คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เป็นสัตว์เทพอสูรมันมีภาษีดีอย่างนี่นี้เอง (รีไรท์)
หลิ่งเฟยตื่นขึ้น เมื่อรู้สึกได้ถึงร่างกายใหม่จิ้งจอกตัวน้อยลืมตามอง เห็นขาสี่ขา ขนสีขาวนุ่ม สิ่งแรกที่ข้าทำคือการลุกขึ้นยืนเพื่อมองสิ่งรอบตัว และข้าก็ได้พบกับฝูงจิ้งจอกสีขาวที่ยืนออกห่างไปและมองข้าอยู่ห่างๆ พวกเขาดูหวาดระแวงเว้นระยะห่างอย่างชัดเจน
เพราะสัมผัสได้ถึงอำนาจบารมีที่สูงจนไม่อาจกล้าจะสัมผัสเจ้าจิ้งจอกตัวน้อย
แม้กระทั่งจิ้งจอกที่ให้กำเนิดหลิ่งเฟยออกมา ยังรีบลุกออกไปทันทีที่ให้กำเนิด ข้ามองดูฝูงจิ้งจอกที่กำลังมองมาราวกับว่าพวกเขากลัว เมื่อลองก้าวขาเดินไปหาก้าวหนึ่ง ฝูงจิ้งจอกก็ถอยห่างออกไปอีก รู้สึกอ้างว้างเล็กน้อยแต่ก็รู้ตัวว่านี่คือสิ่งที่ตัวข้าเองนั้นได้ตัดสินใจเลือกเอง นี้คือชีวิตที่ได้เป็นอิสระตั้งแต่เกิด จิ้งจอกตัวน้อยก้มหัวเล็กน้อยให้กับฝูงจิ้งจอกที่อาจจะมีผู้ให้กำเนิดอยู่ด้วยเพื่อ
"ขอบคุณ" ที่ให้เธอเกิดมามีชีวิตใหม่ ก่อนจะเดินจากฝูงไป
ข้าใช้ชีวิตอย่างอิสระตามที่ใจปรารถนาอย่างแท้จริง เท้าเดินไปเข้าในป่าเรื่อยๆ จมูกที่ได้กลิ่นบางอย่างจะหอมก็ไม่เชิงแต่ก็รู้ได้ทันทีจากประสบการณ์ที่เป็นหมอมาก่อนในชาติที่แล้วว่านี้คือต้นสมุนไพร ข้าเดินไปตามต้นกลิ่นจนเจอต้นไม้ยืนต้นต้นหนึ่ง ‘ต้องกินสิ่งนี่’ เสียงในหัวตะโกนบอกเจ้าจิ้งจอกตัวน้อย ข้ากินเข้าไปในทันที รู้สึกได้ถึงพลังที่ไหลเวียน และด้วยสัญชาตญาณที่ติดตัวมา ข้ารู้ได้ว่านี่คือลมปราณ และมีลมปราณ 2 ธาตุอยู่ด้วย
ต้องพัฒนาลมปราณนี่ถ้าอยากจะเห็นพลังของตัวเองไวๆอ่า..เริ่มรู้สึกตื่นเต้นแล้วสิ เมื่อตนเองได้เจอสมุนไพรที่ดูมีประโยชน์ก็รีบกินอย่างไม่รีรอและฝึกโคจรพลังลมปราณควบคู่ตามความรู้ที่มีมาจากชาติก่อนที่ได้มาจากการอ่านนิยาย วรรณกรรมไปในตัวด้วย
เวลาผ่านไปสองเดือนในหัวของข้าได้มีวิธีการฝึกลมปราณผุดขึ้นมา เป็นการฝึกที่ใช้ลมปราณในการโจมตี การป้องกัน ข้ารีบฝึกทันทีเมื่อดูผลลัพธ์ของมันว่าจะเป็นยังไงเวลาไหลผ่านไปตามกาลเวลา ผ่านไปได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์ข้าสามารถใช้วิชามายาสร้างภาพลวงตาและสร้างความสับสนให้กับผู้ที่ถูกใช้ ร่างจิ้งจอกตัวน้อยลองใช้กับสัตว์ในป่าปรากฏว่าได้ผลเกินความคาดหมายใช้วิชามายาหลอกให้ฝูงหมาป่าหินผาคิดว่ากลางคืนคือกลางวัน หลายๆวันเข้าฝูงหมาป่าพวกนั้นก็ยังคงเดินทางต่อไปจนเริ่มมีอาการเหนื่อยล้าจึงจะยอมคลายวิชามายา ในตอนนั้นทั้งฝูงแตกตื่นทันทีทำให้รู้สึกสนุกขึ้นมาไม่น้อยที่ได้แกล้งพวกมัน
