ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เกิดใหม่มาเป็นสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง

    ลำดับตอนที่ #18 : แคว้นหยิ่ง(รีไรท์)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.58K
      211
      28 ส.ค. 64

         "หลิ่งเฟย

         ใครมันกล้ามาปลุกเราก่อนเที่ยงกัน...ถังอี๋เหรอ?

         หลิ่งเฟยตื่นเดียวนะ! ไม่เช่นนั้นข้าจะเข้าไปถล่มห้องสมุดแสนรักของเจ้าแน่!!

         เสียงของสัตว์เทพอสูรพยัคฆ์ที่ลอยเข้าโสตประสาทของหลิ่งเฟย แต่คำขู่ที่ฟังไม่ออกว่าพูดจริงหรือพูดเล่นทำให้หลิ่งเฟยจำเป็นต้องลากหัวตัวเองออกมาจากผ้า มาเจอกับเฟิงหู่ที่กำลังยืนกอดอกตรงปลายเตียง

         ท่านเฟิงหู่เจ้าค่านี่มันยามซื่อนะเจ้าคะ หากท่านหิวก็ให้ชุนทำอะไรให้ทานก่อนก็ได้

         สิ่งที่จะทำให้เฟิงหู่หงุดหงิดมีอยู่เพียงแค่ไม่กี่อย่างหนึ่งอาหาร สองสุรา

         เจ้าเห็นข้าเป็นคนเห็นแก่กินรึไงกัน

         อ้าว ไม่ใช่เรื่องกินหรอกหรือ?

         "แล้วท่านมีปัญหาเรื่องอะไรเล่า"หลิ่งเฟยถามปัญหา เฟิงหู่พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ทีหนึ่งที่จิ้งจอกตัวนี้ยังไม่รู้ตัวอีก

         ทำไมถังอี๋กับไอ๋อั๋นถึงได้ไปอยู่กับคนสองคนนั้น

         ..........เรื่องแค่นี้ ถึงกับมาปลุกข้า

         ก็ให้สองคนนั้นสอนวิชาการควบคุมลมปราณนะสิ เมื่อคืนข้าก็พูดเรื่องนี้อยู่นะท่านไม่ได้ฟังเลยหรือไงกัน"

         "ไม่เห็นจำเป็นต้องให้สองคนนั้นเสียเวลาไปกับสิ่งที่อ่อนแอเลย"

         "เชาเหมาอาจจะไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ก็ได้ แต่เหม่ยเหมยต้องเรียนเอาไว้เพราะลมปราณของเหม่ยเหมยเพิ่มขึ้นทุกวันถ้าไม่ควบคุมมันเอาไว้สักวันลมปราณนั้นจะย้อนกลับมาทำร้ายคนใกล้ตัวเหม่ยเหมยหรือแม้กระทั่งตัวเหม่ยเหมยเอง"

         ถึงจะไม่เคยทำสัญญากับใคร แต่เท่าที่เคยเห็นมาจากการไปเที่ยวตามที่ต่างๆ มนุษย์ที่ทำสัญญากับสัตว์อสูรจะสามารถใช้ความสามารถของสัตว์อสูรที่ทำสัญญาด้วย เช่นสัตว์อสูรที่อยู่ในน้ำหรือมีความสามารถการควบคุมน้ำมนุษย์ก็จะสามารถใช้ได้เช่นกัน และหากเป็นกรณีของเหม่ยเหมยคงไม่พ้นเรื่องพละกำลังอย่างแน่นอน เพียงแค่ว่าร่างกายของมนุษย์คงไม่สามารถแบกรับพลังลมปราณมหาศาลไว้ได้หรอก

         "หากท่านยังปล่อยให้เหม่ยเหมยไม่ทำอะไรเลย สักวันนางก็จะรู้ได้ด้วยตัวเองอยู่ดีเหมือนที่สัตว์อสูรรู้ว่านางเป็นคู่สัญญาของท่าน"

         ที่เหม่ยเหมยสามารถใช้ชีวิตโดยเชื่อว่าตนเองนั้นไร้ลมปราณเพราะเหมือนจะถูกให้กิยยาสลายลมปราณตั้งแต่เด็ก สำหรับคนธรรมดาอาจจะเหมือนยาลดไข้ แต่สำหรับจอมยุทธแล้วมันคือยาพิษดีๆ นี่เอง ก่อนเดินทางมาที่นี่หลิ่งเฟยสังเกตเห็นว่าทำไมเหม่ยเหมยต้องกินเม็ดยาตอนตื่นนอนตลอด แล้วหลิ่งเฟยก็ได้เหตุผลกลับมาว่าหากไม่กินแล้วร่างกายของเหม่ยเหมยนั้นจะไม่มีแรง ซึ่งนั่นไม่จริงเลย

