คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ผลงาน
"ในที่สุดก็เสร็จสักที"
เจสซิก้าลงจากม้าสีชาด ที่เธอกับเจคซื้อมาพร้อมๆกับวันที่เอาม้าไปส่งยังหน่วยสำรวจ และด้วยกิจการที่รุ่งเรืองขึ้นทุกวันเจสซิก้าจึงส่งเงินก้อนหนึ่งไปยังหน่วยสำรวจไปเป็นงบประมาณวันนี่เธอกลับมาจากการตรวจโรงผลิตเหล้าเพียงแค่วันแรกที่ให้พ่อค้าไปขายแก่ชนชั้นสูง ก็มียอดสั่งซื้อเข้ามาเกินยอดผลิตเสียอีก
มองในแง่ดีก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะยอดสั่งซื้อที่คาดไม่ถึง เหล่าคนโรงงานจึงรู้สึกฮึกเหิมเมื่อเบี้ยเลี้ยงของแต่ละคนก็จะเพิ่มตามไปด้วย
ทางด้านเอลวินที่ยังไม่รู้ว่าเคออสเป็นใครจึงฝากจดหมายขอบคุณผ่านนายหน้าที่เธอว่าจ้างเอาไว้ แถมยังมีคำถามมาอีกด้วยว่าต้องอะไรเป็นสิ่งตอบแทน
เจคที่ได้อ่านจดหมายขอบคุณก็ได้แต่สงสัยว่าไม่รู้จริงๆหรือว่าเคออสเป็นใคร หรือเป็นเพราะการที่เจสซิก้าจ้างนายหน้าที่แสนจะปากแข็งทำให้หน่วยสำรวจไม่รู้ผู้สนับสนุนหลักนั้นเป็นใคร
"เจคเขียนจดหมายตอบกลับให้หน่อยสิ"
เจสซิก้าที่กำลังควงสร้อยคอที่มีจี้ผลึกโลหิต ซึ่งเป็นเหมือนเครื่องรางของที่พ่อได้มอบให้ไว้ก่อนตาย โยนงานให้แก่เจคที่ถือจดหมายเอาไว้อยู่ "ทำไมไม่เขียนเองล่ะ เธอเป็นคนคิดสนับสนุนหน่วยสำรวจเองนะ"
"ให้เขียนว่าอะไรล่ะ ให้เขียนตอบกลับไปว่ายินดีที่จะสนับสนุนงั้นเหรอ"
"ไม่ต้องเขียนตอบกลับ จบ"
เจสซิก้าจิจ้ะในคออย่างขัดใจ แต่มือก็หยิบกระดาษกับปากกาขึ้นมาเพื่อเขียนจดหมายตอบกลับไปหาครั้งแรกตั้งแต่เป็นผู้สนับสนุน
สองเดือนผ่านไปหน่วยสำรวจได้เตรียมการที่จะออกไปสำรวจชาวบ้านต่างมามุมดู ปากพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพากันออกไปให้ไททันกิน
เจคที่ลากเจสซิก้าออกมาจากเตียงได้ พามายังตรงประตูกำแพงเขตชิกันชิน่าเจสซิก้าได้แต่ทำหน้าง้อ แต่ก็ไม่เหตุผลอะไรที่จะคัดค้านเจคที่มีเหตุผลที่ดูดีกว่า
แต่เพราะโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กเจคจึงทำความเข้าใจในแบบของตนเองว่า ลึกๆแล้วเจสซิก้าก็ไม่สบายใจที่เอลวินจะตายถึงเปลี่ยนบทบาทให้เปลี่ยนเหตุการณ์ไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ถึงแม้มันอาจจะต้องแลกมาด้วยหัวใจของผู้ชายคนหนึ่งก็ตาม และใต้จิตสำนึกของเจสซิก้าที่สามารถรู้สึกได้ถึงจากในเนื้อหาว่าต้องการทดสอบผู้ชายที่จิตใจอาจจะต้องแตกสลาย แต่หากผู้ชายคนที่ว่านั้นมั่นคงจริงเจสซิก้าก็ยอมที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน
"ได้กินข้าวแค่มื้อเดียว ทำไมฉันต้องมารับหน่วยสำรวจด้วย สร้อยก็ค่อยไปเอาคืนทีหลังก็ได้นี่นา"
เจสซิก้าเดินบ่นไประหว่างทางขณะเข้าไปยังเขตชิกันชิน่าก็ได้พบกับฮาเนสที่ตั้งวงกินเหล้าส่งเสียงแซวอย่างสนุกสนาม บางคนที่จำเจสซิก้าได้ก็เข้ามาทักเป็นระยะๆ
ตุบ
"โอย"
"เอเลน"
เด็กน้อยที่วิ่งมาจากไหนก็ไม่รู้วิ่งชนเจสซิก้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ เจสซิก้ามองคนล้มลงไปเพราะได้ยินชื่อที่คนเป็นพ่อเรียกเด็กน้อย
เอเลนตัวละครที่ขี้แยที่สุดในเรื่อง
"ขอโทษด้วยครับ พอดีว่าแกซนไปหน่อยบาดเจ็บตรงไหนมั้ยครับ"
คริช่า เยเกอร์อุ้มเอเลนพลางขอโทษเจสซิก้า เจสซิก้ามองคุณหมอที่ถ้าไม่สังเกตคงจะไม่รู้เลยว่าผู้ชายคนนี่มีแววตาแค้นที่เต็มเปี่ยมจนปิดไม่มิด แต่เอาเถอะมันก็ไม่เกี่ยวกับเธอ
แต่ขอเล่นอะไรสนุกๆหน่อยแล้วกัน
"ไม่เป็นไรคะ เด็กกำลังซนนี่คะคุณหมอเยเกอร์ จะอย่างไงก็ขอตัวก่อนนะคะ"
"ครับ ขอบคุณที่ไม่ถือสาเอเลนนะครับ"
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินสวนกันเจสซิก้าจับแขนของคุณหมอเยเกอร์เอาไว้ก่อนจะพูดคำๆหนึ่งออกมา
อีกสามปีนักรบจะบุกเข้ามาในกำแพง
คริช่ามองคนพูดทันทีแต่เพียงแค่ชั่วพริบตาเจสซิก้าก็กลืนหายไปในฝูงชนที่เดินสวนไปสวนมา คริช่าไม่ขยับตัวไปไหนจนเอเลนต้องทักพ่อตัวเองที่ทำหน้าตาน่ากลัวอยู่ในตอนนี่
"พ่อครับ?"
"ไม่มีอะไรเอเลน เราไปกันเถอะ"
บอกไปแค่นี่หวังว่าคุณหมอเยเกอร์จะหาทางรับมือกับเหตุการณ์ได้ดีกว่านี่
เจสซิก้าเดินเอามือใส่ในกระเป๋าเสียงระฆังดังเป็นสัญญาญว่าหน่วยสำรวจกลับมาแล้ว ในใจรู้สึกแปลกกับเสียงระฆังแต่หากเจสซิก้าปัดความรู้สึกนี่ทิ้งไป เอาตัวไปยืนรวมกับชาวบ้านที่มายืนมุงดูตามข้างทางเสียงซุบซิบหลายๆอย่างดังไม่ขาดประโยค
ง่วงก็ง่วง หิวก็หิวดีนะที่กินเนื้อมาเยอะ
เจสซิก้ามองรองเท้าบู๊ดสีน้ำตาลที่ขัดเงามาอย่างดี มองเงาสะท้อนที่อยู่ในรองเท้าใบหน้าสวยคมแต่แฝงด้วยความเหินห่าง ทำให้ตนเองอดนึกไม่ได้ว่าในสายตาคนอื่นใบหน้าของตนเองจะเป็นยังไง
กริ๊ดดดดดด
หือ?
ผลั๊ก
เสียงกรีดร้องดังให้ต้องสนใจไปมองสาเหตุ แต่ไม่ต้องมองหาสาเหตุที่ว่าก็กระโดดมาทับตัวเจสิก้า ขนนุ่มฟู จมูกดุ๊ดดิก และมันคงจะน่ารักกว่านี่ถ้าขนาดตัวไม่ใหญ่ถึงขั้นทับร่างของเสซิก้า
กระต่ายสีดำ?
