ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic Just so you know ( HanChul ) feat. SJ

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 6 (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 31 ม.ค. 53


    ตอนที่ 6

     

                    ฮันกยองที่นอนไม่หลับทั้งคืนออกมาหาอะไรดื่มในยามเช้า เผื่อว่ามันอาจจะสามารถช่วยระงับอารมณ์ของเขาได้บ้าง

                    พอเดินเข้ามาในครัวกลับเห็นแขกที่มาเยือนที่หอ คือน้องชายของเขานั่นเอง

                    “คิบอม นายมาตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย” ชายหนุ่มที่กำลังยุ่งวุ่นวายทำอะไรบางอย่างอยู่ ก็ต้องวางมือก่อนหันมาตามเสียง

                    “อ้าว พี่ฮันกยองตื่นแล้วหรอครับ”

                    “อืม” เขาตอบไปโดยที่ในใจกลับแย้งกับคำตอบ ที่จริงๆแล้วเขาแทบไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะมัวแต่คิดเรื่องที่กวนใจเขาอยู่

                    “แล้วนั่นนายกำลังทำอะไรอยู่” ร่างสูงหันไปมองแก้วน้ำใสที่อยู่ในมือของคิบอมอย่างสงสัย แล้วยังมะนาว น้ำผึ้งนั่นอีก

                    “อ๋อ พอดีผมมาเยี่ยมพี่ฮีชอลน่ะฮะ แล้วเห็นพี่เค้าบ่นเจ็บคอผมเลยออกมาทำน้ำมะนาวให้เขาดื่มซะหน่อย เผื่อจะช่วยได้บ้าง” คิ้วหนาขยับชนกันเล็กน้อยอย่างสงสัย ทั้งๆที่เมื่อวานไม่เห็นว่าฮีชอลจะบอกอะไรเขาซักนิดเลย ทั้งๆที่เมื่อก่อนถ้าฮีชอลเป็นอะไรเขามักจะบอกผมก่อนเสมอ

                    “ทำไมพี่ทำหน้าอย่างนั้นล่ะพี่ มีอะไรรึป่าว”

                    “ไม่มีหรอก นายทำไปเถอะ” จริงๆแล้วใจอยากจะถามว่าฮีชอลบอกอะไรอีกรึป่าวแล้ว เขามีอาการเป็นยังไงบ้าง แต่ก็ตัดสินใจไม่ถามจะดีกว่า ถ้าคนดื้อคนนั้นไม่อยากจะบอก

                    ฮันกยองเดินมาหยิบน้ำในตู้เย็น พร้อมแก้วแล้วเดินออกไปจากห้องครัวทันที แต่พอเดินออกมาก็เจอกับคนที่ทำให้เขานอนไม่หลับทั้งคืนกำลังนั่งอยู่บนโซฟาอย่างสบายอารมณ์ร่วมกับเจ้าปลาน้อย ที่กำลังนั่งดูรายการเกมส์โชว์บางอย่างอยู่ และที่สำคัญกำลังนั่งหัวเราะลั่นบ้านอย่างอารมณ์ดีสุดๆ ทั้งๆที่ทำให้อีกคนนั่งกลุ้มใจอยู่ทั้งคืน

                    ร่างบางที่กำลังนั่งหัวเราะอยู่ก็เหลือบมาเห็นใครบางคนที่กำลังยืนมองพวกเขาอยู่

                    “ฮ่าๆๆๆๆๆๆ อ่ะ ฮันกยอง  รายการนี้ตลกสุดๆมาดูด้วยกันสิ” คนที่ถูกชวนถึงกับงงกับปฎิกิริยาที่ร่างบางทำกับเขา

                    “ห่ะ!!?” ร่างสูงอ้าปากอย่างไม่เข้าใจ  มันต่างจากเมื่อคืนอย่างสิ้นเชิง ทั้งๆที่เมื่อคืนยังไม่อยากจะคุยกันอยู่เลย

