คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ราตรีสวัสดิ์ เอลวิน
เสียงเคาะประตูเหมือนคนมีเรื่องด่วนมาหา เจสซิก้าที่กำลังดูสร้อยคอผลึกโลหิตต้องมาเปิดประตูเพื่อดูหน้าคนที่มาหา
คริช่า เยเกอร์
ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ต่างฝ่ายต่างรู้สึก สีหน้าของคริช่าดูตื่นตะหนก จำได้ว่าผู้หญิงคนนี่คือคนที่เอเลนเคยวิ่งไปชน และเธอก็พูดเรื่องนักรบขึ้นมาตอนเดินสวนทางกัน
"เข้ามาสิคุณหมอเยเกอร์"
คริช่าเป็นตัวละครที่น่าเวทนาในสายตาของเจสซิก้า และเป็นคนที่เจสซิก้าคิดว่าตกอยู่ในสถานการณ์เดียวนั้นคือการมีความลับกับคนใกล้ตัว
"คุณเป็นใคร?"
"ฉันเป็นคนในประเทศหนึ่งๆที่ห่างไกลจากสายตาของนานาชาติ และฉันเดินทางมาจนถึงที่นี่"
"ผมจะเชื่อใจคุณได้ยังไง"
"แย่จังที่ฉันไม่มีอะไรมายืนยันนอกจากสิ่งที่ฉันที่ให้เอเลนไป คุณเยเกอร์คุณจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ"
เจสซิก้าเว้นคำพูดไว้ช่วงหนึ่งรอดูว่าอีกฝ่ายมีอะไรจะบอกรึเปล่า แต่ดูๆแล้วอีกฝ่ายคงตั้งใจรอฟังมากกว่า
"แต่ว่าฉันอยากให้คุณสอนเอเลนให้รู้จักใจเย็น รอบคอบคิดถึงผลได้ผลเสียที่จะได้มาจากการตัดสินใจ"คริช่ามองเจสซิก้าอย่างไม่เข้าใจ จู่ๆก็พูดเหมือนอีกฝ่ายรู้บางสิ่งบางอย่าง แต่เพราะมันมีมากเกินไปคริช่าจึงต้องใช้เวลาประมาณผลเล็กน้อย เพื่อทำความเข้าใจ
"คุณ...ต้องการอะไร"
เมื่อเห็นว่าอีดฝ่ายหวังดีต่อลูกชายตนเอง แต่ไม่มีใครช่วยโดยไม่หวังผลประโยชน์ อีกฝ่ายก็เป็นถึงภรรยาของผู้บัญชาการทหาร จะดูถูกไม่ได้เด็ดขาด
รู้สึกว่าทั้งนายทั้งฉันต่างระวังตัวเองไม่ต่างกันเลยแฮะ
"เพราะทั้งนายและฉันมีอยู่เรื่องหนึ่งที่เหมือนกัน"
"............."
"การที่เรามีความลับกับคนใกล้ตัวยังไงล่ะ"
คริช่า เยเกอร์ไม่พูดอะไรเมื่อเห็นว่าเจสซิก้าไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อตนเองหรือคนในครอบครัว สิ่งที่เห็นมีแต่ความหวังดีใครบ้างที่จะไม่เป็นห่วงลูกตัวเองจากประสบการ์ที่ผ่านมาในชั่วชีวิตทำมห้คริช่าพอดูออกว่าเจสซิก้าไม่ได้ดูถูกหรือรังเกียจไม่อย่างนั้นคงไม่แต่งงานกับผู้บัญชาการเอลวินที่เป็นชาวเอลเดีย
คริช่ากล่าวขอโทษแทนเอเลนที่มารบกวนในเรื่องเมื่อวาน ก่อนจะขอตัวกลับเพราะไม่มีธุระอะไรอีกแล้ว
แต่เมื่อประตูได้ถูกเปิดออกก็ต้องพบกับแก๊งเพื่อนกันจนวันตาย เอเลน มิคาสะ อาร์มิน คริช่ารีบต่อว่าเอเลนที่มารบกวนอยู่สองสามประโยคก่อน
ก่อนที่เจสซิก้าบอกว่าไม่เป็นไร คริช่าจึงฝากให้เสซิก้าดูแลต่อ แต่ยังเตือนเอเลนด้วยความเกรงใจที่มีต่อเจสซิก้า
"ว่าไงวันนี่อยากจะรู้เรื่องอะไรงั้นเหรอ"
"ผมอยากให้คุณเล่าเรื่องของภาพวาดที่อยู่ในนี่ครับ"
อาร์มินชูสมุดวาดรูปให้เจสซิก้าเห็น มิคาสะก็ถือหนังสือเย็บปักถักร้อยแบบชาวตะวันตกมาด้วย ท่าทางวันนี่เธอคงจะยุ่งน่าดู
เอลวินที่เสร็จงานจากหน่วยสำรวจก็กลับมาที่บ้านในช่วงเย็น ถึงจะงานยุ่งมากแต่ไหนแต่เอลวินก็จะกลับมาที่บ้านให้ได้ ถึงเจสซิก้าจะเคยบอกแล้วว่าหากงานยุ่งมากก็สามารถนอนค้างที่หน่วยก็ตาม
"แพ้อีกแล้ว...."
