คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : ปัญหาของเฟิงหู่(รีไรท์)
ผู้นำตระกูลจางได้รับเลื่อนขั้นหลังจากบุตรสาวตนเองถูกฆ่าตายในวังหลัง
ไม่รู้ว่าเป็นเคราะห์ดีหรือร้ายกันนะที่ได้เลื่อนตำแหน่งแต่บุตรสาวของตนเองต้องถูกฆ่าโดยเจ้าโจรชั่ว
ฮ่องเต้ก็ทรงบัญชาให้เพิ่มความเข้มงวดการเข้าออกพระราชวัง
ยิ่งวังหลังเห็นว่าใช้สัตว์อสูรสายโจมตีเฝ้ายามแล้วล่ะ
ข่าวลือเรื่องนางสนมสกุลจางถูกฆ่าตายในวังหลังแพร่สะพัดมาถึงย่านชานเมือง
เหม่ยเหมยยืนดูเครื่องประดับในร้านรอเชาเหมาชวนนายตนเองถามมากมายเพื่อไม่ให้สนใจกับข่าวลือที่เป็นความจริง
เพราะคนในข่าวลือที่ต้องตายกำลังเดินซื้อของอย่างสบายใจ
เชาเหมาผู้ยังทำใจให้ชินไม่ได้กับการตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในโลงศพโชคยังดีที่หลิ่งเฟยมาช่วยเปิดฝาโลงแล้วอธิบายว่ายาที่ให้ดื่มเมื่อตอนนั้นคือยาพิษชนิดหนึ่งที่ทำให้ร่างกายมีสภาวะเหมือนตายชั่วคราวเป็นเวลาหนึ่งวัน
ใครจะไปนึกว่าแผนการของหลิ่งเฟยคือการให้แกล้งตายเพื่อที่พระสนมเหม่ยเหมยจะได้ไม่มีข้อครหาหรือทำให้ชื่อเสียงของตระกูลจางต้องแปดเปื้อน
"เชาเหมา เดียวข้าไปดูร้านตำรานะ"
"เดียวสิเจ้าคะ
คุณหนู"เชาเหมารีบจ่ายเงินวิ่งตามคุณหนูที่ไม่ได้เป็นคุณหนูของตระกูลจางหรือเป็นพระสนมอีกต่อไปแล้ว
เป็นครั้งแรกของเหม่ยเหมยที่ได้เห็นการจับจ่ายซื้อของในตลาดโดยปกติแล้วตนเองแทบไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมานอกจวนเลย
หลิ่งเฟยนั่งมองภาพสองนายบ่าวซื้อของ
หูฟังเรื่องเล่าลือให้เพลินหูเล่นจนเหม่ยเหมยกลับมาถึงห้องพร้อมกับข้าวของมากมายให้มือเชาเหมา
เงินทองหลิ่งเฟยมอบให้จำนวนหนึ่งเพื่อให้ทั้งสองได้ซื้อเสื้อผ้าหรือของที่ต้องการจากแคว้นหานก่อนที่ไม่มีเวลากลับมายังแคว้นบ้านเกิดอีก
ช่วงแรกก็หนักใจว่าทั้งสองคนนี้จะมีอาการอาลัยอาวรณ์คิดถึงบ้านหรือญาติพี่น้องรึเปล่าแต่ทั้งสองคนกลับดูมีความสุขอย่างชัดเจนราวกับว่าชีวิตที่ผ่านมามันคือชีวิตที่ไม่มีความสุข
“มันคงแปลกน่าดูที่พวกเจ้าต้องมาได้ยินว่ามีการจัดงานศพให้กับพวกเจ้าเอง”
"ข้าก็ไม่นึกว่าเจ้าจะคาดการณ์ว่ามันจะเป็นแบบนี้
