ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    END [FIC iKON] พี่ชาย BJIN Ft. iKON BOBYUN JUNDONG

    ลำดับตอนที่ #34 : 33 : ฟิคพี่ชาย 33 [END]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.98K
      13
      24 พ.ค. 59

    ฟิคพี่ชาย BJIN Ft. iKON Junhoe [BOBYUN] 

    -33-


    #ความฮันบิน

     

     

    เช้าวันเสาร์

     

     

    ตอนนี้ผมกับพี่จินฮวานกำลังจะออกเดินทางเพื่อไปไหว้หลุมฝังศพพ่อกับแม่แท้ๆของเขา เหตุการณ์ทุกอย่างปกติดี เราบอกลาพ่อกับแม่จนพวกท่านเดินมาส่งที่หน้าบ้าน ทุกอย่างดูจะเป็นไปด้วยดีและสวยงามเหมือนรอยยิ้มของแม่ แต่ผมคิดว่าพี่จินฮวานตึงๆใส่ผมยังไงก็ไม่รู้ ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

     

     

    นี่หลังจากบอกลาคนที่บ้านเสร็จพี่เค้าก็เดินมาขึ้นรถเบาะหลังเฉยเลย

     

     

    ผมก็ได้แต่มองแบบงงๆ คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าไปทำอะไรให้ผิดใจอีก พูดด้วยคำนึงก็ตอบมาคำนึง เราไม่ถามไปพี่แกก็ไม่ตอบมา ปกติพี่จินฮวานไม่ใช่คนขี้งอน แต่เขาเริ่มจะหงุดหงิดง่ายตั้งแต่ที่เราได้กันเป็นต้นมา...

     

     

    เรื่องแบบนี้ก็เคยฟังมาจากบ๊อบบี้ว่าพี่ยุนฮยองจะขี้หงุดหงิดมากหลังจากที่ได้เสียกันไป ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะได้ประสบพบเจอกับความอารมณ์แปรปรวนของแฟน อ่า มันเป็นแบบนี้นี่เองสินะ...

     

     

    “พี่เป็นอะไรเนี่ย ผมถามแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ” ผมถามขณะออกรถไปด้วย เราสบตากันผ่านกระจกไปนิดหน่อยก่อนที่คนดีของผมเขาจะเมินหน้าหนีกันไปดื้อๆ เอ้า...

     

     

    “ไม่ได้เป็นไร” เขาตอบแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะ และที่แย่กว่าคือตอนนี้เขาตอบแบบไม่มองหน้าผม ตอบมาทั้งๆที่สายตามองไปนอกกระจกหน้าต่าง โอ้โห เย็นชาขนาดนี้ได้ยังไงนะแฟนนนนนนนนนน

     

     

    นับว่าผมใจเย็นมากเกินไปหรือเปล่าที่ปล่อยให้เรื่องมันบานปลายมาจนถึงตอนนี้ ที่จริงเวลามีเรื่องไม่พอใจกันผมก็จะถามและคุยกันจนรู้เรื่อง แต่ครั้งนี้พี่จินฮวานแน่วแน่มาก ผมถามยังไงก็ไม่ยอมพูดเข้าประเด็นเลย ช่วงนี้ผมก็ไม่ค่อยกล้าเซ้าซี้ด้วยดิก็เลยไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร บวกกับต้องเร่งแต่งเพลงอีกเมื่อคืนเลยไม่ค่อยคุยกันเลย

     

     

    ผมเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าพี่จินฮวานเป็นอีกคนนึงที่ใจแข็งมาก วันนี้จะขอยืนยันเลยว่าเขาใจแข็งมากจริงๆ คือเวลาเขาอ่อนเขาก็อ่อนให้ผมนะ แต่ถ้าได้แข็งคือก็แข็งแบบนี้แหละ แข็งจนท้อเลยจริงๆ

     

     

    “...” ตอนนี้ก็ทำได้แค่ขับรถไปนิ่งๆ ไปนั่งข้างหลังแบบนั้นผมนี่ดูเหมือนคนขับรถมากยัง โอ่ย

     

     

    เมื่อเห็นว่าผมไม่พูดอะไรต่อเขาก็มองหน้าผมผ่านทางกระจกซึ่งแน่นอนผมก็มองไปที่เขาพอดี

     

     

    พี่จินฮวานถอนหายใจแรงมาก นั่นทำผมงงมาก เป็นอะไรของทูนหัวเขาวะ

     

     

    เมื่อวานผมไปทำอะไรไว้?

