คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ฝากเด็กไว้กับเสือไม่ได้(รีไรท์)
หลายวันต่อมาถังอี๋ตั้งใจซ้อมกระบี่ที่สวน
ไอ๋อั๋นก็ตั้งใจเรียนรู้วิชาการแพทย์เป็นอย่างดีแม้วันแรกของสองคนนี้จะลำบากเล็กน้อย
ด้วยเพราะอุปนิสัยของพยัคฆ์ขาวที่หลิ่งเฟยวานให้ช่วยสอนวิชาการต่อสู้ที่ไม่น่าเรียกว่าสอน
เพราะวิธีการของเฟิงหู่คือให้ทั้งสองคนสู้กับตัวเองแน่นอนว่าเด็กอายุ 5
ขวบจะให้มาสู้กับสัตว์เทพอสูรมันเป็นไปไม่ได้แน่นอน
จึงลงเอยที่เฟิงหู่ต้องกลั้นใจสอนมนุษย์แบบค่อยเป็นค่อยไปเพราะเจ้าบ้านสั่งมา
"ท่านหลิ่งเฟยขอรับ
เกิดเรื่องแล้ว"
"อะไรหรือชุน"
หลิ่งเฟยวางม้วนตำราที่ได้มาจากในเมือง
ในใจคาดคิดเอาไว้ว่าบางทีเฟิงหู่อาจจะก่อเรื่องอีก
"ถังอี๋กับไอ๋อั๋นเข้าไปในป่าขอรับ!"
อะไรนะ....
"ทำไมสองคนนั้นถึงเข้าไปป่าล่ะ
เราเคยบอกเรื่องเขตอาคมของเรือนมายาไปแล้วไม่ใช่หรือไง"
เพราะหากออกจากเรือนมายาไปต่อให้เป็นสัตว์เทพอสูรแบบเฟิงหู่ก็ยากจะเห็นว่าเรือนมายาอยู่ตรงไหน
วันที่สองถังอี๋ก็นึกขึ้นมาชั้นสามพลการจนถูกแรงกดดันกดทับหมดสติไม่กี่วันต่อมาพวกเจ้าก็ไปเข้าป่าแล้วรึ!!
"ข้าเองก็ไม่ทราบ
ที่ข้ารู้เพราะท่านเฟิงหู่มาบอกข้าว่าทั้งสองคนวิ่งตามนกแปลกๆเข้าไปในป่าขอรับ"
เป็นคนเห็นกลับไม่ห้าม
ฝากเด็กไว้กับสัตว์เทพอสูรไม่ได้จริงๆ
"เดียวข้าจะไปตามกลับมาเอง"
ร่างกายรีบมุ่งหน้าไปหาพยัคฆ์ขาวที่นอนกระดิกเท้าสบายบนพื้นหญ้า
คนนอนหลับตาเหมือนยังไม่รู้ตัว หรือเป็นเพราะหลิ่งเฟยไม่ได้มีจิตสังหารจะฆ่าให้ตาย
มือจับเท้าที่กระดิกไปมาก่อนจะออกแรงบีบแล้วเรียกชื่อ
"ท่านเฟิงหู่!"
คนนอนสะดุ้งตื่นทันที
ก่อนจะพบเจ้าบ้านที่กำลังจับเท้าตัวไม่ปล่อยทำหน้ายิ้มเย็น
"ไปตามสองคนนั้นกลับมาเดียวนี้เลยนะ"
ด้วยอำนาจของเจ้าบ้านและตามข้อตกลงที่เฟิงหู่ต้องเชื่อฟังคำสั่งทุกอย่างหากอยู่ในเรือนมายา
พยัคฆ์ขาวบิดตัวหาวทีหนึ่งก่อนจะยอมออกไปตามเด็กมนุษย์สองคนที่ปานนี้คงจะกลายเป็นอาหารให้กับสัตว์อสูรที่ในป่าแล้วมั้ง
หลิ่งเฟยที่ไม่ไว้วางใจเฟิงหู่อยู่แล้ว
วิ่งตามพยัคฆ์ขาวกันเผื่อที่คนผู้นี้จะสังหารเด็กน้อยแต่ดูเหมือนว่าตนเองจะขี้ระแวงเกินไปหน่อยทันทีที่มาถึงจุดที่ถังอี๋กำลังปาก้อนหินใส่สัตว์อสูรงูเพื่อปกป้องไอ๋อั๋น
เฟิงหู่ตวัดมือกระชากหัวของเจ้างูในทันทีเด็กๆที่ได้มองเห็นการพรากชีวิตอื่นต่อหน้าต่อตาไหนจะสีหน้ากระหายเลือดของเฟิงหู่ที่จ้องมองมาทำให้ทั้งสองคนไม่กล้าเข้าใกล้คนที่มาตามตัวเลย
"ถังอี๋
ไอ๋อั๋นข้าบอกแล้วใช่มั้ยว่าห้ามออกนอกเขตจนกว่าจะได้รับอนุญาต"
หลิ่งเฟยที่เดินตามหลังมาพูดเสียงเย็นก่อนจะเข้าไปบิดหูเด็กสองคนอย่างทนไม่ได้
"โอ๊ยๆ
ท่านหลิ่งเฟยคือว่าข้าเห็นนกประหลาดบินมาทางนี้"
"สำหรับป่านี้นะไม่ว่าจะอะไรก็ประหลาดทั้งนั้นแหละถังอี๋
ไอ๋อั๋นก็ด้วยทำไมเจ้าไม่ห้ามถังอี๋ล่ะ?"
"คือข้าอยากเห็นนกนั้นด้วยขอรับ..."
