ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic Just so you know ( HanChul ) feat. SJ

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 5

    • อัปเดตล่าสุด 9 ธ.ค. 52


    ตอนที่ 5

     

    พอทุกคนแสดงเสร็จและกลับมาถึงหอพักเรียบร้อยแล้ว ฮีชอลก็รีบเข้าห้องนอนของตัวเองทันที แต่ระหว่างที่โชว์ไลฟ์ จนจบ แล้วก็ระหว่างที่นั่งรถตู้ของบริษัทกลับหอ ฮันกยองพยายามสังเกตอาการของฮีชอลตลอดแต่ก็ไม่ได้ทำทีเป็นห่วงมาก เขาเพียงได้แต่แอบมองอาการของคนสวยอยู่ห่างๆตลอดเวลา แล้วเขาก็สังเกตเห็นด้วยว่าเหมือนว่าข้อเท้าของฮีชอลอาการจะยิ่งทรุดลงกว่าเดิม เพราะยิ่งช่วงมาถึงหอเขายิ่งเดินยากลำบากยิ่งขึ้นกว่าเดิมมาก

    อีทึกที่ตามมาทีหลังพอเห็นฮันกยองยังอยู่ในห้องนั่งเล่นอยู่เขาจึงเดินเข้าไปหา

    “ฮันกยอง ฉันอยากให้นายช่วยดูแลฮีชอลดีๆนะ”

    “ห่ะ ทำไมนายต้องให้ฉันดูแลด้วยล่ะ” ฮันกยองมองใบหน้าหวานของหัวหน้าวงอย่างงๆ

    “ก็เรื่องวันนี้นายก็เห็นนี่….นายไม่รู้สึกแปลกๆบ้างหรอกหรอ”อีทึกพยายามพูดเสียงให้เบาที่สุดพอที่มีเพียงแค่เขากับคนนี้ได้ยินเท่านั้น

    “นายหมายถึงเรื่อง

    “ฉันว่าต้องมีคนจงใจทำเรื่องแบบนี้แน่ๆ”

    ……แล้วนายจะให้ฉันทำยังไง” ฮันกยองเงียบไปซักพักแล้วหันมาถาม

    “ฉันอยากให้นายคอยดูแลฮีชอลตลอดเวลา คอยจับตาดูเขาไว้ ไม่ว่าเขาไปไหนก็พยายามไปกับเค้าด้วย”

    ฮันกยองมีสีหน้าที่เป็นกังวลจนอีทึกสังเกตเห็นได้ “ทำไมไม่ให้เป็นหน้าที่ซีวอนแทนล่ะ”

    “เป็นนายนั่นแหละดีที่สุดแล้ว นายสามารถอยู่กับเค้าได้ตลอด แต่ซีวอนบางครั้งก็ไม่ได้อยู่ด้วยไม่ใช่หรอ” อีทึกพยายามหาเหตุผลมาอธิบาย

    “แต่ว่า…..

    “นายฉันขอใช้สิทธิ์ความป็นหัวหน้า ระหว่างนี้ฉันของสั่งให้นายคอยดูแลฮีชอล”

    ……”ใบหน้าหล่อที่เต็มไปด้วยความลำบากใจ เพราะเขาคิดว่าหลังจากเหตุการณ์เมื่อตอนห้องพักแต่งตัวคำพูดที่ฮีชอลทิ้งไว้มันยังคงดังก้องอยู่ในหัวเขาอยู่เลย เขายังไม่เข้าใจหรือว่าตอนนี้เขาจะถูกคนสวยนั่นเกลียดไปแล้วกันแน่

    “นาย…..ไม่ห่วงฮีชอลบ้างหรอ”อีทึกพูดช้าๆ ด้วยน้ำเสียงที่บาดลึกไปถึงจิตใจของร่างสูง ใช่เขารู้ว่าเขาห่วงเพื่อนเขาคนนี้ขนาดไหน ไม่งั้นตอนเห็นฮีชอลไปสนิทสนมกับคนอื่น เขาคงจะไม่รู้สึกหงุดได้ขนาดนี้ ช่วงนี้เขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้เลย