     

     

    “พี่จินฮวาน ถ้าไม่คุยกันให้รู้เรื่องผมจะจอดรถแล้วนะ” ผมขู่ ซึ่งถ้าเป็นเวลาปกติถ้าผมใช้เสียงเย็นแบบนี้พี่เขาจะรีบพูดรีบคุยกับผมทันที

     

     

    “จะทำอะไรก็ทำ” แต่ตอนนี้ไม่ เขาไม่สนใจผมด้วยซ้ำ และตอนนี้ผมไม่ไหวแล้ว

     

     

    ผมหักพวงมาลัยเลียบรถเข้าจอดข้างทางทันทีที่เขาพูดจบ เรายังออกมาไม่พ้นซอยบ้านด้วยซ้ำ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปผมเองนี่แหละที่จะอกแตกตาย

     

     

    “โกรธอะไรทำไมไม่บอกผม โกรธถึงขนาดที่ไม่อยากจะพูดกับผมเลยหรอ โกรธทั้งๆที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมผิดอะไรแบบนี้ก็ได้หรอ?” ผมพูดไปยาวๆพร้อมสบตาเขาผ่านกระจกมองหลัง ซึ่งเขามองมาตั้งแต่ที่ผมเริ่มพูดแล้ว

     

     

    “...”

     

     

    “พี่ไม่เคยเป็นแบบนี้หนิ”

     

     

    “...” ใบหน้าบูดบึ้งนั้นไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนลงเลยสักนิด

     

     

    “เป็นอะไรก็ไม่พูดแล้วผมจะไปรู้ได้ไงวะ” ผมเริ่มทนไม่ไหวอีกครั้งจนเผลอกระชากเสียงใส่เขา จะให้ผมนิ่งได้ไงวะ ก็เล่นไม่พูดไม่คุยกันแบบนี้อ่ะ เมื่อวานตั้งแต่กลับจากมหาลัยเขาก็เมินผมมาตลอด เขาไม่ไปรับผมที่โรงเรียนด้วย เขาโทรบอกผมว่าต้องอยู่พรีเซนต์โปรเจ็คค่ำหน่อย เออ ก็ผ่านมาแล้วผมเองก็เข้าใจไม่ได้ว่าอะไร พี่จินฮวานไม่ได้ไปรับผมก็ให้จุนเน่มันส่งกลับบ้านเพราะบ๊อบบี้มันก็จะเลยไปหาพี่ยุนฮยองที่มหาลัยอีก เลยขอติดรถกลับบ้านพร้อมกับไอ้เน่และดงฮยอกง่ายกว่า

     

     

    ความจริงผมก็อยากไปหาพี่จินที่มหาลัยพร้อมกับบ๊อบบี้นะ แต่ติดที่ว่าผมต้องเร่งแต่งเพลงให้เสร็จแล้วส่งให้ชานอูตั้งแต่เมื่อคืนวานเลยอ่ะ ก็เลยรีบกลับบ้าน แล้วใครมันจะไปรู้วะว่าพอพี่จินฮวานกลับมาเขาจะบึ้งตึงใส่ผมขนาดนั้น

     

     

    งงชิบหาย

     

     

    “ก็เพราะไม่อยากให้รู้ไงวะถึงไม่พูดอ่ะ” เขาโพล่งออกมาเสียงดัง ดังจนผมแอบสะดุ้ง คนตัวเล็กยามนี้หน้าแดงหูแดงไปหมดเหมือนคนโมโหจัด ไม่บ่อยที่เขาจะเป็นแบบนี้ ปกติเขาจะใจเย็น ผมเองต่างหากที่เป็นฝ่ายหาเรื่องชวนทะเลาะ

     

     

    “พูดออกมาหน่อยเถอะ ผมจะบ้าตายอยู่แล้ว” จบประโยคผมกระเปิดประตูลงจากฝั่งคนขับแล้วเข้าไปนั่งข้างๆเขาที่เบาะหลังทันที พี่จินฮวานไม่ได้ขยับหนี ที่เขาทำก็เพียงแค่มองผม แค่นั้น

