คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : แขกที่ไม่ได้รับเชิญ(รีไรท์)
เสียงพูดคุยของถังอี๋กับไอ๋อั๋นที่ถึงแม้ว่าจะอยู่คนละห้องกันแต่ก็ไม่พ้นหูของจิ้งจอกในร่างมนุษย์ภายในห้องตำราเหมือนว่าทั้งสองคนจะหายเศร้าทันทีเมื่อได้ลิ้มรสชาติข้าวต้มฝีมือของชุน ในฐานะผู้ที่เป็นคนสอนสูตรการทำข้าวต้มอดใจให้ยิ้มออกมาไม่ได้ กระทั่งสัตว์อสูรนกเรียนสีทองเคาะประตูขออนุญาตเข้ามาในห้อง เพื่อรายงานเรื่องถังอี๋ไอ๋อั๋นว่าทั้งสองคนไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง เจ้าของบ้านจึงเบาใจก่อนจะเหลือบมองชายตรงหน้าด้วยสีหน้าบึ้งตึงตรงข้ามกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ แขกที่ไม่ได้รับเชิญผมยาวสีขาวแซมสีดำบ้างเป็นบางส่วน ใบหน้าคมสัน นัตน์ตาาสัตว์ร้ายสีอำพันที่กำลังส่งยิ้มให้อย่างยียวน ผิวสีน้ำผึ้งอ่อน ในชุดสีขาวแถบสีดำ
พยัคฆ์ขาว
เฟิงหู่
“ดูเหมือนว่าเจ้ามนุษย์สองคนนั้นจะไม่เป็นไรนะ”
พยัคฆ์ขาวเฟิงหู่พูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างเป็นกันเอง
แต่ก็ไม่อาจปิดรัศมีกระหายเลือดความต้องการอยากจะสู้ที่แผ่ออกมาได้
ชุนที่ตอนนี่ก็ยืนอยู่ข้างๆหลิ่งเฟยได้แต่ยืนตัวเกร็งนิ่งเพราะตนไม่เคยเจอกับสัตว์เทพอสูรตนอื่นนอกจากหลิ่งเฟยไหนจะรังสีที่แผ่ออกมาอีก
แค่หายใจก็ยังแทบจะไม่กล้า
“ท่านต้องการอะไร”
เจ้าของบ้านถามเสียงห้วนมือเท้าคาง
อย่างไม่สบอารมณ์ไม่คาดคิดว่าจะมีแขกคนอื่นมาอยู่ในบ้านโดยที่ตนแทบจะไม่รู้ตัวถ้าหากไม่มีกลิ่นแปลกปลอมของพยัคฆ์ขาวอยู่ในบ้าน
ความร้อนใจทำให้ตนเองวิ่งหาต้นเหตุและพบว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญนั้นอยู่ในห้องตำราที่ตัวเองเก็บสะสมไว้จากเมืองมนุษย์มาได้พักหนึ่งแล้ว
“ข้าสัมผัสได้ถึงลมปราณพลังที่เทียบเท่ากับสัตว์เทพอสูร
แต่ว่าข้าเคยเจอสัตว์เทพอสูรทั้งสี่มาหมดแล้ว เพราะฉะนั้นก็คงมีเพียงอย่าง
เดียวนั่นคือจิ้งจอกเก้าหาง”
บรรยากาศเริ่มกดดันมากกว่าเดิมจากความตั้งใจพยัคฆ์ขาว
จิ้งจอกเก้าหางที่ยังมีหางแค่เจ็ดหางไม่แสดงอาการว่าได้รับผลกระทบจากความกดดัน
แต่ชุนที่เป็นสัตว์อสูรธรรมดาแทบจะยืนไม่อยู่แล้วหากไม่ใช่เพราะหลิ่งเฟยช่วยคลุมร่างตนเองด้วยพลังลมปราณจากแรงกดดันคงได้ล้มลงไปนั่งแน่ๆ
