คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : ดวงไม่ดีเจอคนมารยาทแย่(รีไรท์)
“ข้าขอห้องพักหนึ่งห้องที่มีห้องอาบน้ำส่วนตัว”
หลิ่งเฟยในคราบของจอมยุทธ์หญิงใส่หมวกปิดบังใบหน้าเสื้อผ้าที่จงใจใส่ให้ดูดีมีฐานะขึ้นหน่อยเพราะอยู่ในเมืองหลวงของแคว้นหาน
เมืองสุย
เสี่ยวเอ้อพยักหน้าอย่างรับรู้ก่อนจะเดินไปยังคนที่เหมือนจะเป็นเถ้าแก่เพื่อสอบถามว่ามีห้องว่างหรือไม่
แคว้นหานเป็นอย่างที่ชุนบอกไม่มีผิดไม่มีอะไรที่โดดเด่นหากจะให้พูดถึงความแตกต่างคงจะเป็นเรื่องการค้าขายสัตว์อสูรและการล่าสัตว์อสูรที่พบเห็นได้ทั่วไปมากกว่าแคว้นไหนๆ
“ท่านจะพักกี่คืนหรือขอรับ?”
“อาทิตย์หนึ่งทั้งหมดเท่าไร”
ตอนนี่เรื่องเงินทองไม่ใช่ปัญหาของหลิ่งเฟยอีกต่อไป
หากเป็นชาวบ้านธรรมดาก็คงมีกินมีใช้ไปชั่วชีวิตโดยที่ไม่ต้องทำงานเลยก็ได้
เสี่ยวเอ้อทำหน้าสงสัยเพราะโรงเตี๊ยมที่นี่ก็มีราคาสูงอยู่พอสมควรจอมยุทธ์หญิงผู้นี่ไม่น่าจะมีเงินทองจ่ายค่าพักแรมถึงหนึ่งอาทิตย์ได้หรอก
“เออทั้งหมดก็ 70 เหรียญทองขอรับ”
พูดจบหลิ่งเฟยก็หยิบถุงเงินถุงเล็กที่แยกเอาไว้ล่วงหน้า
นับว่าราคาก็ถูกกว่าที่คาดไว้อยู่เล็กน้อย
ให้กับเสี่ยวเอ้อที่ยืนงงเป็นไก่ตาแตกกับน้ำหนักของถุงเงิน
เป็นจอมยุทธ์แล้วจำเป็นต้องมีภาพลักษณ์เป็นคนไม่มีเงินหรือไงกัน
“ในนี่มี 100 เหรียญทองไม่ต้องทอน
ทีนี่ก็พาข้าไปยังห้องได้แล้ว”
“ขอรับท่านหญิง!”เมื่อเงินถึงมือเสี่ยวเอ้อก็พร้อมที่จะรับใช้ท่านหญิงผู้นี้หลิ่งเฟยกระตุกยิ้มมุมปากที่ถูกเรียกว่าท่านหญิง
ขนาดชุนยังไม่เคยเรียกนางแบบนี้เลยสักครั้งดูเหมือนว่าห้องพักที่ขอไปจะสมราคาเพราะเมื่อเดินมาถึงบริเวณห้องพักอีกชั้นหนึ่งเสียงพูดคุยก็เบาลง
คนที่เดินผ่านตัวนางต่างแต่งตัวดีมีราคาแม้จะมีคนแอบมองมาที่ตนเองบ้างก็ตาม
“นี่มันอะไรกัน!! ทำไมห้องถึงเล็กถึงเพียงเช่นนี้!”
ตึง!!
