ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic Attack on titan เฮฮาไททัน ป่วนหน่วยสำรวจ (เอลวิน x oc)

    ลำดับตอนที่ #7 : ผลงาน

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.51K
      165
      23 ก.พ. 62

     




       

         "ในที่สุดก็เสร็จสักที"

         เจสซิก้าลงจากม้าสีชาด ที่เธอกับเจคซื้อมาพร้อมๆกับวันที่เอาม้าไปส่งยังหน่วยสำรวจ และด้วยกิจการที่รุ่งเรืองขึ้นทุกวันเจสซิก้าจึงส่งเงินก้อนหนึ่งไปยังหน่วยสำรวจไปเป็นงบประมาณ
         วันนี่เธอกลับมาจากการตรวจโรงผลิตเหล้าเพียงแค่วันแรกที่ให้พ่อค้าไปขายแก่ชนชั้นสูง ก็มียอดสั่งซื้อเข้ามาเกินยอดผลิตเสียอีก
    มองในแง่ดีก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะยอดสั่งซื้อที่คาดไม่ถึง เหล่าคนโรงงานจึงรู้สึกฮึกเหิมเมื่อเบี้ยเลี้ยงของแต่ละคนก็จะเพิ่มตามไปด้วย
    ทางด้านเอลวินที่ยังไม่รู้ว่าเคออสเป็นใครจึงฝากจดหมายขอบคุณผ่านนายหน้าที่เธอว่าจ้างเอาไว้ แถมยังมีคำถามมาอีกด้วยว่าต้องอะไรเป็นสิ่งตอบแทน

         เจคที่ได้อ่านจดหมายขอบคุณก็ได้แต่สงสัยว่าไม่รู้จริงๆหรือว่าเคออสเป็นใคร หรือเป็นเพราะการที่เจสซิก้าจ้างนายหน้าที่แสนจะปากแข็งทำให้หน่วยสำรวจไม่รู้ผู้สนับสนุนหลักนั้นเป็นใคร

         "เจคเขียนจดหมายตอบกลับให้หน่อยสิ"
         เจสซิก้าที่กำลังควงสร้อยคอที่มีจี้ผลึกโลหิต ซึ่งเป็นเหมือนเครื่องรางของที่พ่อได้มอบให้ไว้ก่อนตาย โยนงานให้แก่เจคที่ถือจดหมายเอาไว้อยู่                 "ทำไมไม่เขียนเองล่ะ เธอเป็นคนคิดสนับสนุนหน่วยสำรวจเองนะ"
         "ให้เขียนว่าอะไรล่ะ ให้เขียนตอบกลับไปว่ายินดีที่จะสนับสนุนงั้นเหรอ"
         "ไม่ต้องเขียนตอบกลับ จบ"

         เจสซิก้าจิจ้ะในคออย่างขัดใจ แต่มือก็หยิบกระดาษกับปากกาขึ้นมาเพื่อเขียนจดหมายตอบกลับไปหาครั้งแรกตั้งแต่เป็นผู้สนับสนุน
    สองเดือนผ่านไปหน่วยสำรวจได้เตรียมการที่จะออกไปสำรวจชาวบ้านต่างมามุมดู ปากพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพากันออกไปให้ไททันกิน 

        เจคที่ลากเจสซิก้าออกมาจากเตียงได้ พามายังตรงประตูกำแพงเขตชิกันชิน่าเจสซิก้าได้แต่ทำหน้าง้อ แต่ก็ไม่เหตุผลอะไรที่จะคัดค้านเจคที่มีเหตุผลที่ดูดีกว่า

         ควรออกไปให้กำลังใจแก่ทีมสำรวจ ในเมื่อตัวเองก็เป็นผู้สนับสนุนหลักแล้ว

         เป็นผู้สนับสนุนหลักแต่ก็ไม่ต้องมาให้กำลังใจนี่นา ยังไงซะกว่าเอลวินจะตายก็ปี 850 นี่ยังปี 842เลย

         "นั้นไงเจสซิก้า มากันแล้ว"
         ฮันเนสที่คอยทำหน้าที่เป็นคนทดลองชิมเหล้าใหม่ๆยืนเป็นเพื่อนเจสซิก้าที่เป็นเจ้าของเหล้าฟรี เพราะรู้ข่าวเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานของเจสซิก้าตนเองก็พลอยดีใจไปด้วย แต่งานแต่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อหัวหน้าผู้บัญชาการเอลวินจะกลับมาเท่านั้น หากเป็นผู้หญิงคนอื่นคงกังวลจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ไม่ก็ต้องมีท่าทีกังวลที่ชัดเจน แต่เจสซิก้ากลับอ้าปากหาวราวกับว่าไม่ทุกข์ร้อนอะไรทั้งนั้น
         เมื่อเจคเห็นว่าทีมสำรวจใกล้เข้ามาเรื่อย มือรีบผลักพี่สาวที่ยืนพิงกำแพงให้ออกไปเผชิญหน้ากับคนนำทัพอยู่ เจสซิก้าที่ไม่ได้ทันตั้งตัวได้ยืนงงในดงชาวบ้านที่ต่างก็รู้ว่าคนๆนี่คือว่าที่เจ้าสาวของผู้บังคับบัญชาการด้วยข่าวลือที่ค่อนข้างดังมากพอดู