"คุณเจสซิก้า"
เอลวินที่รีบควบม้าตามสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ผิดปติ เรียกคนถูกทับอย่างตกใจไม่คิดว่ามันจะกระโดดไปได้ไกลขนาดนั้นเจสซิก้ายกมือโบกทักทายคนเรียกพอเป็นสัญญาว่ายังไม่ตาย ฮันซี่ก็รีบลงมาจากม้าพร้อมเชือกสลิง กระต่ายยักษ์รีบมาหลบหลังเจสซิก้าทันทีตอนนี่เจสซิก้ากลายเป็นจุดสนใจของชาวบ้านและหน่วยสำรวจไปแล้ว
"ขอโทษที ดูเหมือนว่าฉันยังมัดไม่แน่นเจสซิก้าคุณช่วยหลบไปหน่อยนะ"
ฟ่อ!!!
อือหือฉันจะโดนกัดหัวเข้าไปมั้ยเนี่ย
"คุณฮันซี่ใจเย็นๆคะ เจ้าหนูนี่แค่ตื่นพื้นมี่และมันคงไม่ชอบใจกับกรถูกมัดอยู่แบบนั้นเลยกระโดดออกมาใช่มั้ย เจ้าหนู?"
เพราะยังไม่มีชื่อให้เรียกเจสซิก้าเลยแทนเจ้ากระต่ายยัตษว่าเจ้าหนูให้ดูน่าเอ็นดูขึ้นมาหน่อย เจ้ากระต่ายไม่ตอบแต่ก้มหลบหลังเจสซิก้าที่นอนครึงตัวอยู่เท่านี่ก็เป็นการบอกได้แล้วว่าเจ้ากระต่ายนี่ชอบเจสซิก้า
เหมือนกระต่ายที่เราเคยไปแอบปล่อยมาจากกรงสวนสัตว์เลยแฮะ สีดำเหมือนกันอีกต่างหาก
ฮันซี่วางมือที่ถือเชือกลงเมื่อเห็นว่ามันไม่ได้มีท่าทีจะทำร้ายว่าที่เจ้าสาวของเอลวิน เจสซิก้าพยุงตัวขึ้นมือลูบเจ้ากระต่ายหวังปลอบใจ และเมื่อนึกได้ว่าหน่วยสำรวจต้องกลับไปที่ทำการสมองก็รีบประมวลทันทีว่าควรออกไปจากตรงนี่
"ให้ฉันไปนั่งเกวียนกับเจ้าหนูนี่ด้วยสิ ฉันจะได้คอยดูมัน"
"ตกลง ฮันซี่ช่วยพาเจสซิก้าไปที่เกวียนที"
ฮันซี่่เกาหัวงงๆ แต่ก็ยอมพาเมื่อเจสซิก้าเดินตามฮันซี่เจ้ากระต่ายก็มีการขู่คนนำทางอย่างไม่ชอบใจจนเจสซิก้าต้องคอยลูบหัวแล้วยิ้มส่งให้มันถึงจะยอมสงบลง
เมื่อขึ้นมาที่เกวียนแล้วเจสซิก้าก็จัดการตัวเองนอนบนตัวเจ้ากระต่ายทันทีโดยไม่ห่วงภาพลักษณ์ของตนเอง ด้วยขนาดของมันทำให้มันกลายเป็นเหมือนหมอนใบใหญ่ที่ีมีชีวิต ด้วยที่ถูกปลุกมาตั้งแต่เช้าเจสซิก้าที่ไม่คุ้นชินกับเวลาที่ถูกปลุกก็พลอยหลับไปในไม่นาน
คุณเจสซิก้าถึงแล้วนะครับ
ดูสิเจ้าหนูนั้นมันเมินฉันอ่าา
เสียงทุ้มไม่คุ้นหูไม่เท่าไรกับเสียงกรีดร้องของฮันซี่ทำให้เจสซิก้าไม่อยากจะตื่นมาสักเท่าไรนัก ขนของเจ้ากระต่ายก็นุ่มฟู่ จนน่าเอาทำเป็นผ้าห่มไม่ก็ทำเป็นหมอนไปไว้ที่บ้าน
เจสซิก้าหลับตาสนิทไม่ยอมตื่นแถมยังพลิกตัวไปกอดเจ้ากระต่ายให้แน่นขึ้นไปอีกบอกให้รู้ว่าเอาช้างมากระทืบก็ไม่ตื่น
เอาไงดีเอลวินดูท่าเธอจะหลับลึกมาก
