ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เกิดใหม่มาเป็นสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง

    ลำดับตอนที่ #17 : ไม่ยอมแพ้หรอก(รีไรท์)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.72K
      255
      28 ส.ค. 64

         “นี่เจ้าเป็นคนทำเองทั้งหมดเลยหรือ”

         เหม่ยเหมยและเชาเหมาที่ลงมาทานอาหารมื้อเย็นวันแรกอดตะลึงกับอาหารหน้าตาน่าทานยิ่งกว่าอาหารในวังหรือในจวนเสียอีก ปริมาณที่มีมากจนคาดว่าต่อให้มีทหารสิบคนก็คงกินไม่หมด เฟิงหู่ที่นั่งดื่มสุรามองเหม่ยเหมยเพียงแวบเดียวก่อนจะก้มหน้ารินสุราในจอกเข้าปากต่อ

         “เจ้าทำหน้าเหมือนท่านเฟิงหู่ตอนเห็นข้าทำอาหารครั้งแรกไม่มีผิดเลย” หลิ่งเฟยพูดหยอกล้อแต่คนที่ถูกหยอกกับคนที่ถูกพูดถึงไม่ได้รู้สึกดีเลยแม้แต่นิด เชาเหมากลืนน้ำลายหลังเหม่ยเหมยตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นอาหารมากมายกองอยู่ตรงหน้าแบบนี้มาก่อน

         เหม่ยเหมยเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะด้วยความรู้สึกเหมือนตนเองเป็นสตรีที่ด้อยค่าและไร้ประโยชน์ขึ้นมาทันที ถึงตนเองจะทำอาหารเป็นอยู่บ้างเพราะหลักสามคุณธรรมที่สตรีพึ่งมี แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นที่สามารถทำให้อาหารออกมามีหน้าตาที่น่าทานและปริมาณอันมากมายเท่ากับที่หลิ่งเฟยทำมาก่อน

         “ท่านหลิ่งเฟยบอกว่าจะให้พวกท่านสองคนดูแลพืชสมุนไพร ดังนั้นวันพรุ่งนี้เดียวข้าะขอเป็นคนให้คำแนะนำแก่ท่านทั้งสองเองนะขอรับ” ชุนพูดสร้างบรรยากาศบนโต๊ะเหม่ยเหมยลอบมองเฟิงหู่ เช่นเดียวกับเฟิงหู่ที่แม้จะไม่มองแต่ทุกคนยกเว้นเชาเหมาสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบใจของเฟิงหู่ที่เหม่ยเหมยมาอยู่ที่นี่

         “ขอบพระคุณท่านจริงๆ เจ้าค่ะ ท่าน...”

         เชาเหมาถามกลับอย่างคล่องแคล่วแทนนาย ด้วยเพราะบุคลิกของชุนดูไม่มีอันตราย จึงเป็นบุคคลหนึ่งที่เชาเหมารู้สึกไม่กลัว บทสนทนาระหว่างมื้ออาหารมีเพียงแค่วิธีการดูแลพืชสมุนไพร และการที่จะอยู่ในเรือนมายาอย่างปลอดภัย มีเพียงคนเดียวที่ไม่ได้เอ่ยปากพูดเลยคือเฟิงหู่ หลิ่งเฟยแอบลอบสังเกตอยู่อย่างเงียบๆ มีแต่ยังพูดคุยบ้างตอบโต้บ้าง

     

         “ท่านเฟิงหู่”

         หลิ่งเฟยเรียกพยัคฆ์ขาวที่กำลังนั่งดื่มสุราริมบ่อน้ำมรกต เฟิงหู่ที่รับรู้แล้วว่ามีคนมาแต่ยังคงดื่มต่อไป

         “ทำไมท่านไม่พูดอะไรบ้างละ ไม่สมกับเป็นท่านเลยนะ”

         “ผู้หญิงคนนั้นเป็นสิ่งที่ข้าไม่ได้ตั้งใจจะให้เกิดขึ้นมา ข้าเพียงช่วยยืดอายุนางแต่ไม่ได้คิดจะทำสัญญากับนางด้วย”

         “เป็นผู้ชายที่ปากแข็งจริงๆ ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ ข้าไม่บอกด้วย ข้าเพียงแค่อยากรู้ว่าทำไมนางถึงมีกลิ่นอายของท่านอยู่ก็เท่านั้น”

