ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic Just so you know ( HanChul ) feat. SJ

    ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 7 (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 7 ก.พ. 53


    ตอนที่ 7

     

    ดงแฮกับคิบอมที่ลงมาหาฮยอกแจถึงที่ห้อง ที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟายาวในห้องนั่งเล่น

    “ขานายดีขึ้นบ้างยัง” คนที่เอ่ยถามคนแรกเป็นคนแรกจะเป็นใครไปไม่ได้คือหนุ่มหน้าหวานที่เฟรนรี่ที่สุด

    “ก็ดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ” พร้อมกับแกว่งขาขวาให้ดูเพื่อยืนยันคำพูดตัวเอง

    “ก็ดีแล้ว  จะได้ไม่เดือดร้อนชาวบ้านเค้า” คนที่พูดแบบนี้ก็คงจะมีเพียงคนเดียวที่พูดด้วยใบหน้านิ่ง ที่เดาไม่ถูกว่าเขาพูดเล่นหรือพูดจริงจัง เขาเป็นคนที่ภายนอกดูนิ่งๆ เฉยชาแต่เมื่อได้ปริปากเอ่ยซักคำจะเป็นคำที่คนฟังฟังแล้วต้องรู้สึกแย่กว่าเดิม แต่ทุกคนที่นี่รู้ดีว่าคิบอมพูดอย่างนี้แต่จริงๆแล้วเขาก็ไม่ได้คิดพออย่างที่พูดซะทีเดียว คนที่รู้ดีที่สุดคงจะเป็นดงแฮที่สนิทกับเขามากที่สุด

    คนที่ได้ฟังอึ้งไปเล็กน้อยแล้วก็ยิ้มแบบแห้งๆมาให้ แต่ดงแฮกลับนั่งอมยิ้มอย่างรู้ทันว่าที่เขาพูดแบบนี้เพราะเป็นห่วง แต่ไม่อยากแสดงออกมาตรงๆไม่งั้นคงไม่มาเยี่ยมถึงห้องหรอก

    “จริงสิ ฉันมานี่อยากจะขอยืมเกมส์น่ะ นายมีเกมส์ใหม่ๆใช่มั้ย”

    “มีสิแต่” ฮยอกแจหรี่ตามองอย่างสงสัย

    “นายนึกคึกอะไรขึ้นมาถึงอยากเล่นเกมส์ว่ะ”

    “ก็มันเบื่อๆ ช่วงนี้ไม่มีไรทำ”

    “เออๆ ไปเอาในห้องฉันสิ อยู่บนชั้นวางหนังสือนั่นแหละ”

    ดงแฮพยักหน้าแล้วเดินไปเลือกเกมส์ในห้อง ตรงนี้จึงเหลือแค่คนพูดน้อยกับเขาแค่สองคน

    “วันนี้นายไม่ต้องไปกองถ่ายหรอ”

    คิบอมที่ดูเหมือนไม่ค่อยสนใจที่เขาพูดเท่าไรกำลังนั่งหยิบนิตยสารแถวๆนั่นขึ้นมาอ่าน

    “ไม่มี”สายตายังคงจ้องอยู่ที่หน้านิตยสารเล่มหนึ่งที่มีภาพเสื้อผ้า

    “นายไปหาพี่ฮีชอลมาหรือยัง”

    “ไปหามาแล้ว”

    เงียบ….

    เจ้าของห้องที่นั่งไม่รู้จะชวนคุยอะไรต่อ เพราะไอ้เด็กนี่ถามคำตอบคำแบบนี้ เขาก็ไม่รู้จะคุยอะไรต่อเหมือนกัน จึงได้แต่นั่งเงียบกันไปจนกระทั่งดงแฮเดินกลับมาพร้อมกับกล่องเกมส์หลายกล่องเต็มสองมือ

    “เฮ้ย ไอ้ดงแฮแกเอาไปกี่อันว่ะนั่น”

    “ก็เห็นเกมส์นี้ก็อยากเล่น อันนี้ก็อยากเล่น นี่พยายามคัดออกบ้างแล้วนะเนี่ย เลยได้มาเท่านี้”

    “อันนี้ไม่เรียกเท่านี้แล้ว นี่ทั้งหมดที่มีเลยมั้งจะไม่เหลือไว้ให้เล่นบ้างหรือไงว่ะ”