ผ่านไปอีกสองเดือนข้าสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้แล้วแต่ยังเป็นร่างเด็กอายุ 6 ขวบมีผมสีเงินยาวสลวยและตาสีเงินเช่นเดียวกัน วงใบหน้าที่ออกแนวน่ารักแต่มีความสง่าแฝงอยู่ ตอนที่ลองส่องกับเงาสะท้อนน้ำยังตกใจแทบไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือตนเองในชาตินี้ที่หน้าตาดีจนรู้ได้เลยว่าโตไปต้องงดงามมากแน่ๆ ลองเปลี่ยนสีผมสีตาดูปรากฏว่าใช้ได้แค่สีดำ จึงรู้สึกน่าเสียดายถ้าหากสามารถเปลียนสีได้มากกว่านี้คงจะรู้สึกเหมือนเกมแต่งตัวที่เคยเล่นสมัยเรียน และเมื่อลองแปลงเป็นร่างมนุษย์ผู้ชายปรากฏว่าต้องมีสมาธิควบคุมธาตุไฟให้คงที่ ไม่เช่นจะรู้สึกอึดอัดราวกับจะระเบิดออกมาได้ตลอดก่อนที่ข้าจึงหยุดเล่นการแปลงร่างเพียงเท่านี้ ร่างจิ้งจอกของข้าก็เริ่มตัวใหญ่ขึ้นจนขนาดเท่ากับจิ้งจอกปกติทั่วไปหลังจากที่อยู่ในร่างลูกจิ้งจอกที่ตัวเล็กนิดเดียวมานาน
ข้าใช้ร่างมนุษย์เด็กสาวผมสีเงินเดินสำรวจไปทั่ว หิวก็หาอะไรกิน ขี้เกียจเมื่อไรก็พัก ได้พบเห็นสัตว์อสูรแปลกๆที่ไม่เคยเห็น และเมื่อตั้งสมาธิดีๆ ก็จะสามารถได้ยินพวกสัตว์อสูรสื่อสารกันได้และสามารถพูดคุยได้ด้วยแต่ต้องเป็นสัตว์อสูรระดับจุติเป็นต้นไปหากถามว่าข้ารู้เรื่องระดับลมปราณนั่นได้อย่างไร ข้าก็รู้มาจากการสอบถามและนั่งคุยกับวิหคสุริยันขณะบังเอิญมาเห็นมันกำลังสัปหงกอยู่นั่นแหละ เห็นว่าเป็นเผ่าพันธ์ุที่มีความรอบรู้มากที่สุด วิหคสุริยันเองก็กระตือรือร้นที่จะพูดคุยเป็นอย่างมาก จึงได้รู้ว่าโลกที่ข้าเกิดมานั่นเรียกได้ว่าเป็นโลกแฟนตาซีเลยก็ว่าได้หรือถ้าให้ขัดหมวดหมู่ของมันคงต้องจัดไปอยู่นิยายจีนแฟนตาซี เพราะที่นี่มีผู้ใช้ลมปราณที่ทำสัญญากับสัตว์อสูรเพื่อผลประโยชน์ต่อตนเอง สัตว์อสูรก็จะมีพลังวิเศษไปตามลักษณะเผ่าพันธุ์มีระดับพลัง ระดับพลังของสัตว์อสูรนั้นจะแบ่งอย่างชัดเจน คือ
1. ระดับปกติหรือระดับแรกเกิดที่จะเหมือนสัตว์อสูรปกติทั่วๆไปที่มีแต่พลังกาย แต่ภายนอกยังคงมีความเป็นเอกลักษณ์ตามเผ่าพันธ์ุ
2.