         หลิ่งเฟยที่รับรู้เลือดของเฟิงหู่ที่ไหลเวียนในตัวของเหม่ยเหมยมาตั้งแต่แรกที่ได้เจอ และเมื่อได้รู้เรื่องที่สัตว์อสูรไม่ยอมทำสัญญาด้วยก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเป็นเพราะอะไร เฟิงหู่ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักรับผิดชอบ แต่เพื่อไม่ให้มีเรื่องบาดหมางหรือปิดบังจึงต้องมาถามเจ้าตัวตนเรื่องตรงๆ ดูจากความสัมพันธ์และทั้งคู่แล้ว การทำสัญญานั้นเป็นการทำสัญญาอยู่ฝ่ายเดียวเฟิงหู่นั้นยังไม่ได้แลกเปลี่ยนเลือดกับเหม่ยเหมย

         และเหม่ยเหมยเองก็ไม่เคยรู้ถึงเรื่องนี่อีกด้วย

     

         “ท่านเหม่ยเหมยเจ้าคะ ทางนี่มีสมุนไพรที่ไม่อีกแล้วเจ้าค่ะ” เชาเหมาเรียเหม่ยเหมยที่กำลังถือตำราเปรียบเทียบภาพกับพืชตรงหน้าให้หันมาสนใจหลังจากที่ชุนทำการอธิบายและสอนวิธีการเก็บสมุนไพรพร้อมกับมอบตำราสมุนไพรที่หลิ่งเฟยเป็นคนเขียนให้ทั้งคู่

         “ไหน....นี่เป็นต้นโต่วต๋ง1มีสรรพคุณช่วยบำรุงร่างกาย เพิ่มระบบภูมิต้านทาน?” เป็นครั้งที่สี่ที่เห็นคำนี้ในตำราไม่ว่าจะยังไงก็ไม่เข้าคำนี้เหม่ยเหมยเก็บข้อสงสัยเอาไว้ไปถามทีหลังก่อนลงมือช่วยเชาเหมาเก็บเพราะว่าตอนนี้เหม่ยเหมยไม่ได้เป็นคุณหนูหรือพระสนมอีกต่อไปแล้ว ต้องขอบคุณคนเขียนตำราที่วาดรูปประกอบทุกรูปมาให้ด้วยการเก็บสมุนไพรจึงไม่ได้ยากเย็นอะไรมากนักแค่มันมีมากจนเกินไป

     

         เชาเหมามองดูแปลงสวนสมุนไพรที่หลิ่งเฟยเคยพูดถึงไว้แต่หากไม่มีการจัดแบบแยกประเภทสมุนไพรมีพิษกับไม่มีพิษแล้วเอามาปลูกรวมกันคงไม่ต่างจากป่าเล็กๆ แสนอันตรายเพราะไม่รู้ว่าต้นไม้มีพิษหรือไม่มีพิษ แต่เมื่อได้รู้จักสมุนไพรบางส่วนแล้วมีไม่น้อยที่เป็นสมุนไพรหายากราคาแพงจนอดคิดคำนวณในใจว่าหากนำทั้งหมดนี้ไปขายครั้งหนึ่งจะซื้อจวนได้สักกี่หลัง

         “ท่านเหม่ยเหมยเจ้าค่ะ”

         “อะไร”

         เชาเหมาชี้นิ้วไปยังที่หนึ่ง ในพุ่มไม้นั้นมีเฟิงหู่กำลังหลับอยู่ เหม่ยเหมยรู้สึกหน้าชาขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุทันที ถึงแม้จะถูกผู้อื่นดูถูกเหยียดหยามมามากมายทั้งทางสายตาและคำพูดแต่ไม่ใช่กับเฟิงหู่ภายในอกรู้สึกแน่นขึ้นมาเมื่อเห็นใบหน้าของสัตว์เทพอสูรที่ดุร้ายที่สุดกำลังหลับท่ามกลางสวนอยู่คนเดียว อยากเข้าไปคุยด้วยแต่ก็ไม่กล้า

         “เชาเหมาข้าว่าเราไปที่อื่นกันเถอะ”

         “เจ้าค่ะ”

         ทั้งคู่เดินเข้าไปข้างในสวนลึกขึ้นเรื่อยๆ ข้างทางก็เริ่มมีดอกไม้ปรากฏออกมาให้เห็นเหมยเหม่ยดูดอกไม้ที่เบ่งบานอย่างสวยงาม บางดอกก็มีหน้าตาที่แปลกประหลาดแต่หากดูดีๆ แล้วมันก็สวยในแบบของมัน กลิ่นหอมละมุนชวนให้ผ่อนคลายพลอยยิ้มขึ้นมาสัมผัสกลีบดอกไม้อย่างเบามือ

         “สวยจังเลยเจ้าค่ะ ไม่เคยเห็นท่านหลิ่งเฟยบอกเลยว่ามีสวนดอกไม้อยู่ด้วย”

         “นั่นสินะ สวยและมันต้องมีประโยชน์ด้วยแน่ๆ”

         ไม่เหมือนข้าที่มีแค่หน้าตาสวยมากกว่าพี่น้อง นอกนั้นก็ไม่มีอะไรนอกจากการเล่นกู่เจิง