         หลิ่งเฟยสามารถเชื่อมโยงเหตุการณ์ได้แล้วว่าทำไมเหม่ยเหมยที่ได้รับเลือดสัตว์เทพอสูรพยัคฆ์ขาวเข้ามาอยู่ในตัวนั้นจึงไม่มีลมปราณไหลเวียนให้เห็น

         เพราะเหม่ยเหมยถูกคนในตระกูลหลอกให้เชื่อว่าตนเองนั้นไม่มีลมปราณ และให้กินยาที่เหมือนเป็นยาพิษมาตลอด

         เหม่ยเหมยไม่ได้ถูกส่งไปเป็นนางสนมเพื่อเป็นประกันหรือเครื่องบรรณาการถวายความจงรักภักดีจากตระกูลแต่ถูกส่งไปเพื่อให้กีดกันไม่ให้เหม่ยเหมยได้มีโอกาสได้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องของตนเอง เพราะวังหลังมันก็คือกรงทองดีๆ ที่ไม่สามารถออกไปไหนมาไหนตามใจชอบได้

         ช่างโง่เขลาที่ส่งคู่สัญญาพยัคฆ์ขาวไปเป็นนางสนม ทั้งๆ ที่หากทิ้งความคิดเรื่องการเป็นกุลสตรีนั้นออกไป และยอมเปิดใจให้เหม่ยเหมยได้โอกาสได้เรียนวรยุทธ์แล้ว ตระกูลจางก็จะสามารถเชิดหน้าชูตาเผลอๆ อาจจะมีที่ยืนในราชสำนักมากกว่าขุนนางคนอื่นๆ อีกต่างหาก เป็นตระกูลที่ทั้งโง่เขลาและขี้ขลาดโดยแท้จริง

          “ท่านปล่อยให้นางอยู่คนเดียวมาตลอด.." หลิ่งเฟยพูดเสียงเบาแต่ความรู้สึกทิ่มแทงเข้าไปเหมือนเข็มเล่มเล็กเฟิงหู่ขมวดคิ้วไม่ชอบใจความรู้สึกนี้ เหม่ยเหมยเป็นเพียงแค่มนุษย์ที่บอบบาง ต่อให้ได้เรียนรู้วิชาการควบคุมลมปราณยังไงพลังนั้นก็ย้อนกลับเข้ามาทำร้ายตัวเองอยู่ดี

         ปล่อยให้ตายๆ ไปก็ไม่มีใครสนใจหรอก

         ตึง!!!

         อะไรนะ?”

         หลิ่งเฟยที่กำลังซุกหน้าลงไปกับหมอนใบนุ่มนั้นเงยหน้าขึ้นเพราะเสียงที่เหมือนกับอะไรบางอย่างที่โดนกระแทกอย่างแรง เฟิงหู่เดินไปดูที่หน้าต่างหลิ่งเฟยยอมลุกออกจากเตียงเพื่อไปดูด้วยเช่นกัน

         คุณหนู! เป็นอะไรมั้ยเจ้าคะ บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า!

         เชาเหมารีบเข้าไปดูเหม่ยเหมยที่พึ่งฝึกรวบรวมปราณและส่งออกเล็งไปที่ก้อนหินขนาดใหญ่ แต่แทนที่ก้อนหินก้อนนั้นจะเป็นเพียงแค่รอยเล็กๆ กลับกลายเป็นว่าก้อนหินก้อนนั้นได้แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ถังอี๋กับไอ๋อั๋นที่เป็นคนสอนรู้ได้ทันทีว่าเหม่ยเหมยเป็นคู่สัญญาของสัตว์เทพอสูรพยัคฆ์เพราะลักษณะลมปราณเหมือนของเฟิงหู่ไม่มีผิด ความรุงแรงที่อยากจะทำลายทุกสิ่งให้แหลกละเอียด ไอ๋อั๋นเงยหน้ามองเฟิงหู่ที่กำลังมองลงถึงจะไม่รู้ว่าเรื่องเป็นมายังไงแต่ตอนนี้คงต้องปฐมพยาบาลฝ่ามือของเหม่ยเหมยเสียก่อน

