คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : แคว้นหยิ่ง(รีไรท์)
"หลิ่งเฟย”
ใครมันกล้ามาปลุกเราก่อนเที่ยงกัน...ถังอี๋เหรอ?
“หลิ่งเฟยตื่นเดียวนะ!
ไม่เช่นนั้นข้าจะเข้าไปถล่มห้องสมุดแสนรักของเจ้าแน่!!”
เสียงของสัตว์เทพอสูรพยัคฆ์ที่ลอยเข้าโสตประสาทของหลิ่งเฟย
แต่คำขู่ที่ฟังไม่ออกว่าพูดจริงหรือพูดเล่นทำให้หลิ่งเฟยจำเป็นต้องลากหัวตัวเองออกมาจากผ้า
มาเจอกับเฟิงหู่ที่กำลังยืนกอดอกตรงปลายเตียง
“ท่านเฟิงหู่เจ้าค่านี่มันยามซื่อนะเจ้าคะ
หากท่านหิวก็ให้ชุนทำอะไรให้ทานก่อนก็ได้”
สิ่งที่จะทำให้เฟิงหู่หงุดหงิดมีอยู่เพียงแค่ไม่กี่อย่างหนึ่งอาหาร
สองสุรา
“เจ้าเห็นข้าเป็นคนเห็นแก่กินรึไงกัน”
อ้าว ไม่ใช่เรื่องกินหรอกหรือ?
"แล้วท่านมีปัญหาเรื่องอะไรเล่า"หลิ่งเฟยถามปัญหา
เฟิงหู่พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ทีหนึ่งที่จิ้งจอกตัวนี้ยังไม่รู้ตัวอีก
“ทำไมถังอี๋กับไอ๋อั๋นถึงได้ไปอยู่กับคนสองคนนั้น”
..........เรื่องแค่นี้ ถึงกับมาปลุกข้า
“ก็ให้สองคนนั้นสอนวิชาการควบคุมลมปราณนะสิ
เมื่อคืนข้าก็พูดเรื่องนี้อยู่นะท่านไม่ได้ฟังเลยหรือไงกัน"
"ไม่เห็นจำเป็นต้องให้สองคนนั้นเสียเวลาไปกับสิ่งที่อ่อนแอเลย"
"เชาเหมาอาจจะไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ก็ได้
แต่เหม่ยเหมยต้องเรียนเอาไว้เพราะลมปราณของเหม่ยเหมยเพิ่มขึ้นทุกวันถ้าไม่ควบคุมมันเอาไว้สักวันลมปราณนั้นจะย้อนกลับมาทำร้ายคนใกล้ตัวเหม่ยเหมยหรือแม้กระทั่งตัวเหม่ยเหมยเอง"
ถึงจะไม่เคยทำสัญญากับใคร
แต่เท่าที่เคยเห็นมาจากการไปเที่ยวตามที่ต่างๆ
มนุษย์ที่ทำสัญญากับสัตว์อสูรจะสามารถใช้ความสามารถของสัตว์อสูรที่ทำสัญญาด้วย
เช่นสัตว์อสูรที่อยู่ในน้ำหรือมีความสามารถการควบคุมน้ำมนุษย์ก็จะสามารถใช้ได้เช่นกัน
และหากเป็นกรณีของเหม่ยเหมยคงไม่พ้นเรื่องพละกำลังอย่างแน่นอน
เพียงแค่ว่าร่างกายของมนุษย์คงไม่สามารถแบกรับพลังลมปราณมหาศาลไว้ได้หรอก
"หากท่านยังปล่อยให้เหม่ยเหมยไม่ทำอะไรเลย
สักวันนางก็จะรู้ได้ด้วยตัวเองอยู่ดีเหมือนที่สัตว์อสูรรู้ว่านางเป็นคู่สัญญาของท่าน"