         แซก แซก

         เสียงพุ่มไม้ขยับเสียดสีเรียกสติของเหม่ยเหมยที่กำลังฟุ้งซ่านกลับมา พุ่มไม้ที่ขยับไปมาแต่ยังไม่เห็นร่างที่เป็นต้นเสียง สตรีสองคนพร้อมใจกันจับมือปลอบตัวเอง เพราะตอนนี้มีอยู่กันเพียงแค่สองคน แถมไม่มีฝีมือด้านการต่อสู้หากเป็นสัตว์ร้าย คงได้แต่ร้องเรียกขอความช่วยเหลือโดยไม่สามารถสู้กลับไปได้

         “อ้าว มีคนมาอยู่ใหม่แล้วรึเนี้ย”

         เจ้าของเสียงคือชายหน้าตาดี ใบหน้าดูมีเสน่ห์น่าเข้าหา แต่งกายเหมือนเป็นทหารโผล่ออกมาแต่เหม่ยเหมยกับเชาเหมายังคงระแวงอยู่จ้องมองทหารหน้าตาดีด้วยความไม่ไว้วางใจ

         ไอ๋อั๋นยิ้มให้อย่างเป็นมิตรในใจรู้อยู่แล้วว่ามีผู้มาอาศัยคนใหม่ เพราะหลิ่งเฟยใช้สัตว์อสูรนกส่งจดหมายมาทำให้อยากจะมาทักทายคนที่มาอาศัยคนใหม่จึงแยกทางกับถังอี๋ และตามรอยเท้ามาจนได้มาเจอทั้งสองคน แต่ดูสีหน้าของสตรีตรงหน้านั่นเหมือนระแวงตนเองไม่น้อย

         “ข้า ชู ไอ๋อั๋นขอรับห้องของข้าอยู่ที่ชั้นสองและเป็นคนที่คอยปรุงสมุนไพรต่างๆ ในเรือนมายาก่อนออกไปเรือนมายา ท่านหลิ่งเฟยคงเคยเล่าให้พวกท่านฟังบ้างนะขอรับ”

         ไอ๋อั๋นกุมมือก้มหัวเล็กน้อย คำพูดแนะนำตัวทำให้ทั้งสองนึกออกทันทีว่าคนนี้คือน้องชายฝาแฝดที่มีนิสัยเรียบร้อย ชอบใช้สมองมากกว่ากำลัง

         “ข้าได้ยินมาว่าท่านมีพี่ชายฝาแฝด” เหม่ยเหมยถามอีกคนหนึ่ง

         “ออ ถังอี๋ไปที่เรือนมายาขอรับ"ไอ๋อั๋นตอบข้อสงสัยให้

         "เมื่อกี้ดูเหมือนว่าท่านจะชอบดอกไม้ที่ข้าปลูกมากนะขอรับ” ไอ๋อั๋นชวนคุยเข้าบทสนทนาเหม่ยเหมยที่พึ่งได้คุยกับบุรุษวัยเดียวกับตนหลุบตามองพื้น ไม่ชินกับการสนทนาแบบนี้จึงต้องคิดคำตอบให้เหมาะสมและไม่โกหกตัวเอง

         “ข้าไม่ได้ชอบถึงขนาดนั้น”

         “ท่านไม่ชอบดอกไม้?" ไอ๋อั๋นถามอย่างแปลกใจสตรีส่วนใหญ่ที่ไอ๋อั๋นพบเห็นนั้นมักจะชอบดอกไม้ ขอแค่อะไรเป็นดอกไม้ก็รับหมดแต่เหม่ยเหมยกลับบอกว่าไม่ได้ชอบดอกไม้ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังเอามือไปสัมผัสอยู่เลย

         “ข้าก็แค่เห็นว่ามันสวยดี แต่ไม่ได้ชื่นชอบดอกไม้”

         หากดอกไม้นั้นไม่มีประโยชน์มันก็ไม่ต่างอะไรกับดอกไม้ไร้ค่าประดับในแจกันหรอก

         แววตาของเหมยเหม่ยสะท้อนถึงแผลในใจ ไอ๋อั๋นพอดูออกว่านางอาจจะผ่านอะไรบางอย่างมาจึงได้แสดงสีหน้าเช่นนั้น ก่อนเดินไปอีกทางหนึ่งพร้อมกับกวักมือทั้งคู่ราวกับต้องการจะให้ตามไป เหม่ยเหมยกับเชาเหมามองตามไอ๋อั๋นที่เดินเข้าไปในสวนซึ่งลึกกว่าเดิมอย่างสงสัยว่าจะไปไหนกันแต่ก็ยอมตามไปเพราะมั่นใจว่าอย่างน้อยก็ยังอยู่ในเขตของหลิ่งเฟย