ร่างของเสี่ยวเอ้อถูกถีบกระเด็นมาจากห้องพักต่อหน้าหลิ่งเฟยที่กำลังเดินตามหลังเสี่ยวเอ้อ
เจ้าของเสียงที่โวยวายเดินออกมาเป็นชายวัยกลางคนการแต่งตัวก็นับว่ามีฐานะ
หลิ่งเฟยมองเสี่ยวเอ้อที่ถูกระบายอารมณ์กำลังก้มหัวขออภัยซ้ำๆ
เป็นภาพที่น่าสงสารไม่น้อย ต้องมาเจอลูกค้านิสัยเสียเอาแต่ใจเช่นนี่
แต่ยังไงซะมันก็ไม่ใช่เรื่องของเธอและเข้าไปยุ่งเรื่องของผู้อื่นในพื้นที่ต่างถิ่นยอมไม่ใช่เรื่องที่ดี
“นายไปช่วยเพื่อนเถอะ แค่บอกข้ามาว่าห้องข้าอยู่ไหน”
“ขอรับ ห้องของท่านอยู่ริมสุดฝั่งขวาขอรับ”
เมื่อพูดจบเสี่ยวเอ้อรีบไปช่วยไกล่เกลี่ยทันที
หลิ่งเฟยเดินผ่านไปอย่างไม่สนใจ อีกเดียวเถ้าแก่ ผู้จัดการก็คงออกมาช่วย
“เดียวก่อนนี่เจ้ากล้าเดินผ่านตัวข้าโดยที่ไม่ก้มหัวให้อย่างนั้นหรือ!”
ชายขี้โวยวายถือวิสาสะจับแขนของหลิ่งเฟยอย่างไม่พอใจ
ที่มีจอมยุทธ์หญิงมาเดินผ่านโดยไม่ยอมก้มหัวเหตุการณ์เริ่มบานปลายเสี่ยวเอ้อทั้งสองที่ไม่อยากให้เกิดเรื่องทะเลาะวิวาทภายในสถานที่ทำงานของตนพากันพูดขออภัยแทน
หลิ่งเฟยมองมือหยาบกร้านราวกับเป็นพวกที่ทำงานหนักมากแต่การแต่งตัวกลับมีฐานะเหมือนขุนนาง
และน้ำเสียงนั้นราวกับคนที่เป็นหัวหน้ากำลังตะคอกใส่ลูกน้อง
ออ เป็นพวกนายพลทหารสินะ
“นี่เจ้ายังไม่ขอโทษข้าอีกหรือไงกัน!”
"นายท่านแม่นางผู้นี้เป็นคนต่างถิ่นหาใช่คนที่นี่"เสี่ยวเอ้อพยายามอธิบาย รอบตัวผู้คนต่างมุงดูละครนี่อย่างอยากรู้
หลิ่งเฟยคิดไว้ในใจหากชายคนนี่ยังไม่หยุดการทำอันไร้มารยาท
จะจับโยนออกไปข้างนอกเอาให้ขายหน้าทุกคนที่อยู่ที่นี่ไปเลย
“ข้าเลือกพักโรงเตี๊ยมแห่งนี้เพราะชื่อเสียงที่ดีของมัน
แต่พวกเจ้ากลับปล่อยให้จอมยุทธ์หญิงไร้ลมปราณเข้ามาพักเนี่ยนะ!”
ชายผู้นี้เอาระดับลมปราณมาวัดคุณค่าของแขกที่จะเข้ามาพักงั้นรึ!
เป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้หรือไงกัน!
หลิ่งเฟยยังคงยืนนิ่งเฉยรอบข้างเริ่มซุบซิบพูดถึงการแต่งตัวของจอมยุทธ์หญิงดูแล้วไม่น่าจะมีเงินพอที่จะเข้ามาพักในโรงเตี๊ยมระดับสูงเช่นนี้ได้
“พอได้แล้ว!!”