                    ดงแฮที่หันมามองตามคนข้างๆก็เห็นหันมาเห็นพี่ชายคนจีนพอดี เลยออกปากชวนอีกคน

                    “พี่ฮันกยองก็มาดูด้วยกันสิ ผมหัวเราะจนกามค้างแล้วเนี่ย” ดงแฮพูดพลางเอามือบีบนวดแก้มตัวเอง

    ร่างสูงเลือกที่จะมานั่งดูด้วยเพราะไม่รู้จะปฏิเสธว่ายังไง และอีกอย่างก็อยากรู้ว่าร่างบางจะมีปฎิกิริยายังไงกับเขาต่อ เขาเลือกที่จะไปนั่งข้างน้องชาย ตอนนี้ดงแฮจึงนั่งกลางกั้นระหว่างฮันกยองกับฮีชอล

    ทั้งสองคยที่นั่งอยู่ก่อนหันไปสนในทีวีอีกครั้งไม่นานเขาก็หัวเราะกันขึ้นมาอีกครั้ง ฮันกยองที่คอยนั่งสังเกตร่างบางที่นั่งอยู่อีกผั่งโดยใช้น้องชายเป็นคนบังสายตาของร่างบางไว้

    แต่ก็ไม่สามารถเล็ดรอดสายตาของอีกคนไปได้ ฮีชอลที่รู้สึกเหมือนมีคนมองเขาอยู่จึงหันไปมอง อีกคนจึงเฉไฉรีบหันกลับไปมองที่หน้าจอทันที แต่ฮีชอลก็ไม่เก็บความสงสัยไว้แล้วเอ่ยถาม

    “ทำไม หน้าฉันมันมีอะไรงั้นหรอ” ถามพลางเอามือลูบบนแก้มตัวเอง

    ฮันกยองที่รู้ว่าอีกคนถามใครก็แกลังหาเรื่องอื่นมาถามทันที

    “ได้ข่าวว่านายเจ็บคอไม่ใช่หรอ แล้วเป็นอะไรมากรึป่ล่าว” ดงแฮที่นั่งขั่นกลางอยู่หันมามองซ้ายมองขวา แล้วถามสมทบอีกคน

    “อ้าวพี่เจ็บคอหรอ แค่เจ็บคอไม่ได้มีไข้ใช่มั้ย”

    “อืม ไม่ต้องห่วงฉันหรอก เรื่องแค่นี้เอง” พลางหันไปที่จอทีวีเหมือนเดิมอย่างไม่ใส่ใจอะไร ดงแฮเห็นแบบนั้นก็คิดว่าคงไม่เป็นอะไรมากก็เลยหันไปสนใจที่จอทีวีเหมือนกันอีกคน พอดีกับที่คิบอมออกมาพอดีพร้อมกับน้ำที่เขาทำมาให้พี่ชายของเขา เขาส่งให้ฮีชอล

    “ขอบใจมากนะคิบอม นายนี่รู้ใจฉันจริงๆ”ฮีชอลหันมารับแก้วน้ำจากมือหนาพลางยิ่มบางให้

    “ไม่เป็นไรฮะ” แล้วหันมาทางดงแฮ

    “ดงแฮ เดี๋ยวฉันว่าจะขึ้นไปเยี่ยมฮยอกแจหน่อยน่ะนายจะไปด้วยกันเลยมั้ย เห็นนายว่าจะไปหาฮยอกแจนี่”

    “ไปสิ”ร่างเล็กเตรียมลุกเพื่อจะลงไปหาเพื่อนรักของเขาบ้าง เพราะตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ได้ลงไปดูอาการของเจ้าลิงนั่นเลย

    “พี่ฮีชอลงั้นผมขอตัวเลยแล้วกัน มีอะไรก็โทรหาผมได้ตลอดนะ แล้วผมจะพยายามหาเวลามาเยี่ยมบ่อยๆ”