ระดับเหนือธรรมชาติ มีพลังลมปราณที่จะได้มาจากทั้งกินสมุนไพร
และกินสิ่งมีชีวิตที่จะเพิ่มพูนลมปราณให้
3. ระดับจุติ สัตว์อสูรจะเริ่มมีความคิดในการแยกแยะ วิเคราะห์ หรือเข้าใจภาษามนุษย์ ความรู้ที่จะฝึกลมปราณและสามารถสื่อสารกันข้ามบางเผ่าพันธุ์กันได้
4. ระดับจุติสวรรค์ สามารถแปลงเป็นมนุษย์ได้
และร่างมนุษย์จะเจริญวัยตามพลังที่มี เป็นระดับที่ถือได้เป็นขีดจำกัดสำหรับสัตว์อสูรทั่วไป
เมื่อพลังมาถึงขีดจำกัดร่างมนุษย์ก็จะโรยราไปตามเวลาจนถึงแก่ความตาย เฉลี่ยแล้วไม่เกิน 300 ปี
5 ระดับสวรรค์ ลมปราณเพิ่มขึ้น อายุเฉลี่ย 400 ปี
6.ระดับสวรรค์ราชัน อายุเฉลี่ย ไม่เกิน 500 ปี มีเพียงสัตว์อสูรบางชนิดที่จะมาถึงระดับนี่ได้
7.ระดับเหนือสวรรค์ราชัน จะเป็นระดับที่มีเฉพาะสัตว์เทพอสูรเท่านั้นซึ่งโดยปกติแล้วจะมีเพียงสี่ตน ได้แก่ หงส์แดง เต่าดำ พยัคฆ์ขาว และมังกร ระดับเหนือสวรรค์ราชันย์จะถือว่าเป็นอมตะ ไม่มีอายุขัยที่แน่นอน จะตายกต่อเมื่อละสังขาร หรือโดนสังหารซะเอง แต่ก็ได้มีอีกตนหนึ่งที่ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติ ที่ไม่อาจทราบว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ที่หนึ่งพันปีจึงจะเกิดมาครั้งหนึ่งหากตายไปก็ต้องรอผ่านไปอีกพันปีจึงจะเกิดมาใหม่ต่างจากสี่สัตว์เทพอสูรอีกที่เมื่อตายไปผ่านไปไม่กี่ปีก็จะถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ ถือว่าเป็นสิ่งลี้ลับและที่สุดและพบเห็นได้ยากที่สุด เป็นสิ่งที่หากได้เกิดมาแล้วย่อมสร้างความปั่นป่วนไปทั่วไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ ซึ่งนั่นก็คือจิ้งจอกเก้าหาง
เมื่อได้ฟังสิ่งที่ได้ยินมาจากวิหคสุริยันวัยใกล้ถึงฝั่งแล้ว ข้าก็รู้สึกอึ้งในชาติกำเนิดตัวเองที่แปลกแยกจากตนอื่นๆ พันปีถึงจะเกิดมา แสดงว่าจิ้งจอกเก้าหางที่เธอนั่นได้พบเจอและพูดคุยก็ตายไปได้พันปีแล้ว แถมเกิดมาแล้วก็จะสร้างความปั่นป่วนไปทั่ว? ถึงจะตั้งใจหรือไม่ก็ตามประโยคนี้มันหมายความว่ายังไงกันมีใครบ้างที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น ทำไมต้องเจาะจงมาที่คำว่าจิ้งจอกเก้าหางด้วย
ถ้าเช่นนั้นก็ทำเป็นไม่สนใจไปซะก็สิ้นเรื่อง
ส่วนระดับลมปราณมนุษย์ จะเกี่ยวข้องกับอายุมนุษย์โดยตรงที่มีกำหนดชัดเจน
1. ระดับปกติ ไม่มีพลังลมปราณอายุขัยไม่เกิน 100 ปี
2. ระดับเหนือธรรมชาติ มีลมปราณเล็กน้อยสามารถยื่นอายุได้มากกว่า 100 ปี แต่ไม่ถึง 50 ปี