เด็กน้อยพูดเสียงเบา
เมื่อเห็นใบหน้าน่ารักทั้งคู่ทำสีหน้าสำนึกผิดความสงสัยเกี่ยวกับเจ้านกตัวนั้นก็แล่นเข้ามา
เพราะส่วนใหญ่สัตว์อสูรประเภทวิหคจะอยู่กันเป็นฝูงแต่ทั้งคู่บอกว่าเห็นนกตัวนั้นอยู่แค่ตัวเดียว
และคำตอบที่ได้คือ
ซากศพนกที่ตายอยู่ห่างจากเรือนมายามีลูกธนูปักอยู่บนตัว
เด็กๆที่เห็นว่ามันตายเพราะฝีมือมนุษย์จึงพนมมือขอให้สัตว์อสูรตัวนี้ไปสู่สุคติ เมื่อพาทั้งสองคนกลับบ้านชุนที่ยืนรออยู่ทำการตักเตือนและบอกสิ่งที่ควรระวังเป็นเวลานานกว่าจะปล่อยทั้งคู่ออกมาซ้อมวิชาต่อ
ช่วงเช้าจนถึงบ่ายทั้งคู่จะซ้อมวิชาการต่อสู้จากเฟิงหู่และหลิ่งเฟย
ทั้งเรื่องลมปราณหรือกระบวนท่า
หลังจากนั้นก็จะปล่อยให้เด็กๆไปทบทวนความรู้ความแตกต่างในเรื่องนิสัยของสองคนนี้แตกกันอย่างชัดเจนมากขึ้นถังอี๋จะซ้อมฟันกระบี่และกระบวนท่ากับเฟิงหู่จนเจ็บตัวอยู่บ่อยๆ
ไอ๋อั๋นจะชอบอ่านตำรา
ผสมยาสมุนไพรแต่สิ่งที่ทั้งคู่มีเหมือนกันคือไม่เคยฟังข้อห้ามที่ว่า
ห้ามออกไปจากบ้านจนกว่าได้รับอนุญาต ไม่ว่าจะกี่ครั้งกี่หน จากหนึ่งเดือน สองเดือน
เด็กสองคนนี้ไม่ได้มีสามัญสำนึกเหมือนคนทั่วไปที่บอกว่า อะไรคืออันตรายและไม่อันตราย
"ท่านเฟิงหู่!
ถ้าท่านเห็นสองคนเข้าไปในป่าก็ห้ามบ้างเถอะ!"
ชุนที่เอาเรื่องนี้ไปบอกแก่นายของตน
จากความกังวลว่าเด็กสองคนนั้นจะเป็นอะไรจะบาดเจ็บหรือเปล่า
กลายเป็นความเคยชินที่พบเห็นได้ในเดือนละสองสามครั้งแม้ตนเองอยากจะออกไปตามตัวเด็กๆกลับมาเอง
แต่เพราะตนเองไม่มีความสามารถในการต่อสู้กับสัตว์อสูรที่อันตรายนอกจากการป้องกันแถมหลายครั้งที่แม้จะจับไอ๋อั๋นได้แต่ถังอี๋ที่เริ่มคุ้นชินกับเส้นทางก็มักจะวิ่งหนีไปหลบซ่อนตัว
"ทำไมท่านถึงกล้าขว้างเด็กตัวเล็กออกไปจากป่ากัน
แค่ถังอี๋กอดท่านเนี่ยนะท่านเฟิงหู่"
สองปีต่อมาสองพี่น้องฝาแฝดอายุได้
7 ปี ไอ๋อั๋นค่อยซับเหงื่อพิษไข้ให้พี่ชายตนเองหลังจากเพิ่งถูกสัตว์เทพอสูรขว้างออกไปจากเรือน
จนกระดูกหักไปทั้งร่าง บาดแผลเต็มไปหมดทั้งตัวเพราะเผลอเข้าไปกอด พยัคฆ์ขาวที่เคยทำสายตาดูถูกตอนนี้กำลังเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากฟังคำบ่นสารพัดจากเจ้าบ้าน
"ก็มันน่าขนลุกนี่นาจิ้งจอกเก้าหาง"
"ข้ามีชื่อนะท่านเฟิงหู่ ชื่อหลิ่งเฟย"
"เรียกชื่อเจ้าก็ไม่คุ้นปากเหมือนกัน
เอาเป็นว่าเป็นความผิดของมันที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงข้าไม่บดขยี้หัวมันทิ้งก็ดีเท่าไหร่แล้ว"
พยัคฆ์ขาวไม่พูดเปล่ากำมือบ่งบอกว่าตนเองจะทำจริง
หลิ่งเฟยถอนหายใจกับความปากแข็งบางทีสัตว์เทพอสูรตนนี้คงจะไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่า
เขิน
เมื่อถูกเด็กกอดถ้าเฟิงหู่รังเกียจถังอี๋จริงๆก็คงจะขยี้ตั้งแต่ที่เด็กคนนั้นวิ่งใส่แล้ว
"เอาเถอะถังอี๋ก็คงจะเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์ในครั้งนี้บ้างละนะ
ยังไงท่านก็ช่วยจำไว้ด้วยว่าร่างกายมนุษย์กับท่านมันต่างกัน"
ตอนนี้ก็มีแต่ให้ถังอี๋นอนพักในเขตฟื้นฟูที่หลิ่งเฟยสร้างขึ้นมา
และคอยทานสมุนไพรโอสถรักษาแผลภายในร่างกายสองปีมานี้
ทำให้หลิ่งเฟยค้างคาใจอยู่เรื่องหนึ่งคือเฟิงหู่มักจะไปงานดอกไม้ที่แคว้นหยางที่มีสัตว์เทพอสูรมังกรฟ้าเป็นสัตว์คู่สัญญากับฮ่องเต้และสิ่งที่เฟิงหู่ชอบเอากลับมาด้วยเสมอคือสุรา
ซึ่งตอนนี้ตนเองสังเกตเห็นว่ามีไหหลายใบที่น่าจะเป็นสุราแต่กลิ่นของมันกับรสชาติไม่เหมือนอันที่เฟิงหู่เอามาจากแคว้นหยางเลยแม้แต่น้อย
"แล้วข้าสงสัยว่าไอไหที่อยู่ในสวนหลังเรือนข้ามันคืออะไร
ถ้าท่านอยากจะเก็บสุราเอาไว้ก็เอามาเก็บข้างในก็ได้"
