู้จักแต่แววตาที่สื่อว่าตนเองจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปเฉยๆอย่างแน่นอนจริงอยู่ที่การซื้อขายสัตว์อสูรเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมายหากยอมเสียภาษีทุกเดือน
แต่การประมูลสัตว์อสูรไม่มีถูกกฎหมาย
หลิ่งเฟยไม่รอเซี่ยหย่งเซิงที่กำลังถูกประจบสอพลอ
เดินไปหาผู้ที่ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนถุงเหรียญทอง 5 ถุงถูกเอาออกมาจากแหวนมิติหลายคนมองหลิ่งเฟยด้วยความอิจฉาหลายอย่าง
ทั้งรูปร่างหน้าตาและเงินทอง
“กรุณารอสักครู่เจ้าค่ะ
พอดีว่าสินค้าตัวนี่ไม่ค่อยจะเชื่องเท่าไรพวกข้าขอทำการทำลงผนึกไว้ก่อน”
“ไม่จำเป็น”
หลิ่งเฟยพูดหักหน้าสตรีที่เข้ามายั่วยวน
ไม่สนใจอกอวบอิ่มที่กำลังเบียดเข้าหากันเพื่อเรียกความสนใจก่อนเดินเข้าไปข้างในเห็นคนกำลังลงตราประทับ
ไม่รอช้าหลิ่งเฟยขยี้ตราประทับนั้นคามือแรงที่มีมากกว่าตาเห็นทำให้คนที่กำลังประทับตรานั้นถอยห่างออกไปทันที
เจ้ากระรอกตัวน้อยโผล่ออกมาก่อนจะวิ่งไปหายูซานที่กำลังถูกคล้องไว้ทั่วร่างกาย ซงไต่ไปตามตัวของยูซานพร้อมกับใช้มือเล็กๆตบที่หน้าไปส่งเสียงเรียกไป
ยูซานยังไม่ได้สติ
หลิ่งเฟยปลดโซ่ออกแบกยูซานขึ้นหลังกลับไปที่ร้านยาเซี่ยหย่งเซิงที่ตามมาขอแบกเองแทบไม่ทัน
หลังจากนั้นหลิ่งเฟยนำเรื่องนี้ไปบอกแก่นางโลมเยียนถิงพร้อมกับเอาเจ้ากระรอกน้อยไปคืน
“เช่นนั้นหรือเจ้าคะ ช่างน่าเห็นใจสหายของเจ้าเสียจริงนะซง”เยียนถิงพูกับซงที่อยู่บนมือหลิ่งเฟยจิบชาอยู่เงียบๆ
ก่อนสร้อยเส้นหนึ่งดูมีมูลค่ามาอยู่บนมือพร้อมกับผ้าไหมชั้นดี
“ให้ข้าทำไม”
“นายท่านได้โปรดพาซงไปกับด้วยเถิดตัวข้าเองนั้นเป็นเพียงนางโลมแม้จะมีทรัพย์สมบัติแต่ข้าก็ไม่อาจทราบว่าชะตาชีวิตของข้าในอนาคตข้างหน้าจะเป็นเช่นไร”
“....เจ้าเอาอะไรมามั่นใจว่าข้าจะดูแลซงกับยูซาน
บางทีพอรักษาเสร็จข้าอาจจะเอาทั้งสองไปปล่อยในป่านะ”การพาทั้งสองไปปล่อยในป่าซงคงจะเป็นอะไรแต่ยูซานที่เป็นลูกครึ่งคงจะใช้ชีวิตได้ลำบากแต่คงไม่เท่ากับที่ผ่านมา
“ท่านจะไม่ทำเช่นนั้นหรอกเจ้าค่ะ
หากท่านจะทำเช่นนั้นท่านคงไม่ยอมเสีย 10,000
เหรียญทองกับยารักษาอันล้ำค่าไปกับพวกเขาหรอก”เยียนถิงกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มหลิ่งเฟยเกาหัวกับความรู้ทันของอีกฝ่าย
รู้สึกเสียดายไม่น้อยที่จะปล่อยให้สตรีที่ชาญฉลาดและจิตใจดีจะเป็นนางโลมแบบนี้ไปทั้งชีวิต
“งั้นถ้าข้าจะขอไถ่ตัวเจ้าละ”
ทันใดนั้นในห้องก็เงียบลงแม้กระทั้งซงเองก็ยังตกใจจนไม่ทำอะไร
เยียนถิงเองก็อึ้งจนเอาแขนเสื้อปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งไม่นานนักนางก็ก้มหัวทันที
“ท่านหมอข้าซาบซึ้งในน้ำใจท่านยิ่งนัก
เพียงแต่ว่าคนที่จะไถ่ตัวข้าได้นั้น...ข้าอยากให้เป็นคนผู้นั้น”
“เจ้ามีบุรุษที่พึงพอใจอยู่?”