คงจะทำอะไรไม่ได้ฮันซี่เธอช่วยส่งข่าวไปหาน้องชายของเจสซิก้าที่ร้านบาร์ให้มารับก็แล้วกัน
เดียวฉันไปเอง
เสียงพูดคุยเข้าหูบ้างเป็นบางประโยคเจสซิก้าที่จับใจความได้ว่าเจคจะมารับเธอก็เตรียมใจไว้ทันที่ว่าต้องโดนบ่นอีกแน่ๆ
ร่างกายถูกอุ้มโดยเอลวินเพราะแขนมีแต่กล้ามเนื้อไม่ใช่ขนฟู่ของเจ้ากระต่ายเจสซิก้าร้องอือขัดใจ หน้าซุกเข้าไปในอกเพื่อหลบแสงที่แย้งเข้าตาเหมือนเด็กน้อยที่ต้องการอ้อนผู้ใหญ่
ร่างกายที่ไม่ได้บอบบางเหมือนผู้หญิงที่เอลวินรู้จัก มีน้ำมีนวลมีกล้ามเล็กน้อยราวกับคนออกกำลังกายบ่อยๆไหนจะหน้าอกที่ใหญ่ขนาดพอดีที่จะแนบไปกับอกของเอลวิน เอลวินพยายามจะไม่สนใจลมหายใจที่หายใจรดแถวๆคอใต้คางเมื่อถึงห้องเอลวินรีบวางเจสซิก้าลงโซฟา แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมปล่อยเอลวินมือรีบคว้านแขนของเอลวินมากอดเหมือนหมอนข้างเอลวินที่ไม่อยากทำให้อีกฝ่ายตื่นเพราะดูอ่อนเพลียนมาตั้งแต่เช้าแล้ว แถมยังหลับสนิทอีกต่างหาก
เอลวินนั่งลงบนพื้นข้างโซฟาปล่อยให้เจสซิก้ากอดแขนตัวเองไป
ไม่ได้แต่งหน้านี่นา
เอลวินนั่งมองใบหน้าที่หลับสนิทที่หายใจเข้าออกเป็นจังหวะ มือเกลียนหน้าที่เนียนนุ่มตามประสาผู้หญิง ก่อนจะเปลี่ยนมาที่ริมฝีปากสีซีดเพราะสูบบุหรี่มากเกินไป แต่มันกลับดูน่าดึงดูดให้เข้าไปลอง
"ถ้านายคิดจะจูบ ก็คืนสร้อยมาก่อน"
ตากลมเรียวโตสีดำสนิทเหมือนหลุมดำมองหน้าคนจับปากเธอ เอลวินรีบชักมือออกมาเจสซิก้าปล่อยแขนอีกฝ่ายไปแต่โดยดี ก่อนจะบิดขี้กียจไปมา
"หน้าฉันดูน่ากลัวมากหรือไงถึงได้ทำหน้าตกใจ"
"เปล่า ฉันแค่ตกใจที่เธอตื่นอยู่แล้ว"
"ฉันไม่ได้หลับสนิทมาตั้งแต่แรกสักหน่อย แค่ไม่อยากตื่นขึ้นมาเฉยๆ"
เจสซิก้าขึ้นมานั่งแบบดีๆก่อนจะจับแขนเอลวินให้มานั่งบนโซฟาแบบดีๆ เจสซิก้าเอาหัวไปซบไหล่ของเอลวิน
"ไปเจอเจ้าหนูนั้นที่ไหน"
เอลวินสงสัยกับการกระทำของอีกฝ่ายที่ดูแตกต่างไปจากผู้หญิงที่เอลวินรู้จัก เพราะพวกเธอจะไม่ทำเหมือนกับที่เจสซิก้าทำ และไม่มีใครที่จะหน้าด้านหน้าทนที่รู้อยู่แล้วกำลังจะถูกจูบเท่ากับเจสซิก้าอีกแล้ว แต่เพราะกลิ่นตัวของเจสซิก้าที่หอมกลิ่นบุหรี่จนเอลวินต้องเอาจมูกไปดมหัวอย่างเผลอตัว
"เจอที่ป่าข้างนอกกำแพง กระต่ายตัวนั้นมันวิ่งเข้ามาหาฉันแต่มันดูเหมือนจะเข้ามาหาเพราะสร้อยคอเส้นนี่"