ที่เหม่ยเหมยสามารถใช้ชีวิตโดยเชื่อว่าตนเองนั้นไร้ลมปราณเพราะเหมือนจะถูกให้กิยยาสลายลมปราณตั้งแต่เด็ก
สำหรับคนธรรมดาอาจจะเหมือนยาลดไข้ แต่สำหรับจอมยุทธแล้วมันคือยาพิษดีๆ นี่เอง
ก่อนเดินทางมาที่นี่หลิ่งเฟยสังเกตเห็นว่าทำไมเหม่ยเหมยต้องกินเม็ดยาตอนตื่นนอนตลอด
แล้วหลิ่งเฟยก็ได้เหตุผลกลับมาว่าหากไม่กินแล้วร่างกายของเหม่ยเหมยนั้นจะไม่มีแรง
ซึ่งนั่นไม่จริงเลย
หลิ่งเฟยสามารถเชื่อมโยงเหตุการณ์ได้แล้วว่าทำไมเหม่ยเหมยที่ได้รับเลือดสัตว์เทพอสูรพยัคฆ์ขาวเข้ามาอยู่ในตัวนั้นจึงไม่มีลมปราณไหลเวียนให้เห็น
เพราะเหม่ยเหมยถูกคนในตระกูลหลอกให้เชื่อว่าตนเองนั้นไม่มีลมปราณ
และให้กินยาที่เหมือนเป็นยาพิษมาตลอด
เหม่ยเหมยไม่ได้ถูกส่งไปเป็นนางสนมเพื่อเป็นประกันหรือเครื่องบรรณาการถวายความจงรักภักดีจากตระกูลแต่ถูกส่งไปเพื่อให้กีดกันไม่ให้เหม่ยเหมยได้มีโอกาสได้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องของตนเอง
เพราะวังหลังมันก็คือกรงทองดีๆ ที่ไม่สามารถออกไปไหนมาไหนตามใจชอบได้
ช่างโง่เขลาที่ส่งคู่สัญญาพยัคฆ์ขาวไปเป็นนางสนม ทั้งๆ
ที่หากทิ้งความคิดเรื่องการเป็นกุลสตรีนั้นออกไป และยอมเปิดใจให้เหม่ยเหมยได้โอกาสได้เรียนวรยุทธ์แล้ว
ตระกูลจางก็จะสามารถเชิดหน้าชูตาเผลอๆ
อาจจะมีที่ยืนในราชสำนักมากกว่าขุนนางคนอื่นๆ อีกต่างหาก
เป็นตระกูลที่ทั้งโง่เขลาและขี้ขลาดโดยแท้จริง
“ท่านปล่อยให้นางอยู่คนเดียวมาตลอด.." หลิ่งเฟยพูดเสียงเบาแต่ความรู้สึกทิ่มแทงเข้าไปเหมือนเข็มเล่มเล็กเฟิงหู่ขมวดคิ้วไม่ชอบใจความรู้สึกนี้ เหม่ยเหมยเป็นเพียงแค่มนุษย์ที่บอบบาง ต่อให้ได้เรียนรู้วิชาการควบคุมลมปราณยังไงพลังนั้นก็ย้อนกลับเข้ามาทำร้ายตัวเองอยู่ดี
ปล่อยให้ตายๆ ไปก็ไม่มีใครสนใจหรอก
ตึง!!!
“อะไรนะ?”
หลิ่งเฟยที่กำลังซุกหน้าลงไปกับหมอนใบนุ่มนั้นเงยหน้าขึ้นเพราะเสียงที่เหมือนกับอะไรบางอย่างที่โดนกระแทกอย่างแรง
เฟิงหู่เดินไปดูที่หน้าต่างหลิ่งเฟยยอมลุกออกจากเตียงเพื่อไปดูด้วยเช่นกัน
“คุณหนู! เป็นอะไรมั้ยเจ้าคะ บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า!”