         "งะ ไงเอลวิน"
         ทำไมถึงมีแต่คนมองมาที่เราคนเดียวละ ฉันว่าเรื่องการแต่งงานมันก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอ
         เอลวินมองเจสซิก้าอย่างสงสัยในใจ เพราะเจสซิก้าไม่เคยบอกเลยว่าจะออกมาส่ง
         "คุณเจสซิก้าวันนี่ฉันต้องออกไปสำรวจข้างนอก ช่วยหลีกทางด้วย"
         
         ชาวบ้านที่ดูเหตุการณ์ต่างโห่ร้องเมื่อได้ยินคำพูดที่แสนจะเย็นชา และตั้งแต่วันนี่เอลวินก็จะมีข่าวลือใหม่ว่าเป็นคนไร้หัวใจ ภรรยาน่าสงสาร เจสซิก้าผู้เข้าใจในคำพูดของเอลวินในเชิงเหตุผลก็พยายามนึกถึงคำพูดของเจคตอนที่ถูกลากออกมา ว่าเป็นคำที่จะให้กำลังใจได้ดีที่สุดหากคนพูดเป็นตัวเอง แต่หากแค่คำพูดก็เกรงว่าอาจจะไม่พอเท่าไรกับสิ่งที่จะให้กำลังใจ
         ในตัวก็ไม่มีอะไรจะให้เพราะถูกลากออกมากระทันหันสิ่งที่คิดได้อยู่อย่างเดียวคือสร้อยคอผลึกโลหิต ที่ใส่ไว้อยู่

         ให้ยืมแปปเดียวคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

         "เอลวินก้มหัวลงมาหน่อยฉันมีของจะให้"
         เอลวินไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี่จึงยอมทำตามโดยดี คอหนาสัมผัสได้ถึงสร้อยคอโลหะแต่กลับมีอุณหภูมิที่อุ่นราวกับได้สัมผัสเนื่อมนุษย์ เอลวินหยิบผลึกโลหิตมาดู ตามองคนให้ว่านี่คืออะไร

         "เครื่องรางนะฉันให้ยืมนะ เพราะงั้นนายต้องเอาคืนด้วย"
         "หน่วยสำรวจทุกคนสู้ๆนะ!"
         เจสซิก้าพูดคำพูดที่เจคบอกมา ถึงจะบอกว่าให้พูดกับเอลวินแต่ตนเองเป็นสนับสนุนทีมสำรวจเพราะฉะนั้นทีมสำรวจก็ควรจะได้รับคำพูดนี่เช่นกัน เหล่าทีมสำรวจคลายความตึงเครียดลงเพื่อได้เห็นบรรยากาศที่แสนจะหวานที่สุดเท่าที่จะพบเห็นได้ ไหนจะคำพูดให้กำลังใจที่ไม่เคยมีใครจะมาตะโกนบอกเช่นนี่
         "โอ้ว!!"
         "ขอบคุณนะ"

         เจสซิก้ายิ้มให้แก่เอลวินที่กล่าวขอบคุณแทนเหล่าทหาร ก่อนที่จะกลับเข้าไปรวมกลุ่มกับเจคที่ก้มหน้าอย่างคิดหนักกับเครื่องรางที่ให้เอลวินไป ชาวบ้านต่างให้กำลังว่าที่เจ้าสาว บ้างก็เข้ามาพูดคุยทำความรู้จัก บางคนที่อยากรู้เรื่องราวมากกว่านี่ก็เข้ามาสอบถามจนเจสซิก้าต้องตีหน้านิ่งมองอย่างไม่พอใจ จนกลับไปถึงร้านบาร์ที่เป็นบ้านของสองพี่น้อง

