ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic Attack on titan เฮฮาไททัน ป่วนหน่วยสำรวจ (เอลวิน x oc)

    ลำดับตอนที่ #14 : เอลวิน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.26K
      123
      6 เม.ย. 62

         
         
              "ฉันเบลทรูท ฮูเบอร์ ยินดีที่ได้รู้จักนะ"
              "ฉันลิน่า"
              ไม่มีใครพูดอะไรออกมา เบลทรูทมองอีกฝ่ายอย่างอึดอัด คนรอบตัวเริ่มซ้อมกับคู่ตัวเอง แต่ลิน่ากลับไม่พูดหรือแสดงความรู้สึกอะไรออกมา เธอมีบางอย่างที่เหมือนกับแอนนี่ แต่ดูอันตรายกว่า

                เจสซิก้ามองหน้าคนทำตัวไม่ถูกนึกขำในใจ วิชานี่ไม่มีคะแนนไม่มีความจำเป็นต่อตัวเธอ เพราะฉะนั้นเมื่อแนะนำตัวให้พอรู้ชื่อเจสซิก้าก็บอกความตั้งใจออกไปทันที


              "คิ ไม่เห็นต้องเกร็งขนาดนี่เลยเบลทรูท"
              "งั้นเหรอ โทษทีนะ"
              เบลทรูทเกาตัวตนเองแก้เขิน เจสซิก้ามองปฎิกิริยาเด็กน้อยของเบลทรูท
              " ไม่ต้องห่วงฉันคิดว่าจะโดดวิชานี่ เพราะงั้นถ้าครูฝึกถามถึงช่วยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นด้วยนะ"
              เจสซิก้าเดินออกไปอย่างรวดเร็ว แต่มือเบลทรูทกลับจับแขนของเจสซิก้าเอาไว้ไม่ให้เดินออกไปไหนเจสซิก้ามองคนจับแขนอย่างขัดใจ 
              "เธอจะโดดไม่ได้นะลิน่า มันไม่ดีอย่างน้อยเธอควรฝึกศิลปะการป้องกันตัวเอาไว้สิ"
              เจสซิก้าจิจ๊ะในคอก่อนจะสบัดแขนอย่างแรง เตะขาอีกฝ่าย ใช้ท่าเดียวกับแอนนี่ให้เบลทรูทล้มหงายหลังลงไป เบลทรูทที่รู้อีกทีว่าตัวเองก็ล้มไปแล้วก็พบกับอีกฝ่ายที่กำลังนั่งก้มมองอีกฝ่าย ด้วยสายตาที่ไม่ได้เป็นมิตรเท่าไรนัก
              "อย่ามาตีสนิทกับฉันเบลทรูท"

              เจสซิก้าผู้ที่ไม่คิดจะสนิทกับใครเป็นพิเศษพูดออกไปตรงๆกับเบลทรูท ก่อนจะโดดวิชาไปยังป่าที่อยู่ที่อยู่ใกล้ๆ มือหยิบบุหรี่มาจุดไฟสูบควันเข้าปอดเจสซิก้าหลับตา จู่ๆในใจก็นึกสงสัยว่าคนที่ชื่อเอลวินนั้นไปอยู่ที่ไหน เจสซิก้าเพ่งสมาธิจนรับรู้ได้ว่าเอลวินอยู่ไม่ห่างจากค่ายฝึกทหารฝึกหัดเท่าไรนักจากสร้อยคอผลึกโลหิต เหมือนจะอยู่ในค่ายฝึกทหารตรงที่เรียนวิชาการต่อสู้ตัวต่อสู่
              
              อยู่ในค่ายฝึก!? อยู่ใกล้เองนี้นา
              
              เจสซิก้าจัดการดับบุหรี่เพราะไม่รู้ว่าเอลวินจะพามิเกะมาด้วยรึเปล่า แต่ก็ขอกันเอาไว้ก่อนเพราะเจคเคยเตือนว่าสาเหตุที่เอลวินสงสัยตัวเองส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะมิเกะ และแน่นอนว่าเจสซิก้าจำมิเกะได้ว่าเป็นคนที่จมูกดียิ่งกว่าสุนัข ก่อนจะนั่งมองทุกคนซ้อมการต่อสู้อย่างสบายใจ ตามองบ้านตัวยาวที่เป็นสถานที่รวมตัวของครูฝึก และรองรับแขกจนได้เห็นหัวสีทองเรียบๆที่เจสซิก้าคิดว่ามันดูคุ้นตามาก
              และดูเหมือนว่าจะคุยธุระเสร็จแล้ว ครูฝึกหัวเหม่งถึงลุกขึ้น ประตูเปิดออกมาทำให้เจสซิก้ายืนยันได้แล้วว่าคนที่นั่งอยู่ในห้องเมื่อสักครู่นี่เป็นเอลวินจริงๆ พ่วงมิเกะกับรีไวล์มาด้วยอีกต่างหาก เอลวินมองทหารฝึกหัดที่ตั้งใจซ้อมเป็นอย่างดี บางคนที่ครูฝึกเห็นว่ามีคนแอบอู้ก็จัดการลากตัวออกมาทำโทษด้วยการโขกหัวลงไปคนละที

              สงสารชาช่าแฮะ แต่ก็เป็นตัวตบมุขในเรื่องนี่นา

              หัวหน้าหน่วยทั้งสามคนเดินออกไปยังทางประตูเพื่อกลับไปทำงานของตนเองต่อ แต่สิ่งมีชีวิตหนึ่งที่เอลวินพามาด้วยกลับวิ่งตรงเข้ามาในป่าที่เจสซิก้านั่งอยู่บนต้นไม้อย่างรวดเร็ว ไม่รอให้เจสซิก้ามองว่าเป็นตัวอะไรร่างกายก็ถูกเจ้ากระต่ายยักษ์กระโดดทับใส่อย่างดีใจที่ไม่ได้เจอเจสซิก้ามานาน ลิ้นเลียหน้าเด็กสาวอย่างดีอกดีใจเป็นการทักทาย 
              แบล็ก? จริงสิหน่วยสำรวจเจอมันที่นอกกำแพงนี่นา
              "แบล็กลุกออกไปก่อน มันหนัก"
              เจสซิก้าที่ยังจำแบล็กได้สั่งให้แบล็กลุกออกไปรวดเร็วแต่แบล็กยังเข้ามาคลอเคลียเจสซิก้าอย่างคิดถึงทั้งๆที่เธอไม่ได้เป็นคนเลี้ยงหรือดูแลมันเลยแม้แต่น้อย เสียงฝีเท้าวิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆเจสซิก้าเอาหน้าของแบล็กถอยห่างออกไป
              ฉันควรอยู่ตรงนี่ต่อไปรึเปล่านะ แต่เจ้านี่ก็ดูคิดถึงฉันมากเหมือนกันแฮะ
              