3. ระดับจุติ มีวิชาที่ประยุกต์ใช้มาจากลมปราณ มนุษย์ที่มาถึงระดับนี้จะมีอายุยืนไปอีก 50 ปี
4. ระดับจุติสวรรค์ มีพลังทางกายและลมปราณเพิ่มขึ้น อายุขัย 250 ปี
5.ระดับสวรรค์ มนุษย์จะมีอายุขัยไม่เกิน 300 ปี ส่วนใหญ่ผู้ที่อยู่ในระดับนี่จะเป็นองค์ชายหรือคนในวังหลวงเพราะมีสมุนไพรที่หายาก และผลึกลมปราณในการฝึก
6. ระดับเหนือสวรรค์ อายุขัยจะไม่เกิน 350 ปี มีเพียงไม่กี่คนที่จะอยู่ในระดับนี่แม้กระทั่งจอมยุทธ์อาวุโส
7. ระดับราชันเหนือสวรรค์ อายุขัยไม่เกิน 400 จะเป็นขีดกำจัดของมนุษย์ที่เป็นกำแพงอย่างชัดเจนว่าไม่สามารถไปมากกว่านี่ได้แล้วต่อให้มีลมปราณมากเพียงใด และแทบไม่มนุษย์คนใดที่จะมาถึงระดับนี่ได้
ข้าที่ได้นั่งฟังวิหคสุริยันพูดพร่ำไปอีกเรื่อยๆ
จนกระทั่งวิหคสุริยันนั้นหลับตาไปและได้จากไปอย่างสงบโดยที่ไม่มีวันกลับมา เพราะว่าวิหคสุริยันก็มาถึงระดับสวรรค์แล้ว รู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าวิหคสุริยันนั้นใกล้ถึงเวลาเพราะกลิ่นอายความตายที่มีกลิ่นเน่าเหม็นมากขึ้นเรื่อยๆระหว่างที่พูดคุยกับข้ามาหลายชั่วโมง
แต่ก็หาได้รังเกียจไม่ ร่างวิหคสุริยันยังคงเกาะกิ่งไม้นิ่ง แต่อีกไม่กี่วันก็คงจะเน่าและสลายไป วิหคสุริยันบอกว่าเมื่อร่างของสัตว์อสูรสลายไปหมดแล้ว
จะเหลือเพียงแต่ผนึกลมปราณที่เกิดจากการรวมตัวของลมปราณสัตว์อสูร
จะนำมากินเพื่อเพิ่มพูนลมปราณหรือนำมาประดับเพื่อโอ้อวดก็ย่อมได้ ข้านั่งมองวิหคสุริยันที่สิ้นลมอยู่สักพักก่อนจะลุกขึ้นและเดินต่อไปเรื่อยๆ
จนมาถึงช่วงเวลาหนึ่งที่ข้าอยากจะมีที่นอนนุ่มๆ มีบ้านพักอาศัยที่สามารถใช้กันฝนกันแดดและหลบซ่อนตัวได้ คิดได้ดังนั้นจึงรีบถามเหล่าสัตว์อสูรในป่า สัตว์อสูรบางตัวก็ตอบคำถามให้ บางตัวที่ตาถั่วคิดว่าเป็นเพียงแค่สัตว์อสูรระดับเดียวก็คิดจะสู้ด้วย ข้าเลยแผ่ลมปราณใส่ให้มันรับรู้ว่าข้าเป็นใครก่อนที่มันจะยอมแพ้ให้ทั้งที่ยังไม่ได้สู้และตอบคำถามแต่โดยดีจนได้ข้อมูลมาว่า หากจะสร้างบ้านหรือเรือนสักหลังหนึ่งควรจะใช้ต้นไม้มายามาสร้าง เนื่องจากมีความแข็งแรงที่หากไม่ใช่ลมปราณระดับสวรรค์มาโค่นต้นไม้มายาก็ไม่มีอะไรจะมาโค่นได้อีกแล้ว และมันสามารถปล่อยหมอกมายามาสร้างความสับสน มองเห็นอย่างหนึ่งเป็นอย่างหนึ่งตามชื่อ ซึ่งต้นมายาจะอยู่ในส่วนป่ามายาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นป่าแห่งความตาย
ป่าแห่งความตายงั้นรึ อยากจะรู้จังว่าจะช่วยในการฝึกวิชามากแค่ไหนกันนะ..