         ฝ่ามือที่อาบไปด้วยเลือดกำลังสมานบาดแผลต่อหน้าเจ้าของฝ่ามือ เหม่ยเหมยที่ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้แถมมันยังเกิดขึ้นกับตัวเองมองถังอี๋กับไอ๋อั๋นว่าสิ่งนี้มันคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน มีบางอย่างกำลังไหวเวียนอยู่ในตัวนางและมันกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก่อนสงบลงเมื่อบาดแผลฟื้นฟูหายสนิท

         ทำไมตอนนี้นางถึงใช้ลมปราณได้กัน เจ้าทำอะไรกับนาง

         เฟิงหู่ที่คิดว่าเหม่ยเหมยเป็นสิ่งที่ไร้ค่า เพราะไม่มีแววตาที่เคยเห็นเมื่อในอดีต ไม่มีลมปราณที่ตนเองอุตส่าห์เป็นผู้แบ่งให้ หันมาถามหลิ่งเฟยที่กำลังมองภาพน้องหน้าต่างด้วยความรู้สึกยินดีกับบางสิ่งจนไม่น่าไว้ใจนาง

         ข้าก็แค่เอายาที่เหม่ยเหมยได้มาจากตระกูลจางนั้นทิ้งไป เพราะนางไม่มีความจำเป็นต้องใช้อีกแล้ว

         ยาอะไร

         คำถามที่ไม่อยากตอบ เพราะไม่อยากเจอปัญหาที่เฟิงหู่อาจพวงมาให้นางก็เป็นได้หลิ่งเฟยเอียงคอทำเหมือนไร้เดียงสาก่อนกลับไปล้มตัวนอนต่อที่เตียง

         เอาเถอะ ตอนนี้เหม่ยเหมยก็ไม่ได้อ่อนแอแล้วนะ เพราะงั้นเลิกต่อว่านางว่าอ่อนแอหรือไร้ค่าได้แล้วล่ะ

         เฟิงหู่มองสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกกำลังทำการไล่ตนเองทางอ้อมด้วยการทำว่าจะนอนแล้ว ถึงจะอยู่ในนี้ต่อไปก็ไม่มีอะไรเพิ่มเติมมาอีกทำให้เฟิงหู่ต้องยอมออกจากห้องโดยไม่เต็มใจเท่าที่ควร หลิ่งเฟยกำผ้าห่มแน่นตามองภาพตรงหน้าอย่างเหม่อลอยเมื่อนึกถึงเหม่ยเหมย

         ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับแคว้นหานเลย

         สามวันผ่านไปถังอี๋และไออั๋นได้กลับไปเพื่อทำหน้าที่ของตนต่อ เหม่ยเหมยและเชาเหมานั้นช่วงเช้าจะคอยดูแลทำสวนสมุนไพร ช่วงบ่ายนั้นก็จะฝึกฝนลมปราณการพัฒนาการของเหม่ยเหมยนั้นก้าวกระโดดอย่างชัดเจน จนระดับพลังลมปราณนั้นมาอยู่ในขั้นระดับจุติอย่างก้าวกระโดดโดยใช้เวลาเพียงแค่สองวันเท่านั้น ทำให้ถังอี๋ที่เป็นคนสอนยังแอบอิจฉาเล็กน้อยในใจก่อนกลับ

         ปัญหาเพียงอย่างเดียวของเหม่ยเหมยในตอนนี่คือการควบคุมลมปราณที่มีมากเกินไปไม่ค่อยจะได้ และการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้มีแค่ลมปราณของเหม่ยเหมยที่เพิ่มขึ้นแต่พละกำลังก็เพิ่มขึ้นด้วย

         คุณหนูเจ้าค่า พักก่อนได้มั้ยเจ้าคะ"

         เชาเหมาก้มหน้า มือจับเข่าหายใจหอบจากการฝึกรวมสมาธิลมปราณขั้นแรกเหม่ยเหมยมองหญิงสาวที่เป็นทั้งคนรับใช้และคนสนิทด้วยความสงสัยว่า เพียงแค่นี้ก็เหนื่อยแล้วหรือแต่พอมองย้อนกลับกันคนที่ผิดปกติคือตนเองต่างหาก ร่างกายที่ไม่ได้เจ็บป่วยหรืออ่อนแอ สามารถฟื้นฟูบาดแผลได้แม้ว่าจะไม่ได้เร็วเท่ากับวันแรกที่ตัวเองได้ลองกระแทกคลื่นลมปราณใส่ก้อนหินก็ตาม