     

     

    “...” ไม่พูดอีก ทำไมใจแข็งได้ขนาดนี้วะเนี่ย

     

     

    “พี่จินฮวาน” ผมเรียกชื่อเขานิ่ง ไม่ได้เชิงดุที่เขาไม่พูดอะไรออกมา แต่เสียงผมมันออกแนวไปทางขอร้องมากกว่าล่ะมั้ง อึดอัดจะตายอยู่แล้วเว้ย

     

     

    “นายไปขับรถเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทัน มืดค่ำก่อนพอดี” เขาบอก

     

     

    “จะให้ผมขับไปทั้งแบบนี้ได้ไงวะ ก็พี่เป็นงี้อ่ะ ปกติเป็นหรอไอ้มานั่งเบาะหลังทั้งที่ผมขับอยู่อ่ะ” ปกติก็นั่งข้างกันตลอดเหอะ ครั้งแรกเลยที่มานั่งเบาะหลังเนี่ย

     

     

    “ฉันกำลังจัดการกับความคิดตัวเองอยู่ ไม่อยากให้นายรู้อะไรแบบนี้หรอกมันงี่เง่า แล้วฉันจะเป็นปกติเองขอร้องล่ะ” พี่จินดูหงุดหงิดนิดหน่อยขณะอธิบาย เหมือนเขากำลังทะเลาะกับตัวเองอ่ะ ปลายจมูกนี่แดงจัดเหมือนจะระเบิด

     

     

    “พูดมันออกมา บอกผมว่าพี่เป็นอะไร” ดูเหมือนปัญหามันจะเริ่มลุกลามเข้าไปทุกที ผมใจเย็นได้ไม่นานหรอกเว้ยเอาจริงๆอ่ะ นี่ก็พยายามจะเย็นมากๆแล้ว ไม่ทะเลาะกันไปตั้งแต่เมื่อคืนนั่นก็ถือว่าดีแค่ไหนแล้ว

     

     

    เขาน่ารักก็จริง ผมรักเขาก็จริง ผมพยายามจะเปลี่ยนเพื่อเขานั่นมันก็ใช่ แต่ผมก็ยังทิ้งนิสัยเดิมๆไม่ได้ ไอ้ประเภทใจร้อนขี้โมโหของผมอ่ะ ก็ในเมื่อผมตามใจไปก็แล้ว ลองเอาไม้เย็นเข้าสู้ไปก็แล้ว ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นเลยวะ

     

     

    จับฉุดไปปรับทัศนคติกันอีกสักรอบดีมั้ยเนี่ย เริ่มดื้อแล้ว

     

     

    “...”

     

     

    “พี่จินฮวาน”

     

     

    “โว้ยยยยยยยยยยยย ไม่บอกเด็ดขาดอ่ะ!” เขาโวยวายลั่นรถพลางส่ายหัวราวกับคนสติแตก เดี๋ยวก่อน...

     

     

    มันหนักหนาขนาดนั้นเลยหรอวะ

     

     

    “ไปนั่งข้างหน้าแล้วเล่ามา ทุกเรื่องที่ทำให้พี่ตึงใส่ผมขนาดนี้”

     

     

    “ไม่อ่ะ จะนั่งตรงนี้”

     

     

    “พี่จินฮวาน..” ผมกดเสียงต่ำขู่เขาบ่งบอกให้รู้ว่าผมไม่เล่นแล้ว จริงๆก็ไม่เล่นมาสักพักแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นเชื่อฟังกันบ้างเลย

     

     

    “ก็ปล่อยให้ฉันหงุดหงิดอยู่คนเดียวได้มั้ยล่ะ โว้ยย”

     

     

    “พี่ทำผมหงุดหงิดไปด้วยแล้ว!” ผมจับไหล่บางเขย่าเรียกสติ เขาเหมือนคนบ้าเลยว่ะเอาจริงเหอะ

     

     

    “วุ้ย” เขาสบทแล้วสลัดมือผมทิ้ง จากนั้นก็เปิดประตูลงจากรถก้าวฉับๆไปเปิดประตูหน้าขึ้นไปนั่งข้างคนขับ