"ข้าไม่ได้เก็บ แต่ข้าพยายามบ่มสุราต่างหากเพราะข้าอยากจะมีสุราไว้กินตลอดเวลาแต่สุราที่เอามาจากแคว้นหยางมันไม่พอ
แถมมังกรฟ้าก็ไม่ยอมให้สุรานอกจากวันงานเลี้ยง"
เฟิงหู่เดินนำไปที่ตรงจุดที่วางไหเอาไว้ก่อนจะโยนให้เจ้าบ้านลองเปิดดู
กลิ่นเหม็นเปรี้ยวกลิ่นแอลกอฮอล์จนฉุดจมูกหลิ่งเฟยเอาผ้ามาปิดฝาไหทันที
"ถ้าเช่นนั้นเดียวข้าจะลองทำอะไรสักอย่างกับเรื่องนี้
ข้าเองก็อยากลองหาอะไรใหม่ๆทำเหมือนกัน" การบ่มสุราก็น่าคิด
"เจ้าดูไม่เหมือนสัตว์เทพอสูรเลย"
เมื่อสำรวจไหสุราทั้งหมดเสร็จเรียบร้อย เฟิงหู่ที่จ้องอยู่นานพอนานพูดสิ่งที่คิดขึ้นมา หลิ่งเฟยเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนจะเอ่ย
"....ข้าไม่รู้หรอกว่าสัตว์เทพอสูรควรเป็นอย่างไร"
"พวกนั้นและข้าไม่เคยมอบความรักให้กับมนุษย์แม้กระทั่งไท่หลงก็ไม่แสดงความรู้สึกเท่ากับที่เจ้าแสดงออก
เจ้าดูเหมือนมนุษย์ซะมากกว่า"
เฟิงหู่คงจะหมายถึงเรื่องการวางท่าทางให้ดูสูงส่ง
ไม่แวะข้องเกี่ยวกับมนุษย์แต่ทำไงได้ก็ข้าเคยเป็นมนุษย์มาก่อนนี้นา...
"ถ้าข้าทำให้ท่านผิดหวังก็ขออภัยด้วยแล้วกัน
เร็วๆนี้ข้าคิดจะไปที่เมืองมนุษย์ท่านอยากจะตามข้ามาด้วยหรือไม่"
หลิ่งเฟยออกปากชวนและคำตอบที่ได้กลับมาแทนที่จะเป็นคำปฏิเสธ กลับเป็นคำว่า ได้
สร้างความแปลกใจไม่น้อยให้กับหลิ่งเฟยที่คิดจะเอาสมุนไพรไปขายเหมือนที่ผ่านมาและตั้งใจจะลองหาร้านที่รับทำเครื่องประดับขยายช่องทางหารายได้ของตนเอง
"เช่นนั้นก็อย่าอาละวาด สร้างปัญหาให้ข้าอีกแล้วกันท่านเฟิงหู่"
ภาพของตลาดที่กำลังคึกคักเพราะเศรษฐกิจที่ดีของแคว้นหยิ่ง
มีร้านค้ามากมายตั้งเรียงรายตามริมถนนตั้งแต่ร้านอาหารไปจนถึงร้านขายเสื้อผ้าไอ๋อั๋นมองดูความเจริญที่มีมากกว่าบ้านเกิดตนเองในแคว้นหยาง
ผู้ใหญ่ยืนคุยกัน เกวียนที่เทียมด้วยสัตว์อสูรในรถก็มีผักผลไม้ขาย
กลุ่มเด็กที่วิ่งเล่นกัน
เป็นภาพที่ตื่นตาตื่นใจมากสำหรับเด็กน้อยที่อาศัยอยู่ในป่ามาสองปีเมืองตาหลั่งก็นับว่าคึกคักแล้วเมืองนี้คึกคักกว่าและดูวุ่นวายกว่ามาก
"ท่านหลิ่งเฟยแล้วท่านเฟิงหู่ละขอรับ"
เด็กน้อยถามถึงพยัคฆ์ขาวที่มาด้วย
"ท่านเฟิงหู่บอกว่าจะไปทักทายสัตว์เทพอสูรมังกรฟ้า
และอีกอย่างหนึ่งข้าคงไม่อาจให้คนที่หน้าตาภายนอกดูก็รู้ว่าไม่ใช่สัตว์อสูรธรรมดามาเดินด้วยกันได้หรอกเดียวจะวุ่นวายเปล่าๆ"
เฟิงหู่นั้นไม่สามารถแปลงเป็นมนุษย์ได้ต่อให้หลิ่งเฟยใช้วิชามายาปกปิดแต่ก็ใช่ว่าคนผู้นั้นจะอยู่กับที่เสมอไป
หลิ่งเฟยร่างมนุษย์ในครอบจอมยุทธ์หญิงจูงมือไอ๋อั๋นกั้นเด็กหลงทางก่อนจะแนะนำตัวเด็กคนนี้ให้เถ้าแก่ร้านยา
เถ้าแก่หย่งอี๋ตอนแรกเถ้าแก่ทั้งแปลกใจและตกใจคิดว่าไอ๋อั๋นคือลูกชายของหลิ่งเฟย
หลิ่งเฟยตอบปฏิเสธทันทีว่าไม่ใช่จนได้อธิบายจุดประสงค์ที่พามารู้จักคือต่อจากนี้จะให้ถังอี๋ที่นอนรักษาตัวอยู่ที่เรือนกับไอ๋อั๋นเป็นคนเอาสมุนไพรมาขายเพื่อให้ทั้งสองคนได้รู้จักกับโลกภายนอก
"งั้นหรือขอรับ...ถ้าเช่นนั้นก็ขอรบกวนด้วยนะขอรับไอ๋อั๋น"เมื่อได้ยินเรื่องทั้งหมดตามที่หลิ่งเฟยเล่าให้ฟังไปพอให้รู้จัก
เถ้าแก่ก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อฝากตัวไอ๋อั๋นก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายทักทายอยู่ฝ่ายดีรีบแนะนำตัวและฝากเนื้อฝากตัวด้วยทันที
"ท่านพ่อข้ากลับแล้ว!!!"ลูกชายเพียงคนเดียวของเถ้าแก่วิ่งเข้ามาก่อนจะชะงักตัวสำรวมกิริยาเมื่อท่านจอมยุทธ์หญิงที่มักจะเอาสมุนไพรชั้นสูงมาฝากขาย
"ขออภัยที่ข้าเสียงดังขอรับ"
จินลี่ก้มหัวก่อนจะมองเด็กน้อยข้างตัวจอมยุทธ์หญิงในหัวคิดทันที
หรือว่าเด็กผู้นี่คือบุตรของท่านจอมยุทธ์!