เมื่อมาถึงป่ามายาบรรยากาศที่วังเวงแสดงออกมาอย่างชัดเจน แต่พอก้าวเท้าเข้าไปก็กลายเป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์สวยงามมาก
มีสัตว์อสูรมากมายมองมาอย่างสงสัยเมื่อมีผู้เยือน
อุดมสมบูรณ์และสวยงามจนมากเกินไป ทำให้ฉุดคิดได้ว่ามันคือภาพลวงตา...
สิ่งที่เข้ามาที่นี่คงโดนภาพลวงตาจากต้นมายาล่อลวงจนตายสินะ...
ข้ามองรอบๆอย่างพินิจ เท้าก้าวเดินเข้าไปอย่างมั่นคง ร่างกายลองแผ่ลมปราณออกมาเล็กน้อยเพื่อทดสอบป่าแห่งนี่ก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาอะไรเกิดขึ้น มีสัตว์อสูรตัวหนึ่งดูจะเป็นแมวป่าเดินเข้ามาออดอ้อน ข้าหลับตาลงเพื่อเรียบเรียงความคิด อะไรกันความรู้สึกที่เหมือนจริงแต่ไม่ถูกต้องรับรู้ได้ว่าสิ่งที่กำลังสัมผัสอยู่มีอยู่จริงแต่มันก็ดูขัดตา
คิดได้เช่นนั้นข้าจึงหลับตาเดิน แผ่ลมปราณออกมาปกคลุมรอบๆตัว หูตั้งใจฟังสิ่งที่อยู่ตัว หากตามองไม่เห็นก็คงไม่มีอะไรมาหลอกหูได้ และได้ผลข้าได้ยินเสียงสัตว์อะไรบางอย่างมันไม่ใช่แมว อยู่กันเป็นฝูง กำลังจ้องมองอยู่สิ่งที่คลอเคลียขาอยู่นั้นมันกำลังกางมือ เพื่อบีบขยี้ขาเล็กๆ
ฟึบ!!
ร่างกายกระโดดตัวหลบทันที เมื่อมือเล็กๆนั่นคว้าได้แต่ความว่างเปล่า
เจ้าของมือจึงส่งเสียงกรีดร้องแสบหู และเสียงอืออึ้งดังตามขึ้นมาก้องไปป่าทั่วจนปวดหู
เจี้ยกๆๆ
ฮู่ๆๆ
หนวกหู... มันหนวกหูนะ...
“เงียบ!!” เพียงแค่นั้นทุกอย่างก็เงียบลงข้าลืมตาขึ้น เห็นฝูงวานรมีขนสีน้ำตาล ลวดลายตวัดไปมาราวกับเป็นเถาวัลย์กำลังมองเด็กผู้หญิงตัวเล็กอยู่รอบทิศ แต่ทิวทัศน์กลับไม่ชัดเจนมันบิดเบี้ยวตลอดเวลาคล้ายจะหน้ามืด แต่ข้าไม่ได้หน้ามืดนะภาพที่เห็นมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
นางคือสัตว์เทพอสูร
ทำไมนางถึงเข้ามาในนี่
หากตั้งสมาธิตั้งใจฟังดีๆ
ก็จะได้ยินความหมายของเสียงที่พวกมันสื่อสารกันไปมา