เสียงไม่คุ้นหูดังออกมาจากภายในบ้าน เอลวินไม่เคยจำได้ว่าตนเองมีญาติหรือคนรู้จักที่เป็นเด็ก และเจสซิก้าเองก็ไม่เคยพูดถึงเช่นกัน
เพื่อตอบข้อสงสัยเอลวินเปิดประตูเข้าไปในบ้าน เจสซิก้าออกมาพูดต้อนรับกลับบ้าน ก่อนจะเข้าไปถอดเครื่องแบบ ส่งน้ำให้ดื่มแก้กระหายเอลวินมองเด็กสามคนที่ยืนเรียงกันอย่างแปลกใจ แต่ยังคงไม่ถามออกไป
"เอลวินนี่เอเลน มิคาสะ อาร์มิน ทุกคนนี่เอลวินผู้บัญชาการหน่วยสำรวจ"
เอเลน อาร์มินตาเป็นประกายเมื่อได้มาอยู่ตรงหน้าชายผู้ที่เป็นผู้บัญชาการ เอเลนเป็นคนแรกที่เข้าไปถามต่างๆนาๆ ว่านอกกำแพงเป็นเช่นไร ภาพทิวทัศน์ต่างๆเป็นอย่างไรในสายตาของเอลวิน แต่ไม่มีคำถามแปลกๆหลุดออกไป เพราะเจสซิก้าได้บอกทั้งสามคนก่อนหน้านี่แล้วว่าให้เก็บเรื่องที่ของเธอเป็นความลับ ไม่อย่างนั้นเจสซิก้าจะไม่ให้พวกเอเลนมาเล่นที่บ้านอีก เอลวินพูดคุยเพียงเล็กน้อยกับพวกเอเลนก่อนที่จะเสนอตัวไปส่งทุกคนที่บ้าน เพราะตอนนี่พระอาทิตย์ก็ตกดินแล้วเดียวมืดขึ้นมาพ่อแม่จะเป็นห่วงเอา
"นี่พี่สาวครับทำไมผมเล่นหมากรุกไม่ชนะพี่สักทีละครับ มีอะไรที่ผมพลาดไปรึเปล่า"
อาร์มินหันมาถามเจสซิก้าก่อนที่เท้าจะก้าวออกไป ท่ามกลางความสงสัยของทุกคนโดยเฉพาะเอลวิน ตนเองก็เคยเล่นหมากรุกกับเจสิก้าอยู่เช่นกันมีแพ้บ้างชนะบ้าง การที่เด็กเล่นหมากรุกแล้วจะแพ้ผู้ใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรมากมายทำไมถึงถามออกไปแบบนั้นกัน
"นั้นสิเล่นตั้งยี่สิบครั้งแต่ไม่ชนะพี่เลยสักครั้ง"
เอเลนเข้ามาสมทบด้วยอีกคนอาร์มินเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในกลุ่ม มีหลายครั้งที่อาร์มินเกือบจะชนะแต่เผลอเพียงแค่แปปเดียวตัวคิงก็โดนรุกฆาตเสียแล้ว
"การเล่นหมากรุกมันมีหัวใจสำคัญอยู่อย่างหนึ่ง นั้นคือการมองให้ออกมาว่าอีกฝ่ายจะเคลื่อนต่อไปยังไงอาร์มินเธอนะเป็นคนฉลาดแต่เพราะความประมาทเธอเลยแพ้ทุกครั้ง อย่างพึ่งวางใจจนกว่าตนเองจะชนะอย่างแท้จริงเข้าใจมั้ย"
เจสซิก้าอธิบายเหตุผลให้ฟัง มันเป็นความจริงกลยุทธ์ต่างๆนาๆที่เธอนำมาเล่นอาร์มินสามารถดักมันได้เกือบทุกครั้ง แต่พอตัวเองใกล้จะรุตฆาตได้ก็จะมัวแต่ดีใจโดยที่ไม่ทันสังเกตว่าบางครั้งก็ถูกดักเป็นที่เรียบร้อย บางครั้งหมากตัวสำคัญก็ถูกกินไปหมด เอลวินพาเด็กๆไปส่งที่บ้านไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปมากกว่านี่
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงเจสซิก้าที่พึ่งอาบน้ำเสร็จเข้ามาในห้อง เอลวินกำลังอ่านหนังสือเรื่องภูมิศาสตร์อยู่บนเตียงซึ่งเจสซิก้าเห็นว่ามันเป็นหนังสือภูมิศาสตร์ทั่วๆไปที่กล่าวถึงแต่สิ่งที่มีอยู่ในกำแพง ให้บอกเพิ่มคือเอลวินอ่านซ้ำไปซ้ำมาอยู่เพียงแค่เล่มเดียว
เจสซิก้านั่งบนเตียงมองหนังสือที่เอลวินอ่านอย่างสนใจ เอลวินที่เห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่มองหนังสือเล่มโปรดแต่ไม่เข้ามาถามมือหนาอุ้มอีกฝ่ายโดยใช้เพียงแค่มือเดียวให้มานั่งบนตัก เจสซิก้ารู้สึกตกใจเป็นอย่างมากแต่ก็เก็บอาการเอาไว้ไม่แสดงออกมาให้อีกฝ่ายรู้ เอลวินกางหนังสือมาไว้ตรงหน้าหญิงสาว คางเกยขึ้นมาบนไหล่ เจสซิก้ารู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะบ่นอีกฝ่ายเลยพิงตัวเองไปกับแผ่นอกกว้างของเอลวิน
"หนังสือเล่มนี่มันดูเก่ามากเลยนะ"
"มันเป็นของพ่อฉันนะ พ่อของฉันเป็นศาตราจารย์สอนหนังสือ"
"หืม"
เจสซิก้าอือออตาม เพราะรู้อยู่แล้วว่าพ่อเอลวินทำอาชีพอะไรแต่ที่เจสซิก้าสังเกตเห็นคือตรงหน้าปกที่มีลายแปลกเหมือนลายเซนต์บางอย่าง
จัดทำโดย แพนโดร่า ธีอา
แม่!!