     เพียงไม่กี่วินาทีก้อนน่ารักของผมก็เปลี่ยนไปนั่งหน้าบึ้งข้างๆคนขับซะแล้ว

     

     

    ผมส่ายหัวนิดหน่อยกับความผีเข้าผีออกของคนตัวเล็กก่อนจะเปลี่ยนไปขึ้นนั่งประจำตำแหน่งเดิม หันไปมองก็เห็นเสี้ยวหน้าเรียวเล็กที่เอาแต่มองจ้องไปยังถนนเบื้องหน้าไม่มีทีท่าว่าจะมองผมสักนิด

     

     

    “ผมจะขับไปเรื่อยๆแล้วพี่ก็เล่ามา” ผมบอกแล้วออกรถทันที ทำไมมันง๊องแง๊งกันได้ขนาดนี้

     

     

    “...”

     

     

    “ไหนบอกว่าเราคุยกันได้ทุกเรื่องไง”

     

    “ก็ฉันหงุดหงิดตัวเองอยู่อ่ะ”

     

     

    “สาเหตุจากผมหรือเปล่า”

     

     

    “...”

     

     

    “ใช่ใช่มั้ยล่ะ”

     

     

    “...” สำหรับพี่จินฮวาน ไม่ตอบคือใช่

     

     

    “เล่า มา” ผมจงใจพูดชัดเน้นย้ำ อีกคนดูเหมือนจะไม่อยากเล่า ผมแอบเหล่มอง เห็นปากเล็กเม้มตรงอยู่นานสองนานกว่าจะยอมเปิดปากพูดออกมา

     

     

    “ขับรถไปนะ ไม่ต้องมองมา ใช้แค่หูฟังก็พอ”

     

     

    “อือ”

     

     

    “ก็เมื่อวาน...”

     

     

    “...” ผมเงียบรอฟังบ้าง อยากจอดรถคุยกันให้รู้เรื่องมากกว่าแต่เขาคงไม่ยอมพูดมันออกมาแบบที่มีผมจ้องมองอยู่แน่ๆ อีกอย่างมันก็จะเสียเวลาการเดินทางของเราอีก แค่นี้ก็เสียไปหลายนาทีแล้ว

     

     

    “บ๊อบบี้ไปหายุนที่มหาลัย”

     

     

    “...” แค่ได้ยินชื่อไอ้เพื่อนรักนั่นผมก็เริ่มเสียวสันหลังขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อย่าบอกนะว่าที่ผมงานเข้าอยู่เนี่ยมันเองที่เป็นคนป้อนงานให้ผม?

     

     

    “พอพรีเซ็นต์โปรเจ็กจบก็คุยกันเรื่อยเปื่อย”

     

     

    “แล้ว?”

     

     

    “โอ้ย ไม่เล่าแล้วได้มั้ยอ่ะ” พี่จินฮวานสะบัดหัวแรงๆจนเข้ามาในกรอบสายตาผม ผมเหลือบมองการกระทำแปลกๆนั่นอย่างไม่เข้าใจก่อนจะบอก

     

     

    “ไม่เล่าแล้วผมจะรู้มั้ย”

     

     

    “นายไม่ต้องรู้ก็ได้นะ”

     

     

    “ผมอยากรู้”

     

     

    “ก็...”

     

     

    “ก็?”

     

     

    “ฉันก็สงสัยว่าทำไมเมื่อวานนายไม่ไปหาฉันที่มหาลัยพร้อมกับบ๊อบบี้ที่ไปหายุนฮยอง ปกติก็ไปหาตลอดตามติดตลอด แค่นี้ก็คิดมากจะตายแล้วว่านายเปลี่ยนไปหรือเปล่า” โอ้โห ก็คิดได้อ่ะเนาะ แต่เมื่อวานผมก็ไม่ได้บอกเขาด้วยแหละว่าผมจะรีบกลับบ้านไปแต่งเพลงอ่ะ พี่จินฮวานกลายเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยไปตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมผมไม่เห็นรู้

     

     

    “ก็ผม...”