              เจสซิก้าลูบหัวแบล็กอย่างเอ็นดูเธอจำความรู้สึกที่เจอแบล็กครั้งแรกไม่ได้แต่ความรู้สึกของเธอตอนนี่คือเอ็นดูเจ้ากระต่ายยักษ์ตัวนี่

            หัวหน้าหน่วยสำรวจต่างใช้เครื่องสามมิติมาตามแบล็ก คนที่ดูตกใจมากที่สุดดูท่าจะเป็นเอลวินก่อนที่เอลวินจะกลับมาทำตัวเป็นปกติ

           "ขอโทษแทนเจ้าแบล็กด้วยนะ จู่ๆมันก็พุ่งออกไปเองเธอ บาดเจ็บตรงไหนไหม"


           เอลวินยืนมือไปช่วยพยุงเจสซิก้าในร่างลิน่าเจสซิก้ามองอย่างชั่งใจทั้งเขาและเธอต่างก็สับสนไม่แพ้กัน เธอรู้แค่ว่าตนเองเคยแต่งงานกับเอลวินมันถึงได้รู้สึกแปลกๆ ในใจ 

          "ไม่คะ ดูเหมือว่าเจ้ากระต่ายจะตื่นพื้นที่เลยกระโดดมาทางนี่" เจสซิก้าไม่อยากเสียมารยาทกับเอลวินจึงยอมจับมือกับเอลวิน ความรู้สึกแปลกๆพุ่งเข้ามา

          ฉันเคย..ได้สัมผัสมือนี่?

         เอลวิน...

         "เฮ ยัยหนูนี่เธอร้องไห้?"

         รีไวล์ที่จ้องหน้าเจสซิก้าอยู่ก็พูกทักเมื่อเห็นน้ำตาอีกฝ่ายหยดลงมาอย่างไม่มีสาเหตุ

         เอ๊ะ?

         เจสซิก้าเอามือไปสัมผัสกับแก้มที่มีน้ำตาไหลมาเพียงแค่ข้างเดียวและเพียงหยดเดียว แต่มากพอจะทำให้เจสซิก้าแปลกใจ

         "น้ำตา? นี่ฉันคนนี่ร้องไห้? "

         เจสซิก้ามองเจ้าของมือที่ยังคงไม่ปล่อย เด็กสาวรีบชักมือกลับเพราะนี่คือเรื่องแปลกสำหรับเธอ การที่เธอร้องไห้ครั้งแรกตั้งแต่ตอนที่เสียพ่อไป เจสซิก้าก็ไม่เคยเสียน้ำตาอีกเลย

         นี่ฉันมาเสียน้ำตาให้มนุษย์ผู้ชายคนนี่เนี่ยนะ มนุษย์ที่อ่อนแอที่เตะครั้งเดียวก็ตายแล้วเนี่ยนะ!!?

         เจสซิก้าแสดงความรังเกียจออกมาอย่างชัดเจนทันที นึกด่าตัวเองเมื่อก่อนที่นึกสนุกมาแต่งกับมนุษย์ที่มีอายุขัยสั้นกว่าตนเองหลายเท่า


        "ดิฉันขอตัวนะคะ"


         เจสซิก้ารีบวิ่งมาที่สนามโชคดีที่แอนนี่อยู่คนเดียวพอดีเจสซิก้าเลยเข้าไปขอให้แอนนี่ช่วยเป็นคู่ซ้อมแบบหลอกๆ และแอนนี่ก็ยอมทำตามแต่โดยดีเพราะรู้ว่ามาครูกำลังกลับมาตรวจดูอีกครั้งหลังจากส่งแขกเป็นที่เรียบร้อย

              "นี่"
              "หือ"
              เจสซิก้าที่ปัดมือของแอนนี่ได้ตอบรับอย่างแปลกใจ ทั้งสองต่างฝ่ายต่างรับต่างรุกกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร เอเลนไรเนอร์ที่ถูกแอนนี่ซัดมาต่างมองทั้งคู่ผลัดกันรับมือรับเท้าไปมาอย่างคล่องแคล่ว และยังมีคนอื่นที่หันมามองเป็นระยะๆด้วยการต่อสู้ที่ไม่เคยเห็นมาจากที่ไหนมาก่อน นี่มันใช่การซ้อมแน่เหรอ!!
              "เธอไปสูบบุหรี่มารึไง กลิ่นเหมือนกลิ่นบุหรี่มากเลยนะ"
              เวรนี่เราสูบมากเกินไปรึไงแอนนี่ยังได้กลิ่น ใจจริงก็อยากจะเลิกอะนะ แต่คนมันติดไปแล้วเปลี่ยนเป็นกลิ่นอื่นก็ไม่มีอันไหนที่ถูกใจเลยสักอัน
              "ใช่"
              "ไม่นึกว่าเธอจะสูบด้วย"
              "ก็คิดว่ากำลังจะเลิกอยู่เหมือนเพราะมันนำปัญหามาให้ฉันเยอะมาก"

              เจสซิก้ากระโดดหลบลูกเตะของแอนนี่เป็นรอบที่สอง แขนตั้งรับหมัดตรงอย่างรวดเร็วเสียงปรบมือดังจากรอบข้างไปทั่วแต่ก็ไม่สามารถดึงความสนใจของแอนนี่และเจสซิก้าได้ เพราะทั้งคู่รู้สึกได้ว่าถ้าสมาธิหลุดเมื่อไรถูกโจมตีกลับมาอย่างแน่นอน
              
              เจสซิก้าจัดการเปิดฉากอีกครั้งอาศัยความเร็วที่ร่างกายมีมากกว่าจับข้อมือของแอนนี่ไขว้ไปที่ด้านหลังไม่ปล่อยให้อีกข้างหนึ่งว่างเจสซิก้ารีบจับต้นแขนที่ว่างอยู่ของแอนนี่ไขว้ไปที่ด้านหลังอีกข้างด้วยเช่นกัน อาศัยร่างกายที่สูงกว่ากดหลังให้ก้มตัวต่ำลงมาก่อนจะปล่อยแอนนี่อย่างไม่ทันตั้งตัว แอนนี่ดันร่างกายของมาอัตโนมัติ แต่เพราะการเงยหน้าขึ้นมาอย่างกระทันหันอาการหน้ามืดเข้าครอบงำทันที แอนนี่จึงต้องยังก้มหน้าไปอีกสักพัก
              "เมื่อกี้คือสิ่งที่ฉันถูกสอนมาตั้งแต่เด็กๆเป็นท่าที่เอาไว้ใช้เวลาถูกจับมือแล้วอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย"
              เจสซิก้ายืนมือขอจับมือแอนนี่ แอนนี่มองคนพูดอย่างนิ่งเฉยแต่ในใจกลับรู้สึกยินดีที่มีคนที่เป็นเหมือนตนเอง เพราะท่าที่เจสซิก้าใช้เมื่อกี้ตนเองก็ได้ถูกสอนมาเหมือนกันเพียงแต่เจสซิก้ากลับใช้มันได้ดีกว่าเสียอีก
              "ฉันไม่เหมือนเธอหรอกนะ เพราะฉันแตกต่างจากเธอ"
              ถึงจะปากจะพูดอย่างนี่แต่มือก็ยอมจับด้วยอย่างเต็มใจ จนลืมไปแล้วว่าไรเนอร์กับเบลทรูทจับตามองดูอยู่
             

                "มัวทำอะไรกันอยู่หะ!!!"