“เจ้าค่ะ เวลานี้เขากำลังเก็บเงินเพื่อไถ่ตัวข้าเช่นนั้นแล้วขอให้ท่านเข้าใจข้าด้วย”
.....จะเรียกโง่เง่าหรือเห็นแก่ตัวดีนะ
ถ้าข้าไถ่ตัวเจ้าก็ใช่ว่าจะพาเจ้าไปด้วยซะหน่อย
หลิ่งเฟยถอนหายใจทีหนึ่งใช่ว่าจะไม่เข้าใจ
แต่ถ้าหากเยียนถิงต้องการให้ชายที่ว่าพิสูจน์ตนเองก็ไม่จำเป็นต้องยื่นจมูกไปยุ่งเรื่องของผู้อื่น
การที่นางโลมมีความรักก็ไม่ต่างกับการเต็มใจจิบพิษรักไปทีละนิดจนกว่าจะรู้บทสรุป
“งั้นนี้คือเงินที่ข้าขอซื้อซงต่อจากเจ้า
ขอให้เจ้าโชคดีและสมหวังนะ”
หลิ่งเฟยวางถุงเงินไว้ตรงหน้าซงอ้าปากค้างกับความร่ำรวยของหลิ่งเฟย
เยียนถิงมองนิ่งก่อนยิ้มดีใจที่ชีวิตนี้ได้มาเจอกับผู้ชายที่ดีแบบหลิ่งเฟยหากไม่ติดว่าตนเองมีคนที่พึงพอใจอยู่แล้วก็คงจะยินดีที่จะติดตามหลิ่งเฟยไปด้วย
นี้ๆทำไมเจ้ายอมเสียเงินตั้งมากมายเพื่อผู้อื่นเหล่า
ซงเอ่ยถามระหว่างทางเดินที่หลิ่งเฟยกำลังเดินออกมา
“เงินนะ
มันหาได้เรื่อยๆแต่ชีวิตนะมันสร้างได้ยากมากเลยนะ หาก 10,000 เหรียญทองของข้าจะทำให้ยูซานมีชีวิตที่ดีกว่าเมื่อก่อน
ข้าก็ไม่เสียดายหรอก”
แต่มูลค่าของมันต่างกันมากเลยนะ 1 ชีวิตกับ 10,000 เหรียญทองเนี้ยนะ
ซงถามด้วยความไม่เข้าใจอยู่ดีหลิ่งเฟยลูบหัวให้กับไม่รู้ของซง
“เงินเป็นเพียงแค่สื่อกลางของแลกเปลี่ยนแต่ชีวิตนั้นไม่อาจประเมินค่าได้ง่ายๆหรอกนะซง”
ซงยังไม่เข้าใจอยู่ดีเพราะตั้งแต่ที่ได้มาอยู่ในสังคมมนุษย์สำหรับซงแล้วเงินทองดูเหมือนสิ่งที่มีค่ามากจนมนุษย์ยอมหักหลังกันเอง
เซี่ยหย่งเซิงที่นั่งจิบชารออยู่รีบลุกไปรับหลิ่งเฟยที่ออกมาพร้อมกับขนมหวานที่มีขายอยู่ในหอนางโลม
ความคิดเห็น