คุณชายคนหนึ่งที่มาคนติดตามมาด้วยอีกสองคนตะโกนเสียงดังลั่น
บรรยากาศดูแตกต่างจากผู้คนที่อยู่ที่นี่ใบหน้าไร้ตำหนิ ดูเป็นผู้ใหญ่และแผ่ลมปราณออกมาให้รู้ว่าอยู่ในระดับสวรรค์
“ปล่อยนางซะฟู่ซาน”
“ขอรับ”
“ข้าต้องขออภัยแทนพ่อบ้านข้าด้วยขอรับไม่ทราบว่าท่านบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”
คุณชายเข้ามาถามด้วยสายตาที่รู้สึกผิด
แต่นั่นก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่ออกมาจากใจจริงๆหลิ่งเฟยเหลือบตามองคุณชายที่เหมือนอยากจะให้เรื่องจบเร็วๆจึงเข้ามาขอโทษแต่โดยดี
“ช่างมันเถอะ ข้าจะทำเป็นว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น”
ไม่มีความจำเป็นต้องพูดดีด้วย
ตอนนี่หลิ่งเฟยแค่รู้สึกอยากจะไปนอนกลิ้งในห้องพักและหลับไปเลย
คุณชายที่โดนตอบกลับอย่างตัดปัญหาจึงไม่ถือความอะไร
เพราะตนเองก็อยากให้เรื่องนี่จบโดยเร็ว ถือว่าโชคดีที่คู่กรณีไม่เอาเรื่อง
“ไร้มารยาทนี่เจ้ารู้หรือไม่ว่า”
แต่ดูเหมือนคุณพ่อบ้านที่ทำตัวไม่สมกับเป็นพ่อบ้านนั้นจะยอมไม่ได้
หลิ่งเฟยไม่รอให้ใครมาไกล่เกลี่ยนปัญหาให้อีกแล้วมือจับแขนพ่อบ้านก่อนจะทุ่มตัวพ่อบ้านให้ลงไปนอนกองกับพื้น
“ใครกันแน่ที่ไร้มารยาท”
พูดจบหลิ่งเฟยเดินจากไปในทันที
ไม่หันมามองเลยว่าสิ่งที่เธอทำลงไปเมื่อกี้ทำให้แขกคนอื่นที่เข้ามามุงดูเหตุการณ์พากับพูดเสียงฮือฮาว่าจอมยุทธ์หญิงทุ่มบุรุษลงไปนอนกองที่พื้น
และคุณชายคนนั้นที่เป็นนายคงจะอับอายไม่น้อยเพราะแคว้นหานสตรีถือว่าเป็นรองบุรุษ
“ลุกขึ้นฟู่ซาน”
“ขอรับ”
กรอบ
แขนข้างที่ฟู่ซานไปจับหลิ่งเฟยนั้นส่งเสียงหักออกมาทันทีที่ฟู่ซานขยับคำถามเกิดขึ้นในใจว่า
หักตอนไหน และทำไมถึงมาหักตอนนี่
แต่ฟู่ซานที่ชาชินกับการบาดเจ็บแล้วรีบสำรวจแขนตนเองทันที นับว่าผู้ที่หักนั้นยังมีความปรานีที่หักได้เรียบเนียนจึงรักษาได้ไม่ยาก
องค์ชายเซี่ยหย่งเซิงท่านอ๋องสามแห่งแคว้นหยิ่งกระตุกยิ้มอย่างชอบใจที่ไม่ทันได้สืบเรื่องของแคว้นหาน
ก็ได้เจอเรื่องที่น่าสนใจเข้าเสียแล้วดูเหมือนว่าการให้ฟู่ซานแกล้งทำเป็นอาละวาดจะได้เรื่องดีๆมาเสียแล้ว
"เฮ้อ"
หลิ่งเฟยล้มตัวนอนด้วยความขี้เกียจทันทีที่ถึงห้องตามองสำรวจห้องพักที่มีพร้อมทุกอย่างโต๊ะ