     

     

    “เดี๋ยวๆ ขอฉันเล่าให้จบก่อน นายยังไม่ต้องพูด” พอผมทำท่าจะอธิบายเขาก็ขัดขึ้นมาซะก่อน อะไรของเขาวะ ที่เป็นๆอยู่ตอนนี้ก็ไม่ใช่เพราะต้องการคำอธิบายหรอ? ยังไง?

     

     

    “อ่า”

     

     

    “บ๊อบบี้บอกว่านายรีบกลับบ้านไปแต่งเพลงน่ะ”

     

     

    “...” ก็ถูกต้องแล้วนี่ แต่ผมเริ่มได้กลิ่นอะไรแปลกไปยังไงก็ไม่รู้

     

     

    “เพลงที่มีแรงบันดาลใจมาจากเด็กที่ชื่อแบมแบม”

     

     

    นั่นไง กูว่าแล้ว ไอ้สัสบ๊อบมึง...

     

     

    “มันไม่ใช่...”

     

     

    “บอกให้ฟังให้จบก่อน” เขาหันมาทำหน้าดุใส่ผมก่อนปากเล็กๆนั่นจะพูดต่อ

     

     

    “แบมแบมก็คือเด็กผู้ชายที่มีหน้าตาน่ารัก ใครๆก็ต่างเอ็นดู บ๊อบบี้บอกว่านายเคยชมแบมแบมน่ารักเมื่อนานมาแล้ว แต่ตอนนั้นนายยังไม่รู้ตัวว่านายชอบผู้ชาย ถ้าตอนนั้นนายรู้ นายอาจจะจีบแบมๆไปแล้วก็ได้”

     

     

    “...” ไอ้เชี่ยบ๊อบแม่งป้อนงานให้ผมจริงๆด้วย นิสัยเสียจริงๆไอ้เพื่อนผี

     

     

    “แถมยังแต่งเพลงเพราะได้แรงบันดาลใจมากจากแบมแบมอีก คงจะน่ารักมากเลยสินะ” พี่จินฮวานพูดเสียงเหวี่ยงๆนิดหน่อยเขาดูไม่พอใจที่ผมชมคนอื่นว่าน่ารักหรอ หรือไม่พอใจที่ผมแต่งเพลงให้ใคร หึง? หรือหวง?

     

     

    เอาจริงๆเชี่ยบ๊อบมันก็เล่าเกินความจริงไปมหาศาลเลยอ่ะ แรงบันดาลใจในการแต่งเพลงมันก็มาจากแบมแบมส่วนหนึ่งเพราะผมแต่งเพลงนี้ไว้ตั้งแต่ฟอร์มวงให้พวกมันใหม่ๆ แต่มันก็ไม่ใช่จากแบมแบมคนเดียวป้ะวะ มันเป็นเพลงแนวคู่รักผมเลยหยิบยกแจ็คแบมมาเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงต่างหาก

     

     

    บ๊อบบี้แม่งจงใจเล่าไม่หมดอ่ะ มีความเหี้ย มึงอย่าให้ถึงทีกูบ้างนะมึง!

     

     

    “ผมพูดบ้างได้ยัง”

     

     

    “ฉันยังพูดไม่จบจะขัดทำไมเล่า” คนตัวบางหันมาแหวใส่ผมอีกครั้ง ผมก็เลยนิ่งแล้วฟังเขาต่อ แต่นี่อยากอธิบายแล้วไง ไม่รู้ว่าไอ้บ๊อบมันใส่สีตีไข่อะไรไว้บ้าง เมื่อวานกูพลาดมากจริงๆที่ไม่ไปกับมึง ห่าฟัด

     

     

    “ก็แค่สงสัยว่าสำหรับนายฉันไม่ได้น่ารักที่สุดหรอ ทำไมต้องแต่งเพลงที่มีคนอื่นเป็นแรงบันดาลใจอ่ะ ทำไมไม่ไปหาที่มหาลัย โว้ยยยยยยยย ก็บอกแล้วว่ามันงี่เง่า” พูดจบก็ทิ้งตัวเลื้อยไปกับเบาะแล้วก็หันหน้าหนีไปมองข้างทางเฉยเลย ทำไมมีความหึงหวงที่น่ารักขนาดนี้วะเนี่ย เอาจริงๆผมก็เหลือบมองเขาอยู่ตลอดแหละ พี่จินฮวานแม่งน่ารักชิบหาย