"ไอ๋อั๋นเป็นลูกของคนรู้จักวันนี้ข้าแค่พามาทักทายครั้งต่อไปก็ฝากด้วยนะเถ้าแก่ ข้าขอตัว"
ไอ๋อั๋นมองร้านยาสมุนไพรความทรงจำเมื่อตอนที่พ่อแม่ของเขายังมีชีวิตอยู่หวนกลับมา
ถ้าหากวันนั้นพ่อแม่ของตนเองไม่ตายถังอี๋คงจะโตขึ้นเป็นแบบชายผู้นั้นแน่นอน
"ไอ๋อั๋นเดียวข้าจะไปทำธุระหน่อยเจ้าไปเดินเล่น
สำรวจตลาดนี้ดูก่อนก็ได้เอาเงินนี้ไปด้วย"ถุงเงินใบเล็กถูกวางไว้บนมือของเด็กน้อย
"แล้วท่านหลิ่งเฟยละขอรับ"
"ว่าจะแวะร้านช่างดูสักหน่อย
แล้วก็ระวังตัวเองให้ดีเสียล่ะเจ้ายังเป็นเด็กอายุแปดขวบ
เข้าใจมั้ย"ไอ๋อั๋นรู้ทันทีว่าหลิ่งเฟยอยากจะให้ตนเองรู้จักการพึ่งพาตนเองในขณะที่อยู่ตัวคนเดียว
จะไม่มีคำแนะนำแต่อย่างใดให้แก่เด็กน้อยแต่นี่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นเพราะสองปีที่ได้อยู่กับสัตว์เทพอสูรสองคน
ได้เจอสิ่งที่อันตรายนับไม่ถ้วนในป่าทำให้สองฝาแฝดระดับลมปราณอยู่ในขั้นจุติแล้ว
"ขอรับท่านหลิ่งเฟย"
พอเห็นไอ๋อั๋นทำหน้ามั่นใจ
สัตว์เทพอสูรที่มีธุระกับร้านช่างจึงเดินจากไปก่อนจะหายตัวไปในฝูงชนไอ๋อั๋นมองถุงเงินอย่างพินิจว่าจะทำอย่างไรกับมันดี
สร้อยคอหยก
ต่างหูทับทิม
ปิ่นหลายแบบถูกวางโชว์บนผ้ากำมะหยี่สีแดงที่นี่คือร้านเครื่องประดับสำหรับสตรีโดยเฉพาะสัตว์อสูรในร่างมนุษย์สตรีเหลือบมองจอมยุทธ์หญิงที่ถอดหมวกเดินเข้ามา
ปกติแล้วหากมีจอมยุทธ์ต้องสำรวจก่อนทันทีว่าระดับลมปราณอยู่ในระดับไหน
มีจิตสังหารหรือท่าทีที่จะเป็นอันตรายต่อร้านนี้หรือไม่
ผิวขาวเนียนดุจหิมะ
ใบหน้าวงสวยคม ตาสีดำขลับ
เส้นผมที่ราวกับเส้นไหมใยแมงมุมดำแม้จะอยู่ในชุดที่ไม่ได้ดูดีแต่ด้วยรูปร่างหน้าตาเรียกความสนใจให้กับคุณหนูคุณหญิงในร้านต้องสนใจ
"ที่นี่รับทำเครื่องประดับใช่หรือไม่"แต่ใบหน้าจะสวย
ลมปราณที่รู้สึกได้เป็นศูนย์แต่เมื่อสตรีผู้นี่เปล่งเสียงออกมาร่างกายกลับเหมือนมีบางอย่างกดดันอย่างรุนแรงจนต้องลงไปนั่งคุกเข่าที่พื้น
อะไรกัน...จอมยุทธ์ผู้นี้ปกปิดลมปราณอย่างนั้นหรือ?