เตียง แม้กระทั่งห้องน้ำอาบแค่ประตูก็ออกจะดูดีด้วยซ้ำไป ไม่ได้คับแคบอย่างที่พ่อบ้านมารยาทแย่ผู้นั้นกล่าวเอาไว้แล้วเหตุใดจึงต้องทำเป็นโวยวายให้เป็นเรื่องใหญ่โตด้วย
“ขออนุญาตเจ้าค่ะ”เสียงของสาวรับใช้ดังลอดออกมาจากข้างนอกเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสตรีทำงานในโรงเตี๊ยมที่นี่
เพราะตั้งแต่มาถึงเสี่ยวเอ้อมีแต่ผู้ชายทั้งนั้นแต่ในกรณีนี้คงจะเพื่อป้องกันการลวมลามและปัญหาที่จะเกิดขึ้น
“เข้ามาสิ”
“ไม่ทราบว่าท่านจะอาบน้ำเลยหรือไม่เจ้าคะ จะได้เตรียมน้ำร้อนไว้ให้เลย”คำถามของสาวใช้ทำให้หลิ่งเฟยนึกถึงสิ่งที่จะทำต่อจากนี้ได้แล้ว
อา...จริงสิเราต้องอาบน้ำก่อน
“อืม เอาสิถ้าเสร็จแล้วก็ปลุกข้าด้วยละ”
“เจ้าค่ะ”
เมื่อเจ้าของห้องอนุญาตหญิงรับใช้ส่งสัญญาณให้เพื่อนร่วมงานเข้ามาเตรียมของสำหรับอาบน้ำ
หลิ่งเฟยถอดหมวดออกก่อนจะฟุบหน้าไปกับหมอนนุ่ม
เสียงพูดคุยเบาๆของเหล่าหญิงรับใช้เหมือนเสียงตามธรรมชาติให้หลิ่งเฟยเข้าสู้ห้วงนิทรา
“เหม๋ยอิ๋งกลับมาแล้วเหรอจ้ะ”เสียงของคุณแม่ยืนรอต้อนรับลูกสาวคนเดียวตามเวลาปกติ
เด็กผู้หญิงในชุดเครื่องแบบยืนเหม่อก่อนจะพูดตอบโต้ให้พอมีมารยาท
“ค่ะ กลับมาแล้วค่ะ”
“ผลสอบเป็นไงบ้างจ๊ะ”
เหม๋ยอิ๋งยืนตัวนิ่งที่คนเป็นแม่ที่ยืนถามถึงผลสอบแทนที่จะถามว่าโรงเรียนเป็นยังไงบ้าง
มีปัญหาอะไรรึเปล่า
ที่จริงเธอเองก็ควรจะชินกับเรื่องนี้ได้แล้วเพราะมันคือสิ่งที่ต้องเจอทุกวันหลังกลับมาถึงบ้านเหม๋ยอิ๋งหยิบกระดาษสอบย่อยมาให้คนเป็นแม่ก่อนจะขอตัวขึ้นห้อง คะแนนสอบครั้งนี่ถือว่าไม่ดีเลยสำหรับแม่ตนเองถ้าไม่รีบกลับไปที่ห้องคงต้องได้ฟังคำพูดบาดใจรอบที่ล้าน
“ได้ 87 คะแนนนี่มันใช่คะแนนสอบของแกจริงๆเหรอ”ริมฝีปากเคลือบลิปสีแดงราคาแพงขยับปากพูดเหม๋ยอิ๋งที่ชิ่งกลับขึ้นห้องไปไม่ทันหันหลังกลับมาก้มหน้าพูด
“...ค่ะ”
เหม๋ยอิ๋งเงยมองหน้าคนเป็นแม่ตรงๆด้วยความรู้สึกที่เรียบเฉย
ตอนแรกยังเรียกเธอด้วยชื่ออยู่เลยแต่ตอนนี้กลับใช้คำเรียกราวกับว่าเธอนั้นไม่ใช่ลูกในไส้
สายตาที่เหมือนจะรังเกียจส่งออกมาอย่างชัดเจนทั้งที่ตนเองก็เป็นคนคลอด
“ครั้งหน้าแกต้องทำให้ดีกว่านี้