เชาเหมารีบเข้าไปดูเหม่ยเหมยที่พึ่งฝึกรวบรวมปราณและส่งออกเล็งไปที่ก้อนหินขนาดใหญ่
แต่แทนที่ก้อนหินก้อนนั้นจะเป็นเพียงแค่รอยเล็กๆ
กลับกลายเป็นว่าก้อนหินก้อนนั้นได้แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ
ถังอี๋กับไอ๋อั๋นที่เป็นคนสอนรู้ได้ทันทีว่าเหม่ยเหมยเป็นคู่สัญญาของสัตว์เทพอสูรพยัคฆ์เพราะลักษณะลมปราณเหมือนของเฟิงหู่ไม่มีผิด
ความรุงแรงที่อยากจะทำลายทุกสิ่งให้แหลกละเอียด
ไอ๋อั๋นเงยหน้ามองเฟิงหู่ที่กำลังมองลงถึงจะไม่รู้ว่าเรื่องเป็นมายังไงแต่ตอนนี้คงต้องปฐมพยาบาลฝ่ามือของเหม่ยเหมยเสียก่อน
ฝ่ามือที่อาบไปด้วยเลือดกำลังสมานบาดแผลต่อหน้าเจ้าของฝ่ามือ
เหม่ยเหมยที่ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้แถมมันยังเกิดขึ้นกับตัวเองมองถังอี๋กับไอ๋อั๋นว่าสิ่งนี้มันคืออะไร
เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน
มีบางอย่างกำลังไหวเวียนอยู่ในตัวนางและมันกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนสงบลงเมื่อบาดแผลฟื้นฟูหายสนิท
“ทำไมตอนนี้นางถึงใช้ลมปราณได้กัน เจ้าทำอะไรกับนาง”
เฟิงหู่ที่คิดว่าเหม่ยเหมยเป็นสิ่งที่ไร้ค่า เพราะไม่มีแววตาที่เคยเห็นเมื่อในอดีต
ไม่มีลมปราณที่ตนเองอุตส่าห์เป็นผู้แบ่งให้
หันมาถามหลิ่งเฟยที่กำลังมองภาพน้องหน้าต่างด้วยความรู้สึกยินดีกับบางสิ่งจนไม่น่าไว้ใจนาง
“ข้าก็แค่เอายาที่เหม่ยเหมยได้มาจากตระกูลจางนั้นทิ้งไป
เพราะนางไม่มีความจำเป็นต้องใช้อีกแล้ว”
“ยาอะไร”
คำถามที่ไม่อยากตอบ
เพราะไม่อยากเจอปัญหาที่เฟิงหู่อาจพวงมาให้นางก็เป็นได้หลิ่งเฟยเอียงคอทำเหมือนไร้เดียงสาก่อนกลับไปล้มตัวนอนต่อที่เตียง
“เอาเถอะ ตอนนี้เหม่ยเหมยก็ไม่ได้อ่อนแอแล้วนะ
เพราะงั้นเลิกต่อว่านางว่าอ่อนแอหรือไร้ค่าได้แล้วล่ะ”
เฟิงหู่มองสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกกำลังทำการไล่ตนเองทางอ้อมด้วยการทำว่าจะนอนแล้ว
ถึงจะอยู่ในนี้ต่อไปก็ไม่มีอะไรเพิ่มเติมมาอีกทำให้เฟิงหู่ต้องยอมออกจากห้องโดยไม่เต็มใจเท่าที่ควร
หลิ่งเฟยกำผ้าห่มแน่นตามองภาพตรงหน้าอย่างเหม่อลอยเมื่อนึกถึงเหม่ยเหมย
ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับแคว้นหานเลย
สามวันผ่านไปถังอี๋และไออั๋นได้กลับไปเพื่อทำหน้าที่ของตนต่อ
เหม่ยเหมยและเชาเหมานั้นช่วงเช้าจะคอยดูแลทำสวนสมุนไพร ช่วงบ่ายนั้นก็จะฝึกฝนลมปราณการพัฒนาการของเหม่ยเหมยนั้นก้าวกระโดดอย่างชัดเจน
จนระดับพลังลมปราณนั้นมาอยู่ในขั้นระดับจุติอย่างก้าวกระโดดโดยใช้เวลาเพียงแค่สองวันเท่านั้น
ทำให้ถังอี๋ที่เป็นคนสอนยังแอบอิจฉาเล็กน้อยในใจก่อนกลับ