    “อืม มาเยี่ยมแล้วอย่าลืมของฝากด้วยนะ”ฮีชอลแกล้งพูดทีเล่นทีจริง

    “ได้สิฮะแล้วเดี๋ยวผมจะซื้อของมาฝาก” พอพูดกับร่างบางเสร็จก็หันไปลาร่างสูงที่นั่งอยู่ด้วยอีกคนแล้วพากันเดินออกไป ฮันกยองมองตามจนประตูถูกปิดลงก็หันกลับมามองคนที่นั่งอยู่ข้างเขา ที่ยังคงสนใจกับหน้าจอทีวีอยู่

    “ฮ่าๆๆๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะของร่างบางดังมาเป็นระยะๆ ขณะที่อีกคนที่นั่งอยู่ด้วยกลับรู้สึกอึดอัดที่สุดที่นั่งอยู่ด้วยตอนนี้ เพราะเมื่อคืนฮีชอลมีท่าทีแปลกๆกับเขา ทำให้เขาคิดเลยเถอดไปไกลทั้งๆที่เหมือนว่าฮีชอลจะไม่ได้คิดมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลยแม้แต่น้อย ร่างบางยังคงนั่งจิบน้ำมะนาวอุ่นๆที่ผสมน้ำผึ้งเล็กน้อยที่น้องชายของเขาเป็นคนทำให้พลางหัวเราะไป คนที่คอยนั่งสังเกตการณ์อยู่ข้างๆกลับรู้สึกว่ารายการที่พวกเขาดูอยู่ไม่ได้ทำให้ความเครียดของเขาลดลงเลย เป็นเพราะคนข้างๆที่ทำให้เขาสับสนไปหมดแล้ว

    ในระหว่างที่อีกคนดูทีวี ส่วนอีกคนถึงจะหันตาจะจ้องอยู่ที่จอทีวีแต่ใจกลับคิดไปต่างๆนานา หรือว่าเรื่องทั้งหมดที่เขากำลังกลุ้มใจอยู่จะเป็นเรื่องที่เขาคิดไปเองทั้งหมด แต่เมื่อคืนที่เขาเห็นก็ไม่ได้ตาฝาดไปซักหน่อย ผมเห็นอยู่ว่าเขาร้องไห้ แล้วฮีชอลจะร้องไห้เรื่องอะไรกันแน่ อืมมมมมม….. ถ้ามัวแต่นั่งคิดเอาเองแบบนี้ซักวันก็คงไม่ได้คำตอบอยู่ดี

    ฮันกยองจึงรวบรวมความกล้าด้วยความที่อยากรู้รวมทั้งเป็นห่วงด้วย กลัวว่าคนข้างๆอาจจะมีเรื่องกลุ้มใจอะไรหรือเปล่าแต่ไม่กล้าบอก

    “ฮีชอล” เสียงนุ่มจากร่างสูงที่ทำให้คนที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ต้องหันมามองคนข้างๆ พลางเลิ้กคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงถาม

    “ฉันอยากถามอะไรหน่อยน่ะ”

    “อ้ำอึ้งอยู่ได้ จะถามก็ถามสิ”

    “ฉันขอถามตรงๆเลยนะ”

    “คือเมื่อคืนนายมีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

    ฮีชอลนิ่งเงียบไปโดยไม่ได้สบตากับอีกคน แล้วเอ่ยถาม “นายอยากรู้จริงๆน่ะหรอ”

    ใบหน้าคมพยักหน้าน้อยๆ

    “จะว่ายังไงดีล่ะ ฉันมีปัญหากับที่บ้านนิดหน่อยน่ะ” พอฮันกยองได้รู้เหตุผลที่ผิดตามที่เขาคาดเอาไว้

    “แล้วมีเรื่องอะไรกัน ร้ายแรงหรือเปล่า”

    เรียวปากอิ่มยกยิ้มมุมปาก แล้วเอ่ยตอบ

    “เหอะ เรื่องไร้สาระน่ะ นายอย่าไปใส่ใจเลย” แล้วต่างคนก็ต่างเงียบเหมือนเดิม

    ฮันกยองจึงทำลายความเงียบอีกครั้งด้วยการถามเรื่องเกี่ยวกับซีวอน

    “แล้ววันนี้ซีวอนไม่มาหาหรอ” หน้าสวยหันมามองหน้าด้วยใบหน้าเศร้าในแวบแรกที่เหมือนว่าร่างสูงจะสังเกตเห็นได้ แต่พอมองอีกทีกลับเห็นว่าฮีชอลกำลังฉีกยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี

    “พอดีวันนี้ซีวอนต้องไปเที่ยวกับครอบครัวน่ะ นานๆจะว่างซักที แม่ซีวอนเลยขอให้อยู่ด้วยกันบ้างน่ะ”

    “งั้นหรอ” ฮันกยองได้เพียงเอ่ยออกมาแค่นั้น  ทำไมพอเห็นหน้าแบบนั้นเวลาที่ฮีชอลพูดถึงซีวอนแล้วผมกลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานะ หรือว่าผมจะหวงฮีชอลมาเกินไปเพราะเขาเป็นเพื่อนสนิทผมนี่ เลยไม่ชอบที่เขาจะไปสนใจคนอื่นมากกว่าล่ะมั้ง

    ร่างบางลุกขึ้นเมื่อรายการที่เขาดูได้จบลงพอดี แล้วหันมาบอกลาคนข้างๆกลับห้องของตัวเองไป พอระหว่างที่ร่างบางลุกฮันกยองสังเกตเห็นว่าเขากลับเซนิดหน่อย เหมือนว่าฮีชอลพยายามทรงตัวไว้ พอกำลังจะก้าวเท้าเดินก้าวแรกขากลับทรุดลงเล็กน้อย แต่ร่างบางก็กลับมาพยุงตัวเดินเหมือนเดิม แต่เหมือนว่าขาจะไม่เป็นใจให้เขาเดินได้สะดวกเลย เขายังคงพยายามจะเดินด้วยตัวเองออยู่อย่างนั้น พยายามทำเหมือนปกติเวลาอยู่หน้าคนๆนี้เท่านั้น

    หนุ่มจีนที่นั่งสังเกตอยู่นานก็รู้สึกขัดลูกหูลูกตาเลยลุกตามมาพยุงตัวให้โดยมือข้างหนึ่งโอบรอบไหล่เล็กของฮีชอล แต่ร่างเล็กเหมือนจะสะบัดหนี มือหนากลับจับแน่นกว่าเดิม

    “ให้ฉันช่วยเถอะดูเหมือนถ้านายเดินเองคงไม่ต้องถึงห้องกันพอดี” ฮีชอลทำหน้าบึ้งใส่ เขารู้สึกไม่อยากพึ่งคนๆนี้เลย  แต่ในหอนี้ก็เหลือแค่คนจีนนี่คนเดียวจะไปเรียกคนอื่นมาช่วยก็ไม่ได้ ในระหว่างที่ฮันกยองกำลังพยุงพาเดินก็เอ่ยถามอีกครั้ง

    “รู้สึกเหมือนขานายไม่ได้ดีขึ้นเลย นายไปหาหมอหรือยัง”

    “ยัง เดี๋ยวประคบน้ำแข็งก็หายดีเองน่ะแหละ นายเอาเวลามาห่วงฉันไปห่วงอย่างอื่นดีกว่า” ด้วยน้ำเสียงที่ฮันกยองรู้ทันทีว่าร่างเล็กนี้พูดประชดเขา

    “เมื่อไรนายจะเลิกพูดแบบนี้ซักทีห่ะ หัดรู้ความรู้สึกคนอื่นบ้างได้มั้ย”

    “แล้วความรู้สึกอะไรล่ะ นายเป็นห่วงฉันรึไง หรือแค่ทำเป็นห่วงเพราะเห็นว่าฉันเป็นสมาชิกในวง กลัววงจะมีปัญหาใช่มั้ยล่ะ”

    “ไม่ต้องห่วงหรอกยังไงฉันไม่ทำให้วงเดือดร้อนแน่” ตากลมมองค้อนในตาแดงก่ำไปหมด  ลัวสะบัดมือที่กำลังกำแขนเขาออก