       

                เสียงประทานมาจากสวรรค์ดังขึ้น เหล่าทหารฝึกหัดที่มามุงดูรีบแยกวงออกไปในทันที เหลือเพียงแค่แอนนี่กับเจสซิก้ายืนมองคนตะโกนด้วยสายตาแบบเดียวกัน จนครูฝึกยังแอบคิดว่าสองคนนี่เป็นพี่น้องกันรึเปล่า


                  "เป็นการต่อสู้ตัวต่อตัวที่ยอดเยี่ยมมาก"

                  ตามมารยาททหารฝึกหัดต้องทำความเคารพเมื่อได้พบกับผู้ที่มียศสูงกว่าตน แอนนี่และเจสซิก้าทำท่าเคารพต่อเอลมิน สมิธเมื่อได้รับคำชม 

                   "พวกเธอชื่ออะไรกันละ"

                   เอลวินที่ไม่ทันได้ถามเจสซิก้าเมื่อกี้ถามทั้งสองด้วยท่าทางที่เป็นมิตร แต่ตาของเอลวินกลับไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย ตามองทหารฝึกหัดสองคน แต่ในใจมองแต่เจสซิก้าที่อยู่ในร่างเด็ก12ปี


                     "แอนนี่ เลออนฮาน"

                     "ลิน่าคะ"


                      "เธอไม่มีนามสกุลงั้นเหรอ"

                      เอลวินถามคนบอกแค่ชื่อ เจสซิก้าแกล้งทำเป็นถอดหายใจเหมือนกับว่าคำถามเมื่อกี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกถามตามบทบาทที่เตี้ยมไว้

                      "ไม่มีคะดิฉันเกิดที่เมืองใต้ดิน "

                      เมื่อได้ยินคำว่าเมืองใต้ดินรีไวล์เริ่มสนใจลิน่าทันที 

                      "ใครเป็นคนเลี้ยงเธอ"

                       เหมือนมีอะไรบางอย่างดลใจรีไวล์ให้ถามออกไป เพราะเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายมาจากเมืองใต้ดิน  ไหนจะสีผม สีตา ที่เหมือนใครบางคน ใครบางคนที่เคยสอนการต่อสู้ให้ตนเอง

                      "...คุณพ่อคะ ทุกคนต่างเรียกเขาว่าเคนนี่"

                       ขอโทษนะเคนนี่นายได้ลูกสาววะ

                        "!!!"

                        แอนนี่มองเจสซิก้าพูดประวัติส่วนตัวของตนเอง ใบหน้าของเจสซิก้าเหมือนคนไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่พูด รีไวล์จับตามองเจสซิก้าว่ามีการโกหกอะไรหรือไม่ แต่ก็ไม่สามารถดูออกได้เลยว่าอีกฝ่ายโกหกหรือไม่เพราะสายตาที่นิ่งสงบ เยือกเย็นจนเหมือนจะแช่แข็งคนที่มอง


                          "แล้วพ่อของเธออาศัยอยู่ที่ไหน"

                        คราวนี่เอลวินเป็นถามเพราะไม่อยากจะเชื่อประวัติของลิน่าให้มากนักจากเหตุการณ์เมื่อครู่นี่ก็ทำให้เอลวินสงสัยอยู่แล้วว่าลิน่ากับเจสซิก้าจะเป็นคนๆเดียวกันรึเปล่า แต่มันก็ไม่มีวิธีไหนที่จะมาปลอมตัวให้เหมือนเป็นเด็กได้ขนาดนี่    

                    "เมื่ออาทิตย์ที่แล้วก่อนรับสมัครทหารฝึกหัด คุณพ่อพาดิฉันมาสมัครโดยที่ไม่บอกอะไรแล้วท่านก็ไม่ได้ส่งข่าวอะไรมาอีกเลย"

           

                        ไว้เดียวค่อยฝากเจคไปบอกกับเคนนี่แล้วกันว่าฉันยืมชื่อนายมาเป็นพ่อ


                        "รู้มั้ยยัยหนูเธอมีสายตาที่ไม่ธรรมดา สายตาของเธอเหมือนคนที่เกิดที่เมืองใต้ดินจริง และนั้นมันทำให้ฉันเกือบจะเชื่อเธอ"

                          รีไวล์เดินเข้ามาใกล้เจสซิก้าเพื่อมองใบหน้าสวยให้เห็นชัดๆ เจสซิก้ายังคงรักษาสมาธิเอาไว้เป็นอย่างดี ตามองรีไวล์ที่ตัวเท่ากันอย่างไม่มีความเกรงกลัว

                    "แต่ฉันไม่ชอบหน้าของเธอเพราะมันเหมือนผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นคนปากแข็งมากๆ และผู้หญิงคนนั้นก็มักจะทำหน้าแบบเดียวกับที่เธอทำอยู่"


                     ผู้หญิงคนนั้นหมายถึงเราเมื่อก่อนเปล่าหว่า แต่เท่าที่จำได้คนที่เราคุยมากที่สุดคือฮันซี่ไม่ใช่รึไง ส่วนรีไวล์เหมือนจะเป็นตอนที่.... เออนั่นดิตอนไหนวะเหมือนจะจำได้แต่ก็จำไม่ได้

                   "คือดิฉันไม่เข้าใจคะ ช่วยอธิบายให้เข้าใจได้มั้ยคะ?"