     

     

    “ขอผมอธิบายบ้างได้ยัง”

     

     

    “...” เขาไม่ตอบ ไม่มอง ไม่มีทีท่าที่จะสนทนากับผมสักนิด ตอนนี้ก็คงทะเลาะกับตัวเองในใจอีกละมั้ง ที่เป็นแบบนี้ผมไม่ได้มองว่ามันงี่เง่านะ มันน่ารักมากต่างหาก

     

     

    “แบมแบมเป็นรุ่นน้อง ก็ยอมรับว่าผมเคยชมว่าเขาน่ารักเพราะเด็กนั่นมันน่ารักจริงๆ”

     

     

    “...” ผมได้ยินพี่จินฮวานถอนหายใจพรืดใหญ่ ฟังให้จบก่อนเถอะพี่ท่าน...

     

     

    “แรงบันดาลใจในการแต่งเพลงมันไม่ได้มาจากแบมแบมคนเดียว แต่มันก็มาจากแจ็คสันแฟนของแบมแบมด้วย พี่อย่าไปเชื่อไอ้บ๊อบมันมากได้มั้ย” มันขี้อิจฉา เห็นเพื่อนกำลังไปได้ดีกับแฟนมันก็หมั่นไส้มันเลยหางานให้ ซึ่งถ้าเจอหน้ามันผมจะสอยแม่งให้ฟันร่วงเลย ขอสาบาน

     

     

    “...”

     

     

    “แล้วอีกอย่างที่สำคัญ...”

     

     

    “...”

     

     

    “ที่พี่บอกว่าถ้าตอนนั้นผมรู้ตัวว่าชอบผู้ชายผมคงจะจีบแบมแบมไปแล้ว มันผิดรู้มั้ย...”

     

     

    “...”

     

     

    “ผมไม่ได้ชอบผู้ชายทุกคนที่น่ารักหรอกนะ ผมไม่ได้ชอบผู้ชายทุกคนด้วย ที่ผมชอบก็มีแค่พี่และบังเอิญพี่เป็นผู้ชายอันนี้ก็เคยบอกไปแล้ว”

     

     

    “...”

     

     

    “ผมไม่ได้ชอบแบมแบมแบบนั้น ต่อให้มันน่ารักขนาดไหนหรือมันจะไม่มีแฟนคอยตามหวงผมก็ไม่มีทางจะจีบน้องมันอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวว่าผมจะชมหรือจะแซวมันบ่อยแค่ไหนเพราะกับมันผมไม่ได้คิดเกินน้องเลยจริงๆ”

     

     

    “...”

     

     

    “แฟนมันหวงมาก อันนี้บ๊อบบี้ก็รู้ แต่ต่อให้แฟนมันไม่หวงผมก็ไม่ยุ่ง มันเป็นน้องที่ผมเอ็นดูไง ไม่หึงดิครับ”

     

     

    “ใครหึง!?” เสียงแหลมแว้ดลั่นรถก่อนร่างเล็กๆนั่นจะกอดอกนิ่งเม้มปากแน่น

     

     

    “แบมแบมมันน่ารักแต่ผมไม่ได้อยากรัก แต่กับพี่ผมอยากรักทุกวันเลยนะ” ผมพูดต่อด้วยน้ำเสียงชวนสยิวนิดๆพอให้เขาได้รู้ความหมาย ซีเรียสใส่กันไปก็ไม่มีประโยชน์ ปัญหาขี้ปะติ๋วเท่านี้เอง

     

     

    “ทะลึ่ง” และแน่นอนพี่จินฮวานใช้มือเล็กฟาดลงไหล่ผมเต็มแรง

     

     

    “เรื่องแค่นี้พี่ก็เก็บไปงอนผมทั้งคืนเนี่ยนะ”

     

     

    “แค่นี้มันแค่ไหน แค่บอกว่าแต่งเพลงเพราะแรงบันดาลใจจากคนอื่นก็เรื่องใหญ่แล้ว” น้ำเสียงบงบอกถึงความงอแงเบอร์แรง...

     

     

    “หื้อ?”