ปัญหาเพียงอย่างเดียวของเหม่ยเหมยในตอนนี่คือการควบคุมลมปราณที่มีมากเกินไปไม่ค่อยจะได้
และการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้มีแค่ลมปราณของเหม่ยเหมยที่เพิ่มขึ้นแต่พละกำลังก็เพิ่มขึ้นด้วย
“คุณหนูเจ้าค่า พักก่อนได้มั้ยเจ้าคะ"
เชาเหมาก้มหน้า
มือจับเข่าหายใจหอบจากการฝึกรวมสมาธิลมปราณขั้นแรกเหม่ยเหมยมองหญิงสาวที่เป็นทั้งคนรับใช้และคนสนิทด้วยความสงสัยว่า
เพียงแค่นี้ก็เหนื่อยแล้วหรือแต่พอมองย้อนกลับกันคนที่ผิดปกติคือตนเองต่างหาก
ร่างกายที่ไม่ได้เจ็บป่วยหรืออ่อนแอ
สามารถฟื้นฟูบาดแผลได้แม้ว่าจะไม่ได้เร็วเท่ากับวันแรกที่ตัวเองได้ลองกระแทกคลื่นลมปราณใส่ก้อนหินก็ตาม
อันที่จริงตอนนั้นเหมือนว่าบางอย่างในร่างกายช่วยเราเพราะความต้องการของตัวมันเองเลย
"....หรือว่าจะมีอะไรบางสิงอยู่ในตัวข้า"
ไม่น่าใช่มั้งเหม่ยเหมย แต่ก็ใกล้เคียงอยู่นั้นนะ
หลิ่งเฟยที่กำลังลองฝึกวิชาใหม่โดยพยายามควบคุมน้ำซึ่งไม่ใช่ธาตุที่ถนัดตอนนี้ระดับลมปราณอยู่ที่สวรรค์และยังพอสัมผัสได้ว่าอีกไม่นานก็จะถึงเหนือสวรรค์แล้ว
เพียงแค่คำว่าอีกไม่นานก็ไม่รู้เชนกันว่าเป็นตอนไหน เมื่อไร
ชุนบอกว่าปกติแล้วพวกสัตว์อสูรที่จำศีจหรือบำเพ็ญจะสามารถเลื่อนระดับลมปราณได้เร็วกว่าปกติแต่เมื่อลองไปถามสัตว์อสูรตัวอื่นคำตอบคือไม่รู้ว่ามากกว่าปกติคือมันต้องใช้เวลาเท่าไร
ไม่อยากจะมาจำศีลสิบปีปล่อยให้ทุกคนอยู่กันตามลำพัง
ยิ่งถังอี๋กับไอ๋อั๋นที่เป็นมนุษย์แล้วถ้าจำศีลจนเวลาผ่านไปหลายสิบปีตื่นมาแล้วทั้งคู่กลายเป็นตาแก่หรือมีครอบครัวลูกหลานไม่ให้ทันตั้งตัวเล่า
ให้มานั่งบำเพ็ญยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่กิเลสในตัวมีเยอะจนเกินไป
ดังนั้นสิ่งที่คิดว่าเป็นไปได้มากที่สุดสำหรับการเลื่อนระดับลมปราณคือฝึก
และฝึกในสิ่งที่ไม่เคยทำถึงจะไม่สามารถควบคุมได้ตามใจนึกแต่เมื่อใช้ลมเข้าช่วย
คุกวารีที่พึ่งคิดขึ้นมาก็เสร็จสมบูรณ์
เป้าหมายที่ตั้งไว้วันนี้ก็สำเร็จในที่สุด ขึ้นไปแกะเพลงใหม่ดีกว่า
ทุกๆ
วันหากเมื่อหลิ่งเฟยเบื่อที่จะนอนแล้วและเพราะอยากจะมีพลังให้สมกับคำเรียกขานว่าสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง
คำว่าสัตว์เทพอสูรยังไม่เท่ากับคำว่าจิ้งจอกเก้าหางเพราะเมื่อได้ยินคำพูดนี้ขึ้นมารู้สึกว่าการที่ตนเองมีหางเพียงแค่แปดนั้นถือว่ายังไม่ได้เป็ยจิ้งจอกเก้าหางอย่างสมบูรณ์
จึงมาฝึกวิชาใหม่ที่เคยได้ยินและเคยเห็นจากชาติก่อนและชาตินี้
และยามว่างเมื่ออยากจะทำสิ่งที่ผ่อนคลายในช่วงนี้คือการแกะเพลงเมื่อชาติที่แล้วมาเล่นในชาตินี้
“ท่านหลิ่งเฟยขอรับ ข้าขอเข้าไปได้หรือไม่”