                   เจสซิก้าถามออกไปด้วยความรู้สึกจากใจจริง เธอจำไม่ได้ว่าเคยคุยกับรีไวล์แต่จำได้ว่ารีไวล์เคยพูดอะไรบางอย่าง บางอย่างที่เธอคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เธอกับรีไวล์เคยเถียงด้วยกัน

                   ด้วยสีหน้าที่ไม่มีความรู้สึกว่าโกหกรีไวล์ไม่สามารถจะพูดอะไรออกไปได้เพราะบางทีนี่อาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญที่ลิน่ามีใบหน้าที่เหมือนกับเจสซิก้า และบังเอิญที่แบล็กกระโดดเข้าไปคอเคลียกับลิน่าทั้งๆที่โดยปกติแล้วมันจะไม่ทำแบบนี่กับใครนอกจากเจสซิก้า

                   "ตอนนี่ยังอยู่ในเวลาซ้อมไว้วันหลังฉันจะมาใหม่ขอโทษที่มารบกวนการฝึกซ้อมนะลิน่า"

                   เอลวินที่เห็นว่าจะถามอะไรตอนนี่คงไม่เหมาะสมเพราะมันจะเป็นการรบกวนทหารฝึกหัดคนอื่นจึงพูดตัดประโยค เจสซิก้านึกในใจยังมาอีกเหรอ ว่างมากเหรอค้า ก็ได้ส่งยิ้มตามมารยาทที่ไม่โดยปกติทหารคนอื่นคงจะไม่ทำแบบนี่

                   "ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอตัวนะคะแอนนี่เราไปกันเถอะ"

                            


                           

                    5 ปีก่อน

                  "ถูกเจ้าหน้าสวยนั้นชกมารึไง"

                  รีไวล์ที่เห็นเอลวินกลับมาแล้วพูดทักรอยช้ำที่หน้า เรื่องที่เอลวินถูกชกนั้นเป็นที่รู้กันไปทั่ว เพราะมันเกิดขึ้นในร้านบาร์ของเจคเอง

                  "เขาดูโกรธมาก"

                  "แล้ว นายจะทำยังไงต่อตอนนี่นายก็กลับมาเป็นเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ"

      

                  คำว่าเมื่อก่อนของรีไวล์คือการที่เอลวินกลับมาครองโสดอีกครั้งและเอลวินคงต้องตัดใจเรื่องการมีครอบครัวหรือแต่งงาน ไม่มีใครอยากจะแต่งกับหน่วยสำรวจและไม่มีใครคนไหนอยากจะแต่งกับพ่อหม่ายเมียตายอีกด้วย

                   "ไม่หรอกรีไวล์ ดูนี่สิ"

                   เอลวินยืนสร้อยผลึกโลหิตให้รีไวล์ รีไวล์รับมันมาถือ มือสัมผัสได้ถึงจังหวะการเคลื่อนไหวที่เหมืนการเต้นของหัวใจ ถึงมันจะเบาก็ตามที

                    "สร้อยเส้นนี่มันมีชีวิต?"

                    "แม่ของเจสซิก้าบอกว่าสร้อยเส้นนี่เปรียบเหมือนตัวแทนของเจ้าของ ฉันคิดว่านี่คือสิ่งที่เธอคนนั้นจะบอก"

                    "ถ้าสิ่งที่เต้นเหมือนหัวใจคือหัวใจของยัยยาสูบ งั้นที่เห็นในวันนั้นคืออะไร?"

                    "เรื่องนั้นฉันไม่รู้"


                    มีบางอย่างกวนใจอย่างมาก เอลวินลองคิดถึงนิสัยของเจสซิก้า 

                     เจสซิก้าเป็นคนฉลาด มีความรู้รอบตัวเป็นอย่างมากและมักจะรู้อะไรบางอย่างอยู่เสมอ ตอนที่รถม้าเมื่อตอนนั้นเจสซิก้ารู้ได้อย่างไรว่าตนเองกำลังสืบประวัติ ในเมื่อมันเป็นความลับ ลูกน้องตัวเองก็ใช่ว่าจะไร้ความสามารถ

                    แถมตอนที่ถามเรื่องตะกูลตอนนั้นก็เหมือนจะไม่รู้สึกตัวแต่เพราะอะไรละ ตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ 

              

                    "รีไวล์นายไปเรียกฮันซี่ มิเกะมา"

                    เมื่อเหล่าหัวหน้าหน่วยตัวหลักมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาฮันซี่รีบรายงานงานของตนเองทันทีเพราะคิดว่าเอลวินเรียกร่วมตัวกันก็เพื่อการนี่


                    "เรื่องศพของเจสซิก้าทางเราได้ส่งไปให้น้องชาย เพื่อนำไปประกอบพิธีการ ไม่มีการพบสิ่งผิดปกติและเจคน้องชายดูเสียใจมากจริงๆ พวกคนงานต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพออยู่ตัวคนเดียวก็มักจะร้องไห้อย่างเงียบๆ"

                    เอลวินพยักหน้าพอรับรู้กับรายงานของฮันซี่

                    "ฉันรู้สึกว่าพวกเรากำลังเดินตามแผนของเจสซิก้า"

                   "หะ???"

                   "ทุกอย่างมันดูจงใจ จำเรื่องที่เจสซิก้ารู้เรื่องที่พวกเรากำลังสืบประวัติได้มั้ย ทำไมเธอถึงปล่อยให้สืบต่อละ มันน่าจะมีการกังวลหรือรู้สึกโกรธ กลัวถูกเจอความลับ"

                   เหล่าหัวหน้าหมู่ต่างทำท่าสับสนกับสิ่งที่เอลวินพูดและพากันคิดแบบเดียวกันว่า ที่เห็นในวันนั้นยังไม่เชื่ออีกเหรอว่าเจสซิก้าถูกไททันกินต่อหน้า แถมยังหัวขาดอีกต่างหาก

                    "และหลังจากนั้นฉันได้ถามเรื่องประวัติตระกูลของเจสซิก้า แต่หลังจากนั้นฉันก็จำอะไรไม่ได้ จำได้อีกทีคือฉันถูกผลักออกมา และเจสซิก้าก็ร้องไห้"

                     "...เอลวินนายทำผู้หญิงร้องไห้?"

                     คราวนี่เป็นมิเกะที่นานๆทีจะพูด ฮันซี่รีไวล์หันมามองเป็นตาเดียวกัน 


                    "ฉันจำไม่ได้จริงๆเหมือนเวลามันหยุดและกลับมาอีกครั้ง...."