         อันที่จริงตอนนั้นเหมือนว่าบางอย่างในร่างกายช่วยเราเพราะความต้องการของตัวมันเองเลย

         "....หรือว่าจะมีอะไรบางสิงอยู่ในตัวข้า"

         ไม่น่าใช่มั้งเหม่ยเหมย แต่ก็ใกล้เคียงอยู่นั้นนะ

         หลิ่งเฟยที่กำลังลองฝึกวิชาใหม่โดยพยายามควบคุมน้ำซึ่งไม่ใช่ธาตุที่ถนัดตอนนี้ระดับลมปราณอยู่ที่สวรรค์และยังพอสัมผัสได้ว่าอีกไม่นานก็จะถึงเหนือสวรรค์แล้ว เพียงแค่คำว่าอีกไม่นานก็ไม่รู้เชนกันว่าเป็นตอนไหน เมื่อไร ชุนบอกว่าปกติแล้วพวกสัตว์อสูรที่จำศีจหรือบำเพ็ญจะสามารถเลื่อนระดับลมปราณได้เร็วกว่าปกติแต่เมื่อลองไปถามสัตว์อสูรตัวอื่นคำตอบคือไม่รู้ว่ามากกว่าปกติคือมันต้องใช้เวลาเท่าไร

         ไม่อยากจะมาจำศีลสิบปีปล่อยให้ทุกคนอยู่กันตามลำพัง ยิ่งถังอี๋กับไอ๋อั๋นที่เป็นมนุษย์แล้วถ้าจำศีลจนเวลาผ่านไปหลายสิบปีตื่นมาแล้วทั้งคู่กลายเป็นตาแก่หรือมีครอบครัวลูกหลานไม่ให้ทันตั้งตัวเล่า ให้มานั่งบำเพ็ญยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่กิเลสในตัวมีเยอะจนเกินไป

         ดังนั้นสิ่งที่คิดว่าเป็นไปได้มากที่สุดสำหรับการเลื่อนระดับลมปราณคือฝึก และฝึกในสิ่งที่ไม่เคยทำถึงจะไม่สามารถควบคุมได้ตามใจนึกแต่เมื่อใช้ลมเข้าช่วย คุกวารีที่พึ่งคิดขึ้นมาก็เสร็จสมบูรณ์

         เป้าหมายที่ตั้งไว้วันนี้ก็สำเร็จในที่สุด ขึ้นไปแกะเพลงใหม่ดีกว่า

         ทุกๆ วันหากเมื่อหลิ่งเฟยเบื่อที่จะนอนแล้วและเพราะอยากจะมีพลังให้สมกับคำเรียกขานว่าสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง คำว่าสัตว์เทพอสูรยังไม่เท่ากับคำว่าจิ้งจอกเก้าหางเพราะเมื่อได้ยินคำพูดนี้ขึ้นมารู้สึกว่าการที่ตนเองมีหางเพียงแค่แปดนั้นถือว่ายังไม่ได้เป็ยจิ้งจอกเก้าหางอย่างสมบูรณ์ จึงมาฝึกวิชาใหม่ที่เคยได้ยินและเคยเห็นจากชาติก่อนและชาตินี้ และยามว่างเมื่ออยากจะทำสิ่งที่ผ่อนคลายในช่วงนี้คือการแกะเพลงเมื่อชาติที่แล้วมาเล่นในชาตินี้

         ท่านหลิ่งเฟยขอรับ ข้าขอเข้าไปได้หรือไม่

         เสียงชุนดังมาจากหลังบานประตูหลิ่งเฟยหยุดมือเล่นกู่เจิง นับว่าเป็นเรื่องแปลกที่ชุนจะขออนุญาตหรือมาพบ เพราะโดยปกติแล้วชุนมักจะมาพูดในเวลาช่วงที่กินข้าวหรือเวลาที่หลิ่งเฟยอยู่นอกห้องแสดงว่าต้องการคุยโดยไม่ให้ใครคนอื่นรู้

         "ได้สิ"

         หลิ่งเฟยกล่าวอนุญาต ชุนเปิดประตูด้วยใบหน้าที่ค่อนข้างกังวล หลิ่งเฟยเดาไปต่างๆ นาๆ ว่าสิ่งใดกันที่ทำให้ชุนมากังวล จะเป็นเรื่องที่จู่ๆ เหม่ยเหมยมีพลังลมปราณแข็งแกร่งรึเปล่า หรือจะเป็นห่วงถังอี๋และไอ๋อั๋นที่ต้องกลับไปประจำการที่ค่ายทหาร