    จนสุดท้ายฮันกยองจึงตัดสินใจยอมรับคำขอร้องนั้น ตอนนี้อีทึกได้กลับห้องของตนเองไปแล้ว เหลือเพียงร่างสูงของคนๆหนึ่งที่ยืนมองทอดสายตาไปยังห้องของคนที่อีทึกฝากฝังให้ดูแล ตอนนี้เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าคนสวยคนนี้จะหายโกรธเขาหรือยัง เพราะที่ผ่านมาเขาสองคนก็มีเรื่องทะเลาะกันอยู่บ่อยๆ แต่ทั้งสองคนก็ผ่านมันมาได้ตลอด  แต่ที่ผ่านมาสายตาของฮีชอลไม่ใช่แบบที่เขาเห็นในวันนี้ ที่เหมือนว่าผิดหวังในตัวเขามากๆ มันเหมือนว่าครั้งนี้จะไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไปแล้ว

    ฮันกยองถอนหายใจ พลางเดินไปอุ่นน้ำอุ่นใส่กะละมังเล็กสีฟ้าใส พร้อมกับผ้าสีขาวผืนเล็กแล้วพาร่างมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องของเพื่อนสนิทที่สุดของเขา ที่ตอนนี้คนในห้องนี้อาจจะไม่คิดแบบนี้แล้วก็ได้

    มือหนาค่อยๆเคาะประตูเบาๆ ก๊อก ก๊อก ก๊อก

    เขาปล่อยไว้ซักพัก แต่ประตูก็ไม่ได้ถูกเปิดออกเลย ยังคงความเงียบเหมือนเดิม เขาจึงตัดสินใจเคาะอีกครั้ง เพราะบางทีคนในห้องอาจจะทำธุระอะไรอยู่ที่ยังไม่ว่างมาเปิดหรือไม่ก็อาจจะไม่ได้ยินสียงก็ได้

    ก๊อก ๆๆ

    เขารอสักพีกเหมือนเดิม แต่ข้างในก็ยังคงเงียบอยู่ดี เขาจึงจะเคาะอีกครั้ง แต่บานประตูก็ถูกเปิดก่อนตามด้วยร่างบางเจ้าของห้องที่เดินออกมา

    “นายมีอะไร” เขาถามด้วยเสียงที่เย็นชาผิดปกติ

    ฮันกยองเหลือบตามองที่เท้าขวาของคนสวยเล็กน้อย ก่อนจะยกของที่เขาเอามาด้วย ให้อีกคนเห็น “เท้านายยังไม่หายดีใช่มั้ย” เขาถามด้วยสายตาที่จริงจังจนคนเจ็บต้องรู้สึกหวั่นๆ

    “ไม่เป็นไร ฉันดูแลตัวเองได้” ฮีชอลตอบกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้สายตาของอีกคนเช่นกัน

    “นายอย่าดื้อได้มั้ย นายยิ่งไม่รักษามันจะยิ่งเจ็บหนักมากกว่าดะ”

    “พอได้แล้ว….อย่าทำแบบนี้เลยฮันเกิง ฉันไม่อยากยุ่งกับนายอีกแล้วนายไปเถอะ”ฮีชอลก้ทหน้าก่อนจะเงยหน้าพลางพูดประโยคสึดท้ายที่ทำให้เขาเจ็บแปลบขึ้นมาในอก ฮันกยองนิ่งไปชั่วขณะ ฮีชอลใช้ช่วงเวลานั้นค่อยๆดึงประตูปิดแต่แล้วมือหนาก็รีบดึงบานประตูเอาไว้ แล้วถือวิสาสะเข้าห้องร่างบางทันที

    ฮีชอลมีสีหน้าที่ตกใจมากๆ “นะ นายเข้ามาทำไม” แต่ร่างสูงกลับไม่ขยับไปไหนเขายืนนิ่งสายตาหลุบต่ำ

    “ฉันบอกให้นาย ออกไปซะ”คำพูดของเจ้าของห้องที่พยายามเน้นคำสุดท้าย ตากลมโตถึงจะถลึงตาใส่แต่ก็เต็มไปด้วยหยาดน้ำใสๆที่พร้อมจะไหลได้ตลอดเวลา