               

                    "นายอยากจะบอกว่ายัยยาสูบไม่ใช่มนุษย์รึไง"

                    "ใช่"

                    "แต่วันนั้นนายก็ได้เห็นแล้วนี่นาเจสซิก้าถูกไททันกินเข้าไป"

                   "หากมีคำว่าไม่ใช่มนุษย์ จะมีเรื่องที่เหนือความหมายก็ไม่แปลก มนุษย์ปกติจะสามารถพังรั่วเหล็กชั้นดีในศาลได้รึไง"

                    ทุกคนต่างนิ่งเงียบกันหมดเพราะมันก็จริงอย่างที่พูด ต่อให้เป็นรีไวล์หรือผู้ชายตัวโตก็คงไม่สามารถพังได้ด้วยมือเดียว 


                    เจสซิก้าไม่ใช่มนุษย์ แล้วน้องชายของเจสซิก้าละ

        

                    "หยุดการสืบประวัติเจสซิก้าและคนรอบตัวซะ สิ่งที่ต้องทำในตอนนี่คือการจับตาดูเจคน้องชายของเจสซิก้าอยู่ห่างๆห้ามเคลื่อนไหวอะไรที่มากเกินไปกว่านี่ เรายังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นตัวอะไรหากผลีผลามมากเกินไปคงจะไม่ดี"

                ต่างคนต่างเครียดกับสิ่งที่ได้ยิน หากสิ่งที่เอลวินพูดเป็นจริง เจสซิก้าก็เปรียบเหมือนก้นแม่น้ำลึกที่ไม่ว่าจะดำลงไปลึกเท่าไรก็ไม่สามารถมองเห็นได้เลยว่า ใต้ก้นแม่น้ำนั้นมีสิ่งอยู่กันแน่อีกฝ่ายมีประวัติที่ชัดเจนแต่คลุมเครือ อีกฝ่ายมาจากชนชั้นสูงนั้นแปลว่าหน่วยสำรวจกำลังงัดข้อกับอำนาจที่มองไม่เห็น 

                ฉันคงได้แต่หวังว่าเรื่องในวันนั้นจะเป็นเพียงแค่เรื่องโกหก











              หลังจากวันที่ได้พบกับเอลวินจริงๆเป็นครั้งแรกสำหรับเจสซิก้าที่เสียความทรงจำไป หลายวันต่อมา เจสซิก้าก็ได้กลับไปที่ร้านบาร์หนึ่งวันและหนึ่งวันนั้นก็หมดไปกับการสู้กับเคนนี่ลูกค้าน่าตบประจำของร้าน ที่ได้มารู้ว่าเจสซิก้านั้นยังไม่ตายแถมตนเองยังถูกอ้างชื่อว่าเป็นพ่ออีก แต่ตอนท้ายเคนนี่ก็ยอมแกล้งทำเป็นพ่อให้ด้วยความนึกสนุก

           

                วันต่อมาเวรทำอาหารของเจสซิก้าก็ได้มาถึงซึ่งเจสซิก้าหมั้นหมายมานานแล้วว่าจะทำอาหารที่อร่อยที่สุดและสามารถหากินได้ในค่ายทหารฝึกหัด     

              อาหารที่มีเพียงแค่ซุปน้ำเปล่าๆกับขนมปังไม่เรียกว่าอาหารหรอก

              "ดูคล่องมือจังเลยนะ"
          แอนนี่มองเจสซิก้าที่หันผักอย่างคล่องแคล่ว ผักมากมายที่เจสซิก้าลงทุนไปเก็บมาจากในป่าตั้งแต่เช้าแน่นอนว่าต้องขออนุญาตจากครูฝึกก่อน 

         "อืม แอนนี่เธอช่วยไปบดมันฝรั่งให้ฉันได้มั้ยเอาให้ละเอียดเลยนะ"


                เจสซิก้าสั่งแอนนี่ที่ยืนมองแอนนี่ทำตามแต่โดยดีถึงจะมีงงอยู่ก็ตาม วันนี่ถือว่าเจสซิก้าอาจจะดวงดีเพราะนอกจากได้มาจับกลุ่มกับแอนนี่แล้วยังมีไรเนอร์ เบลทรูท และชาช่าที่ขอเข้ามาดูการทำอาหารด้วย แต่ใครๆก็รู้ว่าชาช่าต้องการอาหารต่างหาก

               ทุกคนต่างทำตามคำสั่งของเจสซิก้าเพราะอยากจะเห็นหน้าตาของอาหารในมื้อเย็นนี่ที่เริ่มมีหน้าตาที่น่ากินและมีกลิ่นหอม


                 "อร่อย!!!"

                 เสียงทหารฝึกหัดนายหนึ่งตะโกนออกมา ตอนแรกทุกคนทำหน้าแปลกๆเพราะไม่คิดว่า มื้อเย็นวันนี่จะมีอาหารอย่างอื่นนอกจากซุป แต่ยังมีสลัดมันฝรั่ง ซุปผักที่มีผักแบบง่ายๆแต่กลับมีกลิ่นหอมเป็นอย่างมาก จนแทบจะลืมขนมปังกันไปเลยทีเดียว

               "อร่อยจัง ไม่คิดว่าแค่เอาผักพวกนั้นมาต้มรวมกันจะอร่อยได้ถึงขนาดนี้"

               แอนนี่พูดชมเจสซิก้าขณะกำลังตักน้ำซุปเข้าปาก เจสซิก้าพึ่งมาสังเกตเห็นว่าวันนี่ไรเนอร์ เบลทรูทก็มานั่งร่วมโต๊ะราวกับว่าตนเองก็เป็นหนึ่งในแก๊งคนนอกกำแพง

               "ต้องขอบคุณที่ในกำแพงที่นี่มีทรัพยากรอยู่ครบถ้วน ติดอยู่อย่างเดียวคือไม่คิดจะพัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุด"

               ใช่ต้องขอบคุณที่ในกำแพงยังมีเครื่องปรุงรสต่างๆถึงจะไม่ค่อยมีหลากหลายเท่าไรแต่เครื่องปรุงหลักๆอย่างเกลือ น้ำตาล พริก ยังพอมี ที่บอกว่าไม่คิดจะพัฒนาเพราะอาหารในวันนี่มันเป็นเพียงแค่เอาผักมาต้มใส่เครื่องเทศสมุนไพร ใส่เกลือปรุงรส สลัดก็ทำได้ง่ายๆแต่ไม่มีใครคิดจะมาทำ


              "เธอพูดเหมือนว่าจะไม่ค่อยชอบที่นี่เท่าไรเลยนะ"

              "เพราะมันเหมือนโลกที่ล้าสมัยถ้าให้เปรียบเทียบกับที่มาเลย์"

              ใบหน้าตกใจของคนหลายคนปรากฎออกมาเจสซิก้าเห็นทันที ที่พูดออกไปไม่ใช่เพราะหลุดปากแต่เป็นการจงใจเจสซิก้าต้องการพวกไรเนอร์มีเรื่องกังวลใจมากขึ้นคือตนเอง และต้องให้พวกเขาคิดว่าตนเองเป็นพวกเดียวกันหรืออย่างน้อยก็เป็นคนที่มาจากบ้านเกิดเดียวกัน หากเกิดอะไรขึ้นมาความซับซ้อนที่ยุ่งเหยิงแบบนี่มันจะทำให้เจสซิก้ารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากถึงแม้จะน่ารำคาญไปนิดก็ตาม

              "ฉันหมายถึงไม่มีใครที่คิดจะพัฒนาอะไรเลยแม้กระทั้งเรื่องอาหารที่เป็นเรื่องง่ายๆ"

              "งะ งั้นเหรอ"