         "พี่ให้สร้อยเส้นนั้นไปได้ยังไง นั้นสร้อยที่ของขวัญที่พ่อให้นะ"
         สร้อยผลึกโลหิตที่มีพลังพิเศษ เพราะเจสซิก้ามีสายเลือดของแวมไพร์จึงจะใช้ผลึกโลหิตเป็นอาวุญได้ เพราะเจสซิก้ามีสายเลือดของยักษ์จึงสามารถสร้างเกราะคุ้มภัยได้ สร้างร่างแยกได้ใช้พลังธาตุไฟได้ การให้สร้อยผลึกโลหิตก็ไม่ต่างไปจากการโยนทุกอย่างที่จะคอยปกป้องตนเองทิ้งไป แถมยังของขวัญเพียงชิ้นเดียวที่พ่อให้มาอีกต่างหาก

         "ให้ยืมไปใช้ในฐานะเครื่องรางต่างหากละ เดียวพอเอลวินกลับมาก็ได้คืนมาแล้ว"
         เจสซิก้านั่งพิงเก้าอี้ที่สั่งทำเป็นพิเศษ อย่างสบายใจต่างจากเจคที่ร้อนใจแทน เจสซิก้ามองหน้าน้องชายที่ทำหน้าคิดมาก มือหยิบสมุดเล่มหนึ่งวางบนโต๊ะอย่างจงใจให้เจคเห็น

         "สมุดอะไร?"
         "บทบาทที่ฉันเขียนให้กับตัวเองนะ เมื่อคืนฉันรู้สึกแปลกๆเลยเขียนมันลงไป"
         เจคหยิบสมุดที่ว่าขึ้นมาเปิดอ่าน เมื่อเห็นว่าเนื้อหามันเหมือนกับนิยายที่ดูแล้วคงต้องใช้เวลาอ่านอีกนาน จึงไปนั่งบนโซฟามองคนเขียนเนื้อหาก่อนจะนั่งอ่านอย่างตั้งใจ
         เวลาผ่านไปไม่นานเจคที่อ่านเนื้อหาข้างในก็ปิดสมุดลง มองหน้าคนเขียนด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกหากเป็นคนอื่นคงจะด่าผู้หญิงที่เขียนบทบาทให้ตนเองว่าผู้หญิงเลว ไม่ก็ผู้หญิงใจดำ หรือจะให้ใช้คำว่าบ้าก็ไม่ผิด

         แต่เพราะโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กเจคจึงทำความเข้าใจในแบบของตนเองว่า ลึกๆแล้วเจสซิก้าก็ไม่สบายใจที่เอลวินจะตายถึงเปลี่ยนบทบาทให้เปลี่ยนเหตุการณ์ไปในทิศทางที่ดีขึ้น 

         

           ถึงแม้มันอาจจะต้องแลกมาด้วยหัวใจของผู้ชายคนหนึ่งก็ตาม และใต้จิตสำนึกของเจสซิก้าที่สามารถรู้สึกได้ถึงจากในเนื้อหาว่าต้องการทดสอบผู้ชายที่จิตใจอาจจะต้องแตกสลาย แต่หากผู้ชายคนที่ว่านั้นมั่นคงจริงเจสซิก้าก็ยอมที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน


         "เธอควรไปแต่งนิยายขายนะ อ่านแล้วยังกับว่าไปอยู่เรื่องเองเลย"
         เจคคืนสมุดให้เจสซิก้า
         "นายจำเนื้อหาทั้งหมดได้ใช่มั้ย"
         "ได้"
         "ดี งั้นนายยอมที่ช่วยฉันต่อไปมั้ย"
         "สมองเสื่อมเหรอ ฉันเคยบอกแล้วไงไม่ว่ายังไงฉันก็จะอยู่ข้างพี่เสมอ"

         เจสซิก้าขอบคุณในใจแต่ปากก็เถียงกลับไปตามเคย หากใบหน้านั้นยิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อนึกถึงอนาคตที่จะเปลี่ยนไปจากเดิม และเธอจะต้องชนะเอลวิน
         สมุดเล่มหน้าแต่ถูกใช้งานได้ไม่นานกลายเป็นเถ้าธุลีในมือของผู้ที่เคยเป็นราชาของเผ่ายักษษา ถึงตอนนี่จะไม่ได้เป็นอีกแล้วแต่ยังไงสายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในตัวก็ยังมีพลังอำนาจมากกว่ามนุษย์อยู่ดี



         เพราะถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่เช้ามืด เจสซิก้าจึงแก้แค้นน้องชายด้วยการให้ไปเดินเรื่องเกี่ยวร้านสาขาที่จะเปิดใหม่ทั้งวัน คำอวยพรยินดีมากมายถูกส่งมาจากคนรู้จัก ในนั้นก็ยังมีจดหมายจากฟรีด้าที่ดูเหมือนว่าจะสบายดี และรู้สึกขอบคุณที่ทำให้ราชาฟริสที่อยู่ในร่างกาย ยอมรับฟังคำพูดของฟรีด้าจนตอนนี่เรียกว่าหากไม่มีเพื่อนคุยก็ยังสามารถคุยกับราชาฟริสที่ 145 ได้ เจสซิก้าเขียนจดหมายตอบกลับไปหาฟรีด้าเพียงคนเดียวจากบรรดาจดหมายทั้งหมดที่ถูกส่งมา 
         เจสซิก้าเดินทางไปยังโรงงานผลิตเหล้าในช่วงบ่าย ทุกคนที่รู้ข่าวเมื่อเช้าพากันแซวอย่างไม่หยุดปากจนผู้คุมงานต้องออกมาดุเสียงดังลั้น เจ้าของโรงงานเมื่อได้เห็นเอกสารคำสั่งซื้อและเอกสารยิบย่อยทั้งหลาย ในหัวสมองประมวลผลอย่างรวดเร็วว่าต้องหาใครสักคนมาทำงานในด้านนี่ ซึ่งเจสซิก้านึกถึงได้อยู่คนหนึ่ง เป็นผู้หญิงที่ตอนนี่เจคดูจะสนใจที่สุดจากบรรดาสาวๆที่เคยไปนอนด้วยกัน ด้วยนิสัยที่เจียมตัว มีมารยาท เจคเคยพามาเลี้ยงเหล้าอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งเจสซิก้าจำได้ เจสซิก้ากำหนดไว้ในหัวทันทีว่าจะให้เจคไปพาตัวมาให้ได้
         เมื่อจัดการเรื่องงานเอกสารทั้งหลายเสร็จเรียบร้อยแล้ว จนโต๊ะทำงานที่เคยเต็มไปด้วยกระดาษก็กลับมาว่างเปล่ามีเพียงแค่ปากกาวางไว้เฉยๆ ผู้คุมโรงงานนึกสงสารคนส่งเอกสารในใจที่ต้องวิ่งไปมาหลายที่และหลายรอบ แต่กว่าจะจัดการเสร็จก็กินเวลาไปจนตอนเย็น ผู้คุมโรงงานที่รู้ว่ามันจะเป็นเวลาที่หน่วยสำรวจจะกลับมาก็รีบไล่เจสซิก้าทางอ้อมให้ไปรับผู้บังคับบัญชา

        

         "ได้กินข้าวแค่มื้อเดียว ทำไมฉันต้องมารับหน่วยสำรวจด้วย สร้อยก็ค่อยไปเอาคืนทีหลังก็ได้นี่นา"

          เจสซิก้าเดินบ่นไประหว่างทางขณะเข้าไปยังเขตชิกันชิน่าก็ได้พบกับฮาเนสที่ตั้งวงกินเหล้าส่งเสียงแซวอย่างสนุกสนาม บางคนที่จำเจสซิก้าได้ก็เข้ามาทักเป็นระยะๆ 

         ตุบ

         "โอย"

         "เอเลน"

         เด็กน้อยที่วิ่งมาจากไหนก็ไม่รู้วิ่งชนเจสซิก้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ เจสซิก้ามองคนล้มลงไปเพราะได้ยินชื่อที่คนเป็นพ่อเรียกเด็กน้อย

      

         เอเลนตัวละครที่ขี้แยที่สุดในเรื่อง

         "ขอโทษด้วยครับ พอดีว่าแกซนไปหน่อยบาดเจ็บตรงไหนมั้ยครับ"

         คริช่า เยเกอร์อุ้มเอเลนพลางขอโทษเจสซิก้า เจสซิก้ามองคุณหมอที่ถ้าไม่สังเกตคงจะไม่รู้เลยว่าผู้ชายคนนี่มีแววตาแค้นที่เต็มเปี่ยมจนปิดไม่มิด แต่เอาเถอะมันก็ไม่เกี่ยวกับเธอ

         แต่ขอเล่นอะไรสนุกๆหน่อยแล้วกัน

         "ไม่เป็นไรคะ เด็กกำลังซนนี่คะคุณหมอเยเกอร์ จะอย่างไงก็ขอตัวก่อนนะคะ"

         "ครับ ขอบคุณที่ไม่ถือสาเอเลนนะครับ"

         ขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินสวนกันเจสซิก้าจับแขนของคุณหมอเยเกอร์เอาไว้ก่อนจะพูดคำๆหนึ่งออกมา

         

         อีกสามปีนักรบจะบุกเข้ามาในกำแพง 


         คริช่ามองคนพูดทันทีแต่เพียงแค่ชั่วพริบตาเจสซิก้าก็กลืนหายไปในฝูงชนที่เดินสวนไปสวนมา คริช่าไม่ขยับตัวไปไหนจนเอเลนต้องทักพ่อตัวเองที่ทำหน้าตาน่ากลัวอยู่ในตอนนี่

         "พ่อครับ?"