     

     

    “ไหนจะเรื่องชมคนอื่นว่าน่ารักอีก บ๊อบบี้ยังบอกเลยว่าแบมแบมน่ารักจริง แล้วนายก็แซวแบมแบมทุกวันเลยด้วย”

     

     

    “เฮ้ยๆเดี๋ยวๆ ไม่แซวทุกวันมั้ยล่ะ พี่เชื่อมันขนาดนั้นเลยหรอไอ้บ๊อบบี้อ่ะ”

     

     

    “แล้วทำไมต้องไม่เชื่อด้วยล่ะ” อีกคนพูดเสียงนิ่งๆ ไม่มีความยินดียินร้ายในน้ำเสียงได้ยิน คนที่ไม่เคยประชดแล้วมาประชดกันนี่น่ากลัวเหลือเกินนะครับ

     

     

    “ก็มันใส่ร้ายผมอ่ะ ที่มันเล่านั่นมีความจริงแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นเหอะ”

     

     

    “...”

     

     

    “พี่จินฮวาน ผมรักพี่แค่คนเดียวดูไม่ออกหรอ จนป่านนี้แล้วนะครับ” ผมเลื่อนมือข้างหนึ่งไปกุมมือเล็กนั่นไว้ก่อนจะจับมือเขามาวางบนหน้าขา กุมเบาๆและใช้นิ้วโป้งเกลี่ยหลังมือไปมา

     

     

    “...”

     

     

    “ไม่ต้องกลัวว่าผมจะเปลี่ยนไปหรอก ผมไม่มีทางเปลี่ยน ที่ไม่ได้ไปหาก็แค่ต้องรีบมาแต่งเพลงจริงๆ เหตุผลอื่นไม่มีเลย” เพราะผมต้องใช้สมาธิในการขับรถด้วยจึงหันไปมองหน้าเขาได้ไม่ค่อยถนัด ไม่รู้ว่าเขาทำหน้าแบบไหนเพราะอีกคนก็เบือนหน้าหนีไปอีกฟากโน่น แต่มือผมก็ยังกุมมือเขาอยู่นะ ก็เลยทำได้เพียงย้ำความเชื่อใจด้วยการบีบลงบนมือเล็กเบาๆ

     

     

    “...” ที่ไม่พูดนี่กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่วะน่ะ

     

     

    เมื่อจบที่พี่จินฮวานเงียบผมเองก็เลยเงียบบ้าง ก็อธิบายไปจนหมดแล้ว อะไรที่อยากพูดอยากให้เขาเข้าใจผมก็พูดไปจนหมด ผมปล่อยมือออกจากมือบางเพราะต้องการที่จะตั้งใจขับรถ ทั้งรถจึงตกอยู่ในสภาวะเงียบ เงียบจนน่าตกใจว่าจะมีอะไรแปลกไปอีก พี่เขาเงียบเหมือนกำลังคิดทบทวนอะไรสักอย่าง

     

     

    ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ถ้าเขาใจเย็นเขาก็คงจะพูดกับผมเองนั่นแหละ

     

     

    ผมขับรถท่ามกลางความเงียบระหว่างเรามาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็แวะจุดจอดพักรถ อยากเข้าห้องน้ำด้วย แล้วก็หาซื้ออะไรกินด้วย ถึงจะเพิ่งขับมาได้ไม่นานแต่เพราะในรถตอนนี้มันเงียบจนชวนน่าอึดอัดผมก็เลยต้องจอดเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง

     

     

    “เข้าห้องน้ำกัน” ผมชวน

     

     

    “อือ” เขาปลดเข็มขัดนิรภัยออก ผมเองก็ปลดบ้างและเปิดประตูเตรียมที่จะลงจากรถ แต่ไม่ทันที่จะได้ก้าวขาลง ร่างเล็กๆนั่นก็โถมเข้าใส่ทั้งตัวซะก่อน

     

     

    พี่จินฮวานกอดผม กอดแน่นมาก กอดแน่นเหมือนกลัวว่าผมจะหลุดหายไปไหน

     

     

    “เบื่อมั้ย เบื่อความงี่เง่าของฉันหรือเปล่า”

     

     