หลิ่งเฟยรู้ดีว่าการที่ตัวเองนั่นแปลงเป็นร่างเป็นจิ้งจอกและไม่ควบคุมลมปราณเลยเพื่อให้ไปถึงบ้านของหมอฮวาให้ไวที่สุด ตอนนั้นคงจะทำให้สัตว์เทพอสูรตนอื่นรู้แล้วว่าจิ้งจอกเก้าหางที่พันปีจะเกิดขึ้นมานั่น
ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้วหลิ่งเฟยไม่คิดจะโทษใครนอกจากตนเอง
แต่การบุคคลตรงหน้ามานั่งมองหน้าตัวเองอย่างสบายใจ
และปล่อยลมปราณมากดดันทั้งที่มาบุกรุกเข้าบ้านคนอื่นโดยพลการแท้ๆ
มันทำให้เจ้าของบ้านอยากจะประทับรอยเท้าที่ใบหน้าหล่อคมนั้นสักครั้งสองครั้งและค่อยโยนออกไป
“ มีพลังที่เทียบเท่ากับสี่สัตว์อสูรมาปรากฏให้รู้สึก
หากไม่ใช่จิ้งจอกเก้าหางที่พันปีจะเกิดมาครั้งหนึ่งคงไม่มีข้อใดที่สามารถอธิบายถึงเรื่องนี่
ข้าไม่เคยเห็นจิ้งจอกเก้าหางคิดว่ามันเป็นเพียงแค่ตำนานที่ไม่มีจริง
เลยอยากมาดูให้แน่ใจนะไม่คิดว่าจะมีเรือนเป็นของตัวเองไหนจะสมุนไพรรอบๆเรือน
จะเอาไว้ฝึกลมปราณรักษาพิษไข้นับว่าไม่เลวนัก”
ริมฝีปากพูดชมเชย
ตาจดจ้องมองสตรีตรงหน้าด้วยความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งแววตาที่ซ่อนอยู่นัยน์ตาสีดำสนิทนั้นทำให้ไม่อาจคาดเดาได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
โกรธ แปลกใจหรืออยากจะไล่ตนเองออกไปจากที่นี่
ไม่ว่าจะอย่างไหนภายในใจพยัคฆ์ขาวตอนนี้คือการได้ทำให้คนที่นั่งทำหน้านิ่งเปลี่ยนสีหน้าด้วยอารมณ์โทสะ
“ถ้าเช่นนั้นท่านก็ได้เห็นแล้วว่าจิ้งจอกเก้าหางที่เจ้าพูดถึงก็คือข้าเนี่ยแหละ
หมดธุระแล้วก็ออกไปซะตอนนี่ข้าไม่ว่างพอจะ...”
ยังไม่สิ้นคำพูด
หางของหลิ่งเฟยที่รับรู้ได้ถึงจิตสังหารตวัดปัดการโจมตีของเฟิงหู่
ที่จู่ๆเข้ามาจู่โจมกะทันหัน
ชุนผู้ที่ตอบสนองช้ากว่ารีบกางปีกสีทองอร่ามมาปกป้องนายตนเองถึงจะเกรงกลัวมากแค่ไหนก็ตามแต่ท่านหลิ่งเฟยคือผู้พระคุณและเป็นนายเหนือหัวตนเองแต่เมื่อได้รับสายตาที่สื่อว่าไม่จำเป็นจึงเก็บปีกตนเองไป
หยดเลือดสีแดงสดไหลออกมามือขวาของเฟิงหู่ที่จากท่าโจมตีเมื่อกี้
แต่เฟิงหู่หาได้ใส่ใจก่อนบาดแผลที่มือจะสมานรักษาหายไปเองเหลือเพียงแต่รอยเลือดเท่านั้น
“.....บุกรุกเข้ามาในบ้านคนอื่น
คิดทำร้ายเจ้าของบ้าน
อย่านึกว่าท่านเป็นสัตว์เทพอสูรพยัคฆ์ขาวแล้วจะทำอะไรก็ได้นะ!” ร่างมนุษย์ของสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางที่แท้จริงเผยตัวออกมา