    คนที่โดนสะบัดมืออย่างไร้เยื่อใยมองร่างบางอย่างไม่เข้าใจ ว่าเดี๋ยวนี้ฮีชอลเป็นอะไรทำไมทำตัวกับเขาไม่เหมือนเดิม ทั้งๆที่เมื่อก่อนก็มีแต่เรื่องเฮฮากันตลอด ถึงจะมีบ่อยครั้งที่ชอบทะเลาะกันเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ก็ไม่เคยจริงจังแบบนี้

    ฮีชอลหันหลังแล้วค่อยๆลากเท้าเดินมุ่งตรงไปที่ห้องตัวเอง แต่ร่างสูงก็ไม่ยอมแพ้เขารีบเดินตรงไปหาแล้วดึงร่างบาง

    “เหวออออออ” ฮีชอลร้องเสียงหลง เพราะจู่ๆร่างตัวเองก็ถูกอุ้มขึ้นพลาดอยู่บนบ่าของอีกคน

    “นะ นายจะทำอะไรน่ะฮันกยอง ! ” ฮีชอลรู้สึกสับสนว่าคนนี้จะทำอะไรเขา เขาพยายามดันไหล่ของร่างสูงแต่ก็ไม่เป็นผล

    “ฉันก็จะพานายไปหาหมอน่ะสิ” ฮันกยองเดินไปหยิบกุญแจรถ เขาไม่ได้สนใจว่าคนที่อยู่บนหลังจะต่อว่าอะไรเขา

    “ฉันไม่ไป ปล่อยฉันลงนะไอ้ตี๋บ้า” ฮีชอลยังคงพยายามทุบตีฮันกยองอย่างไม่กลัวว่าเขาจะเจ็บ

    “ขืนปล่อยไว้แบบนี้ ถ้ามันเป็นหนักกว่าเก่าจะทำยังไงล่ะ ! “ เขาตะคอกใส่อย่างเหลืออด ลึกๆแล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะใส่อารมณ์กับฮีชอลแบบนี้ แต่ถ้ามัวแต่พูดแบบเดิมก็คงไม่ฟังกันพอดี คนอย่างฮีชอลต้องใช้ไม้แข็งแบบนี้แหละถึงจะยอมไป

    “มันก็เรื่องของช้านนนนนน ปล่อยนะ ปล่อยช้านนนนน” ฮีชอลยังคงพยายามทุบตี พาตัวเองให้หลุดออก แต่ทำไมทั้งๆที่เขาก็เป็นผู้ชายเหมือนกับอีกคนแต่กลับสู้แรงของเขาไม่ได้เลย

    ฮันกยองก็พยายามจับตัวฮีชอลให้แน่นกว่าเดิม ถึงเขาจะเจ๊บแทบตายแต่ก็ต้องทน เพราะมือคนดื้อคนนี้ก็หนักใช่เล่น เขาพาลงลิฟท์มาจนถึงรถแล้วจับฮีชอลลงจากไหล่แล้วจับยัดเข้าไปในรถทันที

    ในขณะที่ฮีชอลยังนั่งผิดลักษณะจากที่คนนั่งปกติเขากำลังนั่งจัดที่ทางให้เหมือนปกติ ฮันกยองจึงใช้โอกาสนั้นรีบเดินไปนั่งด้านคนขับและกดล็อกรถทันที

    ฮีชอลที่พอกลับมาตั้งหลักได้ก็รับจับประตูเพื่อเปิดแต่มันก็กลับถูกล็อกเสียแล้ว

    “เปิดนะฮันกยอง! ฉันบอกให้นายเปิดประตูให้ฉัน” หน้าสวยหันไปถลึงตาใส่อย่างข่มขู่

    แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนที่นั้งขับรถอยู่สะทกสะท้านซักนิดเดียว รถที่กำลังแล่นตัวออกมาจากโรงรถแล้วมุ่งหน้าไปที่ถนนใหญ่