นึกว่าแค่ข้าตายไปเพราะถูกฆ่าตายตระกูลข้าก็จะไม่เสื่อมเสียชื่อเสียง"
"....นั้นสินะ
แล้วยาประจำตัวนั้นนะทิ้งไปแล้วใช่มั้ย"หลิ่งเฟยลุกขึ้นไปเปิดห่อผ้าว่าของที่เหม่ยเหมยกับเชาเหมาซื้อมามีอะไรบ้าง
ส่วนใหญ่เป็นเครื่องประดับ
ของสวยงามทั้งสิ้นนับว่าแปลกเล็กน้อยคิดว่าบุตรสาวขุนนางจะมีกินมีใช้และมีของสวยงามพวกนี้จนไม่อยากได้อีก
"ทิ้งไปแล้วล่ะดีเหมือนกันข้าเองก็ไม่ชอบยานั้นหรอก
ขมจะตาย"
"แต่นายท่านบอกว่าร่างกายของคุณหนูไม่ค่อยแข็งแรงนะเจ้าค่ะ
ท่านหลิ่งเฟยดีแล้วหรือเจ้าคะที่ให้ทิ้งยาคุณหนูไป"
"ตอนนี้เหม่ยเหมยแข็งแรงอยู่แล้ว
ให้กินตลอดไปก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไรหรอก
คืนนี้เราจะออกเดินทางกลับไปที่แคว้นหยางนะ" หลิ่งเฟยเก็บของทุกคนใส่แหวนมิติ
เหม่ยเหมยอดดีใจไม่ได้ที่จะได้ออกไปจากแคว้นหานเสียที
เมื่อยามราตรีมาถึงหลิ่งเฟยจ่ายเงินค่าห้องพาทั้งคู่เข้าไปในป่าห่างไกลจากผู้คน
สัตว์อสูรพากันวิ่งหนีหายเข้าไปในป่าลึกเหม่ยเหมยมองภาพสัตว์อสูรหวาดกลัวบางสิ่งวิ่งเข้าไปในป่าอย่างเหนื่อยใจแต่ในใจพยายามปลอบตนเองว่าเพียงแค่ออกนอกแคว้นไปแล้วจะเป็นโลกใบใหม่สำหรับตนเอง
ไม่มีการแบ่งแยกและจะไม่ผู้ใดใช้สายตาดูถูกดูแคลนเธออีก
"ออ
จริงสิลืมบอกพวกเจ้าไปเลยความจริงแล้วข้าไม่ใช่มนุษย์ละ"
"..............."
"...เจ้าคะ? "เชาเหมาแทบไม่อยากเชื่อหู
หากไม่ใช่มนุษย์แล้วจะเป็นสิ่งอื่นใดอีกนอกจากสัตว์อสูรเช่นนั้นก็แปลว่าบ้างที
บ้านที่อยู่แคว้นหยางอาจเป็นกลางป่าก็เป็นได้
จะให้คุณหนูไปอยู่ในที่เช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด!
ร่างจิ้งจอกขนาดใหญ่แต่ถูกควบคุมให้พลังและหางแปดหางไม่โผล่ออกมาจากป่าเชาเหมาที่กำลังพูดโน้มน้าวใจเหม่ยเหมยอ้าปากค้าง
หันไปหาเหม่ยเหมยดูว่าเหม่ยเหมยจะทำเช่นไร นางทำเพียงแค่ยืนมองด้วยท่าทีที่สง่างามแต่ความจริงคือตกใจจนพูดไม่ออก
ลักษณะเป็นจิ้งจอกสีขาวมีหางแปดหาง
มักจะชอบแปลงกายเป็นมนุษย์ในตำราบางเล่มก็กล่าวว่าจิ้งจอกเก้าหางจะแปลงกายเป็นมนุษย์ที่มีเสน่ห์เพื่อล่อลวง
พลังอำนาจรัศมีอันท้วมล้นนี่คือสัตว์อสูรจิ้งจอกเก้าหาง
หัวใจในอกเต้นจนกลัวว่าตนเองจะหัวใจวายตายเสียก่อน