         "ไม่มีอะไรเอเลน เราไปกันเถอะ"


         บอกไปแค่นี่หวังว่าคุณหมอเยเกอร์จะหาทางรับมือกับเหตุการณ์ได้ดีกว่านี่ 

         เจสซิก้าเดินเอามือใส่ในกระเป๋าเสียงระฆังดังเป็นสัญญาญว่าหน่วยสำรวจกลับมาแล้ว ในใจรู้สึกแปลกกับเสียงระฆังแต่หากเจสซิก้าปัดความรู้สึกนี่ทิ้งไป เอาตัวไปยืนรวมกับชาวบ้านที่มายืนมุงดูตามข้างทางเสียงซุบซิบหลายๆอย่างดังไม่ขาดประโยค

         ง่วงก็ง่วง หิวก็หิวดีนะที่กินเนื้อมาเยอะ

         เจสซิก้ามองรองเท้าบู๊ดสีน้ำตาลที่ขัดเงามาอย่างดี มองเงาสะท้อนที่อยู่ในรองเท้าใบหน้าสวยคมแต่แฝงด้วยความเหินห่าง ทำให้ตนเองอดนึกไม่ได้ว่าในสายตาคนอื่นใบหน้าของตนเองจะเป็นยังไง

         กริ๊ดดดดดด

         หือ?

         ผลั๊ก

         เสียงกรีดร้องดังให้ต้องสนใจไปมองสาเหตุ แต่ไม่ต้องมองหาสาเหตุที่ว่าก็กระโดดมาทับตัวเจสิก้า ขนนุ่มฟู จมูกดุ๊ดดิก และมันคงจะน่ารักกว่านี่ถ้าขนาดตัวไม่ใหญ่ถึงขั้นทับร่างของเสซิก้า

         กระต่ายสีดำ?

         "คุณเจสซิก้า"

         เอลวินที่รีบควบม้าตามสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ผิดปติ เรียกคนถูกทับอย่างตกใจไม่คิดว่ามันจะกระโดดไปได้ไกลขนาดนั้นเจสซิก้ายกมือโบกทักทายคนเรียกพอเป็นสัญญาว่ายังไม่ตาย ฮันซี่ก็รีบลงมาจากม้าพร้อมเชือกสลิง กระต่ายยักษ์รีบมาหลบหลังเจสซิก้าทันทีตอนนี่เจสซิก้ากลายเป็นจุดสนใจของชาวบ้านและหน่วยสำรวจไปแล้ว

         "ขอโทษที ดูเหมือนว่าฉันยังมัดไม่แน่นเจสซิก้าคุณช่วยหลบไปหน่อยนะ"

         ฟ่อ!!!

         อือหือฉันจะโดนกัดหัวเข้าไปมั้ยเนี่ย

         "คุณฮันซี่ใจเย็นๆคะ เจ้าหนูนี่แค่ตื่นพื้นมี่และมันคงไม่ชอบใจกับกรถูกมัดอยู่แบบนั้นเลยกระโดดออกมาใช่มั้ย เจ้าหนู?"

         เพราะยังไม่มีชื่อให้เรียกเจสซิก้าเลยแทนเจ้ากระต่ายยัตษว่าเจ้าหนูให้ดูน่าเอ็นดูขึ้นมาหน่อย เจ้ากระต่ายไม่ตอบแต่ก้มหลบหลังเจสซิก้าที่นอนครึงตัวอยู่เท่านี่ก็เป็นการบอกได้แล้วว่าเจ้ากระต่ายนี่ชอบเจสซิก้า

         เหมือนกระต่ายที่เราเคยไปแอบปล่อยมาจากกรงสวนสัตว์เลยแฮะ สีดำเหมือนกันอีกต่างหาก

         ฮันซี่วางมือที่ถือเชือกลงเมื่อเห็นว่ามันไม่ได้มีท่าทีจะทำร้ายว่าที่เจ้าสาวของเอลวิน เจสซิก้าพยุงตัวขึ้นมือลูบเจ้ากระต่ายหวังปลอบใจ และเมื่อนึกได้ว่าหน่วยสำรวจต้องกลับไปที่ทำการสมองก็รีบประมวลทันทีว่าควรออกไปจากตรงนี่

         

         "ให้ฉันไปนั่งเกวียนกับเจ้าหนูนี่ด้วยสิ ฉันจะได้คอยดูมัน"

         "ตกลง ฮันซี่ช่วยพาเจสซิก้าไปที่เกวียนที"