เส้นผมสีเงินราวกับแสงจันทร์
เช่นเดียวกับดวงตาที่ส่องแสงและฉายแววความโกรธนิดๆออกมา
หางสีขาวสะอาดเจ็ดหางที่พร้อมจะจู่โจมพยัคฆ์ขาวล้อมรอบตัวสัตว์เทพอสูรในตำนาน
ด้วยท่วงท่าราวกับจักรพรรดินีชั้นสูงที่แค่จ้องมองไม่จู่โจมหรือทำสีหน้าบิดเบี้ยว
เอาแต่ใจ ทำให้ความกระหายเลือดที่กำลังระอุนั้นเดือดขึ้นไปอีก
“ข้าก็แค่สงสัยว่าจิ้งจอกเก้าหางนั่นจะเก่งกาจเพียงใดก็เท่านั้น”
พวกกระหายเลือด.....ปากฉีกยิ้มจนจะฉีกไปถึงหูแล้วมั้ง
“บาดแผลที่มือท่านคงเป็นข้อพิสูจน์อย่างดีว่า
ข้าสามารถทำให้ท่านบาดเจ็บได้ข้าไม่ชมชอบการต่อสู้นักหากท่านอยากจะสู้
ข้าเชื่อว่านอกป่ามายาคงมีผู้คนอยากสู้กับท่านแน่นอน”
“หืมมม
นี่เจ้าพึ่งได้คุยกับข้าไม่กี่ประโยคก็รู้แล้วรึว่าข้ามีนิสัยอย่างใดแล้วรึ”
การเคลื่อนไหวที่เร็วกว่าการมองด้วยตา
แต่ก็ช้ากว่าผู้ที่นั่งอย่างสงบบนเก้าอี้
ชุนที่พึ่งเห็นว่าพยัคฆ์ขาวเข้ามาใกล้นายของตัวเองรีบกางปีกแต่หลิ่งเฟยยกมือห้ามไว้ก่อน
แม้พยัคฆ์ขาวจะมีใบหน้าที่หล่อเหลาชวนให้ใจสั่นแต่เพราะการกระทำที่หยาบคายไม่เป็นที่ประทับใจ
ทำให้คะแนนความชอบติดลบทันที ปลายเส้นผมสีเงินถูกจับหยอกล้อ
ม้วนไปมานัยน์ตาสีเงินมองนัตย์ตาสัตว์ร้ายที่กำลังหวังให้ตนเองเกิดความโมโหจนต้องสู้ในที่สุด
น่าเสียดายที่จิ้งจอกสาวรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจึงสงบอารมณ์ถอนหายใจราวกับผิดหวังกับความโง่เขลาของเฟิงหู่
“ท่านแผ่รังสีกระหายการต่อสู้ตลอดเวลาเช่นนี้ข้าย่อมต้องทราบว่าท่านเป็นคนเช่นไร”
ใบหน้าเอียงคอให้ประจันหน้าตรงๆกับพยัคฆ์ขาว
เฟิงหู่ยกมือขึ้นมาจับคางตัวเองอย่างครุ่นคิด
“เหมือนเจ้าจะรู้อยู่แล้วเลย
เพราะเจ้าไม่มีท่าที่ตกใจตอนที่ข้าโจมตีเลยยกเว้นตอนที่หาข้าเจอนะน่ะ”
ก็เออสิ
จู่ๆมีกลิ่นแปลกๆอยู่ในบ้านตัวเอง ก็ต้องตกใจอยู่แล้ว
เมื่อลองนึกถึงตอนที่ตัวเองได้เจอเฟิงหู่ที่ห้องตำราที่นี่ครั้งแรกพร้อมกับตะโกนถามเสียงดังลั่นว่า
เจ้าเป็นใคร ก่อนจะได้รับคำตอบเป็นเสียงหัวเราะออกมาทำให้รู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก
“....หมดธุระแล้วก็ออกไปซะ”
ไล่ทันทีอย่างไม่มีอ้อมค้อมเพราะที่นี่ไม่ต้องการคนที่ชอบหาเรื่องเสียกำลังไปเปล่าประโยชน์
“ไม่ล่ะ
ข้าชอบที่นี่ข้าว่าข้าจะอยู่ที่นี่ “
ห่ะ?