โชคดีที่มันถูกเขียนด้วยภาษาอีกภาษาหนึ่ง ทำให้มันดูเหมือนเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์แปลกๆที่อยู่ริมหน้าปก เจสซิก้ายิ้มอย่างเหนื่อยใจที่ขนาดเจ้าตัวไม่ได้อยู่ที่นี่ชื่อก็ยังตามาหลอกหลอนให้ปวดสมองอีก
"รู้จักสัญลักษณ์นี่ด้วยเหรอ"
ฉันคิดไปเองรึเปล่าเอลวินกอดฉันแน่นขึ้น
"เปล่าแค่พึ่งมาสังเกตเห็นนะว่ามันแปลก"
"งั้นเหรอ นึกว่าเธอจะอ่านออกซะอีก"
เหมือนแขนเอลวินที่กอดเอวฉันอยู่มันแน่นขึ้นกว่าเดิม แถมไหนจะประโยคคำพูดเมื่อกี้ที่รู้สึกเหมือนจะไม่ปกติเท่าไร
ฉันหันไปมองคนข้างหลังสายตาจับผิดของเอลวินมองหน้าฉัน ถ้าฉันไม่พูดอะไรออกไปเอลวินคงไม่ปล่อยมือแน่ๆ นึกว่าจะไม่สงสัยฉันแล้วซะอีก ไม่นึกเลยว่าจะยังคิดว่าฉันเป็นผู้ต้องสงสัย
"ฉันอ่านไม่ออกหรอก"
มารยาร้อยเล่มที่เคยเห็นมาจากแม่ต้องงัดออกมาใช้ เจสซิก้าพิงหัวไปที่แผ่นอกของเอลวินอย่างออดอ้อน จมูกก็ดมกลิ่นหอมหวานสมชายจนเกือบจะระงับอาการไม่ไหว นี่ถ้าเจสซิก้าไม่ไปล่าอาหารนอกกำแพงมีหวังสักวันหนึ่งที่เอลวินอาจจะตายเพราะเสียเลือดมากเกินไป
เอลวินมองคนปากแข็ง ริมฝีปากเรียวบางสีซีดตามประสาของคนสูบ แต่เหมือนตกอยู่ในมนต์สะกดเอลวินก้มลงไปประทับจูบกับริมฝีปาก ไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้าการกระทำที่เกินความคาดหมายส่งผลให้เจสซิก้ามองอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง เอลวินเองก็เช่นกันเพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นสีหน้าแบบนี่อีกครั้ง สีหน้าของคนที่กำลังเขินอายเหมือนตอนที่เจอกันครั้งแรกในร้านบาร์
"ฉันนอนก่อนนะ!!"
เจสซิก้าพาตัวเองออกมาจากอ้อมกอดของเอลวิน กระชากผ้าห่มคลุมตั้งแต่หัวจนถึงเท้าไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นหน้าเธอตอนนี่ ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอแบบนี่แต่ถ้าโดนแบบไม่ทันตั้งตัวคนเราก็ต้องมีเขินเหมือนกัน
รอยร้าวที่กำแพงหินเหล็กเริ่มขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ เจสซิก้ารีบจัดการซ่อมแซมรอยร้าวกำแพงในใจ แต่ไม่ทันได้ซ่อมเหมือนมีมือมาทุบกำแพงให้ร้าวเพิ่มขึ้นไปอีก
"เอลวิน!?"
อีกครั้งที่เอลวินกอดเจสซิก้าใต้ผ้าห่มเดียวกัน ตั้งแต่แต่งงานกันมาเอลวินไม่เคยล่วงเกินเจสซิก้านอกจากแตะนิดจับหน่อย เพียงแต่ด้วยปฏิกิริยาที่นิ่งเฉยของเจสซิก้ามันทำให้เอลวินรู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้มีอารมณ์ร่วมด้วยเลย สู้ตอนนี่ไม่ได้ที่ไม่ว่าจะทำอะไรเจสซิก้าก็จะดิ้นไปดิ้นมาใต้ผืนผ้าห่มกับเอลวินที่รู้สึกสนุกกับการแกล้งอีกฝ่าย
"โกรธฉันที่แกล้งเธอเมื่อคืนเหรอเจสซิก้า มื้อเช้าวันนี่ดูแปลกๆชอบกลนะ"
เอลวินทักเจสซิก้าที่ตื่นมาเตรียมอาหารเช้าตามปกติ สิ่งที่ไม่ปกติคือมื่อเช้าของวันนี่คือปริมาณข้าวผัดผักที่มีมากกว่าปกติ เมื่อเทียบกับของเจสซิก้าไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหวังดี หรือกำลังแช่งให้ตนเองท้องแตกตายกันแน่
อาหารที่เจสซิก้าเป็นคนทำจะมีหลากหลายเมนูและมีหลายเมนูที่เอลวินไม่เคยเห็น เหมือนอย่างเมนูข้าวผัด ปกติแล้วข้างสาลีจะถูกนำมาทำเป็นแป้งเพื่อนำไปทำเป็นขนมปังต่อ แต่เจสซิก้ากลับนำมาต้มกับน้ำจนกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าข้าวสวยรสชาติหอมนุ่มติดลิ้น แต่วันนี่ดูทรงแล้วข้าวผัดจานนี่มันต้องมีรสชาติเผ็ดอย่างแน่นอน
"อร่อยมั้ยเอลวิน ฉันตั้งใจทำเป็นพิเศษเลยนะวันนี่"