         ฮันซี่่เกาหัวงงๆ แต่ก็ยอมพาเมื่อเจสซิก้าเดินตามฮันซี่เจ้ากระต่ายก็มีการขู่คนนำทางอย่างไม่ชอบใจจนเจสซิก้าต้องคอยลูบหัวแล้วยิ้มส่งให้มันถึงจะยอมสงบลง

         เมื่อขึ้นมาที่เกวียนแล้วเจสซิก้าก็จัดการตัวเองนอนบนตัวเจ้ากระต่ายทันทีโดยไม่ห่วงภาพลักษณ์ของตนเอง ด้วยขนาดของมันทำให้มันกลายเป็นเหมือนหมอนใบใหญ่ที่ีมีชีวิต ด้วยที่ถูกปลุกมาตั้งแต่เช้าเจสซิก้าที่ไม่คุ้นชินกับเวลาที่ถูกปลุกก็พลอยหลับไปในไม่นาน

         คุณเจสซิก้าถึงแล้วนะครับ

         ดูสิเจ้าหนูนั้นมันเมินฉันอ่าา

         เสียงทุ้มไม่คุ้นหูไม่เท่าไรกับเสียงกรีดร้องของฮันซี่ทำให้เจสซิก้าไม่อยากจะตื่นมาสักเท่าไรนัก ขนของเจ้ากระต่ายก็นุ่มฟู่ จนน่าเอาทำเป็นผ้าห่มไม่ก็ทำเป็นหมอนไปไว้ที่บ้าน

         เจสซิก้าหลับตาสนิทไม่ยอมตื่นแถมยังพลิกตัวไปกอดเจ้ากระต่ายให้แน่นขึ้นไปอีกบอกให้รู้ว่าเอาช้างมากระทืบก็ไม่ตื่น

         เอาไงดีเอลวินดูท่าเธอจะหลับลึกมาก

         คงจะทำอะไรไม่ได้ฮันซี่เธอช่วยส่งข่าวไปหาน้องชายของเจสซิก้าที่ร้านบาร์ให้มารับก็แล้วกัน

         เดียวฉันไปเอง

         เสียงพูดคุยเข้าหูบ้างเป็นบางประโยคเจสซิก้าที่จับใจความได้ว่าเจคจะมารับเธอก็เตรียมใจไว้ทันที่ว่าต้องโดนบ่นอีกแน่ๆ

         ร่างกายถูกอุ้มโดยเอลวินเพราะแขนมีแต่กล้ามเนื้อไม่ใช่ขนฟู่ของเจ้ากระต่ายเจสซิก้าร้องอือขัดใจ หน้าซุกเข้าไปในอกเพื่อหลบแสงที่แย้งเข้าตาเหมือนเด็กน้อยที่ต้องการอ้อนผู้ใหญ่ 


         ร่างกายที่ไม่ได้บอบบางเหมือนผู้หญิงที่เอลวินรู้จัก มีน้ำมีนวลมีกล้ามเล็กน้อยราวกับคนออกกำลังกายบ่อยๆไหนจะหน้าอกที่ใหญ่ขนาดพอดีที่จะแนบไปกับอกของเอลวิน เอลวินพยายามจะไม่สนใจลมหายใจที่หายใจรดแถวๆคอใต้คางเมื่อถึงห้องเอลวินรีบวางเจสซิก้าลงโซฟา แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมปล่อยเอลวินมือรีบคว้านแขนของเอลวินมากอดเหมือนหมอนข้างเอลวินที่ไม่อยากทำให้อีกฝ่ายตื่นเพราะดูอ่อนเพลียนมาตั้งแต่เช้าแล้ว แถมยังหลับสนิทอีกต่างหาก

         เอลวินนั่งลงบนพื้นข้างโซฟาปล่อยให้เจสซิก้ากอดแขนตัวเองไป

         ไม่ได้แต่งหน้านี่นา

         เอลวินนั่งมองใบหน้าที่หลับสนิทที่หายใจเข้าออกเป็นจังหวะ มือเกลียนหน้าที่เนียนนุ่มตามประสาผู้หญิง ก่อนจะเปลี่ยนมาที่ริมฝีปากสีซีดเพราะสูบบุหรี่มากเกินไป แต่มันกลับดูน่าดึงดูดให้เข้าไปลอง

         "ถ้านายคิดจะจูบ ก็คืนสร้อยมาก่อน"

         ตากลมเรียวโตสีดำสนิทเหมือนหลุมดำมองหน้าคนจับปากเธอ เอลวินรีบชักมือออกมาเจสซิก้าปล่อยแขนอีกฝ่ายไปแต่โดยดี ก่อนจะบิดขี้กียจไปมา

         "หน้าฉันดูน่ากลัวมากหรือไงถึงได้ทำหน้าตกใจ"