หากแกทำไม่ได้แม่จะจ้างติวเตอร์มาสอนที่บ้าน”
“.....ค่ะ คุณแม่”
คำว่าจ้างติวเตอร์ก็หมายความว่าจะไม่ได้ออกจากบ้านจนกว่าจะทำคะแนนครั้งต่อไปออกมาให้ดีกว่านี้เพื่อนในห้องต่างอิจฉาที่ตัวเธอเองได้เกิดมาในบ้านมีเงินจ้างครูส่วนตัว
มีพ่อแม่อยู่ด้วยกันเหมือนครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ชื่อเสียง หน้าตา ผลการเรียน
นั้นคือสิ่งที่คนรอบตัวเหม๋ยอิ๋งต้องการภาพรอบตัวมืดสนิทเด็กสาวหลับตาเหมือนกำลังนอนหลับตื่นมาตอนเช้าก็แต่งตัวนั่งทานข้าวอยู่อย่างเงียบๆกับคุณพ่อคุณแม่
“ท่านหญิงเจ้าคะ เตรียมน้ำร้อนเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ"
หญิงรับใช้พูดข้างตัว หลิ่งเฟยลืมตาตื่นลุกขึ้นมองหญิงรับใช้ที่มาปลุกโดยที่ไม่มีอะไรมาปิดบังใบหน้า
หญิงรับใช้มองใบหน้าสวยหมดจด ไม่มีจุดบกพร่องตรงไหนของใบหน้าเลยแม้แต่น้อย
ทั้งงามและลึกลับในเวลาเดียวกัน
“ฉันจัดการตัวเองได้ พวกเธอออกไปเถอะ”
หลิ่งเฟยมองหญิงรับใช้อีกหลายคนที่รอรับใช้สมกับราคาค่าห้องที่จ่าย
หญิงรับใช้ทั้งหมดพากันออกจากห้องไป หลิ่งเฟยเดินไปยังห้องอาบน้ำ
ถังไม้ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ไอน้ำที่ลอยคละคลุ่งกลิ่นหอมของเทียนอบอวลไปทั่ว
ไม่เห็นบอกเลยว่าเป็นถังไม้
แต่ห้องมันก็ยังอยู่ชั้นสองระบบการส่งน้ำคงยังไม่ดีเท่าที่ควรรึเปล่า
หลิ่งเฟยถอดคลายวิชาร่างแปลงมนุษย์
ลงไปแช่น้ำในถังไม้ขนาดใหญ่ถึงจะเป็นถังไม้แต่ก็มีขนาดใหญ่ขนาดที่ให้คนสามคนลงไปแช่พร้อมกันก็ยังได้มือลูบใบหน้ามองเงาสะท้อนในน้ำที่ไม่ได้ชัดเท่าไร
“ข้าเอาซุปเต้าหู้กับผัดเฉฉวน”
หลิ่งเฟยสั่งอาหารมื้อเย็นที่โต๊ะ
ระหว่างรอก็มองสำรวจรอบตัวที่ไม่ได้มีแค่คุณชายหรือผู้ใหญ่เดินเข้าออก
แต่ยังมีพ่อค้า ทหารที่มากับสัตว์อสูรด้วยกันเข้ามาดื่มน้ำชาบ้าง ทานอาหารบ้าง
แต่ที่เห็นได้ชัดคือแทบไม่มีคุณหนูหรือผู้หญิงเลยหากไม่ใช่จอมยุทธ์
หรือมากับพวกพ่อค้า ทหาร
เสี่ยวเอ้อก็มีแต่ผู้ชายเดินไปมาเมื่อลองนึกย้อนกลับไปนึกถึงกิริยาของพ่อบ้านผู้นั้นเหมือนว่าสิทธิสตรีในแคว้นคงจะถูกมองว่าเป็นรองบุรุษ
“แม่นางข้าขอนั่งด้วยคนได้หรือไม่”
คุณชายที่เป็นเจ้านายของพ่อบ้านเข้ามาขอนั่งด้วยคนกับหลิ่งเฟย