อา
แย่จังแฮะดูเหมือนว่าสัตว์อสูรจะรับรู้ได้ดีกว่ามนุษย์สินะอุตส่าห์รู้วิธีปกปิดลมปราณแล้วแท้ๆ
"นี่
ถ้าเจ้ายังไม่ลุกขึ้นข้าจะลำบากเอานะคนในร้านเขาตกใจหมดแล้ว"
หลิ่งเฟยย่อตัวพูดกับสัตว์อสูรในร่างมนุษย์สิ่งที่ทำให้มนุษย์พอจะแยกออกว่าไหนคือสัตว์อสูรไหนคือมนุษย์อย่างแรกคือสีผมกับสีตาหากสัตว์อสูรมีลักษณะภายนอกที่เหมือนกับมนุษย์เมื่อไร
ก็ต้องตรวจจับลมปราณดู
แต่ที่สัตว์อสูรลองตรวจจอมยุทธ์หญิงผู้นี่อีกครั้งก็ต้องพบว่าลมปราณของนางกลับมาเป็นศูนย์เหมือนเดิม
"ขออภัยที่ทำให้ทุกท่านตกใจ
เชิญท่านตามข้ามาเจ้าค่ะ"
สัตว์อสูรให้หลิ่งเฟยยืนรอตรงจุดกึ่งกลางร้านที่มีม่านลูกปัดกั้นไว้อีกทีหนึ่งไม่นานนักบุรุษวัยกลางคนธรรมดาเดินออกมาก่อนจะแนะนำตัวว่าเป็นเจ้าของร้านและเป็นช่างฝีมือด้วยในขณะเดียวกัน
"ข้ามีภาพแบบร่างมาให้ท่านดูหน่อยว่าท่านพอจะทำให้ได้หรือไม่"สมุดเล่มหนึ่งถูกยื่นให้แก่เจ้าของร้าน
เมื่อเปิดดูไปเรื่อยๆใบหน้าของเจ้าของเปลี่ยนเป็นความแปลกใจก่อนจะจอมยุทธ์หญิงเข้าไปดื่มชาข้างใน
"ภาพแบบร่างเครื่องประดับช่างสวยงามยิ่งนัก
นามของท่านใช่นามแบบเดียวกับที่อยู่ในสมุดเล่มนี้หรือไม่"
"เปล่าแต่เรียกข้าว่ามี่จางก็ได้
ข้าไม่ค่อยอยากจะบอกชื่อจริงเท่าไรนักหรอก" หลิ่งเฟยหยิบชาขึ้นมาจิบก่อนจะวางมันลงด้วยเพราะรสชาติที่ขมแม้จะหอมแต่รสที่เธอรับรู้คือรสขม
ดังนั้นไม่กิน
"เช่นนั้นท่านมี่จาง..ข้า
ข้าตื่นเต้นยิ่งนักที่ได้เห็นผลงานของท่านมันช่างสวยงามราวกับเป็นภาพที่มีชีวิตชีวาจนข้าไม่มั่นใจเลยว่าจะรังสรรค์ผลงานออกมาเป็นแบบที่ท่านต้องการหรือไม่!"
ความตื่นเต้นที่เก็บไว้ไม่อยู่ระเบิดออกมาจนเจ้าของแบบผลงานเผลอสะดุ้งตัวตกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไป
สัตว์อสูรในร่างมนุษย์เข้ามาบอกให้เจ้าของร้านสำรวมกิริยาต่อหน้าแขก
ที่หลิ่งเฟยเลือกร้านนี่เพราะชื่อเสียงของร้านนี้เป็นไปในทิศทางที่ดีไม่มีข่าวลือเสียหายอย่างการโกงเงินหรือกดขี่ลูกจ้าง
สัตว์อสูร ราคาสินค้าทุกชิ้นตั้งอย่างเป็นธรรมที่เหมาะกับสินค้าชิ้นนั้น
สัตว์อสูรที่อยู่ที่นี่ทุกตัวไม่มีตัวไหนที่เป็นคู่สัญญากับเจ้าของร้านแต่การที่สัตว์อสูรในร่างมนุษย์เข้ามาตักเตือนมนุษย์ที่ปกติแล้ว
มนุษย์ชอบทำตัวสูงส่งกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น
"ขออภัยด้วยท่านจอมยุทธ์นายท่านเวลาเห็นสิ่งสวยงามมักจะมีอาการตื่นเต้น
แม้ว่าตอนนี้จะตื่นเต้นมากเกินเหตุก็เถอะ"
"ไม่ได้เกินเหตุด้วยซ้ำ!
ดูนี่สิ มันคือศิลปะ ศิลปะชั้นดี
หากมันได้อยู่ในมือของผู้ที่เหมาะสมสตรีที่เหมาะสมเจ้าไม่คิดว่ามันเป็นผลงานศิลปะชั้นเลิศหรือไง!!"
"................" อย่างกับศิลปินที่คลั่งไคล้อะไรสักอย่างมากๆ
ไม่อยากจะเสียเวลามากนักหลิ่งเฟยจึงแจ้งจุดประสงค์ที่มาร้านนี้คือต้องการให้ร้านเครื่องประดับนี้ทำเครื่องดับตามแบบร่างที่ตนเองเป็นคนวาดขึ้นมา
และขายหลังจากนั้นค่อยปันกำไรเป็นค่าตอบแทน เจ้าของร้านที่แทบจะเอาแบบร่างไปใส่กรอบแขวนไว้ตอบตกลงทันทีก่อนจะไปกระดาษตกลงสัญญาการค้า
เพื่อที่ได้ตกลงอย่างเป็นทางการและมีหลักฐานยืนยันหลิ่งเฟยลงชื่อเป็นลายเซ็นแบบเดียวกับสมุดวาดภาพ
ใช้นามว่ามี่จาง
สัตว์อสูรเดินไปส่งถึงหน้าร้านพลางขออภัยในความไม่สุภาพของนายตนเอง
แม้จะไม่ได้ทำสัญญาก็ตามหลิ่งเฟยมองร้านเครื่องประดับไร้ชื่อไร้ป้ายต่างจากร้านชื่อดัง
หรือร้านอื่นหากเป็นร้านที่สัตว์อสูรทุกตัวที่อยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าของร้านต่างอยู่ดีกินดีไม่ถูกกดขี่ข่มเหง
ลูกจ้างก็หน้าตาดูมีความสุขถึงจะมีไม่กี่คนก็ตาม
"ไอ๋อั๋นเจ้าซื้อกระบี่ด้วยหรือ"
"ขอรับ
เป็นของฝากให้ถังอี๋ที่ไม่ได้มาในวันนี้"
ไอ๋อั๋นที่ไม่ได้มีความซุกซนอยากรู้อยากเห็นเหมือนตอนอยู่ในป่ามาช่วยงานเถ้าแก่หย่งอี๋รอหลิ่งเฟยที่ร้านยาสมุนไพร
จิตใจที่นึกถึงพี่ชายตนเองความมักน้อยของไอ๋อั๋นทำให้หลิ่งเฟยอดเอามือไปลูบหัวไม่ได้ทีหนึ่ง
"รบกวนเถ้าแก่ซะแล้ว