    “นายทำแบบนี้ทำไม นายต้องการอะไรกันแน่” ฮีชอลที่ยังคงทำหน้าตาน่ากลัวใส่เขาอยู่ถามคนขับรถอย่างต้องการคำตอบ

    คนที่กำลังขับรถยังคงมองตรงไปที่ถนนด้านหน้า แล้วยิ้มมุมปาก ฮีชอลเห็นอย่างนั้นก็ยิ่งรู้สึกหมั่นไส้ ทำไมฉันถึงโกรธนายไม่ลงกันนะ

    “ฉันก็แค่จะพานายไปหาหมอ ก็เท่านั้น” สายตายังคงจับจ้องด้านหน้าเหมือนเดิม

    “นายไม่ต้องมารับผิดชอบเรื่องนี้ก็ได้ ยังไงนายก็เป็นแค่เพื่อนสมาชิกในวงเท่านั้นเอง” เสียงพึมพำในพยางค์หลัง

    “เดี๋ยวพี่ซึงฮวานก็มาจัดการให้เองน่ะแหละ”ฮีชอลสังเกตเห็นว่าคนที่นั่งข้างๆก็ยังคงได้แต่นั้งยิ้ม เขาไม่เข้าใจในรอยยิ้มนั้นจริงๆ ว่ามันหมายความว่ายังไงกัน

    “หรือไม่ก็ให้ซีวอนพามา….” สีหน้าของฮันกยองเปลี่ยนไปทันที คิ้วที่ดูขมวดติดกันอย่างไม่พอใจ

    “เงียบๆได้มั้ย!”อยู่ร่างสูงก็ตะคอกกลับมาทำให้ฮีชอลสดุ้งเล็กน้อย

    “นายเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีกห่ะ”

    รถก็แล่นมาจนถึงโรงพยายบาลพอดี เขาปลดล็อกรถแล้วอ้อมมาเปิดประตูรถให้ฮีชอล แต่ร่างเล็กกลับยังทำเป็นไม่สนใจ

    “ลงมา”

    ฮีชอลยังคงทำเป็นหูทวนลมไม่สนใจที่ร่างสูงพูด

    “ฉันบอกให้นายลงมาไง” ฮีชอลยังคงนั่งนิ่ง ร่างสูงหมดความอดทนเขาจึงก้มลงจะไปช้อนตัวของฮีชอลเพื่ออุ้มอีกครั้ง ฮีชอลรีบหลีกตัวแล้วหันมามองคนที่กำลังบังคับเขาอยู่

    “เฮ้ย ! นั่นนายจะทำอะไรน่ะ”

    “อุ้ม” ฮันกยองหันมาตอบอย่างไม่มีอารมณ์จะต่อร้องต่อเถียง

    “ไม่ต้องเลย นี่มันข้างนอกนะ นายจะบ้าหรือไง”

    “ก็นายไม่ยอมลงเองก็เป็นทางเลือกสุดท้ายคือต้องอุ้ม”

    ฮีชอลรีบเด้งตัวลุกขึ้นเองทันที

    “ไม่เป็นไรฉันเดินเองได้ แค่ที่หอมีคนเห็นฉันก็ทุเรศตัวเองจะแย่แล้ว” แต่พอร่างบางลุกเดินก็ต้องเดินอย่างไม่ถนัดเพราะขาเหมือนจะเจ็บมากกว่าเดิม สาเหตุก็ที่เขาพยายามต่อต้านฮันกยองเมื้อตอนก่อนมา

    ฮันกยองจึงเปลี่ยนมาพยุงร่างของฮีชอลแทน ฮีชอลจึงยอมให้ร่างสูงประคองไปก่อน พร้อมกับใบหน้าที่แอบอมยิ้มไม่ให้ร่างสูงเห็น


    ___________________________________________________________________________________100%

    มาต่อครบแล้วคร้าาาาาาา

    คนอ่านอย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ
    ช่วงนี้ขอมาอัพช้าหน่อย ^^


    ขอบคุณที่ยังคอยติดตามกันอยู่นะคะ









     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×