              เมื่อมื้อเย็นจบลงเจสซิก้าปลีกตัวออกมาเพื่อมาสูบบุหรี่ตามเคยชินก่อนจะไปอาบน้ำเธอไม่ชอบอาบน้ำที่มีคนเยอะๆหรืออาบน้ำกับคนเยอะๆ จึงรอให้คนอื่นอาบน้ำไปก่อน 

              "ลิน่า"

              แอนนี่เดินมาหาเจสซิก้าด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล เจสซิก้ารู้ดีว่าเป็นเพราะอะไรถ้าไม่ใช่เรื่องของไรเนอร์ แอนนี่ใจจริงเป็นคนดีมากและใจดีอยู่พอสมควรแต่เพราะคำว่าภารกิจและการคาดหวังจากคนที่บ้านเกิดทำให้เแอนนี่ต้องทำตัวเป็นคนเย็นชา เจสซิก้ายังคงไม่ดับบุหรี่ลงแต่หันไปทางอื่นแทนบอกถึงความใส่ใจของเจสซิก้าที่ตอนนี่เหมือนเป็นพี่สาวของแอนนี่ไปแล้ว

              "ถ้าเป็นเรื่องของไรเนอร์ไม่ต้องห่วง ไรเนอร์ต่อให้เขาป่วยจิตหรือเป็นบ้าแต่ก็ยังมีสมองคิดนะ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ได้มายืนสูบบุหรี่อยู่ตรงนี่หรอก"

              "ฉันก็ไม่ได้เป็นห่วงเธอหรอกนะ ฉันแค่กังวลเฉย"

              ว่าต่อไปนี่ฉันคงเชื่อเธอไม่ได้แล้ว ไม่สิเราไม่ควรเชื่อใจมนุษย์ที่อยู่ในกำแพงนี่ต่างหาก

              สีหน้าที่สื่อแทนคำพูดเจสซิก้ายกยิ้มมุมปาก ดีแล้วละอย่ามาเชื่อใจฉันเลย เพราะฉันไม่มีอะไรจะตอบแทนคำว่าเชื่อใจหรอก

              "ไม่ต้องเชื่อใจฉันหรอก แต่ฉันสัญญาว่าจะไม่พูดเรื่องของพวกเธอหากฉันโกหกก็จับฉันไปโยนให้ไททันกินได้เลย"

              แอนนี่มองหน้าเจสซิก้าอย่างเศร้าๆ แต่ก็บอกว่าจะเอาเรื่องนี่ไปบอกพวกไรเนอร์ให้ก่อนจะเดินจากไป เจสซิก้าหยิบบุหรี่มาสูบต่อคิดทบทวนสิ่งที่เกิดว่าเป็นไปตามแผนที่ตนเองวางไว้รึไม่


              ถ้าไม่นับเรื่องที่ได้พบกับเอลวินอีกครั้งกับเสียความทรงจำไปที่ถึงจะไม่มีผลกระทบกับแผนการของเธอแตมันก็ยังน่ารำคาญที่ความทรงจำมันขาดๆหายๆ ขนาดควาทรงจำที่มีของเอเลนรวมอยู่ด้วยยังไม่ชัดเจนเลยที่จำได้ก็มีแต่เรื่องที่ตนเองพาพวกเอเลนไปดูที่ห้องทำงาน

              "อยู่ที่นี่เองรึลิน่า วันนี่หน่วยสำรวจมีธุระกับเธอพวกเขารออยู่ที่ห้องรับแขก"

              ครูฝึกหน้าตาใจดีที่เป็นคนสอนทฤษฏีต่างๆมาตามเจสซิก้าด้วยใบหน้าที่ชวนผ่อนคลาย ไม่ดูดุดันเหมือนครูฝึกหัวหลอดไฟเบอร์ 5 เจสซิก้าดับบุหรี่แทบไม่ทันแต่ครูฝึกก็แกล้งทำเป็นไม่เห็นเพราะไม่อยากจะเอาความกับเด็กที่ตั้งใจเรียนมีมารยาทอย่างเจสซิก้า

              "คะ งั้นหนูขอตัวนะคะ"

              หน่วยสำรวจมาหาฉัน? เพื่ออะไรละคิดว่าฉันจะตอบเรื่องที่ตัวเองคือเจสซิก้าที่แต่งงานกับเอลวินรึไง หรือยังสงสัยเรื่องที่ฉันกับเจคเป็นคนนอกกำแพง ขอเพียงแค่เป็นผู้ต้องสงสัยก็ตามมาราวีตั้งแต่ก่อนตายยันจนตอนนี่เนี่ยนะ หน่วยสำรวจหรือหมากฝรั่งติดเท้ากันแน่ตามติดทนนานจริงๆ

              "ขออนุญาตนะคะ"

              "เข้ามา"

              เสียงที่เจสซิก้าจำได้ว่าเป็นเสียงของเอลวินก็ไม่ทำท่าแปลกใจเท่าไรเพราะตนเองก็ไม่มีความทรงจำความรู้สึกที่เกี่ยวข้องกับเอลวิน หรือไม่มีความคิดที่จะเปิดเผยตัวตนว่าไม่ใช่คนในกำแพงอยู่แล้วบอกไปก็เหมือนเป็นการโดดเข้ากองไฟอย่างโง่ๆ

              ทันทีที่เจสซิก้าเปิดประตูก็ต้องแปลกใจที่ภายในห้องมีเพียงแค่เอลวินอยู่เพียงคนเดียว

              ไหนบอกว่าหน่วยสำรวจมาหาไง ควรใช้คำว่าผู้บัญชาการสิคะครู

              "ที่เรียกตัวดิฉันมีเรื่องอะไรเหรอคะ"

              เอลวินไม่ตอบแต่กลับชงบางสิ่งบางอย่างที่เจสซิก้าคิดว่ามันคือกาแฟดำที่เป็นของชอบของเธอ เจสซิก้ายืนตัวนิ่งรออีกฝ่ายพูดตรงหน้าประตู

              "เข้ามานั่งก่อนสิ"

              "ขอบพระคุณคะ"

              เจสซิก้ามานั่งยังตำแหน่งที่นั่งข้างของเอลวินที่นั่งตรงหัวโต๊ะ ความจริงเธอควรนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแต่ตำแหน่งที่เอลวินวางกาแฟไว้นั้นมันอยู่ตรงนั้น เจสซิก้าจึงต้องจำใจยอมนั่งอยู่ข้างๆเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทของคนที่อุตส่าห์ชงกาแฟดำให้เธอ