    ร่างสูงเดินเอาน้ำและผ้าขนหนูไปวางที่โต๊ะในห้อง เขายังคงยืนนิ่ง แม้ว่าอีกคนจะออกปากไล่ยังไงก็ตาม ฮีชอลเลยตัดสินใจจะเดินไปเปิดประตูอีกครั้งแต่ก็ถูกมือแกร่งจับแขนเอาไว้เสียก่อน  โดยที่ร่างบางยังคงหันหลังให้อยู่ เสียงนุ่มของร่างสูงก็ค่อยๆเอ่ยเบาๆ

    “นายเป็นอะไรไปกันแน่” ฮันกยองที่มองเห็นเพียงด้านหลังของฮีชอลเท่านั้น จึงไม่ได้รับรู้ว่าคนสวยมีสีหน้ายังไงในตอนนี้

    ….” มีเพียงความเงียบที่ส่งกลับมา

    “ฉันไม่เข้าใจนายเลยจริงๆว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมนายต้องทำเมินใส่ฉันแบบนี้ด้วยห่ะ…. ฮีชอล” ร่างสูงถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ตรงชื่อของคนสวยเขากลับเสียงอ่อนลง

    …….นายอย่าเข้าใจเลย”ร่างบางเงียบไปอึดใจหนึ่ง แล้วตอบกลับมาด้วยเสียงที่แทบเกือบจะไม่ได้ยิน ฮันกยองได้ยินแบบนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกโมโห ทำไมคนๆนี้มีอะไร ทำไมไม่ยอมบอกเขาตรงๆ ทำแบบนี้เขายิ่งจะอึดอัดมากขึ้นไปอีก เขารู้สึกว่ายังไงวันนี้ก็อยากจะรู้คำตอบให้ได้ว่ามันอะไรกันแน่ มือหนาอีกข้างที่ว่างอยู่เอื้อมไปจับไหล่เล็กอย่างแรงแล้วดึงกลับให้คนตัวเล็กหันมาเผชิญหน้ากับเขา เพื่อจะต่อว่า “นายจะ…….”เมื่อเห็นใบหน้าสวยที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำใสๆที่ค่อยๆไหล

    “นายร้องไห้ทำไมน่ะ ฉันทำนายเจ็บหรอ” ใบหน้าหล่อดูเป็นกังวล รีบเอ่ยถามอีกคนอย่างเป็นห่วง คนตัวเล็กส่ายหน้าเบาๆ “….ไม่เลย ฮันเกิง นายไม่ได้ทำอะไรฉันเลย ฉันเจ็บเอง แค่นายอยู่เฉยๆฉันก็เจ็บได้ ฮึก นายไปซะ ฉันไม่อยากให้นายเห็นฉันในสภาพนี้….อีกแล้ว” ร่างบางพยายามกลั้นน้ำตาพลางแกะมือที่กุมเขาอยู่ออก แล้วเดินมาเปิดประตูให้อีกคนออกไป ฮันกยองมองฮีชอลอย่างเป็นห่วงปนๆกับประหลาดใจ แต่เมื่อเจ้าของห้องเอ่ยปากไล่ขนาดนี้ คำถามที่เขาถามไปก็ไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน แต่กลับได้สิ่งเห็นปฎิกิริยาที่ร่างเล็กมีกับเขาแล้ว อยู่ไปก็คงจะยังไม่ได้คำตอบอยู่ดี เขาจึงยอมถอยออกมาก่อน เขาจึงเดินออกมาจากห้องโดยไม่ได้หันไปมองคนที่เพิ่งเดินจากมาอีกเลย

    ฮันกยองพาร่างที่เหมือนไร้วิญญาณกลับห้องของเขาอย่างไม่รู้ตัว ในหัวตอนนี้เขาคิดแต่เพียงเรื่องของฮีชอลเท่านั้น เขาสงสัยว่าทำไมฮีชอลเสียใจขนาดนั้น แล้วทำไมเขาถึงได้รู้สึกชาวาบไปทั้งตัวเมื่อเห็นน้ำตาของฮีชอลครั้งแรก เขารู้สึกอยากจะดึงร่างบอบบางนั้นเข้ามากอด ยิ่งเห็นใบหน้าที่เจ็บปวดนั่นแล้วยิ่งอยากแบกรับความรู้สึกนั้นแทน และที่สำคัญคือวินาทีนั้นเขาเห็นว่าฮีชอลสวยมากๆจนเขาแทบคลั่ง เหมือนอยากจะข้ามเส้นของคำว่าเพื่อนที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้เหลือเกิน แต่เขารีบยับยั้งตัวเองซะก่อน ก่อนที่จะเกินเลยไป