หลิ่งเฟยเมินคำขอนั่งมองภาพพ่อค้ากำลังคุยหัวเราะกับลูกค้า
จนกระทั่งคุณชายขยับเก้าอี้ลงมานั่งด้วยตนเอง
“นึกว่าท่านจะมีมารยาท”
“ก็ท่านไม่เอ่ยอะไร ข้าเลยคิดว่าท่านอนุญาต”
“ท่านชายผู้สูงส่งการที่ท่านมีนายพลทหารติดตามมาด้วยน่าจะรู้ว่าสาเหตุที่ข้าเงียบคือข้าไม่ยังอนุญาต”
จอมยุทธ์หญิงภายใต้หมวกที่มีผ้าปิดบังใบหน้าเหลือให้เห็นแค่ริมฝีปากบางองค์ชายเซี่ยหย่งเซิงมองจอมยุทธ์หญิงพูดตอกกลับ
สัตว์อสูรในร่างมนุษย์ที่ทำหน้าที่เป็นองครักษ์มาในฐานะผู้ติดตามมือจับกระบี่ไว้
เมื่อเห็นว่าจอมยุทธ์หญิงคนนี้ไม่ควรดูถูก
นางไม่มีลมปราณแผ่ออกมาตรวจดูก็ไม่ได้เหมือนนางปิดบังมันเอาไว้
“มารยาทแย่ทั้งนายและคนใช้ไม่สิสัตว์อสูร”
หลิ่งเฟยลุกขึ้นวางค่าอาหารที่สั่งไปโดยที่ยังไม่ได้กินบนโต๊ะ
เซี่ยหย่งเซิงมองการกระทำที่คาดเดาไม่ได้นึกสงสัยที่นางพูดก่อนจะเห็นว่าผู้ติดตามตนเองทั้งสองคนนั้นเตรียมตัวจะชักกระบี่ออกมาและทั้งสองคนดูจะตกใจมากกว่าตนเองเสียอีกแสดงว่าสัญชาตญาณของสัตว์อสูรคงสัมผัสอะไรได้ก่อนจะถอนหายใจที่ไม่ได้พูดคุยด้วยกัน
“จงอินเจ้าจงลองตามไปสืบแม่นางคนนั้นสิว่านางมาที่นี่เพื่อจุดประสงค์อะไร”
“ขอรับ”
จงอินรีบเดินตามหลิ่งเฟยที่เดินหายไปกับฝูงชนแล้ว เซี่ยเยิงเซิงไม่นึกเลยว่าแค่เข้ามาสืบเรื่องกองกำลังทหารและเรื่องในวังหลวงของแคว้นหานจะได้เจอกับสตรีที่สามารถหักแขนแม่ทัพฝู่ซานได้อย่างง่ายดายและไม่ทันรู้ตัว
จะดูยังไงก็ไม่ใช่แค่จอมยุทธ์พเนจรแน่นอน
ไม่เช่นนั้นคงไม่มาพักในโรงเตี๊ยมที่ดีหลายวันติดต่อกันหรอก
หลิ่งเฟยเดินไปตามทางถนนที่มีร้านค้าตั้งอยู่ข้างทางอย่างเป็นระเบียบไม่เหมือนที่ตลาดของเมืองตาหลั้งที่จะมีพ่อค้าแม่ค้ามาวางแผงมาขายจนแทบไม่มีทางเดินเลย
หลิ่งเฟยชะงักมองร้านหนึ่งที่มีเครื่องดนตรีตั้งอยู่ภายในร้าน
มีผู้ชายอยู่สองคนกำลังก้มหน้าก้มตาซ่อมแซมเครื่องดนตรี
ไม่มีป้ายร้านแต่ก็ยังดีที่ได้เจอร้านที่เกี่ยวกับเครื่องดนตรี ดนตรี
“ขอรบกวนหน่อยนะ ร้านนี้มีกู่เจิงขายหรือไม่”หลิ่งเฟยที่ยังไม่ได้คิดว่าจะเล่นอะไรพูดถึงเครื่องดนตรีที่ตนเองมักจะเห็นตามละคร
นิยาย
“มี แต่มันไม่ใช่ของใหม่หรอกนะ” ชายคนหนึ่งพูดขึ้นแต่ยังคงก้มหน้าขึงสายให้กับกู่เจิงที่อยู่ในมือ