         ดอกเหมยหลากสีปรากฏเข้ามาในสายตาของสองสตรีเพราะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ดอกเหมยที่ยังไม่บานเต็มที่และบานแล้วบางดอกทำให้เหมยเหม่ยและเชาเหมาลืมสนใจบุรุษที่ได้พบไปชั่วขณะ

         “สวยใช่มั้ยขอรับ” ไอ๋อั๋นที่เป็นคนปลูกพูดด้วยความภาคภูมิใจเมื่อได้เห็นสีหน้าทั้งคู่ตะลึงในความสวยของดอกเหมย

         “อะ อืม”

         “ท่านหลิ่งเฟยเคยบอกว่าดอกไม้นั้นมันก็มีเอกลักษณ์ในตัวของมัน ดังนั้นอย่าได้ไปตัดสินว่าดอกไม้เป็นเพียงแค่ของประดับหรือไร้ค่า”

         “ท่านหมายความว่าไงกัน”

         เหมยเหม่ยถามอย่างไม่เข้าใจ ผู้ชายคนนี้กำลังใช้ภาษาดอกไม้เกี้ยวเธอไงกัน หรือตั้งใจจะบอกความหมายเตือนตัวเองทางอ้อมหากเป็นเช่นนั้นแปลว่าตนเองได้แสดงสีหน้าความรู้สึกออกผ่านสีหน้าอย่างชัดเจน แต่จะยังไงภาพดอกเหมยที่เบ่งบานอย่างสวยงามนั่นก็ทำให้อดคิดไม่ได้จริงๆ ว่ามันสวยมากจนไม่น่าเป็นเพียงแค่ของตกแต่ง

         “คุณหนูเจ้าค่ะ”

         เชาเหมาเรียกอย่างลำบากใจ เพราะเห็นเหม่ออยู่นานแล้วจึงเรียก ตนเองไม่อยากให้เจ้านายของตนยึดติดกับอดีตมากเกินไปอีกอย่างในใจเชาเหมาตอนนี้ก็อยากจะเรียนรู้เกี่ยวกับสมุนไพรอีกเยอะแยะ เพราะเมื่อก่อนนั่นไม่ได้มีโอกาสที่จะมาพบเห็นสิ่งใหม่ๆ สำหรับตน เหมยเหม่ยที่ดึงสติกลับมานั่นรีบถามเชาเหมากลับทันทีว่าจะอยู่ต่อหรือไม่ นับว่าเป็นการเปิดใจที่ดีและการลดระยะห่างระหว่างนายกับบ่าว

         ไอ๋อั๋นผู้นึกจินตนาการว่าคุณหนูลูกขุนนางจะทำตัวสูงส่ง แสดงคำพูดทางสายตาทำตัวมีลับในคมในกล่าวขอโทษที่นึกระแวงเหม่ยเหมยก่อนหน้านี้ในใจ

         “หากพวกท่านไม่รังเกียจ ข้าสามารถช่วยปรึกษาเรื่องสมุนไพรได้นะเพราะข้าเป็นคนปรุงสมุนไพรด้วยเช่นกัน”

         สตรีทั้งสองที่กำลังขอปลีกตัวหันมามองคนอาสาอย่างพร้อมใจกัน มีหลายสิ่งที่ไม่กล้าถามชุนเพราะการปฏิบัติตัวที่เอาใจใส่จนไม่อยากรบกวนชุน

     

         “หืม”

         “อะไรหรือหลิ่งเฟย”

         ถังอี๋ที่นั่งฟังหลิ่งเฟยเล่นกู่เจิงนั่นถามอย่างแปลกใจ จู่ๆ หลิ่งเฟยก็หยุดเล่นขึ้นมาและทำหน้าเหมือนกับได้ยินอะไรบางอย่าง บางทีนางอาจจะได้ยินพวกสัตว์ในป่ามายาพูดคุยเรื่องประหลาดๆ อยู่ก็เป็นได้

         “พอดีข้าคิดบางอย่างออกมาได้นะ”

         หลิ่งเฟยหันมาสนใจเล่นกู่เจิงต่อ หลังจากได้ยินบทสนทนาในสวนเบาๆ ถึงจะอยู่ไกลจนแทบจะไม่ได้ยินแต่ประโยคที่จับใจความได้ก็ทำให้เธอนึกอะไรดีๆ ออกมาได้

         “เจ้าเล่นเพราะ”

         “ต้องพูดว่า เพลงเพราะหลังข้าเล่นจบสิถังอี๋”

         “แต่เจ้าก็เล่นเพราะจริงๆนะ ในค่ายทหารมีแต่ผู้ชาย อาหารก็ไม่อร่อยทำให้พอกินได้ไปวันๆ”