เสียงชุนดังมาจากหลังบานประตูหลิ่งเฟยหยุดมือเล่นกู่เจิง
นับว่าเป็นเรื่องแปลกที่ชุนจะขออนุญาตหรือมาพบ เพราะโดยปกติแล้วชุนมักจะมาพูดในเวลาช่วงที่กินข้าวหรือเวลาที่หลิ่งเฟยอยู่นอกห้องแสดงว่าต้องการคุยโดยไม่ให้ใครคนอื่นรู้
"ได้สิ"
หลิ่งเฟยกล่าวอนุญาต ชุนเปิดประตูด้วยใบหน้าที่ค่อนข้างกังวล
หลิ่งเฟยเดาไปต่างๆ นาๆ ว่าสิ่งใดกันที่ทำให้ชุนมากังวล จะเป็นเรื่องที่จู่ๆ
เหม่ยเหมยมีพลังลมปราณแข็งแกร่งรึเปล่า
หรือจะเป็นห่วงถังอี๋และไอ๋อั๋นที่ต้องกลับไปประจำการที่ค่ายทหาร
นึกถึงเรื่องประจำการแล้ว
ไอ๋อั๋นก็เคยบอกว่าตอนนี่แคว้นหยางสถานะไม่ค่อยจะดีนัก แต่เพราะเหตุใดก็ไม่อาจทราบได้
เพราะไอ๋อั๋นเองก็ยังไม่ทราบรายละเอียดแต่ก็สัญญาว่าหากรู้อะไรเพิ่มเติมแล้วจะส่งข่าวมาบอก
“ข้าได้ยินข่าวที่ไม่ค่อยจะดีนัก”
เมื่อเห็นชุนทำหน้ากังวลกับสิ่งที่พูดออกมาแล้วบางทีเรื่องนี้อาจจะต้องคุยกันยาวน่าดู
ข่าวที่ไม่ค่อยจะดีจนถึงขั้นที่ชุนไม่สามารถมองข้ามและหากมันจะทำให้ตัวหลิ่งเฟยเดือดร้อนหรือทำให้คนรอบตัวหลิ่งเฟยเดือดร้อนก็ไม่อาจนิ่งเฉย
“ข้าได้ยินมาว่าแคว้นหานกำลังรุกรานแคว้นฉิน”
ชุนเอ่ยสิ่งที่สิ่งกำลังเกิดข่าวลือในหมู่สัตว์อสูรเชื่อถือได้มากกว่าข่าวลือที่มาจากมนุษย์
เรื่องนี้ก็ได้ยินมาเป็นระยะแล้วแต่เพราะมันเกิดขึ้นที่แคว้นหานกับแคว้นฉินหลิ่งเฟยจึงทำเป็นหูทวนลม
“ทำไมจึงคิดเช่นนั้นละชุน”
หลิ่งเฟยถามออกไปโดยยังรู้อยู่แก่ใจ
สาเหตุที่ชุนพูดเรื่องนี้คงจะเกี่ยวเนื่องกับสัตว์อสูรประเภทวิหคอพยพมาโดยยังไม่ถึงฤดูของมันและรอบบริเวณเรือนมายาพวกสัตว์อสูรก็เข้ามาอาศัยหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนสาเหตุที่พวกมันอพยพกันมาก่อนถึงฤดู เป็นเพราะว่าที่แคว้นหานตอนนี้กำลังสุมกำลังพลกองทหารที่มีสัตว์อสูรเป็นกำลังรบ
ด้วยการไปจับมาจากป่าในแคว้น
ทั้งที่สามารถไปกวาดซื้อไข่และสัตว์อสูรมาฝึกฝนแล้วใช้งานก็ได้แล้วแท้ๆ
ไปจับสัตว์อสูรในป่าสิ่งที่หลิ่งเฟยพอจะเดาคือพวกเขาต้องการสัตว์อสูรที่ดุร้ายมากกว่าสัตว์อสูรที่ซื้อขายกัน
ยิ่งคิดยิ่งไม่อยากนึกถึงเรื่องนี้นึกไปก็มีแต่จะคลื่นไส้
"แต่เรื่องนี้มันเกิดขึ้นระหว่างแคว้นหานกับแคว้นฉินไม่เห็นเกี่ยวกับพวกเราตรงไหนเลยนี่"
“ถึงจะไม่เกี่ยวแต่ข้าก็รู้สังหรณ์ใจไม่ดี
มนุษย์นั้นจะไม่รุกรานเขตแดนของผู้อื่นอย่างชัดเจนแต่สัตว์อสูรในป่าแถบนี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ
และมาจากฝั่งชายแดนแคว้นหานกับฉิน
ข้าเลยอดคิดไม่ได้ว่าแคว้นหานกำลังคิดทำการใหญ่อยู่ก็เป็นได้”
ฮ่า ฮ่าถ้าเจ้าพูดถึงขนาดนี้ข้าคงไม่สามารถทำตัวลอยชายได้อีกต่อไปแล้วสิ...