เหม่ยเหมยไม่ได้เพียงแค่จะออกไปนอกแคว้นกับจอมยุทธ์หญิงแต่จะได้ไปกับสัตว์อสูรจิ้งจอกเช่นนั้นต่อให้ตนเองต้องถูกล่อลวงให้ไปตายก็ยอมจะไปสัตว์อสูรตนนี้
ในใจบอกว่าไปกับสัตว์เทพอสูรแล้วเจ้าจะเจอสิ่งที่คาดไม่ถึงอีกมากมาย
"เชาเหมา
ไปกันได้แล้ว"หลิ่งเฟยรอดูว่าทั้งสองจะทำเช่นไรต่อ
เมื่อเหม่ยเหมยตั้งสติแล้วยืนยันว่าไปกับหลิ่งเฟยต่อหางสีขาวล้อมตัวอุ้มเหม่ยเหมยขึ้นมาไว้บนหลัง
เชาเหมาผู้ที่ไม่เคยเห็นสิ่งที่ทรงพลังอำนาจขนาดนี้ได้แต่เข่าอ่อน
ร้องขอเหม่ยเหมยว่าอย่าทิ้งตัวเองไป หลิ่งเฟยอุ้มพาเชาเหมาขึ้นมาด้วยสาวใช้กลั้นหายใจกลัวทำให้เส้นขนสีเงินอันงดงามจะแปดเปื้อนเอา
สัตว์เทพอสูรจิ้งจอกทะยานตัวบินขึ้นท้องฟ้า
เชาเหมาเลือกจะกอดเหม่ยเหมยแทนที่จะจับขนเอาไว้เหม่ยเหมยไม่สนใจการกระทำของสาวใช้คนสนิท
ตามองท้องฟ้ายามราตรีที่เต็มไปด้วยดวงดาวมากมาย
ยามอยู่ในจวนตอนวัยเด็กเคยมีความฝันว่าสักวันหนึ่งจะฝึกฝนตนเองให้เป็นผู้ใช้ลมปราณจนสามารถบินขึ้นท้องฟ้าและสัมผัสกับดวงดาวที่ส่องสว่าง
พูดคุยกับพระอาทิตย์อันร้อนแรงแต่ตอนนี้เหม่ยเหมยรู้แล้วยิ่งขึ้นมาสูงเท่าไรก็ยิ่งหนาวและไม่ได้ใกล้กับดวงดาวบนท้องฟ้าเลยแม้แต่น้อย
"คุณหนูนั้นสัตว์อสูรม้านภานี่เจ้าค่ะ"เชาเหมาชี้นิ้วไปที่ม้านภาเป็นม้ามีปีก
ในแคว้นหานถือว่าหาได้ไม่ยากนักแต่การจะเห็นม้านภาบินอยู่บนฟ้าโดยไม่ได้ถูกควบคุมหรือจับมาไม่เคยที่ไหนมาก่อน
พวกมันดูมีความสุขและอบอุ่นในเวลาเดียวกัน
"พวกเขาดูมีความสุขมากเลยนะเชาเหมา"
"นั้นสิเจ้าคะ
คุณหนูดูนั้นสิเจ้าคะบ่าวไม่เคยเห็นสัตว์อสูรตัวนั้นเลยมาก่อนเลย"เชาเหมาชี้นิ้วให้เห็นสัตว์อสูรมากมายที่กำลังบินกันเป็นฝูงบนท้องฟ้า
บางตัวก็รักความสันโดษหากแต่สัตว์อสูรทุกตัวเป็นมิตรไม่มีตัวใดเข้ามาทำร้าย
จวบจนวันที่สองก็มาถึงเรือนมายาโดยไม่มีการหยุดพักระหว่างทางเหม่ยเหมยพักไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงจนได้กลิ่นของป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์
เชาเหมาล้มไปนอนที่พื้นเพราะเหน็บกินจนขยับขาไม่ไหว
"นั่งพักก่อนก็แล้วกันนะเดียวข้าขอเข้าไปคุยกับคนข้างในก่อน"
เหม่ยเหมยดูอาการของเชาเหมาไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรเพราะไม่เคยเป็น