         "เปล่า ฉันแค่ตกใจที่เธอตื่นอยู่แล้ว"

         "ฉันไม่ได้หลับสนิทมาตั้งแต่แรกสักหน่อย แค่ไม่อยากตื่นขึ้นมาเฉยๆ"

         เจสซิก้าขึ้นมานั่งแบบดีๆก่อนจะจับแขนเอลวินให้มานั่งบนโซฟาแบบดีๆ เจสซิก้าเอาหัวไปซบไหล่ของเอลวิน

         "ไปเจอเจ้าหนูนั้นที่ไหน"

         เอลวินสงสัยกับการกระทำของอีกฝ่ายที่ดูแตกต่างไปจากผู้หญิงที่เอลวินรู้จัก เพราะพวกเธอจะไม่ทำเหมือนกับที่เจสซิก้าทำ และไม่มีใครที่จะหน้าด้านหน้าทนที่รู้อยู่แล้วกำลังจะถูกจูบเท่ากับเจสซิก้าอีกแล้ว แต่เพราะกลิ่นตัวของเจสซิก้าที่หอมกลิ่นบุหรี่จนเอลวินต้องเอาจมูกไปดมหัวอย่างเผลอตัว

         "เจอที่ป่าข้างนอกกำแพง กระต่ายตัวนั้นมันวิ่งเข้ามาหาฉันแต่มันดูเหมือนจะเข้ามาหาเพราะสร้อยคอเส้นนี่"

         เอลวินถอดสร้อยคืนเจสซิก้า เจสซิก้านำมันมาคล้องคอแสงสีแดงส่องประกายราวกับเพชรชั้นดี

         "งั้นเหรอ สงสัยนอกจากจะเป็นเครื่องรางยังเป็นเครื่องนำโชคสำหรับนายนะเอลวิน"

         "คงจะเป็นอย่างนั้น"

         เอลวินจับหน้าเจสซิก้าให้ขึ้นมามองหน้าตรงๆ ตาสีดำสนิทไม่เหมือนสีตาของรีไวล์หากไม่ตั้งใจมองให้ดีๆ เจสซิก้าก็เหมือนคนธรรมดาที่มีบุคลิกเป็นคนกันเอง ดูเป็นมิตรน่าเข้าหา แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเป็นคนเข้าถึงยากเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่อยากให้แตะต้อง

         "หน้าฉันมีอะไรติดรึไง"

         หรือบางทีเธออาจจะแค่เป็นคนพูดจาตรงๆ ไม่ได้มีความลับอะไรอย่างที่เราสงสัย

         "ไม่มีหรอกฉันแค่อยากมองหน้าเธอให้ชัดๆ เฉยๆ"

         "เหรอ แล้วนายไม่มีงานทำรึไง"

         เหมือนสายฟ้าฟาดกลางหัว เสียงหัวเราะออกมาเบาๆเหมือนสะใจเอลวินมองคนหัวเราะใส่ว่ามันมีอะไรที่น่าหัวเราะกัน

         "งั้นระหว่างที่รอเจคให้ฉันช่วยนะ เรื่องงานเอกสารฉันทำเป็นอยู่แล้ว"

         "ผมต้องเขียนรายงานเรื่องที่ออกไปสำรวจให้ทางการ"

         "งั้นฉันขอเป็นคนเขียนนะ"

         ขอเป็นคนเขียน? ให้คนที่รู้เรื่องเป็นคนเขียนไม่ดีกว่ารึไง

         

         "ไม่ต้องหรอก"

         "ตกลงนะ"

         "..........." 

         เอลวินมองคนที่เหมือนเป็นคนนอกสำหรับเรื่องงานอย่างขัดใจ แต่เจสซิก้ากลับหันมายิ้มอย่างกวนๆ เหมือนไม่รับรู้เรื่อง

         "ไปกันเถอะเอลวิน ฉันอยากเห็นห้องทำงานของนายด้วยว่าพวกกองเอกสารนั้นจะลดลงบ้างรึเปล่า"

         เอลวินถูกเจสซิก้าขอร้องแกมบังคับไปพาไปยังห้องทำงานตอนแรกก็ไล่ให้ไปช่วยดูเจ้ากระต่ายแล้ว แต่เจสซิก้ากลับบอกว่าเจ้ากระต่ายเป็นผลงานของหน่วยสำรวจเพราะฉะนั้นหน่วยสำรวจต้องเป็นคนดูแลเอง 

         โต๊ะที่เต็มไปด้วยกองเอกสารสูงพะเนิน กลางห้องมีแผนที่ขนาดใหญ่กางเอาไว้เจสซิก้าไม่สนใจกองเอกสารพวกนั้นเธอรู้อยู่แล้วว่ามันคืออะไรที่น่าสนใจคือแผนที่ที่อยู่กลางห้องตรงนี่ต่างหากครั้งที่แล้วที่มายังไม่เห็นเลยว่ามี