แต่หากแคว้นหานคิดจะทำสงครามกับแคว้นฉินก็ยากไม่น้อยว่าใครจะชนะเพราะบังเอิญว่าตอนที่ไปวังหลังเพื่อเจอกับเหม่ยเหมยก็ได้ไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเสียงกรีดร้องยากจะแยกออกว่าพวกเขากำลังทรมานหรือกำลังเสียสติ
กลิ่นเน่าเหม็นอบอวลไปทั่วจนต้องรีบออกมา
แต่แคว้นฉินภูมิประเทศตรงชายแดนเป็นภูเขาถือเป็นป้อมปราการจากธรรมชาติยังไม่นับรวมเรื่องที่พันธมิตรอีกต่างหาก
ถึงแคว้นหยิ่งจะให้การช่วยเหลือแต่สัตว์เทพอสูรมังกรฟ้าเนี้ยสิ
ไม่มีใครคิดทำศึกโดยไม่คิดล่วงหน้าว่าต้องเจอกับอะไรหรอกนะเว้นแต่ว่าสิ่งที่อยู่ใต้ดินตรงส่วนของวังหลังจะคืออาวุธลับของพวกเขา
แต่ว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่าความไม่แน่นอนอยู่
จะทำเป็นไม่รับรู้เลยก็ไม่ได้
"ข้าจะเก็บเรื่องนนี้ไปคิดนะชุน
ดังนั้นอย่ากังวลใจไปเลย"
“ขอรับ”
ข่าวลือเรื่องระหว่างแคว้นหานกับแคว้นฉินมีมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ร่วมไปถึงการอพยพของสัตว์อสูรที่มีมากขึ้นในทุกวันแต่ใช่เพราะชื่อเสียงของจิ้งจอกเก้าหางแต่เป็นเพราะสัตว์อสูรต่างรู้กันว่าสัตว์เทพอสูรพยัคฆ์ขาวลงหลักปักฐานในป่าแห่งหนึ่งของแคว้นหยาง
เป็นเรื่องที่ไม่น่าอภิรมย์เท่าไรแต่ก็ถือว่าสิ่งที่พวกสัตว์อสูรรู้มาก็ไม่ผิด
“หลิ่งเฟยข้าอยากสร้างศาลาในสวน”
“หืม?”
การฝึกฝนที่ก้าวกระโดดจนระดับลมปราณใกล้จะถึงระดับจุติสวรรค์
แต่หากปริมาณที่ช่วยทำให้สภาพร่างกายของเหม่ยเหมยนั้นสามารถยืนอยู่ในห้องสมุดของชั้นสามมีเกินของระดับจุติสวรรค์ไปแล้ว
มีศาลาก็ไม่เลวนะ ชาติก่อนที่สวนบ้านตัวเองก็ยังมีศาลาเอาไว้จิบน้ำชาตั้งหลายที่
แต่ปัญหาคือคนดูแลจะให้ชุนมาคอยดูแลก็คงไม่ไหวเหม่ยเหมยกับเชาเหมาก็ยังทำไม่เป็น
ยิ่งเหม่ยเหมยยิ่งไม่เป็นแน่นอน สงสัยต้องหาคนมาเพิ่ม
"ดีเหมือนกัน
แล้วคิดเอาไว้หรือยังว่าต้องการศาลาแบบใด"
“........แบบที่ติดกับริมสระ”
เหม่ยเหมยพูดเสียงเบาและพยายามซ่อนจุดประสงค์เอาไว้
หลิ่งเฟยทำเป็นไม่รู้เรื่อง
หัวเราะเหม่ยเหมยกับการขออะไรสักอย่างจากใครบางคนทุกครั้งเวลาต้องการอะไรสักอย่างถ้าเชาเหมาไม่กล้าเหม่ยเหมยก็ต้องมาเป็นคนขอเอง
“เอาตามนี้ก็ได้
เดียวข้าจะออกแบบศาลาส่วนเจ้าเป็นคนเลือกนะ"หลิ่งเฟยเดินไปหยิบสมุดวาดรูปเหม่ยเหมยที่อยากได้ศาลาสำหรับหลบแดดยิ้มดีใจ
ต้องขอบคุณชุนที่เป็คนแนะนำให้มาคุยเรื่องนี้กับหลิ่งเฟยและยังช่วยปลอบตนเองที่กำลังไม่กล้าว่าหลิ่งเฟยไม่ว่าอะไรหรอก
เผลอๆ เห็นดีเห็นงามด้วยซ้ำ
"วัสดุอุปกรณ์ก็อยากได้ที่มันดีๆ คนที่จะมาสร้างศาลาและดูแลด้วย...."
ใจของเหม่ยเหมยกำลังหดขนาดลงเมื่อได้ยินต้นทุนการสร้างศาลา
เมื่อคำนวณวัสดูอุปกรณ์และค่าใช้จ่ายต่างๆ หลิ่งเฟยปรบมือเสียงเบาทีหนึ่ง
"ครั้งนี้ไปแคว้นหยิ่งดีกว่า"
ความคิดเห็น