ไอ๋อั๋นคงไม่ได้ผสมสมุนไพรแปลกๆใช่หรือไม่"
"ไม่เลยขอรับ
เป็นเด็กที่ขยันในการเรียนรู้เลยทีเดียวลูกชายข้าเองก็ชอบเด็กคนนี้เหมือนกัน"
จินลี่ยิ้มให้ไอ๋อั๋นที่จะกลับแล้ว เพราะตนเองเป็นลูกคนเดียวไอ๋อั๋นเป็นเด็กดี
เรียนรู้ไวแถมยังเก่งกว่าอีกต่างหากแต่ในขณะเดียวกันก็น่าเอ็นดูในความใสซื่อ
จิตใจที่นึกถึงพี่ชายฝาแฝดผู้นอนรักษาตัวอยู่บ้านกระบี่เล่มนั้นตนเองก็เป็นคนช่วยออกไปซื้อกับไอ๋อั๋น
"แล้วเจอกันใหม่นะไอ๋อั๋น
ครั้งหน้าพาถังอี๋มาด้วยล่ะ"
หลิ่งเฟยช่วยถือของให้ไอ๋อั๋นที่ซื้อของมาเกินตัว
น่าเสียดายที่โลกนี้ไม่มีสิ่งที่เหมือนกระเป๋ามิติไม่อยากนั้นคงจะจับยัดใส่เฟิงหู่ที่ได้รับสารจากสัตว์อสูรนกตัวน้อยปรากฏตัวพร้อมกับไหสุรา
ไม่ต้องถามให้เสียเวลาก็รู้ว่าเฟิงหู่ต้องเอามาจากมังกรฟ้าแน่นอน
"กระบี่ล่ะ
กระบี่ที่ทำจากเหล็ก!" ถังอี๋ที่ฟื้นตัวจนเกือบหายดีหยิบกระบี่มาทดลองฟันเล่นทันที
ไอ๋อั๋นยิ้มอย่างสุขใจที่ทำให้พี่ชายฝาแฝดมีความสุข
"ดีเหมือนกัน
ข้าขี้เกียจทำกระบี่ไม้ให้เจ้าแล้ว"เฟิงฟู่ที่ยืนมองเด็กชายอ้าปากหาว
ข้าก็เห็นด้วยเช่นกันกลับมาจากป่าทีไรกระบี่หักทุกครั้งให้สัตว์เทพอสูรมานั่งเหล่ากระบี่ก็คงดูไม่ดีเท่าไร
แม้ว่ากระบี่เล่มนี่จะไม่ได้เป็นกระบี่ที่ทำมาจากวัสดุดีมาก
"ท่านเฟิงหู่! ตอนนี้ข้ามีกระบี่แล้วละขอรับ!"
ถังอี๋วิ่งเข้าไปหาเฟิงหู่พลางอวดกระบี่เล่มใหม่ไม่นึกกลัวกับสิ่งที่เฟิงหู่ทำกับตนเองไว้ก่อนหน้านี้
"หากเจ้ายังเข้ามากอดข้าแบบวันนั้น
เดียวก็ถูกขว้างข้ามแคว้นหรอกเจ้ามนุษย์" เฟิงหู่ด้วยสีหน้าเหมือนขยะแขยง
แต่หากเทียบกับความแตกต่างเมื่อตอนแรกนับว่าความสัมพันธ์กำลังพัฒนาไปได้ด้วยดี
ว่าแต่ทำไมจู่ๆถึงมีกลิ่นเหมือนมีอะไรไหม้ลอยมาจากชั้นล่างเลยแฮะ...
"ท่านหลิ่งเฟยขอรับ
ไอ๋อั๋นสูดควันพิษสมุนไพรเข้าไปขอรับ!"
"............."ต่อจากถังอี๋ก็ไอ๋อั๋นรึ?
ความซุกซนของสองฝาแฝดคู่นี้มีมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แม้จะไม่แสดงออกชัดเจนแต่ความอยากรู้อยากลองทำให้ข้าและชุนปวดหัวอยู่บ่อยๆจนชินชาไปเสียแล้วเจ็บตัวจนสามารถรักษาตัวเองได้เอง
เข้าไปในป่าจนสัตว์อสูรจำหน้าได้ทั้งคู่มีแววออกในทิศทางที่คาดการณ์ไว้นั้นคือนักรบและหมอ
ถังอี๋มีนิสัยใจร้อนชอบท้าทายสิ่งใหม่ๆไม่เว้นแม้กระทั่งการต่อสู้กับพยัคฆ์ขาวแต่ก็แพ้มาทุกครั้ง
ไอ๋อั๋นมีนิสัยไม่ค่อยแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้ามีนิสัยชอบทำยาสมุนไพรจนข้าต้องสอนวิชาการหลอมโอสถที่เรียนรู้ว่าจากสำนักโอสกมาสอนให้ไอ๋อั๋นสำหรับเฟิงหู่มักจะไม่ค่อยอยากเข้าใกล้ไอ๋อั๋นเท่าไรนักเห็นบอกว่าคาดเดาความคิดของไอ๋อั๋นไม่ได้
ซ้ำเวลาต่อสู้ชอบใช้กลยุทธ์และยาพิษเป็นสิ่งที่ตนเองไม่ค่อยชอบเท่าไรนักแต่โดยรวมก็ถือว่ายังไม่ได้เกลียดขี้หน้ากัน
"ทุกคนข้าคิดว่าจะออกไปข้างนอกสักสามสี่เดือน"
ข้าบอกระยะเวลาที่จะออกไปข้างนอกกับทุกคนครั้งที่สุดท้ายที่ออกไปข้างนอกนานๆก็เมื่อประมาณ
4 ปีที่แล้วเพื่อไปเรียนรู้วิชาหลอมโอสถมาประดับความรู้ในสมอง
ก่อนจะได้มาสอนไอ๋อั๋นผู้ที่เรียกรู้วิชาการแพทย์การรักษาจนเชี่ยวชาญ
"ท่านจะไปไหนหรือขอรับ"ชุนเอ่ยปากถามคนแรก
"ข้าคิดว่าจะไปแคว้นฉินเพราะน่าจะมีของที่ข้าอยากได้เยอะอยู่"
"ข้าไปด้วยหลิ่งเฟย"ถังอี๋ที่เริ่มเรียกชื่อข้าเฉยๆ
ครั้งแรกก็ตกใจนะแต่ข้าไม่ถือสาหรอก
"ถังอี๋อย่าเรียกชื่อท่านหลิ่งเฟยห้วนๆแบบนั้นสิ"
ไอ๋อั๋นตำหนิพี่ชายตนเองทันที
ด้วยความชอบที่แตกต่างกันทำให้พอจะแยกออกแล้วว่าใครเป็นใครถังอี๋จะมีผิวที่คล่ำกว่าและตามแขนกับที่หน้าจะมีรอยแผลเป็นจางๆอยู่เสมอ
ส่วนไอ๋อั๋นที่ดูแลรักษาสุขภาพร่างกายดีจึงทำให้เหมือนคุณชายจากบ้านผู้ดีที่มีหน้าตาหล่อคมคายและสิ่งที่ไอ๋อั๋นมีไม่เหมือนคนทั่วไปคือภูมิคุ้นกันต้านพิษกว่าร้อยชนิดที่เกิดจากการลองยาพิษมาหลายปีของเด็กคนนี้
"แคว้นฉินกว้างใหญ่มากถังอี๋
อีกอย่างเจ้าไปแล้วข้ากลัวว่าเจ้าจะสร้างเรื่องให้ข้ามากกว่า"ข้าพูดไปคีบอาหารเข้าปากไป
"งั้นให้ไอ๋อั๋นไปด้วยสิ!"