เผ็ดมาก แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไปเพราะไม่อยากทำให้อีกฝ่ายโกรธไปมากกว่านี่ ไม่อย่างนั้นเดียวอาหารการกินจะมีปัญหาเอาได้
เจสซิก้ารู้สึกอารมณ์ดีขึ้นเมื่อได้เอาคืนอีกฝ่าย ใบหน้าที่แดงก่ำเพราะความเผ็ดของพริกที่เธอลงทุนไปหาซื้อในตอนเช้าทำให้เจสซิก้าสะใจเป็นอย่างมากที่ได้เอาคืนอีกฝ่าย พวกเอเลนมาหาเจสซิก้าที่บ้านเกือบๆทุกวัน มีวันหนึ่งที่เอลวินก็จะอยู่บ้านด้วยวันนั้นเอลวินเล่นหมากรุกกับอาร์มิน ถามตอบแลกเปลี่ยนความคิดกันทั้งวัน โชคดีที่อาร์มินไม่พูดอะไรไปมากนอกจากการเสนอความคิดเห็นตามประสาของเด็กๆ โดยไม่มีการพูดถึงสิ่งที่อยู่นอกกำแพง คำตอบของอาร์มินทำให้เอลวินรู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก เอเลนที่รู้มาว่าเจสซิก้าเป็นคนต่อสู้เก่งก็ขอให้เจสซิก้าช่วยสอนวิชาการต่อสู้ พอมิคาสะได้เห็นวิชาการต่อสู้ของเจสซิก้าก็ขอเรียนด้วยอีกคน
ถ้าหากเจสซิก้าเป็นมนุษย์ธรรมดาคงตายไม่ก็แขนขาหักไปนานแล้ว มิคาสะเป็นคนที่น่ากลัวมากในหลายๆความหมายลูกหมัดลูกเตะแต่ละครั้ง รุงแรงกว่าที่ตาเห็น ศิลปะการป้องกันตัวการโจมตีคู่ต่อสู้มิคาสะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ส่วนเอเลนเป็นเหมือนพวกสายกลางไม่ได้เก่งกาจอะไรมาก แต่มีความมุ่งมั่นที่ดี ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
เจสซิก้าให้ทั้งสามคนเก็บเรื่องราวต่างๆที่เจสซิก้าได้สอนไปให้เป็นความลับจากทุกคน ยกเว้นคนในครอบครัวและหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์ในอนาคตข้างหน้า
หนึ่งเดือนผ่านไปวันที่เอลวินต้องออกไปสำรวจก็มาถึงเจสซิก้าทำข้าวกล่องมื้อกลางวันให้เอลวินเป็นกรณีพิเศษ อันที่จริงถ้าเอาตามเนื้อเรื่องถือว่ามันถูกเปลี่ยนไปเยอะมาก ตั้งแต่กำหนดการออกสำรวจที่เอลวินบอกมาว่าจะมีการตั้แคมป์เพื่อสำรวจเส้นทาง แต่ในเนื้อเรื่องหน่วยสำรวจจะออกเช้ากลับเย็น จากเสียงบ่นแกมด่าจากประชาชนเป็นเสียงให้กำลังใจขอให้หน่วยสำรวจได้พบสิ่งใหม่ๆ ทางราชสำนักก็ดูจะไม่มีคำสั่งอะไรออกมาเป็นพิเศษไม่มีคำสั่งว่าห้ามยุ่งกับโลกภายนอก แสดงว่าราชาฟริสหรือฟรีด้าเองก็กำลังสนับสนุนหน่วยสำรวจแบบทางอ้อมๆ โดยที่ไม่มีการขัดขวาง ก้างขวางคอชิ้นใหญ่ในตอนนี่คือพวกขุนนางที่เห็นแก่ตัว
หน่วยสำรวจที่มักจะได้ยินแต่เสียงบ่น ด่า ว่าออกกันไปตายกลายเป็นเสียงให้กำลังใจแบบเงียบๆ ถึงะมีคนต่อต้านอยู่บ้างก็ตาม
"แปลกจังเลยนะที่วันนี่เธอทำข้าวกล่องให้ฉันด้วย"
"ทำให้ก็ดีเท่าไรแล้ว เดียวหลังจากนี่ฉันทำข้างกล่องมื้อกลางวันให้ทุกวันเลยเอามั้ย"
เจสซิก้าเก็บจานลงซิงค์มือถอดแหวนแต่งงานออกเพื่อที่จะได้ล้างจานได้สะดวก แหวนแต่งงานสีเงินที่แม่ของเจสซิก้าเป็นมอบให้แหวนที่ทำให้แขกในงานต่างให้ความสนใจไม่น้อย จนพวกขุนนางราชการต่างมาถามถึงแหวนแต่งงานที่ได้มา เอลวินได้แต่หลีกเลี่ยงด้วยคำตอบที่ว่าเป็นของโบราณ(ซึ่งมันก็โบราณจริงๆ)
"ไม่นึกเลยว่าฉันจะมาถึงจุดนี่ได้ รู้ตัวอีกทีฉันก็ได้ภรรยาที่ขี้บ่นขี้โมโหมาตอนไหนก็ไม่รู้"
เจสซิก้าทำเป็นหูทวนลมกับการรำลึกความหลังของเอลวิน กำหนดการคือช่วงเวลา 8 โมงที่ออกไปสำรวจแต่ผู้บัญคับบัญชากลับยังนั่งดื่มชาอย่างสบายใจเจสซิก้าหยิบสัมภาระที่จำเป็นมาให้เอลวิน ก่อนจะลากตัวคนตัวใหญ่ให้ลุกขึ้นคนเป็นหัวหน้าต้องเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกน้อง