         นึกถึงเรื่องประจำการแล้ว ไอ๋อั๋นก็เคยบอกว่าตอนนี่แคว้นหยางสถานะไม่ค่อยจะดีนัก แต่เพราะเหตุใดก็ไม่อาจทราบได้ เพราะไอ๋อั๋นเองก็ยังไม่ทราบรายละเอียดแต่ก็สัญญาว่าหากรู้อะไรเพิ่มเติมแล้วจะส่งข่าวมาบอก

         ข้าได้ยินข่าวที่ไม่ค่อยจะดีนัก

         เมื่อเห็นชุนทำหน้ากังวลกับสิ่งที่พูดออกมาแล้วบางทีเรื่องนี้อาจจะต้องคุยกันยาวน่าดู ข่าวที่ไม่ค่อยจะดีจนถึงขั้นที่ชุนไม่สามารถมองข้ามและหากมันจะทำให้ตัวหลิ่งเฟยเดือดร้อนหรือทำให้คนรอบตัวหลิ่งเฟยเดือดร้อนก็ไม่อาจนิ่งเฉย

         ข้าได้ยินมาว่าแคว้นหานกำลังรุกรานแคว้นฉินชุนเอ่ยสิ่งที่สิ่งกำลังเกิดข่าวลือในหมู่สัตว์อสูรเชื่อถือได้มากกว่าข่าวลือที่มาจากมนุษย์ เรื่องนี้ก็ได้ยินมาเป็นระยะแล้วแต่เพราะมันเกิดขึ้นที่แคว้นหานกับแคว้นฉินหลิ่งเฟยจึงทำเป็นหูทวนลม

         ทำไมจึงคิดเช่นนั้นละชุน

         หลิ่งเฟยถามออกไปโดยยังรู้อยู่แก่ใจ สาเหตุที่ชุนพูดเรื่องนี้คงจะเกี่ยวเนื่องกับสัตว์อสูรประเภทวิหคอพยพมาโดยยังไม่ถึงฤดูของมันและรอบบริเวณเรือนมายาพวกสัตว์อสูรก็เข้ามาอาศัยหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนสาเหตุที่พวกมันอพยพกันมาก่อนถึงฤดู เป็นเพราะว่าที่แคว้นหานตอนนี้กำลังสุมกำลังพลกองทหารที่มีสัตว์อสูรเป็นกำลังรบ ด้วยการไปจับมาจากป่าในแคว้น ทั้งที่สามารถไปกวาดซื้อไข่และสัตว์อสูรมาฝึกฝนแล้วใช้งานก็ได้แล้วแท้ๆ

         ไปจับสัตว์อสูรในป่าสิ่งที่หลิ่งเฟยพอจะเดาคือพวกเขาต้องการสัตว์อสูรที่ดุร้ายมากกว่าสัตว์อสูรที่ซื้อขายกัน ยิ่งคิดยิ่งไม่อยากนึกถึงเรื่องนี้นึกไปก็มีแต่จะคลื่นไส้

         "แต่เรื่องนี้มันเกิดขึ้นระหว่างแคว้นหานกับแคว้นฉินไม่เห็นเกี่ยวกับพวกเราตรงไหนเลยนี่"

         ถึงจะไม่เกี่ยวแต่ข้าก็รู้สังหรณ์ใจไม่ดี มนุษย์นั้นจะไม่รุกรานเขตแดนของผู้อื่นอย่างชัดเจนแต่สัตว์อสูรในป่าแถบนี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ และมาจากฝั่งชายแดนแคว้นหานกับฉิน ข้าเลยอดคิดไม่ได้ว่าแคว้นหานกำลังคิดทำการใหญ่อยู่ก็เป็นได้

         ฮ่า ฮ่าถ้าเจ้าพูดถึงขนาดนี้ข้าคงไม่สามารถทำตัวลอยชายได้อีกต่อไปแล้วสิ...