คำพูดเอาแต่ใจทำให้ชุนกับหลิ่งเฟยตกใจอย่างแท้จริง
วันนี้เพิ่งพามนุษย์สองคนมาอยู่ด้วยไหนจู่ๆถึงได้มีสัตว์เทพอสูรมาขออาศัยที่นี่
หลิ่งเฟยเอามือกุมขมับเหงื่อตกอย่างช่วยไม่ได้กับความเอาแต่ใจที่ดูเหมือนจะไม่มีสิ้นสุดของคนๆนี่
สัตว์เทพอสูรทุกคนเป็นคนที่เอาแต่ใจแบบนี้หรือเปล่า
ถ้าใช่ตนเองจะได้หลีกเลี่ยงพบเจอกับพวกเขา
“....ท่านไม่มีที่อยู่หรือไงกัน”
“ก่อนหน้านี้ไม่มี
แต่ตอนนี้ข้ามีแล้ว” คำพูดเอาแต่ได้ทำให้เจ้าบ้านอยากจะคว้าคอเสื้อคนตรงหน้าเขวี้ยงออกไปจากบ้านตัวเองและทำการเริ่มเงื่อนไขของเขตอาคมว่าห้ามบุคคลดังต่อไปนี้เข้ามาในเขตอาคมโดยเด็ดขาด
แต่แล้วในหัวกลับนึกสิ่งที่สำคัญกว่าขึ้นมาได้
“ก็ได้ แต่ว่า...”
“แต่?”
“ท่านต้องช่วยสอนวิชาต่อสู้ให้เด็กสองคนนั้นยังไงซะท่านคงจะสอนได้ดีกว่าข้าที่ถนัดความรู้ในตำรามากกว่า”
สองมือขาวผ่องประสานกัน ใบหน้าแสดงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อพูดถึงข้อแลกเปลี่ยนกับการอาศัยอยู่ที่นี่
อยากมีที่ซุกหัวนอนก็ต้องทำงานเป็นตอบแทน
“อีกข้อหนึ่งคือห้ามเผยแพร่เกี่ยวกับที่นี่
ข้อนี้ท่านคงทราบว่าเพราะอะไรข้าหวังว่าสองข้อนี้คงไม่ยากเกินไปสำหรับท่าน
แต่หากท่านทำไม่ได้เกรงว่าคงช่วยเหลือท่านได้มากสุดคือให้เงินถุงหนึ่งสำหรับไปนอนโรงเตี๊ยมชั้นดี”
ดูสิว่าเลือกอะไรระหว่างศักดิ์ศรีหรือที่ซุกหัวนอน
"ฮะฮะ
ฮ่าฮ่าฮ่า น่าสนใจดีนี่จิ้งจอกเก้าหาง!"