         ถังอี๋พูดเล่าเรื่องราวที่ได้พบเจอตั้งแต่วันแรกที่ได้ไปเข้าค่ายทหารและแสดงฝีมือจนแม่ทัพใหญ่ของแคว้นหยางนั้นรับทั้งคู่เข้ามาเป็นทหาร ด้วยความสามารถกับฝีมือการต่อสู้ไม่นานนักก็ได้กลายเป็นรองแม่ทัพของกองทัพ และด้วยเพราะมีหน้าตาที่คล้ายกันของสองพี่น้องฝาแฝดทำให้มีสตรีมากมายชื่นชอบ ถังอี๋บ่นให้ด้วยอีกว่าไอ๋อั๋นมักจะหลีกเลี่ยงการดูตัวจากจดหมายขุนนางด้วยการผลักภาระมาให้ถังอี๋ ทั้งที่ตัวเองก็ชอบไปหอนางโลมจนกลายเป็นแขกประจำ

         อายุแค่ 16 ก็เป็นถึงรองแม่ทัพทั้งๆ ที่พึ่งเข้าค่ายทหารไปแค่สองเดือน สงสัยเรากับเฟิงหู่คงจะสอนดีเกินไปไม่ก็เพราะระดับลมปราณอยู่ระดับจุติสินะ....

         “ข้าดีใจนะที่พวกเจ้ามีความสุข ความจริงข้าเองก็แอบเป็นห่วงอยู่เหมือนกันว่าพวกเจ้าจะแอบร้องไห้คิดถึงเรือนมายารึเปล่า”

         หลิ่งเฟยหยุดเล่นกู่เจิงเพื่อเตรียมตัวไปทำอาหาร ถังอี๋หน้าแดงขึ้นทันทีไม่ทราบว่าเป็นเพราะสิ่งที่หลิ่งเฟยพูดนั้นเป็นจริงหรือเพราะตัวเองคิดตามกันแน่ ถังอี๋อ้าปากเหมือนจะพูดแต่ก็เงียบลงหลิ่งเฟยมองท่าทางคนที่ตนเองเลี้ยงมา 10 ปีด้วยความเอ็นดู

         ดูเหมือนว่าการได้เป็นถึงรองทัพทำให้เป็นผู้เป็นคนขึ้นสินะ

     

     

     

         “หือ”

         หลิ่งเฟยที่ตั้งใจว่าจะลงมาเตรียมอาหารมองไอ๋อั๋นที่จับมีดครัวอย่างแปลกใจ และข้างๆ ก็มีสตรีสองคนเชาเหมาและเหม่ยเหมยเป็นลูกมือ ภาพบุรุษที่จับมีดหันเนื้อสลับกับภาพสตรีสองคนล้างของและเตรียมวัตถุดิบ จนหลิ่งเฟยนั่นอดกลั้นหัวเราะออกไม่ได้ ตนเองก็ไม่ได้อคติหรอกนะว่าผู้หญิงต้องทำอาหาร และผู้ชายต้องเป็นคนคอยช่วยแต่นี่มันสลับกันไปหมด

         “ไอ๋อั๋นเจ้าทำอาหารเป็นแล้วหรือ”

         “ที่ค่ายนั้นอาหารนั้นรสชาติไม่ดีนัก ข้าเลยเอาสูตรของท่านหลิ่งเฟยไปทำอาหารปรากฏว่าทหารในกองข้าต่างชอบกันมาก”

         ไอที่ชอบคือชอบเจ้าหรือชอบรสชาติของอาหาร?

         “ข้าจะไม่แปลกใจเลยหากเจ้าจะมีสตรีมาหลงใหลเจ้า”

         หลิ่งเฟยไปนั่งดูทหารหนุ่มปรุงอาหารอย่างสนใจ ตลอดเวลาที่ไอ๋อั๋นอยู่ที่เรือนมายานั้นบางครั้งก็คอยช่วยตนเองทำอาหารก็จริงแต่ก็แค่ล้างผักล้างเนื้อ ไม่ได้มีมากไปกว่านั้น การที่ไอ๋อั๋นสามารถทำอาหารเป็นก็น่าลองดูเหมือนกันว่ารสชาติจะเป็นยังไง

         “นี้เจ้าทำอาหารเป็นด้วยรึ"เฟิงหู่ที่พึ่งเดินเข้ามารีบถามทันที สีหน้าของเฟิงหู่ในตอนนี้นั้นไม่ต่างกับชุนเช่นกันในใจของทั้งสองคนคงอยากให้ไอ๋อั๋นที่ชอบปรุงยาแปลกๆ อยู่เสมอหยุดมือซะ เพราะกลัวว่าไอ๋อั๋นจะใส่อะไรที่ไม่สามารถกินลงไปในอาหาร