หลิ่งเฟยมองสำรวจร้านมีแต่เครื่องดนตรีเต็มไปหมดมีบางสิ่งที่ไม่รู้จักด้วย
“ไม่เป็นไร แล้วท่านรับทำเครื่องดนตรีหรือเปล่า” เพียงแค่นั้นชายคนที่กำลังขึงสายอยู่นั้น เงยหน้ามองทันทีแต่เมื่อพบว่าเป็นจอมยุทธ์หญิงสายตาจึงแสดงความแปลกใจออกมาอย่างปิดไม่มิด
“พวกข้าสามารถทำเครื่องดนตรีออกมาได้ แต่ท่านต้องไปหาวัสดุเอาเอง”ไม่มีคำพูดเอาอกเอาใจ นับว่าเป็นครั้งแรกสำหรับหลิ่งเฟยที่เจอแบบนี้
“ถ้าอย่างนั้นหากจะให้ท่านทำกู่เจิงให้ข้า ท่านต้องการอะไรบ้างละ”
ตอนนี้ไม่เพียงแค่ชายที่กำลังขึงสายกู่เจิงแม้กระทั่งชายคนที่อยู่ข้างในร้านก็ยังหยุดสิ่งที่กระทำอยู่พร้อมกับเดินมาเพื่อมองลูกค้าผู้แปลกประหลาดที่นานๆทีจะมีมา
แต่ดูเหมือนว่าพี่ชายของตนนั้นที่กำลังขึงสายกู่เจิงอยู่นั้นจะไม่สนจอมยุทธ์หญิงต่างถิ่นเท่าไร
“หากท่านต้องการให้กู่เจิงมีเสียงที่ดีท่านต้องใช้ไม้ที่แข็งและละเอียด
หลักๆก็จะเป็นพวกต้นสนธรรมดา
หรือท่านจะใช้ต้นสนมายาก็ตามสะดวก ส่วนสายกู่เจิงหากท่านอยากได้เสียงที่นุ่มก็ต้องเป็นเส้นไหมสัตว์อสูรแมลง
แต่ถ้าท่านอยากได้เสียงที่แข็งกระด้างเล็กน้อยก็ต้องใช้เป็นเส้นเหล็ก”
ต้นไม้ที่คนเป็นน้องชายพูดออกมานั้นใช้ว่าจะไม่รู้จักแถมต้นมายานี่หลิ่งเฟยยิ่งรู้จักดีอย่างยิ่ง
วัสดุอุปกรณ์ก็ไม่ได้หายากอย่างที่คิดถือว่าช่างผู้นี่ใส่ใจดีนักที่บอกละเอียดไว้ให้และนับว่าเป็นครั้งแรกด้วยที่จะได้เห็นวิธีการทำกู่เจิง
“เข้าใจแล้วถ้าเช่นนั้นหากข้าสามารถวัสดุอุปกรณ์ที่ว่านี่ได้
พวกท่านก็จะทำให้สินะ” คนที่ออกมาต้อนรับชะงักหน้าหนีออกมาแวบหนึ่งนานแล้วที่ไม่ได้เจอสตรีทำท่าดีใจเหมือนเด็กน้อยแม้ว่าจอมยุทธ์หญิงผู้นี่จะปิดบังใบหน้าแต่ริมฝีปากที่คลี่ยิ้มออกมา
ไหนจะน้ำเสียงที่ดูดีใจไม่มีการเก็บอาการให้ดูเรียบร้อยสมกุลสตรี
“แน่นอน
ที่จริงร้านนี้ก็มีกู่เจิงขายแต่เพียงแต่ว่ามันเป็นของที่เคยถูกใช้แล้ว”
“ไม่เป็นไรไว้ข้าจะกลับมาใหม่”
หลิ่งเฟยคำนับตามแบบคนเป็นจอมยุทธ์ซึ่งคนที่อธิบายก็รับคำนับหากแต่คนเป็นพี่นั้นกลับทำเพียงแค่ยืนดูอยู่จอมยุทธ์หญิงวิ่งออกจากร้านไปเพื่อไปตามหาวัตถุดิบสำหรับทำกู่เจิงของนาง
ความคิดเห็น