เหมือนผีบ้าจะเข้าสิงพยัคฆ์ขาวถึงได้หัวเราะอย่างหมดหล่อ
"คิคิ
ข้ามีแค่เจ็ดหางเองท่านเฟิงหู่คำตอบล่ะ" ปฏิเสธสิปฏิเสธ ปฏิเสธแล้วเชิญไสหัวไปให้พ้นจากที่นี่เแล้วอย่าได้กลับมาอีก
"ตกลง
ข้ายอมรับข้อเสนอของเจ้า"
ความตั้งใจที่ตั้งเอาไว้สลายหายไปเมื่ออีกฝ่ายกลับตกลงดูเหมือนคำว่าศักดิ์ศรีจะไม่มีผลต่อสัตว์เทพอสูรตนนี่
หลิ่งเฟยจึงได้แต่ถอนหายใจเพราะถ้าอีกฝ่ายยอมรับตนเองก็ต้องยอมให้พยัคฆ์ขาวพักที่นี่อย่างช่วยไม่ได้
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอห้องที่อยู่บนชั้นสาม
ข้ารู้สึกว่าชั้นสามจะมีบรรยากาศแปลกๆอยู่ คงจะสนุกแน่ถ้าได้อยู่บนชั้นสาม”
“หากท่านอยากอยู่บนชั้นสาม
ท่านต้องเชื่อฟังคำสั่งของข้าและชุนเวลาที่อยู่ในเรือนมายา” ชั้นสามคือชั้นที่ห้องของตนเองและชุนอยู่
และมีห้องตำราที่เก็บของชอบส่วนตัวของหลิ่งเฟยอย่างรูปที่ตัวเองวาดส่วนที่เหลือเป็นห้องว่าง
ที่ยื่นข้อเสนอเพิ่มก็แค่อยากได้ผลประโยชน์เพิ่มจากพยัคฆ์ขาว
หากพยัคฆ์ขาวยอมตอบตกลงก็เท่ากับว่าสามารถจัดการปัญหากับนิสัยส่วนตัวที่อาจพาเรื่องเดือดร้อนมาให้ในอนาคต
ชุนหันหน้ามามองหลิ่งเฟยทันที
การให้ตนเองที่เป็นแค่สัตว์อสูรระดับมาสั่งการสัตว์เทพอสูรมันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากแน่นอนในใจคร่ำครวญว่านายของตนคิดอะไรอยู่กัน
ผู้ใดจะกล้าสั่งสัตว์เทพอสูรได้ลงคอ
"ได้สิ
ถ้าเจ้าต้องการแบบนั้น" แต่เหมือนว่าคนๆนี่จะนอกจากจะไม่ยึดติดกับคำว่าศักดิ์ศรีแล้ว
เหมือนสมองจะกลวงด้วยเพราะเขาตอบรับโดยไม่ต่อรองอะไรเลยแม้จะมีสายตาไม่พอใจส่งมาให้ก็ตาม
ก๊อก
ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้ความอึดอัดที่ก่อตัวมลายหายไป
ทั้งสามคนรู้ทันทีว่าเป็นใครชุนนึกขอบคุณคนที่เคาะประตู
“เข้ามาสิ”
เด็กน้อยสองคนโผล่หัวเข้ามาก่อน
พอได้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในห้องก็อดทำหน้าตกตะลึงไม่ได้
สองคนชายหญิงที่ดูราวกับว่าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา
สีผมสีตาของพวกเขาต่างจากมนุษย์ทั่วไป
บุรุษที่มีผมสีขาวแซมสีดำหันมามองมนุษย์ตัวเล็กด้วยสีหน้านิ่งเฉย
สตรีผมสีเงินลุกขึ้นเดินมาหา
หางสีขาวที่แผ่อยู่ด้านหลังดูนุ่มนิ่มและอันตรายไม่น้อย งดงาม
น่าเกรงขามจนไม่สามารถจะหยุดมองทั้งคู่ได้เลย
“ถังอี๋ ไอ๋อั๋นพวกเจ้าคงรู้อยู่แล้วนะว่าข้าเป็นใคร
นี่คือชุนเป็นสหายคนหนึ่งของข้าส่วนนี้คือ....”
และทั้งคู่ต้องหลุดออกจากภวังค์พอได้ยินชื่อตัวเอง
น้ำเสียงที่คุ้นหูทำให้จำได้ในทันทีว่าสตรีผมสีเงินใบหน้าขาวสะอาดผู้นี้คือ
หลิ่งเฟยสหายของท่านแม่ เพราะรูปลักษณ์ภายนอกเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนทำให้จำไม่ได้
แต่ก็เบาใจขึ้นมากที่คนรู้จักก็อยู่ที่นนี่ด้วย
“ท่านเฟิงหู่เป็นพยัคฆ์ขาว
เป็นสัตว์เทพอสูรเช่นเดียวกับข้า”
“พ พยัคฆ์ขาว!!
เดียวสิท่านเป็นสัตว์เทพอสูร!!?”