    “น่าๆ นานๆเล่นทีถ้าเล่นแล้วเกมส์ไหนไม่ชอบจะเอามาคืนให้ก็ได้”

    “เออ เอาไปเถอะ ช่วงนี้ไม่ค่อยอยากเล่นเท่าไร”

    “แล้วนี่นายกินอะไรหรือยัง”

    “ทีงี้ทำมาเป็นห่วง”

    “แหะๆ แล้วตกลงว่าไง”

    “แม่บ้านทำให้กินแล้ว”

    ดงแฮที่กำลังก้มหน้าก้มตาดูเกมส์อยู่ก็เอ่ยถาม

    “ฉันว่าจะมาชวนนายไปข้างนอกไหน แต่สงสัยสภาพนี้คงไปไม่ไหวแน่เลย”

    “นายไปเถอะ เอาฉันไปด้วยก็เป็นภาระป่าวๆ ขายังเดินไม่ค่อยเหมือนเดิม เดินนานๆไม่ค่อยได้น่ะ แล้วอีกอย่างพี่อีทึกก็สั่งให้พักฟื้นอยู่ที่ห้องด้วย”

    “ฉันก็กะไว้แล้ว ดีนะที่คิบอมมันว่างพอดี”

    “ไปกันสองคนระวังจะเกิดคู่คิเฮนะเว้ย ว่อนเนตแน่ถ้าแฟนคลับจับได้”คิบอมที่เหมือนไม่สนใจอะไรพอได้ยินคำนี้ก็แอบเหล่มองเล็กน้อย แล้วก็หันไปดูหนังสือเหมือนเดิม

    ฮยอกแจที่เหมือนเห็นว่าคิบอมตอนเหล่เขาเหมือนไม่พอใจก็เลยเลิกพูด

    “ก็ดีน่ะสิ เป็นการโปรโมตให้แฟนคลับสนใจยิ่งขึ้น  ฮ่าๆๆ”

    “ได้เวลาแล้ว ไปก่อนนะ” คิบอมวางหนังสือลงระหว่างที่จะลุกขึ้นก็เหลือบมองคนตรงข้าม พอเหมือนคนถูกมองจะรู้ตัวก็รีบเหลือบมองทางอื่นแล้วเดินออกไปพร้อมกับดงแฮ

    คนที่ยังนั่งอยู่ก็รู้สึกแปลกใจ เพราะรู้สึกเหมือนว่าถูกมองอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเขาคิดไปเองหรือป่าว แล้วก็เลิกใส่ใจหันมากดเปลี่ยนช่องทีวีต่อ

     

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

     

    พอเห็นร่างบางออกมาจากห้องตรวจ พร้อมกับมีผ้าสีขาวพันอยู่ที่ข้อเท้า คนที่รออยู่ข้างนอกก็รีบเข้ามาถามไถ่อาการทันที

    “หมอว่าไงบ้าง”

    “ฉันก็บอกนายแล้วว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่ข้อเท้าซ้นนิดหน่อยเอง”

    “ก็ดีกว่าปล่อยไว้เฉยๆนั่นแหละ”

    เป็นเวลาไม่นานฮันกยองก็เดินไปรับยาแทนแล้วจ่ายเงินให้เรียบร้อย ฮีชอลมองถึงจะใบหน้าจะทำเหมือนไม่แสดงอาการใดๆ แต่ในใจกลับรู้สึกดีแป็นพิเศษมากๆ เพราะดูเหมือนร่างสูงคนนี้จะแสดงอากรเป็นห่วงเป็นใยเขามากเหลือกเกิน

    “ไปเถอะ เดี๋ยวจะสาย”

    “ก็ไปสิ ฉันไม่ชอบอยู่ที่นี่นานๆอยู่แล้ว”

    “ฉันรู้ว่านายไม่ชอบ”

    “นายรู้ได้ยังไง”

    “ก็ตั้งแต่นายต้องเข้ามานอนโรงพยายบาลตอนอุบัติเหตุรถชนคราวนั้นไง”

    ถ้าพูดถึงอุบัติเหตุรถชนก็รู้ทันทีว่าเป็นครั้งที่เขาไปงานศพพ่อของดงเฮ น้องรักของเขานั่นเอง