สร้องผลึกโลหิตคล้องคอหนาไว้ให้รู้ว่าเป็นเครื่องรางเหมือนทุกๆครั้งที่เจสซิก้าจะให้ก่อนที่จะออกไปสำรวจ และทวงสร้อยคอทุกครั้งที่กลับมาเอลวินไม่เคยตั้งคำถามเรื่องสร้อยคอเพราะได้ฟังมาจากแพนโดร่าแล้วว่า ตอนเจสซก้าเด็กๆมักจะโชคร้ายเสมอพ่อของเธอเลยให้สร้อยคอไว้เป็นเครื่องรางก่อนที่จะตาย และมันเป็นของขวัญชิ้นเดียวในชีวิตที่เจสซิก้าจะได้รับมาจากพ่อ เอลวินจะรักษาสร้อยคอเส้นนี่เป็นอย่างดีเพราะมันเป็นของสำคัญของเจสซิก้า
"เดินทางปลอดภัยนะเอลวิน"
เจสซิก้าอวยพรให้แก่เอลวิน เอลวินดึงร่างสมส่วนของเจสซิก้าเข้ามากอดเหมือนไม่อยากเสียเจสซิก้าไป เหมือนมีลางสังหรณ์บางอย่างเหมือนกับว่าทุกอย่างที่ผ่านมาจะหายไปราวกับเป็นความฝัน
"เอลวิน? เดียวก็สายหรอก"
เจสซิก้าพยายามดันตัวเองออกมาด้วยแรงของมนุษย์ธรรมดา แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมปล่อย
"เจสซิก้าไม่ว่าเธอจะปิดบังอะไรอยู่ก็ตามสักวันฉันจะต้องรู้ให้ได้"
อีกครั้งที่รอยร้าวของกำแพงปรากฏรอยร้าวหลังที่เจสซิก้าเพิ่งจะซ่อมแซม ส่วนลึกของจิตใต้สำนึกกำลังสั่นไหว เจสซิก้ารู้ว่ามันคือความลังเลที่เธอไม่ได้รู้สึกมานานมากแล้ว อยากจะบอกความจริงออกไปเพราะไม่อยากเห็นเอลวินเจ็บปวด แต่อีกใจหนึ่งอยากจะเห็นสีหน้าเป็นทุกข์ของเอลวินอยากจะเห็นสีหน้าของคนที่เสียคนเป็นที่รัก เพราะมันคือชัยชนะ?สำหรับเจสซิก้า
หากบอกไปตอนนี่มันก็ไม่มีเปลี่ยนแปลงไปมากกว่านี่แล้วละ หลายคนหลายชีวิตกำลังจะเริ่มต้นแผนการในวันนี่ และมันต้องมีการเสียสละเพื่อชีวิตคนหมู่มาก จะถอยหลังกลับไม่ได้อีกแล้ว เราไม่สามารถจะย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้แล้วเจสซิก้า
"ฉันจะรอนะ"
คำพูดลมปากที่ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เจสซิก้ากอดตอบเอลวิน แต่มันเป็นกอดที่เจสซิก้าคิดว่าหลังจากนี่เอลวินคงจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสอีก เอลวินที่ไม่รู้เลยว่าอีกไม่นานอีกไม่กี่ชั่วโมง ร่างกายนี่จะไม่ได้มีชีวิตอีกต่อไปจะเป็นเพียงแค่ร่างไร้วิญญาญ
ตามเนื้อเรื่องช่วงเวลาที่กำแพงถูกเจาะโดยไททันมหึมาจะเป็นช่วงเวลาเย็นๆ วันนี่เห็นว่าเอเลนออกไเก็บฟืนกับมิคาสะ อาร์มินก็ตามไปเก็บด้วยเพราะอยากจะฝึกร่างกายให้แข็งแรงขึ้น เจคที่รู้ข่าวจากเจสซิก้าว่าวันนี่จะเป็นวันที่ไททันจะบุกเข้ามาก็มาหาเจสซิก้าที่บ้าน เพื่อที่จะเตรียมพร้อมรับมือกับการโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัวของพวกนักรบ อุปกรณ์สามมิติถูกเช็กแล้วเช็กอีก แผนการถูกทบทวนหลายต่อหลายครั้งเพราะเกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมาเจคอาจจะเสียพี่สาวของตนไปตลอดกาลจริงๆ
เป้าหมายคือการหยุดยั้งไม่ให้ไททันเกราะเจาะประตูกำแพงวอลมาเรียไม่อย่างนั้นจะเกิดการสูญเสียพื้นที่อย่างใหญ่หลวงตามเนื้อเรื่อง และนั้นคือสิ่งที่เจสซิก้าไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้น ร้านบาร์ โรงงานผลิต ร้านตัดเย็บเสื้อผ้า เจสซิก้าตั้งมันไว้ในกำแพงวอลมาเรียเพื่อเป็นการกดดันตัวเองในตอนแรกว่าหากทำพลาด ทุกสิ่งทุกอย่างที่สร้างขึ้นมาจะหายไปในทันที
"เจอรี่เธอแน่ใจนะว่า แม่จะช่วยจริงๆ"
"ถ้าแม่ไม่ช่วยฉันก็แค่จ่ายบางอย่างเพื่อแลกกับชีวิตใหม่ ยากตรงไหน"
เพราะสิ่งที่ต้องจ่ายมันคือความทรงจำยังไงละ เจสซิก้า!! แบบนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรจากตายไปเลยนะ
"มาแล้วละ"
เจสซิก้าบอกเจคที่กำหน้าอมทุกข์ เสียงฟ้าผ่าแสงสีทองกระกายแสงจากด้านนอก จากนั้นไม่นานทั้งคู่ก็รู้สึกได้ถึงแรงสั้นสั้นสะเทือนไม่ต้องให้บอกก็รู้ว่ามันคืออะไร ไททันมหึมากำลังเจาะประตูเข้ามา!