ถังอี๋ทวนคำพูดที่ได้ยินใหม่อีกครั้ง
พยัคฆ์ขาวโบกมือเล็กน้อยหลิ่งเฟยยิ้มเย็นนึกในใจ พึ่งรู้เหรอ
ถังอี๋กับไอ๋อั๋นไม่อยากเชื่อหูตัวเองแต่ลักษณะของพวกเขาก็ไม่ใช่มนุษย์และไม่มีความจำเป็นต้องโกหกด้วยจากมือที่เกาะอยู่หน้าประตูทั้งสองรีบเข้ามาในห้องคำนับผู้สูงศักดิ์ไม่รู้กี่เท่าในทันที
“ข้าน้อย ชู
ไอ๋อั๋นขอรับ” ไอ๋อั๋นแนะนำตนเองก่อนเมื่อเห็นว่าผู้ที่เป็นพี่ชายสติหลุดไปแล้ว
“ขะ ข้าน้อยชู
ถังอี๋ขอรับ!!”ถังอี๋ที่รู้สึกตัวรีบคำนับตามทันที
ความเศร้าในใจหายไปในทันทีเมื่อมาเจอบุคคลที่น่าเหลือเชื่อที่ไม่คาดว่าในชีวิตเองจะได้มาเจอ
สัตว์เทพอสูรพยัคฆ์ขาวที่น่าเกรงขาม สัตว์เทพอสูรในตำนานอย่างจิ้งจอกเก้าหาง
ความคิดในอดีตที่เคยคิดว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องใส่ใจเพราะไม่เกี่ยวก็ต้องใส่ใจเสียแล้ว
เฟิงหู่พยักหน้าเล็กน้อยก่อนหันไปเจ้าบ้านว่าจะเอายังไงต่อ
เรื่องเมื่อกี้ก็ยังคุยไม่จบหลิ่งเฟยที่รู้ถึงความคิดของเฟิงหู่จึงถามทั้งสองคนว่าหิวรึยัง
ยังไงซะนี่ก็เย็นแล้ว
ถึงถังอี๋กับไอ๋อั๋นจะปฏิเสธว่าไม่หิวแต่เสียงท้องร้องที่ดังประท้วงทำให้ทั้งคู่ถูกชุนพาไปที่ห้องครัวก่อน
แล้วเดียวตนเองจะตามไปทีหลังชุนที่โล่งอกในใจภาวนาขอให้ทั้งสองคนต่อสู้หรือปะทะกันเลย
พอแน่ใจแล้วว่าเด็กๆออกไปแล้วเจ้าบ้านจึงหันมาพยัคฆ์ขาวหน้านิ่งว่าตนเองต้องพาแขกที่ไม่ได้รับเชิญคนนี้ขึ้นไปเลือกห้องหรือ
“ตามข้ามาสิ”
หลิ่งเฟยเก็บหาง
เดินนำหน้าเฟิงหู่ไปยังบนชั้นสามเมื่อเฟิงหู่ขึ้นมาบนยังชั้นสามบรรยากาศที่กดดัน
กดทับแรงกายอย่างรุงแรงแต่ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้นเพราะร่างกายทำการปรับตัวอย่างรวดเร็ว
หากอาการที่เวียนหัวนิดๆ ภาพทางเดินที่บิดเบี้ยวต่างหากที่ทำให้เฟิงหู่ต้องยืนตัวนิ่งไปสักพักเพื่อเน้นพลังลมปราณไปที่ดวงตาก่อนที่ทุกอย่างจะเผยเป็นทางเดินยาว
ห้องที่มีมากกว่าสิบห้องพยัคฆ์ขาวมองสำรวจทางเดินอย่างอดทึ่งในฝีมือของวิชาจิ้งจอกเก้าหางไม่ได้
“นี้หรือวิชามายาที่ขึ้นชื่อของจิ้งจอกเก้าหางในตำนาน
คนละเรื่องกับวิชามายาของหงส์แดงเลยนะ”