         “ไอ๋อั๋นเจ้าไปพักเถอะนะ เดินทางกลับมาเหนื่อยๆ เดียวข้าทำเอง” ชุนเข้าไปจะแย่งตะหลิวมาทำเองไอ๋อั๋นเอามือหลบ

         “ไม่เป็นไรหรอกขอรับ คนในกองทัพต่างชอบฝีมือข้ามาก”

         “ข้ากลัวว่าเจ้าจะอะไรแปลกๆ เข้าไปนะสิ ไอ๋อั๋น” ครั้งนี้เป็นเฟิงหู่ที่พูดออกมาตามความคิด ทำไมเฟิงหู่ถึงกล้าพูดเช่นนี้ย้อนกลับไปในเมื่อก่อนเพราะเฟิงหู่ชอบดื่มสุรามากไอ๋อั๋นจึงลอบใส่ยาปลุกกำหนัด เพื่อทดสอบดูว่าหากสัตว์เทพอสูรได้ดื่มเข้าไปแล้วจะเกิดผลหรือไม่ โชคร้ายที่ตอนนั้นชุนก็อยู่ที่นั่นด้วยพอดี แต่เป็นโชคดีที่หลิ่งเฟยเองก็มาทันพอดีจึงช่วยได้ทันเวลา

         “ท่านเฟิงหู่ขอรับ ข้าไม่กล้าหรอกอีกอย่างท่านหลิ่งเฟยเองก็คอยจับตาดูข้าอยู่ด้วย” ไอ๋อั๋นพูดด้วยรอยยิ้มบทสนทนาสร้างความสนใจให้เหม่ยเหมยและเชาเหมาอยากรู้ว่าทำไมเฟิงหู่กับชุนถึงไม่อยากให้ไอ๋อั๋นทำอาหารทั้งที่กลิ่นอันหอมชวนให้น้ำลายไหลลอยออกมาจากหม้อ

         ที่จริงตอนนั้นข้าก็อยากเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ละนะ หากชุนไม่ตะโกนบอกถังอี๋ให้ไปเรียกข้ามาช่วย ก็ตั้งใจปล่อยให้อยู่ด้วยกันตรงนั้นไปแล้ว ใจจริงอยากจะขอบคุณไอ๋อั๋นไปด้วยซ้ำอีกต่างหาก

         “งั้นเดียวข้าช่วยด้วยละกัน ถังอี๋กับไอ๋อั๋นก็กลับมาทันทีต้องมีสุราเลี้ยงต้อนรับด้วย” หลิ่งเฟยลุกขึ้นเดินไปแย่งหน้าที่จากไอ๋อั๋น และไล่ให้ไอ๋อั๋นไปทำของหวานแทน เฟิงหู่ที่ได้ยินคำว่าสุรานั้นรีบไปที่ห้องเก็บสุราอย่างไม่รอช้าจนหลิ่งเฟยต้องกุญแจกับถังอี๋ไปเปิดประตู เอาสุราออกมาเตรียมเอาไว้และเสียบางส่วนให้เฟิงหู่ที่แอบเก็บไว้ในแหวนมิติอีกต่างหาก ชุนรีบไปหาวัตถุดิบมาเพิ่มเนื่องจากวัตถุดิบที่มีอยู่ไม่พอสำหรับรองแม่ทัพคนใหม่ของทางกองทัพสองคนและไม่พอสำหรับสัตว์เทพอสูรสองตนด้วย

         “ท่านทั้งสองเป็นรองแม่ทัพแคว้นหยาง?”

         เหมยเหม่ยถามกลับอย่างแปลกใจหลังจากได้พูดคุยทำความรู้จัก ไม่อยากเชื่อว่าคนหนึ่งที่ดูเหมือนมีดีแค่กำลังและอีกคนหนึ่งที่เหมือนจะเป็นบัณฑิตนั้นจะเป็นถึงรองแม่ทัพ และระดับลมปราณก็อยู่ในระดับจุติอีกเสียด้วย! ตระกูลนางมีเพียงแค่ผู้นำตระกูลเท่านั้นที่อยู่ในระดับจุติ แต่ในแคว้นหยางกลับมีรองแม่ทัพที่ลมปราณอยู่ในระดับจุติ หรือเป็นเพราะว่านางอยู่แต่ในจวนกันแน่นะถึงไม่รู้เรื่องพวกนี้

         “ใช่แล้ว แต่คนที่ออกสนามไปสู้รบส่วนใหญ่ก็มีแต่ข้า ไอ๋อั๋นนะมักจะชอบเก็บตัวปรุงยาไปเที่ยวหอนางโลม” ถังอี๋พูดย่อยกตัวเองให้ดูดีกว่าไอ๋อั๋น หลิ่งเฟบค้านความคิดในใจว่าไม่เชื่อทันที