สัตว์อสูรนั้นจะไม่สามารถสื่อสารข้ามเผ่าพันธ์ุได้จะให้เปรียบก็เหมือนคุยกันคนละภาษา
หากไม่ได้อยู่ในร่างมนุษย์ก็คงคุยไม่รู้เรื่อง แต่ไม่ใช่กับข้ากับหลิ่งเฟยที่เข้าใจในสิ่งที่สัตว์อสูรสื่อสารกันว่าคุยเรื่องอะไร
“ข้าอยากได้ต้นมายาไปสร้างเรือน
หากพวกเจ้าไม่คิดจะมาช่วยเหลือก็จงหลบไปซะ
นี่คือความเมตตาที่ข้ามีให้ได้มากที่สุดแล้ว”
กล่าวจบ เหล่าวานรก็ส่งเสียงอีกรอบแต่หากไม่ดังเท่าตอนแรก
เพราะเกรงกลัว จากนั้นตรงหน้าก็ปรากฏมีวานรลายเถาวัลย์ตัวหนึ่งที่มีขนปกคลุมเยอะกว่าตัวอื่น
และดูมีอายุมากกว่าตัวอื่น มาอยู่ตรงหน้ามันยื่นมือของมันออกมาราวกับว่าต้องการให้จับมือ
ข้าน้อยจะนำท่านไปเองขอรับ ท่านสัตว์เทพอสูร
ดวงตาที่ส่อแววอ่อนโยน จนข้าต้องลดบรรยากาศกดดันลงเพราะเขาดูเหมือนคนแก่คนหนึ่งดูท่าตัวนี่จะเป็นจ่าฝูง
เมื่อผ่อนคลายตัวเองได้แล้ว มือจับมือวานรลายเถาวัลย์อย่างไม่รังเกียจ ด้วยร่างกายมนุษย์อายุ 6 ขวบทำให้ขนาดตัวจะเท่ากับจ่าฝูงวานร
เสียงดังอืออึ้งเกิดขึ้นไปทั่ว เหมือนเป็นเรื่องแปลกประหลาด
ท่านสัตว์เทพอสูรยอมจับมือกับสัตว์ชั้นต่ำเช่นเรา
คราวก่อนที่ท่านหงส์แดงมาเยือนก็ทำร้ายผู้นำเกือบตาย
หงส์แดง? เคยมาที่นี่เหรอ?
ข้าหันมามองสิ่งมีชีวิตข้างๆตัวเอง เมื่อสังเกตดู
บนตัวจ่าฝูงนั้น มีตรงที่หนึ่งที่ถึงจะมีขนปกคลุมแต่สีของผิวหนังนั้นดูเหมือนจะถูกไฟลวกมาก่อน
โดนสัตว์เทพอสูรระดับเดียวกับข้าทำร้ายแต่ยังมีความกล้าที่จะเข้ามาหา
นี่คือจ่าฝูงวานรงั้นหรือ? แต่เพียงคิดในใจไม่พูดออกมายังคงความสงบไว้อยู่
ท่านช่างแปลกจริงๆ ที่ไม่ถือตัว ยอมจับมือข้าที่หยาบกร้านน่าเกลียดเช่นนี้
จ่าฝูงวานรส่งเสียงเจี้ยกๆออกมาเบาๆ
หากเป็นผู้อื่นคงคิดว่ามันแค่ส่งเสียงร้องออกเฉยๆ
แต่ในเมื่อข้าเข้าใจในสิ่งที่มันพูดออกมามือจึงกุมแน่นยิ่งขึ้น
เพื่อบอกว่าไม่เห็นจะน่าเกลียดตรงไหนเลย จ่าฝูงวานรมองมือตัวเองดูตกใจนิดๆ
ท่านเข้าใจที่เราพูด?