              เจสซิก้านั่งมองเอลวินที่นั่งมองหน้าเธออยู่ราวกับว่ามองให้ทะลุตัวไปเลย ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดที่มีใครก็ไม่รู้มานั่งมองหน้าแล้วไม่พูดอะไร จึงเปลี่ยนความสนใจไปที่กาแฟก่อนจะทำการจิบมันเพื่อชิมรสขมของกาแฟ คิ้วขมวดเข้าหากันเนื่องจากมันมีการใส่น้ำตาลทำให้มันเป็นรสชาติที่ไม่ได้ถูกใจเธอมากนัก ตามองคนชงอย่างนึกว่าในใจแต่ก็พยายามคิดในอีกแง่หนึ่งว่าบางทีเอลวินอาจจะมองว่ากาแฟดำมันคงขมเกินไปสำหรับผู้หญิงอย่างเธอ

              "เธอชอบกาแฟดำไม่ใส่อะไรสินะ"

              เหมือนอ่านความคิดออกเจสซิก้ากำมือใต้โต๊ะอย่างแน่นที่มีคนอ่านใจออก เธอไม่ชอบแบบนี่ไม่ชอบให้คนที่เธอไม่รู้จักหรือไม่สนิทมาอ่านความคิดเธอได้

              "เธอหงุดหงิดที่ฉันใส่น้ำตาลลงไปสินะ"

              "ในเมื่อคุณรู้อยู่แล้ว แล้วจะใส่มันลงไปทำไมคะหากจะชงกาแฟให้คนอื่นที่พึ่งเจอกันก็ไม่ควรใส่อะไรลงไป ควรให้อีกฝ่ายทำด้วยตัวเองเพื่อจะได้รสชาติที่ถูกใจ" เจสซิก้าแยกเขี้ยวใส่อย่างโมโหเธอไม่ชอบกับการที่บางสิ่งบางอย่างถูกคนอื่นเข้ามายุ่งต่อให้สิ่งนั้นจะเป็นเพียงแค่อาหาร เครื่องดื่มก็ตาม

              เอลวินมองคนว่าอย่างอารมณ์ดีที่อีกฝ่ายมีปฏิกิริยาตามที่คาดเอาไว้เมื่อก่อนก็เคยลองแอบเอาน้ำตาลใส่ลงไปเพราะอยากจะลองของ แต่เจสซิก้าในตอนนั้นทำเพียงแค่พูดติเตียนอย่างสงบและนำกาแฟที่ถูกใส่น้ำตาลไปเททิ้งอย่างไม่ใยดี

              แต่ตอนนี่นอกจากอีกฝ่ายจะแสดงสีหน้าและอารมณ์ ยังฝืนกินเข้าไปด้วยความรู้สึกที่ใครๆก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ชอบ

              "โทษทีพอดีว่าเธอทำให้ฉันนึกถึงภรรยาของฉันนะ ฉันเลยอยากจะพิสูจญ์ว่าเธอเป็นคนเดียวกับเจสซิก้ารึเปล่า"

              เจสซิก้ามองหน้าคนพูดด้วยแววตาจะฆ่าให้ตายให้ได้ไม่ใช่เรื่องที่เอลวินพูดเมื่อกี้ แต่เป็นเรื่องรสชาติของกาแฟที่ยิ่งดื่มยิ่งหงุดหงิดกับความหวานที่มันมีจนแทบอยากจะสาดใส่หน้าคนชงถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายเป็น ผู้บัญชาการ 

              "คุณกำลังทำให้ฉันไม่เข้าใจ ช่วยอธิบายให้เข้าใจด้วยคะ"

              เธอรู้แค่ว่าเธอเคยแต่งงานกับเอลวินด้วยเหตุผลบ้าๆบอๆจากเจคว่า อยากได้ผัวจนตัวสั่น ทำให้เจสซิก้ารู้สึกโมโหตัวเองกับการกระทำโง่ๆของเธอเมื่อตอนนั้น ความทรงจำอะไรก็ไม่มีความรู้สึกตอนนี่ก็มีแต่ความหงุดหงิด

              ยัยโง่เจสซิก้าเอ่ย

              "ภรรยาของฉันเขาไม่ค่อยจะแสดงออกว่ารู้สึกอะไรอยู่ ต่อให้แสดงออกมาฉันก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างกั้นเอาไว้อยู่เธอทำหน้าที่ของภรรยาที่ดีอย่างไม่มีที่ติ ไม่เคยเรียกร้องอะไรจากฉัน"

              "คะ" จะให้เรียกร้องอะไรก็ในเมื่อตัวเองก็มีทุกอย่างอยู่แล้วมีบ้าน มีธุรกิจมีเงินเสื้อผ้าอาหารก็มีครบ

              "ไม่เคยโต้เถียงฉันมีแต่คำปฏิเสธที่ให้มา กับคำพูดที่คอยบ่นฉันเวลาที่ฉันแสดงความรักให้"

              เอากาแฟสาดใส่หน้าได้มะ เลี่ยนเป็นบ้า

              "จนกระทั้งวันหนึ่งเธอถูกไททันกินเข้าไปต่อหน้าต่อตาสิ่งที่เหลือเป็นของต่างหน้ามีแค่สิ่งนี่"

              เอลวินหยิบแหวนแต่งงานวางให้เจสซิก้าดู

              "แหวนแต่งงาน? สวยดีนะคะ"

              แหวนแต่งงานที่แพนโดร่าเคยมอบให้เป็นของขวัญสำหรับชีวิตแต่งงาน เธอจำได้ว่าเคยเห็นและตกใจกับมูลค่าของมันที่มีมากเกินไปสำหรับตัวเองและเอลวินแต่ตอนนี่มันก็เป็นเพียงแค่แหวนวงหนึ่งที่ถ้าเอาไปขายคงได้เงินกลับอย่างมหาศาล

              "แม่ของเจสซิก้าให้มา เธอคิดว่ายังไงละกับเรื่องที่ฉันเล่า"

              "....ขอแสดงความเสียใจเรื่องภรรยาของคุณด้วยนะคะ แต่ถ้าให้สรุปตามที่เข้าใจคุณกำลังคิดว่าดิฉันคือคนๆเดียวกับภรรยาของคุณทั้งๆที่ดิฉันมีอายุที่น้อยกว่าภรรยาของคุณ ซึ่งเรื่องนี่คุณจะอธิบายดิฉันว่ายังไงคะ"

              "ฉันเองก็ไม่รู้ว่า แต่เธอคิดว่ามันจะเป็นไปได้เหรอที่จู่ๆจะมีคนหน้าเหมือนกันราวกับแกะ แถมยังความเป็นมาที่น่าสงสัยอีก มันบังเอิญเกินไปรึเปล่าที่เธอจะเป็นลูกสาวของเคนนี่ผู้ที่เคยเลี้ยงดูรีไวล์"     

              "คุณกำลังจะสื่อว่าฉันรู้อยู่แล้ว และฉันก็ไม่ใช่มนุษย์ฉันคือเจสซิก้าภรรยาของคุณที่ถูกไททันกินเข้าไป"

              "ใช่"