         “เจ้าเองก็ชอบออกไปเที่ยวเตร่ จนข้าต้องมาทำงานแทนในส่วนของเจ้าแถมมีครั้งหนึ่งไม่ใช่หรือไงที่เจ้าโดนพิษเป็นข้าอีกที่ช่วยถอนพิษให้” ไอ๋อั๋นพูดแย้งพี่ชาย ชุนเหลือบมองอย่างไม่แปลกถ้าทั้งคู่จะมีปัญหาเรื่องส่วนตัว โดยเฉพาะเรื่องนิสัยเฉพาะตัวของแต่ละคน

         สองฝาแฝดเถียงไปมา ต่างพูดแฉเรื่องส่วนตัวกัน ทำให้ช่วยสร้างสีสันบนโต๊ะอาหารได้เป็นอย่างดีบางครั้งชุนก็ตักเตือนทั้งสองด้วยความเป็นห่วงเมื่อได้ยินเรื่องไม่ปลอดภัยสำหรับทั้งคู่ เฟิงหู่ก็มีถามไถ่ความคืบหน้าของการเป็นผู้ที่แข็งแกร่ง เชาเหมาและเหมยเหม่ยทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี และคอยถามกลับเป็นบางครั้ง

         ที่ผ่านมาเหมยเหม่ยอยู่แต่ในจวนก็ไม่เคยคิดใส่ใจกับเรื่องอื่นๆ นอกจากความรู้สึกตนเองแต่เมื่อได้มาฟังเรื่องราวที่สองฝาแฝดได้พบเจอทำให้เหมยเหม่ยรู้สึกอยากเป็นอย่างทั้งสองคนบ้าง อยากจะแข็งแกร่งและใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานไปในแต่ละวัน

         หลิ่งเฟยที่เห็นแววตาของเหมยเหม่ยนั้นเริ่มมีประกายบางอย่างไม่เหมือนตอนแรกที่มีแต่ความมืดมิดและความแค้นเริ่มคิดในใจว่าจะทำอะไรกับเหมยเหม่ย ก่อนสังเกตเห็นว่าเฟิงหู่เองก็แอบมองเหมยเหม่ยอยู่เช่นกัน

         ไหนๆ ทั้งคู่ก็กลับมาแล้วขอใช้งานให้คุ้มค่ากับที่เลี้ยงหน่อยนะ

         “แล้วพวกเจ้าทั้งสองคิดจะพักอยู่นานแค่ไหนรึ”

         “3 วันขอรับที่จริงข้าเคยขอท่านแม่ทัพให้หยุดมากกว่านี่แล้วแต่ท่านแม่ทัพให้เพียงแค่ 3 วัน” ไอ๋อั๋นทำหน้าเสียดายที่ได้หยุดแค่สามวัน แต่สำหรับหลิ่งเฟยแล้วการได้หยุดตั้งสามวันถือว่าเยอะมาก

         “3 วันก็ดีข้าคิดว่าจะให้พวกเจ้าทั้งสองสอนเทคนิควิชาต่างๆ ให้เชาเหมากับเหมยเหม่ย”

         เอ๊ะ?

         “ได้สิ/ ได้ขอรับ” ทั้งคู่ตอบรับด้วยความเต็มใจ

         “เดียวสิเจ้าจะให้ข้าฝึกลมปราณงั้นหรือ!” เหมยเหม่ยตะโกนถามไม่อยากเชื่อหูตัวเองอย่าว่าแต่ฝึกเลย ลมปราณนั้นก็ไม่มีวิชาการต่อสู้ก็ไม่รู้จักสักอย่าง

         “เจ้ากลัวงั้นหรือเหมยเหม่ย” หลิ่งเฟยไม่สนที่ถูกตะโกนใส่เมื่อกี้ เหมยเหม่ยชะงักตัวเล็กน้อยก่อนก้มหน้าครุ่นคิด

         “ข้า...ไม่”

         เพราะเมื่อกี้เหมยเหม่ยตะโกนใส่หลิ่งเฟยที่เป็นจิ้งจอกเก้าหางทำให้ทุกคนต่างพร้อมใจกันเงียบลงไม่ใช่ว่าเพราะตกใจที่เหมยเหม่ยกล้าตะโกนใส่แต่กำลังรอคำพูดต่อไปต่างหาก

         “เจ้ากลัว”

         ครั้งนี่เป็นเฟิงหู่ที่พูดขึ้นเหมยเหม่ยมองหน้าคนพูด ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรถึงได้รู้สึกผิดและรู้สึกเจ็บในอกและสิ่งที่ไม่เข้าใจยิ่งกว่าเดิมคือความรู้สึกผิดหวังในตัวเองที่กำลังเป็นอย่างที่เฟิงหู่พูดมา

         กลัว?