ได้แต่นั่งเป็นเพื่อนคนใช้ตัวเองมองบ้านหลังใหญ่เป็นตึกสามชั้น
มีสวนพืชยืนต้นมากมายรอบตัวจนเหมือนตึกแพทย์หรือตึกทางการยังไงอย่างนั้น
กรร
เสียงของสัตว์ร้ายเรียกความสนใจของเหม่ยเหมยให้หันไปมองเป็นเสือสีขาวลายดำยืนส่งเสียงอยู่ข้างหลังเชาเหมาเร่งมือบีบนวดขาตัวเองจนหายเป็นเหน็บไปกอดเหม่ยเหมยนึกภาวนาขอให้เจ้าเสือตัวนี้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นของสัตว์เทพอสูรรู้ว่าที่แห่งนี้มีอาณาเขตของมันเหมือนที่สัตว์อสูรในป่ามีการแบ่งอาณาเขตด้วยกลิ่นไม่ก็ร่องรอยตามต้นไม้
"ไม่ต้องกลัวนะเชาเหมา ไม่มีสัตว์อสูรตัวไหนไม่กลัวข้าหรอกนะ"เหม่ยเหมยที่ถูกสัตว์อสูรแสดงท่าทีหวาดกลัวมาตั้งแต่เด็กและนั้นจึงกลายเป็นปมด้อยสำหรับตนเองกอดปลอบใจเชาเหมา เจ้าเสือขาวร้องขู่กระโจนเข้าใส่เหม่ยเหมยหลับตาแน่นหวังว่าสิ่งที่สัตว์อสูรพวกนั้นกลัวตนเองจะช่วยให้เจ้าเสือขาวตัวนี้ไม่ทำร้ายทั้งตัวเองและเชาเหมา
"หยุดแกล้งทำเป็นเสือแล้วมาช่วยขนของซะท่านเฟิงหู่"หลิ่งเฟยสั่งสัตว์เทพอสูรพยัคฆ์ขาวเฟิงหู่ซึ่งทันทีที่เชาเหมาได้ยินชื่อนี้ก็สลบไปในทันที
เฟิงหู่กลับมาใช้ร่างมนุษย์ให้สะดวกต่อการสนทนากับมนุษย์หน้าใหม่ที่เหมือนว่าจะเข้ามาอยู่ในเรือนมายาใต้หลังคาเดียว
เฟิงหู่ปรายตามองสตรีกำลังปกป้องคนรับใช้สายตาทิ่มแทงจนเหม่ยเหมยยังรู้สึกขนลุก
“ท่านเฟิงหู่เจ้าคะ” หลิ่งเฟยดัดเสียงเรียกชื่ออีกรอบ
"เออ เออ
ไหนล่ะของที่ว่าเจ้าก็ใช้ข้าตั้งแต่วันแรกที่กลับมาเลยนะ"
"ท่านเองก็แกล้งคนตั้งแต่เห็นหน้าเลยนะ
ท่านเฟิงหู่"หลิ่งเฟยเอาของเหม่ยเหมยที่เก็บเอาไว้ในแหวนมิติออกมา
เหม่ยเหมยมองสิ่งที่น่าเหลือเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริงสองสัตว์เทพอสูรกำลังคุยกันตรงหน้าตนเอง
เฟิงหู่จับสาวใช้พาดขึ้นบ่าส่วนของเหม่ยเหมยเอาใส่ในแหวนมิติตัวเองไปแล้ว
"หลิ่งเฟยบอกว่าพาให้เจ้าไปเลือกห้อง
ตามข้ามาซะ"
คำพูดเหมือนจะออกเชิงสั่งมากกว่าเหม่ยเหมยยอมตามไปแต่โดยดีประตูห้องหลายห้องเรียงตรงเข้าไปข้างในกลิ่นของไม้ชวนให้ผ่อนคลายจนเกือบลืมไปเลยว่าผู้ชายที่เดินนำทางตนเองอยู่คือสัตว์เทพอสูรพยัคฆ์ขาว