ทำไมข้าต้องเอาตัวสร้างปัญหาไปให้หนักใจด้วย....
ทั้งคู่ทำสายตาอ้อนวอนแม้ไอ๋อั๋นจะไมพูดแต่ความต้องการมันสื่อออกมาทางสายตาจนเห็นได้ชัด
ข้าหันหน้าไปหาชุนขอความคิดเห็นว่าจะให้สองคนนี้ไปกับข้าด้วยดีหรือไม่
ข้าขอไม่แสดงความคิดเห็นขอรับ
คำๆนี้แปะอยู่บนหน้าให้เห็นทันที
"ก็ได้ข้าจะพาพวกเจ้าไปด้วยอีกสองวันก็เตรียมตัวให้ดีแล้วกัน"
เมื่ออาหารหมดโต๊ะแล้วชุนเก็บจานไปล้างอย่างรวดเร็วจนข้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น
ปล่อยให้วันเวลาไหลผ่านมาจนมาถึงวันที่ต้องออกเดินทางหลังจากวันที่ข้าใช้ร่างจิ้งจอกแบบเต็มตัวเพื่อไปช่วยสองคนนี้
ข้าก็ไม่เคยใช้อีกเลยเพราะไม่อยากให้สัตว์เทพอสูรตนอื่นรู้ตำแหน่งทุกๆครั้งเวลาที่ออกไปข้างนอกและอยากจะไปถึงอย่างรวดเร็วข้าจะขี่ม้าสัตว์อสูรม้าเพลิงไป
ขี่กระบี่ก็น่าสนใจอยู่หรอกแต่มันต้องใช้ลมปราณขืนข้าใช้ไปโดยไม่ทันระวังเดียวก็เป็นการประกาศตัวตนให้ผู้อื่นรู้อีก
"นี่หลิ่งเฟยที่แคว้นฉินมันมีอะไรอยู่รึ
ท่านถึงต้องไปที่นั่น"ถังอี๋ที่ขี่กระบี่ถาม
"ข้าอยากได้หยกและผลึกสัตว์อสูรธาตุไฟ
แคว้นหานเป็นแคว้นที่ใหญ่ที่สุดในยุทธภพผลึกสัตว์อสูรธาตุไฟหาในป่าก็ได้
แต่หยกที่เป็นวัสดุดิบหลักข้าต้องการมันในปริมาณมาก..."
สีหน้าของคนไม่เข้าใจอย่างถังอี๋ฉายชัดออกมาทันที
ไอ๋อั๋นรบเร้าให้ข้าเล่าต่อ
"แคว้นฉินมีภูเขาไฟและถ้ำหินมากมายข้าถึงเลือกที่จะไปแคว้นฉินยังไงล่ะ
โอ๊ะ ทุกคนบินขึ้นให้สูงอีกหน่อยวิหควายุกำลังมาทางนี้"
ถังอี๋ไอ๋อั๋นรีบควบคุมให้บินสูงขึ้นอีกและสิ่งที่ทั้งคู่ต้องพบเจอคือแรงลมปะทะจากฝูงวิหควายุจนแทบคุมกระบี่ไม่อยู่
วิหควายุถือว่าเป็นสัตว์อสูรที่จับตัวได้ยากเพราะมันชอบอยู่รวมตัวกันฝูง
ผู้ใดมีสัตว์อสูรนี้ในครอบครองก็ถือว่ามีหน้ามีตาให้กล่าวถึง
ผืนป่าสีเขียวขนาดใหญ่อยู่ข้างล่างหลิ่งเฟยคุมอาชาให้ทะยานลงไปตรงจุดที่เป็นภูเขาสูง
ถังอี๋ไอ๋อั๋นลงตามมาทีหลัง
เสียงสัตว์อสูรเจ้าถิ่นส่งเสียงจ้องมองออกมาอย่างไม่เป็นมิตรถังอี๋ชักกระบี่ออกมาเตรียมสู้
"ถังอี๋อย่าพึ่งสู้"
โฮก!!!
หางจิ้งจอกแปดหางโผล่ออกมาปริชีพสัตว์อสูรตัวแรกในทันที
สัตว์อสูรตัวอื่นที่เห็นดังนั้นรีบพากันวิ่งหนีออกมาเพราะพวกมันได้กลิ่นอายของสัตว์เทพอสูรแผ่ออกมาจากตัวหลิ่งเฟย
"....ข้าคงไม่ต้องปกปิดซ่อนลมปราณแล้วมั่ง
ถังอี๋ ไอ๋อั๋นเจ้าสองคนนะไปเก็บผลึกสัตว์อสูรในป่าซะนะ"
"ผลึกธาตุไฟนะหรือขอรับ?"