“ดูเหมือนจะมีแค่ข้าที่เข้าใจนะ” หลิ่งเฟยยิ้มตอบให้
จ่าฝูงวานรอดน้ำตาไหลอย่างดีใจไม่ได้ถึงจะไม่รู้ว่าสตรีผู้นี่จะเป็นสัตว์เทพอสูรตนไหน
แต่ช่างมีความเมตตา จ่าฝูงวานรคิดเองเออเองในใจว่าหลิ่งเฟยคือสัตว์เทพอสูรผู้ที่มีความเมตตาอยู่เต็มเปี่ยม
ทั้งๆที่หลิ่งเฟยเพียงแค่ปฏิบัติตามปกติเหมือนตอนที่ยังเหมยอิ๋งในชาติก่อน
ผู้ที่มีหน้าที่คอยรักษาคนตามหน้าที่และสร้างชื่อเสียงให้ตระกูลมีจุดยืน
จ่าฝูงวานรจับมือข้าให้สัมผัสกับบางอย่างพื้นที่ตรงนั้นที่ไม่มีอะไรเลย
แต่มือของเธอกลับสัมผัสได้ถึงเปลือกไม้ ทันใดนั้นก็ปรากฏต้นไม้สูงขนาดใหญ่รอบๆตัวเธอ
หลิ่งเฟยเข้าใจทันทีว่านี่คือต้นมายา และนี่คือการพึ่งพากันและกันระหว่างฝูงวานรและต้นมายา
ฝูงวานรใช้หมอกลวงตาในการหลบซ่อนตนขนาดเดียวกันก็ช่วยขับไล่ผู้ที่จะมาเอาต้นมายาไปสร้างประโยชน์
ครั้งก่อนที่ท่านหงส์แดงมาเยือนที่แห่งนี้ เพื่อปกป้องชีวิตของฝูงข้าจึงอาสาจะนำทางให้
แต่ท่านหงส์แดงคิดว่าข้านั้นตีตัวเสมอตน จึงใช้วิชากับข้าน้อยและครอบครัวของเราหวังจะให้ถึงตายแต่
เพราะความโชคดีข้าน้อยจึงยังมีชีวิตอยู่จนมาถึงตอนนี้
ในหัวแทบไม่ได้สนใจสิ่งที่จ่าฝูงพูดออกมาแต่อย่างใด จะอย่างไรก็ตามพวกสัตว์เทพอสูรหากไม่ได้คิดมาทำร้ายข้าก็ไม่คิดจะสนใจหรอก ตอนนี้คิดแต่เพียงว่าจะไปสร้างที่ใดดี ถึงจะได้ต้นมายามาแต่ไหนจะพื้นที่ที่จะสร้าง การสร้างตัวเรือน ตัวเองก็ใช่ว่าจะเคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน ความรู้ทางด้านนี้นับว่าน้อยมาก เป็นเรื่องที่พึ่งคิดได้เมื่อกี้นี้เมื่อได้เห็นวัสดุสำหรับการสร้างบ้าน
จ่าฝูงวานรเหมือนจะเดาออกว่าตอนนี้สัตว์เทพอสูรกำลังหนักใจเรื่องใดเพราะมันบ่งบอกออกผ่านสีหน้าที่สื่อออกมาชัดเจน
จ่าฝูงวานรจึงบอกว่าจะช่วยสร้างเรือนให้เพื่อเป็นของขวัญให้แก่หลิ่งเฟย เพราะฝูงวานรลายเถาวัลย์นั่นขึ้นชื่อเรื่องการสร้างสิ่งของใช้และที่อยู่อาศัยเป็นอย่างมาก
ข้ารู้สึกดีใจมากที่มีผู้เชี่ยวชาญมาสร้างเรือนให้ ถือว่าเป็นการตัดปัญหาไปเรื่องหนึ่ง จึงขอบคุณจ่าฝูงก่อนจะถามถึงที่ตั้งว่าจะไปตั้งที่ใด ฝูงวานรรีบออกความคิดเป็นจำนวนมาก
ส่งเสียงร้องดังไปมาจนข้าเริ่มไม่แน่แล้วว่าตัวเองเป็นจิ้งจอกเก้าหางหรือจ่าฝูงวานรตัวที่สองกันแน่
มีเสียงหนึ่งบอกว่า ออกไปจากป่ามายาไปแล้ว ไม่ห่างมากนักมีที่หนึ่งที่มีบ่อน้ำสีมรกตใสสะอาด แถมยังมีน้ำตกอีกด้วย ได้ยินดังนั้นข้าจึงบอกให้จ่าฝูงวานรนำทางพาไปทันที และพอได้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของธรรมชาติ บ่อน้ำสีมรกตที่แผ่พลังหยางออกมาอย่างชัดเจน เสียงน้ำตกที่ดังแววๆราวกับเสียงดนตรีของธรรมชาติ ข้าตัดสินใจทันทีว่าจะอาศัยอยู่ที่นี่เนี้ยแหละ
มีคนมาสร้างบ้านให้แถมยังมีแนะนำที่อยู่ให้อย่างดิบดี เป็นสัตว์เทพอสูรแล้วมันมีภาษีดีอย่างนี้นี่เอง
ว่าแต่เจ้าพวกวานรพวกนั้นจะรู้หรือว่าข้าเป็นจิ้งจอกเก้าหาง......
ความคิดเห็น