“สองห้องนี้มีคนอยู่แล้วเจ้าก็เลือกกันเองละกันข้าจะวางของไว้ที่นี่”
“ข้าเลือกห้องนี้”
ยังไม่ทันที่เฟิงหู่จะวางของลงกับพื้น
เหม่ยเหมยก็ชี้ไปยังห้องหนึ่งที่อยู่ข้างกับห้องของถังอี๋
เฟิงหู่มองคนสั่งด้วยสายตาที่เรียบเฉยต่างกับตอนที่คุยกับหลิ่งเฟยโดยสิ้นเชิง
แต่ก็ยอมนำของไปวางให้ในห้องพร้อมกับวางเชาเหมาที่ยังคงสลบไว้ที่พื้นปล่อยให้เหม่ยเหมยจัดการเอง
"ข้าเหม่ยเหมยมาจากแคว้นหาน
ต้องขออภัยแทนคนของข้าที่ทำให้ท่านมาลำบากแบกนางจนมาถึงที่ห้องด้วยนะ...เจ้าค่ะ"คำสุดท้ายพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
นัยน์ตาสัตว์ร้ายจ้องมองสตรีที่กำลังยืนก้มหน้าไม่กล้ามองตนเอง
บรรยากาศในห้องเย็นลงเหม่ยเหมยเริ่มหายไม่ทั่วท้อง
หัวใจเต้นระส่ำหาที่มาของมันไม่ได้
"น่าเบื่อ"ราวกับมีกรงเล็บมาลูบใบหน้าเหม่ยเหมยกุมมือตัวเองแน่นขึ้นไปอีก
เฟิงหหู่เดินเมินผ่านตัวเหม่ยเหมยก่อนจะหยุดเดินอยู่ข้างหลัง
“ข้าคือพยัคฆ์ขาวเท่านี่เจ้าคงพอใจแล้ว
แต่หากเจ้ายังพูดมากไปกว่านี่ละก็ข้าจะกระชากลิ้นของเจ้าออกมาซะ”
เหม่ยเหมยรู้ได้ทันทีว่าที่นี่ก็มีคนหนึ่งที่ไม่ชอบเธอแล้ว
เธอรู้ว่าพยัคฆ์ขาวชอบคนแข็งแกร่งและการต่อสู้
คงจะเกลียดเธอมากน่าดูที่เป็นทั้งสตรีที่อ่อนแอมาก้มหน้าอย่างขี้ขลาด
“ขออภัยที่ข้าสร้างความน่ารำคาญให้แก่ท่าน”
ตอนนี่ฐานะของเหม่ยเหมยเป็นเพียงแค่ผู้อาศัยจะมาทำตัวเหมือนกับตอนที่อยู่กับหลิ่งเฟยก็คงไม่ได้
จึงคำนับขออภัย สายตาเหลือบมองซีกหน้าหล่อคมชวนดึงดูดให้ใจละลาย
หากแต่มันไม่ใช่กับเหม่ยเหมยที่กำลังรู้สึกผิดจนต้องเอ่ยขอโทษมาถึงสองครั้ง
จนเหม่ยเหมยแน่ใจแล้วว่าเฟิงหู่เดินออกไปจากห้องและจะไม่กลับมาอีกรอบ
เหม่ยเหมยทิ้งความรู้สึกเมื่อกี้
เดินสำรวจห้องใหม่ที่เธอต้องมาอยู่อาศัยพาเชาเหมาสาวรับใช้ที่ตอนนี้เป็นทั้งเพื่อนสนิทเป็นเหมือนน้องสาวไปพักที่เตียงนอนอันหนานุ่ม
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูทำให้เหม่ยเหมยที่กำลังเดินสำรวจห้องไปเปิดประตูในใจขอให้หวังว่าเป็นหลิ่งเฟยเพราะเป็นคนเดียวที่ตนเองรู้จัก
“ข้านำชากับขนมมาให้
พวกท่านคงจะเหนื่อยจากการเดินทางหากต้องการอะไรเพิ่มเติมก็สามารถบอกข้าได้นะขอรับ”