         แต่หากแคว้นหานคิดจะทำสงครามกับแคว้นฉินก็ยากไม่น้อยว่าใครจะชนะเพราะบังเอิญว่าตอนที่ไปวังหลังเพื่อเจอกับเหม่ยเหมยก็ได้ไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเสียงกรีดร้องยากจะแยกออกว่าพวกเขากำลังทรมานหรือกำลังเสียสติ กลิ่นเน่าเหม็นอบอวลไปทั่วจนต้องรีบออกมา แต่แคว้นฉินภูมิประเทศตรงชายแดนเป็นภูเขาถือเป็นป้อมปราการจากธรรมชาติยังไม่นับรวมเรื่องที่พันธมิตรอีกต่างหาก

         ถึงแคว้นหยิ่งจะให้การช่วยเหลือแต่สัตว์เทพอสูรมังกรฟ้าเนี้ยสิ ไม่มีใครคิดทำศึกโดยไม่คิดล่วงหน้าว่าต้องเจอกับอะไรหรอกนะเว้นแต่ว่าสิ่งที่อยู่ใต้ดินตรงส่วนของวังหลังจะคืออาวุธลับของพวกเขา

         แต่ว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่าความไม่แน่นอนอยู่ จะทำเป็นไม่รับรู้เลยก็ไม่ได้

         "ข้าจะเก็บเรื่องนนี้ไปคิดนะชุน ดังนั้นอย่ากังวลใจไปเลย"

         ขอรับ

         ข่าวลือเรื่องระหว่างแคว้นหานกับแคว้นฉินมีมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ร่วมไปถึงการอพยพของสัตว์อสูรที่มีมากขึ้นในทุกวันแต่ใช่เพราะชื่อเสียงของจิ้งจอกเก้าหางแต่เป็นเพราะสัตว์อสูรต่างรู้กันว่าสัตว์เทพอสูรพยัคฆ์ขาวลงหลักปักฐานในป่าแห่งหนึ่งของแคว้นหยาง เป็นเรื่องที่ไม่น่าอภิรมย์เท่าไรแต่ก็ถือว่าสิ่งที่พวกสัตว์อสูรรู้มาก็ไม่ผิด

         หลิ่งเฟยข้าอยากสร้างศาลาในสวน

         หืม?”

         การฝึกฝนที่ก้าวกระโดดจนระดับลมปราณใกล้จะถึงระดับจุติสวรรค์ แต่หากปริมาณที่ช่วยทำให้สภาพร่างกายของเหม่ยเหมยนั้นสามารถยืนอยู่ในห้องสมุดของชั้นสามมีเกินของระดับจุติสวรรค์ไปแล้ว

         มีศาลาก็ไม่เลวนะ ชาติก่อนที่สวนบ้านตัวเองก็ยังมีศาลาเอาไว้จิบน้ำชาตั้งหลายที่ แต่ปัญหาคือคนดูแลจะให้ชุนมาคอยดูแลก็คงไม่ไหวเหม่ยเหมยกับเชาเหมาก็ยังทำไม่เป็น ยิ่งเหม่ยเหมยยิ่งไม่เป็นแน่นอน สงสัยต้องหาคนมาเพิ่ม

         "ดีเหมือนกัน แล้วคิดเอาไว้หรือยังว่าต้องการศาลาแบบใด"

         “........แบบที่ติดกับริมสระ

         เหม่ยเหมยพูดเสียงเบาและพยายามซ่อนจุดประสงค์เอาไว้ หลิ่งเฟยทำเป็นไม่รู้เรื่อง หัวเราะเหม่ยเหมยกับการขออะไรสักอย่างจากใครบางคนทุกครั้งเวลาต้องการอะไรสักอย่างถ้าเชาเหมาไม่กล้าเหม่ยเหมยก็ต้องมาเป็นคนขอเอง

         เอาตามนี้ก็ได้ เดียวข้าจะออกแบบศาลาส่วนเจ้าเป็นคนเลือกนะ"หลิ่งเฟยเดินไปหยิบสมุดวาดรูปเหม่ยเหมยที่อยากได้ศาลาสำหรับหลบแดดยิ้มดีใจ ต้องขอบคุณชุนที่เป็คนแนะนำให้มาคุยเรื่องนี้กับหลิ่งเฟยและยังช่วยปลอบตนเองที่กำลังไม่กล้าว่าหลิ่งเฟยไม่ว่าอะไรหรอก เผลอๆ เห็นดีเห็นงามด้วยซ้ำ

         "วัสดุอุปกรณ์ก็อยากได้ที่มันดีๆ คนที่จะมาสร้างศาลาและดูแลด้วย...."

         ใจของเหม่ยเหมยกำลังหดขนาดลงเมื่อได้ยินต้นทุนการสร้างศาลา เมื่อคำนวณวัสดูอุปกรณ์และค่าใช้จ่ายต่างๆ หลิ่งเฟยปรบมือเสียงเบาทีหนึ่ง

         "ครั้งนี้ไปแคว้นหยิ่งดีกว่า"


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×