              "คุณคิดว่ามันจะมีวิธีไหนที่จะรอดมาจากการถูกไททันกินได้ เท่าที่ฟังมาคุณพบแหวนนี่บนศพๆหนึ่งที่มันคือเครื่องยืนยันว่านั่นคือภรรยาของคุณนั่นแปลว่าเธอถูกกินเข้าไป"

              "นั่นก็ถูกของเธอทุกอย่างมันดูสมบูรณ์มากเกินไป" เหมือนประวัติของเจสซิก้าที่สมบูรณ์ครบถ้วนมากเกินไป

        

              "ท่านคะช่วยสรุปให้ดิฉันเข้าใจทีเถอะว่าต้องการอะไรจากฉัน"

              เจสซิก้าที่เริ่มจะหงุดหงิดพูดออกมาตรงๆ ตอนนี่เธอสัมผัสได้ว่าข้างนอกบ้านพักหลังนี่ยังมีคนอื่นแอบฟังทั้งรอบบ้านและบนหน้าต่างนั่นหมายความว่าเธอจะทำการสะกดจิตเอลวินและชิงหนีออกมาก็ไม่ได้แน่ๆ ยัยโง่เจสซิก้านี่เธอเผยความลับของตัวเองไปมากแค่ไหนกัน

              "ฉันคิดว่าเจสซิก้าไม่ใช่มนุษย์ เธออาจจะมีพลังบางอย่างที่ทำให้ร่างกายเด็กลง และให้ศพนั้นปลอมแปลงเป็นเจสซิก้าด้วยการสวมแหวนแต่งงาน"

              ได้ข่าวว่าศพของฉันหัวมันขาดไม่ใช่หรือไงแล้วใครมันจะไปลงทุนปลอมหัวศพได้

              "คุณมีมีดมั้ยคะ"

              "ไม่มีเธอจะเอาไปทำอะไร"

              เอามากรีดแขนตัวเองไง ให้เป็นเครื่องยืนยันว่าฉันคือมนุษย์แต่ไม่มีก็ไม่เป็นไร

              "ฉันจะเอามาสร้างแผลเพื่อยืนยันว่าฉันเป็นมนุษย์ และไม่ใช่ภรรยาที่แสนดีของคุณ"

              เจสซิก้าแสดงสีหน้าออกมาอย่างชัดเจนอย่างตอนนี่ตัวเธอนั้นไม่อยากเข้าใกล้เอลวินด้วยเหตุผลบางอย่าง บางอย่างที่มันน่ารำคาณและไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับตัวตนของเธอ

        

              เอลวินมองลิน่าอย่างรู้สึกเสียดายที่อีกฝ่ายต่อต้านตัวเองอย่างชัดเจนแต่ก็รู้สึกมีความสุขที่คนหน้าเหมือนเจสซิก้าแสดงอรมณ์ออกมาอย่างชัดเจน 

               ในใจก็มั่นใจอยู่แล้วว่าลิน่าคือเจสซิก้าอย่างแน่นอนแต่จะมาประกาศอย่างมั่นใจในตอนนี่ก็ไม่ได้ หลักฐานอะไรก็ไม่มี อีกฝ่ายก็เหมือนจะไม่รู้เรื่องจริงๆ


               เอลวินยืนมือไปจับหัวของเจสซิก้าที่ตัวเล็กกว่าเป็นอย่างมากอย่างรักใคร่ หากจะถามตัวเองว่ารักเจสซิก้าไปตอนไหนคงจะเป็นตอนชีวิตหลังแต่งงานที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ด้วยอะไรหลายๆอย่างที่เอลวินได้รับความเอาใจใส่จากเจสซิก้าถึงมันจะไม่ใช่ความรู้สึกที่แท้จริงแต่ก็มันก็ทำให้เอลวินเผลอรักผู้หญิงคนนี่ไปโดยที่ไม่รู้ตัว จนกระทั้งวันที่ได้เห็นเจสซิก้าถูกกินต่อหน้าต่อตา ในวันนั้นอยากจะไล่ฆ่าไททันทุกตัวหากไม่ใช่เพราะหน้าที่การงานเข้ามาเสียก่อน

              มุมมองจากคนที่ตัวสูงกว่าทำให้เห็นว่าเจสซิก้าช้อนตาขึ้นราวกับแมวตัวน้อยที่ทำท่าอ้อดอ้อน 

        

              "ทำบ้าอะไรของคุณถ้าคุณยังไม่หยุดอีกดิฉันจะไปฟ้องครูฝึกว่าคุณทำการลวมลามทางเพศและหลังจากนั้นไม่ว่าคุณจะใช้สิทธิในฐานะทหารอะไรก็ตามดิฉันก็จะไปยืนคำร้องเรียนจากศาลทหารว่าขอรับการคุ้มครอง"

              ได้ผลเอลวินรีบเก็บมือไปในทันทีไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดจริงหรือแค่ขู่แต่ตอนนี่เอลวินไม่ได้อยู่เพียงแค่คนเดียวยังอีกคนอื่นๆที่อยู่รอบๆบ้านพักอีกถ้าหากจะทำอะไรลงไปคงต้องเป็นตอนที่อยู่สองต่อสอง

              เจสซิก้าที่ใช้พลังดวงตามองความคิดของเอลวินก็ทำหน้าเหยเกรังเกียจขึ้นไปอีกชนิดที่ว่ารีบลุกขึ้นขอตัวไปพักผ่อนทันที ไม่รอคำอนุญาตจากอีกฝ่าย

        

              "เอลวินเด็กคนนั้นยังเป็นทหารฝึกหัดนะ"

              มิเกะเข้ามาพูดเตือนด้วยความหวังดีหลังจากที่เจสซิก้าออกไปแล้ว เพราะไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างคนที่ตายไปแล้วจะฟื้นคืนชีพกลับมาได้ ไหนจะการกระทำของเอลวินที่อายุก็เลยเลขสามไปแล้วแต่การกระทำเมื่อกี้มันคือการกินเด็กชัดๆ สงสัยคงจะรักเจสซิก้ามากเกินไปจนเห็นว่าเด็กผู้หญิงที่มีหน้าตาเหมือนกันเป็นคนๆเดียวกัน

              "มิเกะนายไม่ได้กลิ่นบุหรี่จากเด็กคนนั้นเหรอ คิดว่าในกำแพงนี่จะมีที่ไหนที่ขายบุหรี่กลิ่นมินต์บางละ"

              แต่หากคำพูดนี่ทำให้มิเกะพูดไม่ออก ได้แต่ค้านในใจว่าการที่จะทำให้ตัวเองกลับมาเป็นเด็กอีกครั้งมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าเธอจะไม่ใช่คนจริงๆตามที่เอลวินคิดเอาไว้


         

         


         

         

     





         

         

         


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×