         หากใดข้าจึงต้องรู้สึกกลัวกัน ข้าจะรู้สึกกลัวไปทำไมกัน ในเมื่อตอนนี้มันคือโอกาสสำหรับข้าแล้วแท้ๆ

         ไม่ยอมแพ้หรอก!

         ราวกับมีบางอย่างในใต้จิตสำนึกกำลังลุกโชราวกับเปลวไฟ กำลังกู่ร้องว่าไม่ยอมแพ้ ต้องไปให้ได้ ต่อให้ตายก็ไม่ยอมหยุดแค่ตรงนี้โดยเด็ดขาด

         “คุณหนู..”

         เชาเหมาเรียกนายตนเอง ที่จู่ๆ ก็เงียบลงในใจก็นึกขอโทษทุกคนแทนเจ้านาย แต่สายตาของเหมยเหม่ยนั้นกลับมีบางอย่างเปลี่ยนไปมันดูดุร้ายราวกับสัตว์ป่า

         “ข้าต้องขออภัยด้วยที่ตะโกนใส่ ข้าแค่กลัวว่าจะเป็นการรบกวนพวกท่านทั้งสอง” เหมยเหม่ยประสานมือขออภัยที่ทำให้เสียบรรยากาศเชาเหมาเอามือทาบอก ปลื้มปีติกับการเปลี่ยนแปลงของเหมยเหม่ยเพราะหากเป็นเมื่อก่อนเหมยเหม่ยจะกล่าวขอโทษด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยไร้อารมณ์ จนทำให้ใครต่อหลายคนไม่พอใจแต่ตอนนี้เหมยเหม่ยกำลังกล่าวคำขอโทษด้วยใบหน้าแดงก่ำเพราะความอาย!

         ฮึ

         “เมื่อกี้ท่านหัวเราะข้า?”

         เหมยเหม่ยเงยหน้ามองถังอี๋ที่ตอนนี้ยิ้มจนปากแทบจะฉีกไปถึงหู เพราะกลั้นขำอย่างเต็มที่

         ที่ถังอี๋ขำเพราะตอนแรกที่เห็นเหมยเหม่ย นางมักยิ้มอย่างสุภาพ ไม่ค่อยพูดด้วยแต่เมื่อกี้นี้นางกล้าตะโกนใส่หลิ่งเฟยและตอนนี้กำลังขอโทษด้วยสีหน้าเคอะเขินเหมือนเด็กไม่เคยขอโทษผู้ใหญ่ เช่นนี้แล้วจะไม่ให้ขำได้อย่างไรกัน

         “ไม่เป็นการรบกวนหรอกขอรับ หากสามวันที่พวกข้าได้อยู่ที่นี่สามารถทำให้ท่านทั้งสองฝึกลมปราณได้ข้าก็ยินดี”

         “ใช่ เพราะหลิ่งเฟยเคยบอกว่าคนเรานั้นต้องทำให้ตัวให้มีประโยชน์เสมอใช่มั้ยหลิ่งเฟย”

         คำพูดนั้นข้าก็แค่ใช้หลอกพูดกับเจ้าเพื่อที่จะได้ใช้เจ้าไปทำธุระให้ต่างหาก...

         บรรยากาศกลับมามีสีสันอีกครั้ง ถังอี๋ไอ๋อั๋นเปลี่ยนบทสนทนาของตัวเองมาพูดถึงเกี่ยวกับเคล็ดลับการฝึกลมปราณในแบบของตนเองปนไปกับเรื่องในสมัยเด็กของตัวเองที่แฝงไปด้วยความซุกซนและความปวดหัว มีเพียงคนเดียวที่ถึงแม้มือจะรินเหล้าเข้าปากตาสายตาก็มีความไม่พอใจอยู่ไม่น้อย

     

     

    1) โต่วต๋งเป็นชื่อของต้นไม้ที่มีกิ่ง ก้าน เปลือก และใบ ใช้ทำยาบำรุงได้ ซึ่งในเปลือกของต้นโต่วต๋งนั้นจะมียางชนิดหนึ่งที่มีสีขาวเหนียวข้นเป็นเส้นใยรสจืด ส่วนด้านสรรพคุณนั้นมีส่วนช่วยบำรุงไตและตับ, บำรุงกระดูกและเอ็น แก้อักเสบ ปวดกล้ามเนื้อ, ปวดหลัง ปวดบั้นเอว ปวดกระดูก, ข้ออักเสบโดยเฉพาะหัวเข่าและข้อเท้า, ใช้ลดความดันโลหิต เพิ่มระบบภูมิต้านทาน, ใช้บำรุงสตรีมีครรภ์ และสมุนไพรตัวนี้ชาวจีนเชื่อว่าเป็นยาบำรุงสมรรถภาพทางเพศทั้งชายและหญิงได้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×