เฟิงหู่ส่องสายตาไปมาระหว่างทางเดินประตูไม้ทุกประตูที่มีลวยลายอย่างเป็นระเบียบ
และสวยงาม ยิ่งเดินลึกเข้าไปก็เหมือนได้กลิ่นกำยานหอมๆ กลิ่นของน้ำหมึกลอยในอากาศ
“ท่านเคยเจอกับหงส์แดง?” จริงสิเฟิงหู่เคยบอกว่าได้เจอสัตว์เทพอสูรทุกตัวมาแล้ว
“ใช่
ข้าเกือบจะแพ้หงส์แดงเพราะวิชามายาเนี้ยแหละแต่เมื่อเทียบกับของเจ้าแล้ว
โชคดีจังเลยนะที่ตอนนั้นข้าไม่ได้เจอเจ้าที่สามารถสร้างชั้นเขตอาคมมายาจนข้าต้องหลงทางก่อนที่จะเข้ามาในนี้ได้”
คนพูดทำหน้าตาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่คนฟังทำหน้าไม่อยากเชื่อเพราะตนเองสร้างเขตอาคมโดยมีเงื่อนไขว่าหากไม่ใช่สัตว์อสูรที่อยู่เหนือกว่าระดับจุติสวรรค์ก็ไม่อาจทนแรงกดดันได้และมนุษย์ก็เช่นกัน
ไม่ได้สร้างเขตอาคมมายาเลยสักนิด
และเฟิงหู่เป็นสัตว์เทพอสูรที่ลมปราณเหนือกว่าระดับจุติสวรรค์จะใช้พลังลมปราณเพื่อมองหาเรือนมายาไม่ใช่เรื่องยากเลยอย่าบอกนะว่าเขาไม่รู้จักต้นมายา
“เขตอาคมของข้าไม่ได้ใช้วิชามายา
เพราะตัวเรือนสร้างมาจากต้นมายาต่างหาก”
"ต้นมายา?
มันคืออะไร"
ไม่รู้จักจริงๆด้วย!
"เป็นต้นไม้ที่ข้าเอามาสร้างเรือนนี้ยังไงล่ะ
เชิญท่านเลือกห้อง"
เฟิงหู่ทำท่าหนักใจเพราะเลือกไม่ถูก
ก่อนจะเอานิ้วชี้ไปมามั่วๆและเลือกห้องๆหนึ่ง
ที่บังเอิญว่าห้องนั้นที่อยู่ระหว่างห้องของชุนและหลิ่งเฟย
เจ้าบ้านไม่พอใจเล็กน้อยที่คนข้างห้องเป็นคนเอาแต่ใจ
แต่เมื่อเลือกห้องได้แล้วหลิ่งเฟยไม่รอช้า ถามไถ่อย่างสุภาพว่าจะลงไปทานอาหารด้วยกันหรือไม่
แวบหนึ่งที่เห็นสายตาที่เหมือนเหยียดหยามว่าเด็กสองคนนั้นมีอะไรวิเศษที่ตนเองต้องไปร่วมโต๊ะอาหารด้วย
แต่ถึงจะทำหน้าอย่างนั้นเฟิงหู่ก็ยินดีที่จะลงไปทานอาหารด้วยอีกคนหนึ่ง
บนโต๊ะอาหารที่มีอาหารหลากหลายหน้าตาน่ากินวางอยู่เต็มไปหมดเพื่อรองรับสมาชิกใหม่ 3 คน
กลิ่นหอมเย้ายวนกระตุ้นความหิวให้เด็กทั้งสองอยากจะกินทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะนี่ให้หมด แต่เพราะหวั่นเกรงเฟิงหู่ที่นั่งอยู่ด้วยจึงยังนั่งนิ่งรอให้เจ้าบ้านที่กำลังประกอบอาหารมานั่งทาน
“ทำไมยังไม่กินละ?”