    “งั้นหรอ นายเคยสนใจฉันด้วยหรือไง” ปากก็พูดประชดไปแบบนั้น แต่ในใจตรงข้ามกับที่พูด ดีใจที่เขาก็สนใจเรื่องเล็กๆน้อยๆของตัวเองด้วย

    “เมื่อไรนายจะเลิกคิดว่าไม่มีคนสนใจนายซักทีนะฮีชอล” เขาไม่ชอบที่เพื่อนของเขาต้องพูดแบบนี้ทุกที มันทำให้เขาไม่พอใจทุกๆครั้งที่ได้ยิน

    ในขณะนั้นร่างสูงที่เดินประคองฮีชอลมาจนถึงรถพอดี แล้วเปิดประตูให้ร่างบางขึ้นไปนั่ง ดูเหมือนฮันกยองจะใจดีเป็นพิเศษ เป็นสิ่งที่ร่างบางคิดในตอนนี้ เพราะถ้าเป็นเวลาปกติเขาคงไม่มาปรนนิบัติอย่างดีให้ขนาดนี้แน่นอน

    ร่างสูงเดินอ้อมมาขึ้นรถอีกฝั่ง พอขับรถออกมาจากโรงพยาบาลได้ไม่นานฮีชอลก็เอื้อมมือมาเปิดเพลงเชากดหาเพลงร็อคอย่างที่เขาชอบ พอกดเจอก็นั่งฟังอย่างสบายอารมณ์ แต่ที่กำลังนั่งขับรถกลับรู้สึกรำคาญเพลงที่เปิดอยู่มาก เขาจึงหันไปมองร่างบางที่นั่งอยู่ข้างๆอยู่หลายรอบ แต่คนที่ถูกมองกลับนั่งหลับตาร้องเพลงอย่างมีความสุข โดยไม่รู้ว่าคนที่นั่งข้างๆกำลังคอยมองอย่างจะเอาเรื่อง

    จังหวะเพลงที่หนักหน่วง และน้ำเสียงที่ดังก้องตามสไตร์เพลงร็อคกำลังดังก้องเข้ามาในหัวฮันกยอง รวมทั้งเสียงของคนข้างๆอีก ทำให้เขาต้องหันไปมองอีกคนที่กำลังมีความสุขโบกไม้โบกมือตามจังหวะเพลง แต่ไอ้ความสุขของคนข้างๆกำลังทำให้เขาเสียสมาธิในการขับรถ แล้วเพลงประเภทนี้ก็ไม่ใช่เพลงแนวที่เขาชอบเสียเลย มือหนาเลยเอื้อมไปเปลี่ยนวิทยุให้เล่นแผ่นซีดีที่อยู่ในเครื่องแทน

    “อ่ะ” ร่างบางที่กำลังอ้าปากร้องต่อต้องอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้นเพราะเพลงที่เขาได้ฟังกลับเปลี่ยนไปเป็นเพลงแนวอาร์แอนบีไปเสียแล้ว ตากลมจึงหันมาค้อนคนข้างๆทันที

    “เปลี่ยนทำไม”

    “ก็มันหนวกหู” ใบหน้าหล่อยังคงทำหน้าลอยไปมาอย่างกวนๆ โดยที่ตายังมองไปยังถนนข้างหน้า

    ตากลมยังคงจิกตาใส่แล้วอี้อมมือไปเปลี่ยนเป็นช่องเดิม เพราะไม่มีใครที่จะเหนือกว่าคนอย่างคิมฮีชอลคนนี้ พอเปลี่ยนกลับมาก็ร้องตามเพลงเหมือนเดิม ดูเหมือนครั้งนี้จะแหกปากร้องมากกว่าเดิมอีก

    “คะ แค่กแค่กๆๆๆๆๆ” ไม่นานเสียงไอดังลั่นก็ตามมาผลจากที่แหกปากร้องเพลงดังเกินไป

    ฮันกยองที่กำลังหน้าบูดเบี้ยวไม่พอใจที่ต้องมาไม่ลงลอยกันอีก พอได้ยินคนดื้อรั้นที่นั่งอยู่ข้างอเท่านั้นเขาก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นรถ

    “ฮ่าๆๆๆๆๆ ดี สม” แล้วหันมายิ้มเยาะเย้ยเป็นระยะ

    “แค่กๆๆๆ …. แค่กกก” คนที่ถูกหัวเราะอยากจะอ้าปากเถียงกลับแต่พออ้าปากก็กลับไอมากกว่าเดิมเข้าไปอีกจึงต้องพยายามหยุดไอให้ได้ก่อน