"เราออกไปกันเถอะ"
เจสซิก้าโยนผ้าคลุมของทหารรักษาการณ์ให้เจค เพื่อให้แนบเนียนไปกับทหารที่อยู่ด้านนอกก่อนจะใช้อุปกรณ์สามมิติออกไปยังด้านนอก บ้านถูกก้อนหินซัดส่วนที่เป็นหลังคา โชคดีที่ไม่มีใครถูกก้อนหินก้อนนั้นทับ แต่คนอื่นๆกลับไม่โชคดีแบบนั้นเสียงวีดร้อง เสียงร้องหาคนเป็นที่รักดังไปทั่ว บางคนถูกก้อนหินทับทั้งร่าง บางคนถูกไททันที่เข้ามาจับกิน
เป็นบรรยากาศที่ทั้งเจค และเจสซิก้าเคยได้สัมผัสตอนเด็กๆ บรรยากาศของความกลัวจากผู้ที่ไม่ได้รู้อะไรเลย
"เจคนายไปสนับสนุนทหารกองรักษาการณ์ที่อยู่ตรงประตูซะ ฉันจะไปช่วยเอเลน"
เพราะคาร่าตายเอเลนเลยมีแค้นเป็นแรงผลักดันในการมีชีวิตต่อ และความแค้นทำให้เอเลนมองเห็นแต่ความทรงจำด้านมืดของไททัน ตอนที่เอเลนโตแล้วถึงได้เลือกที่จะทำร้ายจิตใจของเพื่อนตนเอง ทั้งๆที่เคยสัญญาเอาไว้จะปกป้องทุกคน
ไม่นานเจสซิก้าก็มาถึงบ้านของเอเลนที่มีก้อนหินทับอยู่จริงๆ เด็กสองคนกำลังช่วยกันยกหลังคาที่ตัวของคาร่า เจสซิก้าไม่พูดอะไรมากรีบเข้าไปช่วยยกหลังคาด้วยตัวคนเดียวท่ากลางความตกใจของทุกคน เมื่อเห็นร่างของคาร่าแล้วถึงกระโปรงจะบังส่วนที่เป็นขาแต่ดูจากข้อเท้าที่บิดผิดรูปน่าจะหักจริงๆ
"มิคาสะเอเลน รีบพาคุณคาร่าออกมาสิ!"
แรงสั้นสะเทือนของฝีเท้า ทั้งสามคนมองที่มาของเสียง เป็นไททันร่างใหญ่หน้ายิ้มผมสีทอง ที่เป็นหน้ายิ้มเพราะก่อนถูกฉีดยานั้นไดน่าได้ยิ้มให้แก่คริช่าว่าไม่ว่าคริช่าจะอยู่ที่ไหนตนเองก็จะไปหาคริชาจนกว่าจะเจอ แต่ตอนนี่ไอหน้ายิ้มๆนั้นเมื่อได้มาเจอกับตัวมันเหมือนรอยยิ้มของแม่ที่ดูสะใจเวลาที่คู่แข่งแพ้ หรือตายซะมากกว่า
มันใช่เวลาบรรยายมั้นเนี่้ยตอนนี่เมียหลวงตามมาแดกหัวเมียน้อยถึงบ้านแล้วนะ!!
เจสซิก้ารีบคว้าท่อนไม้ที่หักอยู่รอบตัวมาเข้าเผือดคาร่าด้วยความเร็วแสง เอเลนกับมิคาสะได้แต่มองอย่างตกตะลึงเพราะมองไม่ทันเลยว่าเจสซิก้าทำอะไรอยู่จนกระทั้งเผือดแบบง่ายเสร็จเรียบร้อย กระจวบเหมาะที่ฮันเนสก็มาพอดี เจสซิก้าอุ้มคาร่า ให้ฮันเนสอุ้มเอเลนกับมิคาสะไป
ไททันไดน่ายืนมือมาเหมือนเสียดาย สงสัยเพราะตามสัญชาติญาญที่อยู่ใต้จิตสำนึกคิดว่าคาร่าคือกริช่าสามีของตนเอง เจสซิก้ามองไททันที่ตอนนี่เหมือนทำหน้าเศร้า แต่ถ้าหยุดวิ่งมีหวังทั้งเธอทั้งเด็กๆถูกกินหัวอย่างแน่นอน
ฮันเนสมาพาพวกเอเลนมาฝากไว้กับทหารนายหนึ่งเพราะมีคนเจ็บอย่งคาร่าอยู่ด้วย ทหารนายนั้นรีบพาคาร่า เอลเลน มิคาสะไปขึ้นเรือทันที ก่อนขึ้นเรือเจสซิก้าบอกให้เอเลนไปยังร้านบาร์ที่เคยพาไปเพื่อไปขอความช่วยเหลือจากคนในร้าน
"เจสซิก้าทำไมเธอถึงสวมผ้าคลุมทหารกองรักษาการณ์ละ"
"...... เดียวจะบอกทีหลังนะ รีบไปที่ประตูกันเถอะ"