    เขายังคงยืนอยู่หน้าประตูห้องของเขาที่เพิ่งปิดลง ตอนนี้เขารู้สึกหายใจติดขัด ใบหน้าร้อน ข้างในอกก็เต้นรัว

    “นี่ ฉันเป็นอะไรไป แล้วฮีชอลทำไมต้องร้องไห้ แล้วคำพูดนั่นอีก ถึงฉันจะอยู่เฉยๆนายก็เจ็บงั้นหรอ” เขาค่อยๆเดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่หน้าโน๊ตบุ๊คเครื่องเล็กของเขา

    “หรือว่านายเป็นแบบนี้เพราะโมโหฉันที่ฉันไม่สนใจนาย ไม่ให้ความสำคัญนายงั้นหรอ ก็นายมีซีวอนอยู่แล้วนี่แล้วจะมาแคฉันทำไม” ฮันกยองยังคงพูดพึมพำกับตัวเอง พลางนั่งครุ่นคิด แต่ไม่นานตาเรียวก็เบิกโต

    “นายพูดแบบนี้หรือว่านายจะ………ชอบฉัน” เขาพูดพลางเอามีทาบไปที่อกตัวเอง ตอนนี้ก้อนเนื้อในอกเขายิ่งเต้นอย่างบ้าคลั่งเข้าไปอีก   เรียวปากบางค่อยๆยิ้มจนกลายเป็นหัวเราะไป

    “ฮ่าๆๆ”แต่ไม่ได้มาจากใจเขาจริงๆ เป็นเพียงเสียงที่เขาตั้งใจเท่านั้น “ไม่หรอกมั้ง นี่เราคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย เราเป็นผู้ชาย ฮีชอลก็เป็นผู้ชายมันจะเป็นไปได้ยังไง……..” เขาพูดจบก็นิ่งเงียบไปนานมาก

    แล้วเราล่ะเป็นอะไรว่ะ ทำไมต้องมีอาการเหมือนคนจะป่วยแบบนี้ ยิ่งคิดว่าฮีชอลชอบเราก็ยิ่งใจเต้นมากขึ้นกว่าเดิมไปอีกแทนที่จะรังเกลียดกลับรู้สึกดีใจซะอย่างงั้น

    เฮ้ย!!! นี่ผมเป็นอะไรไปแล้วววววว ผมชอบเพื่อนตัวเองหรอ แล้วที่สำคัญ  

    เป็น…..ผู้ ชายผมอยากจะบ้าตาย นี่ผมเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย เกิดมาสับสนตอนอายุเท่านี้เนี่ยนะ แล้วอยู่กันมาตั้งนานทำไมไม่เคยรู้สึกเลยล่ะ มือหนาที่พยายามทึ้งผมตัวเองอย่างไม่เข้าใจ

    “ไม่ใช่ มันต้องไม่ใช่แบบนี้ มันแค่อารมณ์ชั่ววูบ เราไม่ได้ชอบผู้ชาย ต้องผู้หญิงที่เราเคยวาดฝันไว้ มันต้องเป็นอย่างนั้น”  เขาหายใจลึกๆ แล้วพยายามพูดปลอบใจตัวเอง ทั้งๆที่ในใจก็ยังสับสนวุ่นวายไปหมด จนสุดท้ายทั้งคืนฮันกยองก็ไม่ได้นอนเช่นเคย

     


    ____________________________________________________________________________________________

    มาต่อครบแล้วนะคะ

    ช่วงนี้คงจะไม่ค่อยได้อัพแล้วแน่ๆเลย
    เพราะจะเข้าช่วงสอบอีกแล้ว

    ยังไงจะพยายามมาอัพนะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×