    ร่างสูงที่เห็นท่าไม่ดีจึงเอื้อมมือไปคว้าขวดน้ำข้างๆเบาะส่งให้

    “เอ้า ดื่มซะจะได้หายไอ” มือบางรีบคว้าขวดน้ำขึ้นดื่มทันที เพราะตอนนี้อจนแทบจะหายใจไม่ทันอยู่แล้ว ฮันกยองก็หันมามองเป็นระยะด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงเล็กน้อย พอฮีชอลค่อยดีขึ้นแล้วก็ส่งขวดน้ำกลับมาให้เจ้าของแต่ร่างสูงกลับทำปากเบะแล้วมองอย่างรังเกียจ

    “นายเอาไปเถอะ ฉันให้” จริงๆในใจเขาแค่อยากจะแกล้งแหย่เล่นแต่เหมือนว่าคนที่กำลังส่งขวดน้ำมาให้เขานึกว่าเขาคิดจริงแล้วดึงขวดน้ำกลับพลางทำหน้าบึ้งตึงใส่อย่างไม่พอใจ

    “เหอะ นึกว่าตัวนายดีนักหรือไง ถึงมารังเกียจคนอื่น” แล้วหันหน้าออกไปออกไปนอกหน้าต่างรถ

    ฮันกยองหันมามองเล็กน้อย แล้วยิ้มบางๆพลางส่ายหัวกับนิสัยเด็กๆของเพื่อนคนนี้  ฮีชอลที่นั่งมองวิวอยู่เพลินๆก็เกิดนึกอะไรออก เขารู้สึกอย่างจะแกล้งคนข้างๆบ้าง พอนึกได้ก็นั่งฉีกยิ้มกว้างอยู่คนเดียวโดยที่อีกคนมองไม่เห็นเพราะมัวแต่ตั้งใจขับรถอยู่

    เขานั่งหันกลับมาเหมือนเดิมแล้วค่อยๆเอ่ยด้วยเสียงหวาน

    “ฮันกยอง”ร่างสูงที่ถูกเรียกพอได้ยินก็รู้สึกแปลกใจ คนข้างๆที่อยู่ๆก็เปลี่ยนอารมณ์ได้รวดเร็วขนาดนี้จึงเอ่ยตอบรับกลับไป

    “หืม?” แต่ไม่ได้หันกลับมามองคนเรียก

    “นายคิดยังไงกับฉันกันแน่” พอคำถามที่หลุดออกมาจากปาอิ่ม ฮันกยองแทบอยากจะเบรกรถซะตรงนั้นแล้วหันมามองคนข้างๆแวบนึง ก็เห็นว่าใบหน้าสวยกำลังมองเขาอย่างจริงจัง

    “ทำไม ทำไมนายถามอย่างนั้นล่ะ”น้ำเสียงที่เริ่มจะติดขัดนิดหน่อย

    รถที่แล่นมาจอดที่โรงจอดรถของหอพอดี โดยที่คำถามยังคงไม่ได้คำตอบ พอคนขับจอดรถสนิทก็หันมามองคนข้างๆ อย่างไม่มั่นใจนัก รู้สึกเกร็งๆไปหมด

    “ที่นายทำให้ฉันขนาดนี้ “ เสียงหวานเว้นช่วงไปเล็กน้อย ทำให้คนที่กำลังฟังหายใจติดขัดเข้าไปอีก

    “หรือว่าเพราะนายชอบฉัน” คนที่ได้ฟังถึงกับในอกเต้นรัว ใบหน้าที่แสดงอาการตกใจ ดวงตาตี่ๆกลับขยายกว้างอย่างเห็นได้ชัด จนคนที่นั่งข้างๆสังเกตเห็นได้