ทั้งสองคนใช้อุปกรณ์สามมิติเลื่อนย้ายไปตามหลังคา มุ่งหน้าไปที่ประตูและได้พบกับเจคที่กำลังโต้เถียงกับทหารอีกสองคน เรื่องที่เถียงคือเรื่องที่เจคสั่งให้ปิดประตูลงแต่อีกสองคนกลับไม่เห็นด้วยเพราะไม่อยากจะเสียสละชีวิตของเพื่อนร่วมงาน
ถ้าเราไม่เสียสละก็จะไม่ได้อะไรกลับมาเลย
"ทุกๆคน ช่วยหันมาทางนี่ด้วยนะ"
เจสซิก้าดัดเสียงให้ดูน่าฟัง ทหารหลายนายที่ได้ยินก็หันมามองอย่างสงสัยว่ามีทหารที่เป็นผู้หญิงในที่นี่ด้วยหรือ เมื่อสายตาได้มองมายังที่มาของเสียงเจสซิก้าใช้วสายตาต้องมนต์สะกดจิตทันที
พวกนายไม่ได้เห็นว่าฉันกับเจคอยู่ที่นี่
เจสซิก้าจัดการสะกดจิตความทรงจำของทุกคนในช่วงเวลานี่ หากไม่ถูกบางสิ่งบางอย่างกระตุ้นให้จำได้ขึ้นมาก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก และเธอสะกดแค่ช่วงเวลาที่เจสซิก้ากับเจคอยู่ในความจำเท่านั้นไม่ได้สะกดลบความทรงจำไปหมด
ทหารทุกคนที่ถูกสะกดยืนแข็งค้าง แต่ผ่านไปไม่ถึง2-3 นาทีก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมโดยที่ไม่มีใครจะจำเจสซิก้ากับเจคได้
ตูม!!
เสียงปืนใหญ่ดังขึ้นไม่หยุด เสียงของความกังวลเองก็ดังขึ้นเรื่อยๆ เพราะประตูนั้นยังไม่ถูกปิดลง
"เจคเอาประตูลงซะ"
"ได้"
เจสซิก้าจัดการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์สามมิติลงไปยังที่พวกทหารกำลังยิงปืนใหญ่
"นี่พี่ชาย"
เหล่าทหารที่กำลังทะเลาะหันตามเสียงเรียก เจสซิก้าจัดการสะกดเหมือนที่ทำกับพวกฮันเนส แรงสั้นสะเทือนที่มีมากเกินไททันปกติดังใกล้เข้ามาเจสซิก้ามองดูก็รู้ว่าเป็นใคร
ไททันเกราะ
รู้มั้ยไรเนอร์วันนี่นายโชคร้ายมากที่มาเจอกับฉัน เพราะถ้านายยอมกลับไปตั้งแต่แรกเหมือนที่แอนนี่บอกนายคงไม่ต้องทุกข์ทรมานตั้งสามปีในกำแพงนี่
เจสซิก้าปล่อยทิ้งพวกทหารที่ยืนแข็ง ตอนนี่เธอเหลือเวลาอีกประมาณสองนาทีกับการจัดการเจ้าไททันเกราะ เธอไม่สนว่าพวกเขาจะทำยังไงต่อเมื่อเห็นว่าประตูถูกปิดลงแล้ว
อุปกรณ์สามมิติก็ใส่อยู่ก็ใช้มันสิจะเดินเข้าออกประตูเหมือนปกติไม่ได้ ถ้าใช้ไม่เป็นก็ตายไปซะขนาดฮันเนสขี้เมายังใช้เป็นเลย
เจสซิก้าจัดการพุ่งตัวเองไปยังไททันใช้บ้านที่เรียงรายกันอยู่ข้างทางเป็นตัวยึกเกาะ ก่อนจะเหวี่ยงตัวเองไปที่หน้าของไททันเกราะเพราตรงตายังมีเกราะป้องกันไว้อยู่เจสซิก้สจึงจัดการใช้หมัดตัวเองต่อยเข้าไปทีละข้างก่อนจะเอามีดเสียบเข้าไปเพื่อขัดขวางการมองเห็น จากข้อมูลในอนิเมะที่ดูมาถ้าไททันเกราะจะเคลื่อนที่ได้เร็วขนาดนี่มันต้องสละเกราะตรงส่วงข้อพับขา และนั้นจะเป็นจุดที่สามารถฟันเข้าไปได้ซึ่งทั้งหมดมันเกิดขึ้นไม่ถึง5วินาที
ฉับ!!