เอลวินถอดสร้อยคืนเจสซิก้า เจสซิก้านำมันมาคล้องคอแสงสีแดงส่องประกายราวกับเพชรชั้นดี
"งั้นเหรอ สงสัยนอกจากจะเป็นเครื่องรางยังเป็นเครื่องนำโชคสำหรับนายนะเอลวิน"
"คงจะเป็นอย่างนั้น"
เอลวินจับหน้าเจสซิก้าให้ขึ้นมามองหน้าตรงๆ ตาสีดำสนิทไม่เหมือนสีตาของรีไวล์หากไม่ตั้งใจมองให้ดีๆ เจสซิก้าก็เหมือนคนธรรมดาที่มีบุคลิกเป็นคนกันเอง ดูเป็นมิตรน่าเข้าหา แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเป็นคนเข้าถึงยากเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่อยากให้แตะต้อง
"หน้าฉันมีอะไรติดรึไง"
หรือบางทีเธออาจจะแค่เป็นคนพูดจาตรงๆ ไม่ได้มีความลับอะไรอย่างที่เราสงสัย
"ไม่มีหรอกฉันแค่อยากมองหน้าเธอให้ชัดๆ เฉยๆ"
"เหรอ แล้วนายไม่มีงานทำรึไง"
เหมือนสายฟ้าฟาดกลางหัว เสียงหัวเราะออกมาเบาๆเหมือนสะใจเอลวินมองคนหัวเราะใส่ว่ามันมีอะไรที่น่าหัวเราะกัน
"งั้นระหว่างที่รอเจคให้ฉันช่วยนะ เรื่องงานเอกสารฉันทำเป็นอยู่แล้ว"
"ผมต้องเขียนรายงานเรื่องที่ออกไปสำรวจให้ทางการ"
"งั้นฉันขอเป็นคนเขียนนะ"
ขอเป็นคนเขียน? ให้คนที่รู้เรื่องเป็นคนเขียนไม่ดีกว่ารึไง
"ไม่ต้องหรอก"
"ตกลงนะ"
"..........."
เอลวินมองคนที่เหมือนเป็นคนนอกสำหรับเรื่องงานอย่างขัดใจ แต่เจสซิก้ากลับหันมายิ้มอย่างกวนๆ เหมือนไม่รับรู้เรื่อง
"ไปกันเถอะเอลวิน ฉันอยากเห็นห้องทำงานของนายด้วยว่าพวกกองเอกสารนั้นจะลดลงบ้างรึเปล่า"
เอลวินถูกเจสซิก้าขอร้องแกมบังคับไปพาไปยังห้องทำงานตอนแรกก็ไล่ให้ไปช่วยดูเจ้ากระต่ายแล้ว แต่เจสซิก้ากลับบอกว่าเจ้ากระต่ายเป็นผลงานของหน่วยสำรวจเพราะฉะนั้นหน่วยสำรวจต้องเป็นคนดูแลเอง
โต๊ะที่เต็มไปด้วยกองเอกสารสูงพะเนิน กลางห้องมีแผนที่ขนาดใหญ่กางเอาไว้เจสซิก้าไม่สนใจกองเอกสารพวกนั้นเธอรู้อยู่แล้วว่ามันคืออะไรที่น่าสนใจคือแผนที่ที่อยู่กลางห้องตรงนี่ต่างหากครั้งที่แล้วที่มายังไม่เห็นเลยว่ามี
"นี่คือป่านอกกำแพงอย่างนั้นเหรอ"
"ใช่"
"งั้นตรงนี่ก็คือเส้นทางแม่น้ำ"
เจสซิก้าชี้เส้นสีฟ้าที่ถูดวาดออกมานอกกำแพง เอลวินพยักหน้าตอบก่อนจะไปนั่งที่โต๊ะทำงานเพื่อเคลียดกองเอกสารที่ไม่เคยจะลดปริมาณลงซักที
"ถ้าอย่างนั้นนี่คือทิศเหนือ และที่พบเจ้ากระต่ายคือพื้นที่อยู่ถัดไปจากป่านี่สินะ"
เธอรู้ได้ยังไงกัน
"ทำไมเธอถึงรู้ได้?"