"เปล่าเก็บมาให้หมดเลยเพราะว่าช่วงนี้กิจการขายเครื่องประดับเสื้อผ้ากำลังเป็นไปได้ด้วยดี
ผลึกสัตว์อสูรที่มีก็เริ่มน้อยลงแล้วด้วย"
มีลูกค้ามากมายทั้งชายและหญิงเข้ามาซื้อผลงานของข้าไม่ขาดจนตอนนี้มียอดสั่งจองเป็นสิบกว่ารายผลึกสัตว์อสูรที่มนุษย์ทั่วไปมองว่าเป็นเพียงเครื่องประดับที่ช่วยในการไหลเวียนของลมปราณให้ดีขึ้น
แต่ถ้าเอาผลึกสัตว์อสูรมาหล่อรวมกันมากๆเข้าก็จะได้ผลึกสัตว์อสูรที่อยู่ในระดับเหนือกว่า
เป็นความบังเอิญที่ข้าพบจากการทดลองเอาเตาหลอมโอสถมาหลอมผลึกสัตว์อสูร
สองฝาแฝดเข้าใจในความต้องการของจิ้งจอกเก้าหางทันทีว่า
ท่านหลิ่งเฟยก็แค่อยากได้ตังค์ไปนอนโรงเตี๊ยมชมดูการแสดง ไม่ใช่หรือไง
"ดังนั้นไปเก็บมาให้มากที่สุดเลยนะแต่อย่าฆ่าสัตว์อสูรเพื่อผลึกเชียวเข้าใจนะ"
"...... / ขอรับท่านหลิ่งเฟย"
พอสองฝาแฝดเข้าไปในป่า
หลิ่งเฟยหินภูเขาที่ตั้งเรียงรายตามทางเนินสูง
จำได้แค่ว่าพวกอัญมณีหรือแร่ต่างๆจะอยู่ใกล้กับภูเขาและอยู่ในชั้นใต้ดินที่ลึกลงไปพอใช้พลังลมปราณตรวจพื้นโดยรอบมีถ้ำอยู่หลายแห่ง
หลิ่งเฟยเลือกไปถ้ำที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดก่อนและใช้กระบี่เคลือบด้วยลมปราณให้เป็นรูปร่างขนาดใหญ่ฟาดผ่าถ้ำแยกออกมาเป็นสองส่วน
"หืม...เหมือนทฤษฎีเรื่องแหล่งแร่จะถูกนะแต่แบบนี้ไม่ค้นพบง่ายเกินไปหน่อยเหรอ"
ก้อนหยกขนาดใหญ่ฝังตัวอยู่ในชั้นหินที่ถูกผ่าแยกออกเป็นสองส่วน
แถมยังมีไพลินส่องประกายของมันออกมาให้เห็นด้วยไม่รอช้าหลิ่งเฟยใช้หางถือก้อนหยกขนาดใหญ่สองก้อนออกมาจากในถ้ำก่อนจะสร้างลูกไฟจิ้งจอกมาสองดวงใส่ข้อความเสียงไปในลูกไฟแล้วส่งไปให้สองฝาแฝด
ทั้งคู่ไม่รู้จะตกใจอะไรก่อนดีระหว่างถ้ำที่ถูกผ่าแยกออกเป็นสองส่วนหรือจะก้อนหยกขนาดใหญ่สองก้อนก่อน
กระบี่เหล็กบริสุทธิ์มีรอยร้าวเพราะทนรับพลังลมปราณไม่ไหวแม้จะหาผลึกสัตว์อสูรไม่ได้มากแต่อย่างน้อยความต้องการของหลิ่งเฟยก็ประสบผลทั้งสามคนจึงกลับเรือนมายาเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
ที่หลิ่งเฟยต้องการหยกในปริมาณมากเพราะจำได้ว่าตามนิยายและเกมจะมีกระเป๋าไม่ก็ไอเทมที่สามารถเก็บของได้
และเตาหลอมโอสถที่หลิ่งเฟยจัดการอัพเกรดมันให้เป็นเตาตีบวก เพิ่มความสามารถ
หินหยกถูกตัดแบ่ง
บีบอัดรูปร่างให้เป็นแหวนก่อนจะใส่ความสามารถที่ตัวเองนึกคิดว่ามันคือแหวนเก็บของ
แหวนมิติแม้จะล้มเหลวหลายครั้งจิ้งจอกเก้าหางก็ไม่หยุดเพียงเท่านี้พยายามผสมผลึกสัตว์อสูรชั้นสูง
แร่ธาตุหลากหลายชนิดจนในที่สุดก็ได้แหวนมิติมาได้วงหนึ่ง
"โฮ่..นี้หรือแหวนที่เจ้าเคยบอกว่าอยากได้หน้าตาไม่เห็นมีอะไรเป็นพิเศษเลย"
เฟิงหู่คลึงแหวงหยกวงเรียบไปมาหลิ่งเฟยจึงเอาสุราที่หมักไว้หลังเรือนมายาออกมาให้ดูและของอื่นๆเพื่อทดสอบดูว่าสามารถกักเก็บได้เท่าไร
ทุกคนที่เห็นความสามารถของแหวนวงนี้ต่างก็อยากได้ทันทียกเว้นชุนที่กล่าวว่า
ตนเองไม่มีความจำเป็นต้องใช้แหวนวงนี้เฟิงหู่ที่อยากได้ไว้เก็บสุรามากมายรีบสั่งให้หลิ่งเฟยทำอีกวงหนึ่ง
ความอยากได้ ความต้องการ หลิ่งเฟยยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ทันทีก่อนจะใช้แรงงานบุรุษสามคนให้คุ้มที่อยู่เรือนมายานั้นคือหาผลึกสัตว์อสูรและแร่ต่างๆในปริมาณที่เยอะที่สุด
เฟิงหู่ ถังอี๋ ไอ๋อั๋นจึงต้องออกไปหาวัตถุดิบอย่างช่วยไม่ได้
ความคิดเห็น