ชายหนุ่มรูปงามและดูใจดีถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง เหม่ยเหมยรู้ได้ทันทีว่าคนๆ
นี่คือสัตว์อสูรนกกระเรียนสีทอง ชุน
ที่หลิ่งเฟยเคยเล่าให้ฟังว่าชุนเป็นเหมือนพ่อบ้านคนหนึ่งที่ใจดีและใส่ใจในทุกเรื่องมีความละเอียดอ่อนมากกว่าหลิ่งเฟยที่เป็นสตรีเสียอีก
“ขอบคุณสำหรับน้ำใจนะ
ข้าคงต้องขอเวลาในปรับตัวที่จะอยู่ที่นี่เล็กน้อย” เหม่ยเหมยรับถาดน้ำชา
ของว่างมาชุนมองไปที่เชาเหมาที่กำลังหลับสบายบนเตียง
“ถ้าเช่นนั้นหากมีเรื่องที่ไม่เข้าใจตรงไหนสามารถบอกข้าไปนะขอรับ
แล้วก็ชั้นสามมีเขตอาคมอยู่หากท่านไม่ได้อยู่ระดับลมจุติสวรรค์ก็ไม่ควรขึ้นไปนะ
เคยเกิดกรณีมีคนขึ้นไปแล้วนอนสลบทันทีที่ขึ้นไป
หวังว่าท่านจะบอกเรื่องนี้ให้สาวน้อยตรงนั้นด้วยนะขอรับ"
ชุนส่งรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรให้เหม่ยเหมยขอบคุณในความหวังดีที่ได้รับมา ชุนอธิบายอีกหลายอย่างเกี่ยวกับเรื่องของเรือนมายาและความสัมพันธ์ของแต่ละคนทำให้เหม่ยเหมยได้รู้จักสองฝาแฝดที่ชื่อว่าถังอี๋และไอ๋อั๋นมากขึ้นไปอีกและหวังว่าจะได้พบกับสองพี่น้องฝาแฝดในเร็วๆ
นี้
“ท่านดูไม่ชอบเหม่ยเหมยมากเลยนะ
ตอบข้าได้มั้ยว่าเป็นเพราะอะไร” หลิ่งเฟยที่กำลังจัดเตรียมวัตถุดิบมื้อเย็นต้อนรับสมาชิกใหม่ถามเฟิงหู่ที่เพิ่งเดินลงมา
เฟิงหู่มองท่าทางของหลิ่งเฟยด้วยสายตาที่เรียบเฉยแต่แฝงด้วยการค้นหาอะไรบางอย่าง
“เพราะพวกนางอ่อนแองั้นหรือ”
“ใช่”
“งั้นก็ทำให้นางแข็งแกร่งสิ” มือลงมีดหันเนื้อหนักมือขึ้นเรื่อยๆ
“ทำไมข้าต้องทำเช่นนั้นด้วย”
ปัง!
เขียงไม้ขนาดใหญ่ถูกออกมาสองซีกหลิ่งเฟยยั่งมือตัวเองไม่ให้ลงแรงไปผ่าโต๊ะ
ชุนที่พึ่งเดินลงมาสะดุ้งตัวจนไม่กล้าเดินออกไปเมื่อเห็นว่าบรรยากาศระหว่างสองสัตว์เทพอสูรกำลังเต็มไปด้วยความกดดัน
ชุนผู้ที่รู้ว่าหลิ่งเฟยต้องสามารถควบคุมอารมณ์ได้เดินกลับขึ้นห้องตัวเองรอให้ทั้งสองคุยกันจนดีขึ้นแล้วค่อยลงมาทีหลัง
เมื่อไม่มีใครอยู่ที่นี่แล้วหลิ่งเฟยไปหยิบเขียงไม้อันใหม่มาลงสับเนื้อต่อ
“ถ้าท่านไม่ชอบเพราะนางอ่อนแอ
งั้นท่านก็สอนสิ่งที่จะทำให้นางแข็งแกร่งสิสาเหตุที่เหล่าสัตว์อสูรหวาดกลัวนางก็เพราะว่าท่านเป็นต้นเหตุไม่ใช่หรือไง
ท่านเฟิงหู่”
ความคิดเห็น