"ก็ปกติแล้วถ้าเราจะวาดแผนที่เราก็ต้องไปให้ไกลจากจุดเดิมที่เราเคยไปไม่ใช่เหรอ"
เอลวินมองคนตอบคำถามอย่างทึ่งกับคำตอบที่เธอให้มา มันก็ใช่แต่โดยปกติแล้วไม่มีใครแทบจะเขียนแผนที่เลยเพราะในกำแพงก็มีแผนที่ในตัวของมันเอง และเอลวินก็เขียนแผนที่ตามที่เจสซิก้าบอกจริงๆ
มือวางกระดาษเอกสารลงเอลวินเดินมาอยู่ข้างๆเจสซิก้า
"แล้วเธอคิดยังไงกับแผนที่นี่"
"นั่นสินะ ว่าแต่นะเอลวินปกติแล้วนายชอบไปสำรวจป่าเหรอ"
"ใช่"
"ทำไมละ"
"เพราะมันสามารถใช้อุปกรณ์สามมิติได้ แถวแม่น้ำนั้นไม่มีป่าหรือพื้นที่เหมาะสมกับการใช้อุปกรณ์สามมิติเลยต้องตัดส่วนนั้นไป"
เอลวินพูดปัญหาให้ฟัง พลางสังเกตคนจ้องแผนที่ไม่วางตาอย่างเจสซิก้า
"งั้นคราวหน้านายก็ลองเดินไปตามทางแม่น้ำดูสิ แม่น้ำนะเป็นแหล่งสำคัญสำหรับการดำรงชีวิตเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่มีป่าอยู่แถวแม่น้ำนายลองจัดกระบวนทัพให้แบ่งเป็นหน่วยเล็กๆเดินเลียบแม่น้ำไททันมันคงว่ายน้ำไม่ได้หรอก"
"ทำไมต้องเป็นแม่น้ำ"
"แล้วนายไม่สงสัยเหรอว่าแม่น้ำเกิดจากอะไร"
คำถามย้อนกลับกระแทกหน้าอกอย่าแรง นั่นสิแม่น้ำเกิดจากอะไรมันเป็นคำถามที่ไม่เคยมีใครตั้งคำถามเพียงแต่มีอยู่คนๆหนึ่งที่เคยตั้งคำถามที่คล้ายๆกับคำถามแบบนี่
คิดว่าใครเป็นคนสร้างกำแพงนี่ขึ้นมา
คำถามที่มีมาอย่างยาวนานฟังดูเหมือนธรรมดาแต่กลับไม่มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ เหมือนคำถามของหญิงสาวคนข้างๆที่มองสำรวจแผนที่ต่อแม่น้ำเกิดจากอะไรแล้วที่ต้นแม่น้ำมันจะเป็นอะไรถ้าไม่ใช่สิ่งที่สามารถบรรจุน้ำไว้ได้มากๆ
แต่ว่าสิ่งที่ฉันอยากรู้คือความจริงของโลกใบนี่ว่าทำไมทางราชสำนักถึงต้องปิดกั้นไม่ให้ประชาชนตั้งคำถามกับโลกภายนอกต่างหาก
"แล้วเธอคิดว่าแม่น้ำเกิดจากอะไรละ"
อีกครั้งที่เจสซิก้ามองคนถามด้วยใบหน้าที่ยิ้มแต่ไม่ได้มาจากใจจริง เหมือนรู้แต่ก็ไม่บอกนิ้วเรียววางตรงตำแหน่งแม่น้ำลากไปจนสุดของสัญลักษณ์
"แล้วน้ำในแม่น้ำคิดว่าเกิดจากอะไรละ"
ความคิดเห็น