หลิ่งเฟยที่พึ่งประกอบอาหารเสร็จนำอาหารมาวางไว้ให้พร้อมกับชุนที่ถือตามมาด้วยอีกสองจานก่อนนั่งร่วมโต๊ะข้างถังอี๋
“ทั้งหมดนี้เจ้าทำเองจริงงั้นรึ” เฟิงหู่ถามอย่างไม่เชื่อสายตา
ถ้าไม่ได้เห็นจิ้งจอกเก้าหางตอนกำลังทำอาหารพร้อมกับสัตว์อสูร
คงยากที่จะเชื่อว่าจิ้งจอกเก้าหางที่ถูกกล่าวว่าเป็นตำนาน จะมาทำอาหารให้แถมยังน่ากินและมีมากมายหลายชนิด
ทั้งเคยเห็นและไม่เคยเห็นถ้าบอกว่าเป็นฝีมือของเจ้านกกระเรียนสีทองคงยังจะน่าเชื่อมากกว่าอีก
“ใช่ พวกเจ้าทั้งสองก็เลิกจ้องแล้วมากินกันเถอะ”
เมื่อหลิ่งเฟยกล่าวจบถังอี๋เริ่มก่อนคนแรก
ตามด้วยไอ๋อั๋นพออาหารเข้าปากไป รสชาติที่แพร่กระจายอยู่ในปากทำให้ทั้งสองคนเจริญอาหารมากกว่าเดิม
รีบคีบอาหารบนโต๊ะแย่งชิงกันเองอย่างเงียบๆ
พยัคฆ์ขาวคีบชิ้นเนื้อย่างปริศนาแต่น่ากินเข้าปากชิ้นหนึ่ง
เมื่อลิ้นรับรสชาติก็ตกตะลึงนึกว่ามีดีเพียงแค่หน้าตา
แต่รสชาติก็ยังอร่อยชวนให้อยากกินอีก เนื้อชิ้นต่อไปถูกคีบเข้าปากชิ้นแล้วชิ้นเล่า
นับว่าโชคดีที่หลิ่งเฟยคาดไว้อยู่ว่าทุกคนต้องอยากอาหารมากกว่าปกติ
จึงทำมามากกว่าปกติเป็น 3 เท่า
มีพยัคฆ์ขาวเข้ามาอยู่ด้วยก็ต้องกะไว้ว่าต้องเป็นคนที่กินมากที่สุดแน่นอน
มื้อเย็นมื้อนี่นับเป็นว่าเป็นมื้อแรกที่ได้มานั่งทานกับมนุษย์สองคนและสมาชิกคนใหม่ที่ไม่ได้เต็มใจจะรับเข้ามาแต่ก็ครื้นเครงไม่น้อย
ความวุ่นวายเล็กน้อยเกิดขึ้นระหว่างถังอี๋กับไอ๋อั๋นพากันแย่งอาหารกันอยู่สองคน
เฟิงหู่ที่ปรับตัวได้อย่างรวดเร็วหันมาแย่งชิ้นเนื้อจากเจ้าบ้านไปจากมือถึงจะได้สายตาตำหนิกลับมาแต่เฟิงหู่กลับไม่สนใจซ้ำยังทำต่อเพราะรู้สึกสนุก
ชุนที่พยายามนั่งทานให้เงียบที่สุดก็ถูกพยัคฆ์ขาวแหย่เป็นครั้งคราวทั้งเอาของที่ไม่ชอบให้กินทั้งพูดจาข่มขู่แสดงอำนาจบารมีจนหลิ่งเฟยต้องห้ามปราม
คืนแรกและมื้อแรกกับครอบครัวใหม่ของสัตว์เทพอสูรจิ้งจอก
หลิ่นเฟยนึกย้อนเปรียบเทียบกับชีวิตชาติที่แล้วตอนยังเป็นเด็กตนเองจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ได้ทานข้าวกับพ่อแม่คือเมื่อไร
รู้ตัวอีกทีบ้านของตนเองก็คือห้องทำงาน ที่สำหรับทานข้าวคือโรงอาหารโรงพยาบาล
ริมฝีปากคลี่รอยยิ้มออกมาอย่างมีความสุขกับสิ่งใหม่ๆที่ได้รับมาในวันนี้
ความคิดเห็น