เพียงครั้งเดียวเจสซิก้าฟันเนื้อตรงส่วนข้อพับตามที่ใจนึกเอาไว้ ไททันเกราะล้มตัวลงตามองไม่เห็นอะไรทั้งนั้นเสียงร้องอขงไททันเกราะดังไปทั่วเหมือนเป็นส่งสัญญญาณ ขาก็เคลื่อนไหวไม่ได้แต่คนที่อยู่ข้างในก็ยังไม่ปรากฎตัวออกมา ไม่เป็นไร ฉันมีวิธีอยู่วิธีหนึ่งที่จะเอาตัวนายออกมา
ระเบิดอันจิ้วทำโดยเจค ถูกนำมาใช้เจสซิก้าจัดการจุดไฟก่อนจะยัดเข้าไปตรงช่องว่างที่เป็นเนื้อสีแดง ไม่ถึงเสี้ยงวินาทีเนื้อสีแดงถูกระเบิดกระจายเจสซิก้าไม่รอให้อีกฝ่ายหนีหรือโผล่หัวออกมาเธอเข้าไปจิกหัวไรเนอร์ที่อยู่ข้างในให้เห็นหน้าชัดๆ
"สายัญห์สวัสดิ์ไรเนอร์"
ราวกับเสียงยมทูต ใบหน้าสวยของเจสซิก้ายิ้มอย่างบิดเบี้ยวอย่างเลือดเย็นโดยที่ตนเองไม่รู้ตัว นัยตาสีดำสนิทดึงดูดให้ไรเนอร์ไม่กล้าพูดอะไรออกมา เพื่อเป็นการกันเหนียวเอาไว้เจสซิก้าฟันแขนของไรเนอร์ตั้งแต่หัวไหล่เพื่อสร้างความกลัวให้แก่อีกฝ่าย แม้อาจจะเสี่ยงกับการที่ไรเนอร์จะสามารถแปลงร่างเป็นไททันอีกครั้งก็ตาม
"อะ....."
"ฉันจะปล่อยนายไป ให้นายได้มีโอกาสเลือกอีกครั้งว่าจะกลับไปหาครอบครัวหรือจะทำภารกิจชุยๆของนายต่อไป"
ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบเพราะเจสซิก้ารีบใช้อุปกรณ์สามมิติไปที่อื่น เพราะรู้อยู่แล้วว่าไรเนอร์จะทำอะไรต่อไป ไรนอร์จะไม่ถอยกลับไปเด็ดขาดถึงแม้จะถูกเธอรู้ตัวแล้วก็ตามว่าเป็นใคร เพราะมันมีสิ่งที่ควรให้คำนิยามกับมันว่า ศักดิ์ศรี ค่ำคอไรเนอร์อยู่ศักดิ์ศรีของความเป็นคน ศักดิ์ศรีที่ต้องการให้พ่อภูมิใจ และดูเหมือนว่าไรเนอร์จะไม่ได้แปลงร่างต่อ เพราะรู้ว่าถ้าหากแปลงร่างอีกครั้งตนเองคงได้ตายจริงๆ
"เจสซิก้า ทหารที่ถูกสะกดจิตกลับมาสติหมดแล้ว"
เจคมาหาเจสซิก้าตรงที่ลับตาผู้คน และไม่มีไททันอยู่เพราะไททันต่างมุ่งหน้าไปยังที่ๆมีมนุษย์อยู่มากที่สุดนั้นคือตรงประตูเสียงปืนใหญ่ดังขึ้นไม่หยุดแต่นั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกแล้ว เพราะเป้าหมายหลักคือการหยุดยั้งไม่ให้ไทันเกราะเจาะประตูกำแพงวอลมาเรียได้และเจสซิก้าก็ทำสำเร็จ
"มีใครเห็นหน้านายมั้ย"
"ไม่มีคุณฮันเนสสั่งการให้ทหารที่อยู่นอกประตูใช้อุปกรณ์สามมิติให้เข้ามาในป้องเพื่อเฝ้าระวัง ทุกคนดูสับสนนิดๆ แต่ไม่มีใครจำได้"
"ถ้าไม่มีใครพูดถึง หรือไปกระตุ้นความทรงจำก็ไม่มีทางจำได้หรอก"
เจสซิก้ายืนแขนซ้ายออกมาฟัน เจครับแขนซ้ายอย่างรวดเร็วก่อนจะจัดการแช่แข็งแขนซ้ายของเจสซิก้าหัวใจสำคัญในการฟื้นคืนชีพคือเลือดเนื้อที่ของผู้ต้องการจะฟื้นคืนชีพ หากไม่มีก็เอาเป็นเลือดเนื้อของคนที่มีสายเลือดเดียวกันก็ได้ ความเสี่ยงในการฟื้นคืนชีพมีอยู่สองอย่างนั้นคือหากไม่เสียความทรงจำไป ก็อาจจะไม่ได้กลับมาอีกเป็นครั้งที่สอง
เว้นแต่แพนโดร่าจะยืนมือเข้ามาช่วย
"เจสซิก้าเธอต้องกลับมานะ"
เจสซิก้าที่กำลังฟื้นฟูแขนซ้ายของตนเองมองคนขอความหวัง มือขวาที่สวมแหวนแต่งงานลูบหัวน้องชายเพื่อปลอบใจน้องชาย มือปลดอุปกรณ์สามมิติและเสื้อคลุมให้กับเจค ก่อนที่จะให้เจคไปรับพวกเอเลนที่ท่าเรือในกำแพง
เวลาผ่านไปได้สักพัก เจสซิก้าเดินกลับมายังที่บ้านของเอลวินและตนเองอีกครั้ง เสียงฝีเท้าพวกไททันดังใกล้เข้ามาเจสซิก้าเดินเข้าไปหาอย่างไม่เกรงกลัว เธอเตรียมใจเอาไว้แล้วไม่มีความกลัวมาสั้นไหวจิตใจที่เข้มแข็งดุจหินผาของเจสซิก้าได้ ร่างกายถูกยกขึ้นจากพื้นดินไม่มีการขัดขืนใดๆทั้งสิ้น เจสซิก้าหลับตาลงอย่างสงบในใจเหมือนมองเห็นเอลวินกำลังสั่งการทหารหน่วยสำรวจ ด้วยสีหน้าจริงจัง เจสซิก้าหลับตายิ้มนึกขำกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี่
ราตรีสวัสดิ์เอลวิน สมิธ
"เจสซิก้า!"
ความคิดเห็น