    คนช่างแกล้งยังคงไม่เลิก เขาพยายามจะกระเถิบเข้าไปใกล้ๆ จนใบหน้าหวานแทบจะประชิดใบหน้าคม ลมหายใจเริมรดบนต้นคอของร่างหนา คนที่กำลังถูกลุกกำลังอยู่ในอากรตกใจที่อยู่ๆร่างบางก็เข้ามาประชิดตัวทันทีโดยที่ไม่ทันตั้งตัว ร่างกายเหมือนถูกตรึงเอาไว้ จนขยับได้เพียงแคลูกตาที่กำลังกอกกลิ้งไปมาเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก ยิ่งร่างบางโน้มตัวเข้ามา เขาก็ยิ่งพยายามจะเอนตัวไปอีกด้าน จนทำให้แขนที่เขาเท้าบนเบาะนั่งอยู่นั้นขยับเลยเบาะ ทำให้ร่างหนาเสียหลักเอนลงไปพิงพนักประตู ร่างบางก็ชงักไปเหมือนกัน ทำให้ฮันกยองได้สติกลับมาอีกครั้ง เขารีบเปิดประตูรถแล้วลุกขึ้นเพื่อลงจากรถ แต่

    “อ๊า!!!~~~~~

    ตุ้บ !!!

    เสียงของคนที่รีบลุกออกจากรถอย่างตกใจ พร้อมกับตัวของเขาที่ถูกดึงกลับลงมานั่งบนเบาะดังเดิม

    “นายทำบ้าอะไรน่ะฮีชอล ปล่อยฉันนะ” ฮันกยองหันไปต่อว่าอย่างเอาเรื่อง

    “ฉันทำอะไร” ฮีชอลมองหน้าเขาอย่างงงๆ

    “ก็นายจับฉันอยู่นี่ไง”

    “ฮะ?” คนที่ถูกกล่าวหายังนั่งเอียงคอเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจ แต่พอก้มลงมองไปเห็นเข็มขัดที่คาดอยู่ของอีกฝ่ายก็เข้าใจทันที

    ฮีชอลยกมือตัวเองทั้งสองข้างขึ้นพลางส่ายมือเพื่อให้คนที่กล่าวหาเขาเห็นชัดๆ  แล้วพยักหน้าไปบนหน้าอกของอีกฝ่าย

    พอฮันกยองเห็นก็หันมามองตามสายตาร่างบางก็เห็นสิ่งที่คาดอยู่บนตัวของเขา พอรู้ตัวก็ทำหน้าเหยเกทันทีแล้วเหลือบตาออกไปนอกประตูรถพลางปลดเข็มขัดออกโดยไม่มอง เพราะความรู้สึกนี้มันเรียกได้ว่าหน้าแตกชัดๆ

    เขาลงจากรถโดยไม่หันมามองคนบนรถอีก ส่วนคนที่นั่งอยู่บนรถก็พยายามไม่หลุดหัวเราะออกมา แล้วนั่งอมยิ้มในท่าทางตลกๆของอีกฝ่าย แต่พอคนช่างแกล้งลงมาจากรถอย่างลืมตัวด้วยเท้าข้างที่เจ็บแตะลงพื้นก็ต้องร้องโอนครวญอีกครั้ง

    “โอ๊ย !!” ทำให้คนที่กำลังรีบเดินจากตรงนี้ต้องหยุดชะงัก ร่างบางที่เพิ่งลงมาพอเห็นปฏิกิริยาของอีกคนก็รู้สึกพอใจ จริงๆถ้าเขาไม่รู้สึกเจ็บจริงๆก็กะจะแกล้งเจ็บอยู่แล้ว

    “นายไม่คิดจะช่วยกันหน่อยเลยหรอ” ฮีชอลแกล้งอ้อน พลางยิ้มเจ้าเล่ห์ เพื่อจะรอดูปฏิกิริยาอีกครั้ง

    ฮันกยองเม้มปาก พลางถอนหายใจอย่างหมดหวัง ทั้งๆที่เขาอยากจะรีบออกห่างจากคนนี้โดยด่วน แต่ก็ต้องทำใจหันหลังกลับมาพลางเดินประคองร่างบางพากลับห้องไปด้วยกัน

    แต่กลับตรงข้ามกับอีกคนที่กำลังสะใจที่ได้แกล้งคนจีนคนนี้ เห็นท่าทางที่ลุกลี้ลุกลนแบบนั้นก็ยิ่งรู้สึกสนุกเหมือนได้ของเล่นชิ้นใหม่






    ______________________________________________________________

    รู้สึกคนอ่านจะหายๆไปนะ

    หรือว่าเราอัพช้าเกินไป(เรียกว่าดองได้เลยเหอะ)

    ขอบคุณคนที่ยังติดตามมากนะคะ
    เม้นให้รเาเสมอเลย  ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×