         "นี่คือป่านอกกำแพงอย่างนั้นเหรอ"

         "ใช่"

         "งั้นตรงนี่ก็คือเส้นทางแม่น้ำ"

         เจสซิก้าชี้เส้นสีฟ้าที่ถูดวาดออกมานอกกำแพง เอลวินพยักหน้าตอบก่อนจะไปนั่งที่โต๊ะทำงานเพื่อเคลียดกองเอกสารที่ไม่เคยจะลดปริมาณลงซักที

         "ถ้าอย่างนั้นนี่คือทิศเหนือ และที่พบเจ้ากระต่ายคือพื้นที่อยู่ถัดไปจากป่านี่สินะ"

         เธอรู้ได้ยังไงกัน

         "ทำไมเธอถึงรู้ได้?"

         "ก็ปกติแล้วถ้าเราจะวาดแผนที่เราก็ต้องไปให้ไกลจากจุดเดิมที่เราเคยไปไม่ใช่เหรอ"

         เอลวินมองคนตอบคำถามอย่างทึ่งกับคำตอบที่เธอให้มา มันก็ใช่แต่โดยปกติแล้วไม่มีใครแทบจะเขียนแผนที่เลยเพราะในกำแพงก็มีแผนที่ในตัวของมันเอง และเอลวินก็เขียนแผนที่ตามที่เจสซิก้าบอกจริงๆ 

         มือวางกระดาษเอกสารลงเอลวินเดินมาอยู่ข้างๆเจสซิก้า

         "แล้วเธอคิดยังไงกับแผนที่นี่"

         "นั่นสินะ ว่าแต่นะเอลวินปกติแล้วนายชอบไปสำรวจป่าเหรอ"

         "ใช่"

         "ทำไมละ"

         "เพราะมันสามารถใช้อุปกรณ์สามมิติได้ แถวแม่น้ำนั้นไม่มีป่าหรือพื้นที่เหมาะสมกับการใช้อุปกรณ์สามมิติเลยต้องตัดส่วนนั้นไป"

         เอลวินพูดปัญหาให้ฟัง พลางสังเกตคนจ้องแผนที่ไม่วางตาอย่างเจสซิก้า

         

         "งั้นคราวหน้านายก็ลองเดินไปตามทางแม่น้ำดูสิ แม่น้ำนะเป็นแหล่งสำคัญสำหรับการดำรงชีวิตเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่มีป่าอยู่แถวแม่น้ำนายลองจัดกระบวนทัพให้แบ่งเป็นหน่วยเล็กๆเดินเลียบแม่น้ำไททันมันคงว่ายน้ำไม่ได้หรอก"

         "ทำไมต้องเป็นแม่น้ำ"

         "แล้วนายไม่สงสัยเหรอว่าแม่น้ำเกิดจากอะไร"

         คำถามย้อนกลับกระแทกหน้าอกอย่าแรง นั่นสิแม่น้ำเกิดจากอะไรมันเป็นคำถามที่ไม่เคยมีใครตั้งคำถามเพียงแต่มีอยู่คนๆหนึ่งที่เคยตั้งคำถามที่คล้ายๆกับคำถามแบบนี่

         คิดว่าใครเป็นคนสร้างกำแพงนี่ขึ้นมา

         คำถามที่มีมาอย่างยาวนานฟังดูเหมือนธรรมดาแต่กลับไม่มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ เหมือนคำถามของหญิงสาวคนข้างๆที่มองสำรวจแผนที่ต่อแม่น้ำเกิดจากอะไรแล้วที่ต้นแม่น้ำมันจะเป็นอะไรถ้าไม่ใช่สิ่งที่สามารถบรรจุน้ำไว้ได้มากๆ

         

        แต่ว่าสิ่งที่ฉันอยากรู้คือความจริงของโลกใบนี่ว่าทำไมทางราชสำนักถึงต้องปิดกั้นไม่ให้ประชาชนตั้งคำถามกับโลกภายนอกต่างหาก

         "แล้วเธอคิดว่าแม่น้ำเกิดจากอะไรละ"

         อีกครั้งที่เจสซิก้ามองคนถามด้วยใบหน้าที่ยิ้มแต่ไม่ได้มาจากใจจริง เหมือนรู้แต่ก็ไม่บอกนิ้วเรียววางตรงตำแหน่งแม่น้ำลากไปจนสุดของสัญลักษณ์

         "แล้วน้ำในแม่น้ำคิดว่าเกิดจากอะไรละ"

         

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×