    “ผมไม่เห็นเคยพูดว่าเบื่อ แค่คิดยังไม่คิดเลย” ผมตั้งสติเรียบเรียงเหตุการณ์ทั้งหมดแล้วกอดตอบทันที รู้สึกตกใจอยู่เหมือนกันที่อยู่ๆก็กอดแล้วก็มาพูดถึงเรื่องความงี่เง่าของตัวเอง แสดงวาเมื่อกี้ต้องคิดอะไรเกี่ยวกับตัวเขาเองอยู่สินะถึงไม่พูดอะไรโต้ตอบผมเลย

     

     

    “ขอโทษนะ ฉันเอาแต่ใจเกินไป”

     

     

    “ผมชอบที่พี่บอกผมเรื่องนี้นะ มันดีที่ผมได้อธิบายไง เห็นมั้ยว่าถ้าพี่ไม่พูดเราจะไม่มีทางเข้าใจกันแล้วพี่ก็จะคิดมากอยู่คนเดียว” ผมลูบเส้นผมนุ่มไปมาด้วยแรงเอ็นดู

     

     

    “ก็ยังรู้สึกผิดที่ระแวงนายอยู่ดี ฉันคิดมากไปเองและหงุดหงิดอยู่คนเดียว”

     

     

    “พี่เชื่อไอ้บ๊อบมากเกินไปต่างหาก” เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าผมไม่ควรปล่อยให้พี่จินฮวานได้คุยกับไอ้บ๊บบี้อีก แม่งขี้เสี้ยมชิบหาย แล้วไปพูดอีท่าไหนให้หวานใจกูเชื่อมึงได้ขนาดนี้ อยากด่าเหลือเกินไอ่สัส

     

     

    “ก็เขาบิวต์อ่ะ อารมณ์ตอนนั้นมันน้อยใจที่นายไม่ไปหาที่มหาลัยอยู่แล้วไง”

     

     

    “ก็น่าจะบอกตั้งแต่เมื่อวานสิ” ผมว่าก่อนจะกระชับกอดแน่น ถึงแม้ตอนนี้ในรถมันจะร้อนเพราะดับเครื่องยนต์ไปแล้วแต่ผมก็ไม่ได้อยากจะปล่อยเขาไปไหน อยากกอดเอาไว้แน่นๆแม้จะร้อนแค่ไหนก็ตาม

    ถ้าพี่เขายอมบอกเรื่องนี้กับผมตั้งแต่เมื่อวานเราก็ดีกันไปตั้งนานแล้ว

     

     

    “ก็ตอนนั้นโกรธอ่ะ”

     

     

    “ตอนนี้หายโกรธหรือยัง”

     

     

    “หายแล้ว ขอบใจนะ สบายใจละ” เขาผละตัวออกจากอ้อมกอดผม ส่งจมูกเล็กนั่นมาหอมเบาๆที่แก้มผมก่อนจะเปิดประตูลงจากรถแล้วบึ่งตรงไปที่ห้องน้ำทันที

     

     

    ทิ้งให้ผมเป็นไอ้บ้านั่งยิ้มอยู่คนเดียว

     

     

    อะไรของคนดีเค้าวะ

     

     

    แต่ชอบจัง

     

     

    เขินอ่ะเขิน เขินนนนนนนนนน

     

     

    #จบความฮันบิน

     

     

     

     

     

    สายลมยามเย็นพัดผ่านกระทบใบหน้า เส้นผมนุ่มปลิวไสวไปตามแรงลม ใบหน้าหวานของจินฮวานส่งยิ้มน้อยๆให้กับชื่อที่สลักอยู่บนโขดหินที่ปรากฏตรงหน้า

     

     

    บริเวณที่สงบร่มเย็นแห่งนี้คือสถานที่ฝังศพของพ่อและแม่ที่แท้จริงของจินฮวาน

     

     

    ร่างบางค่อยๆย่อตัวนั่งลงตรงหน้าหลุมศพ ดอกไม้ในมือเล็กบรรจงวางลงที่ใกล้ๆป้ายชื่อของท่านทั้งสอง ฮันบินเห็นอย่างนั้นก็รีบย่อตัวนั่งลงไปตามทันที

     

     

    ที่ตรงนี้ถึงจะไม่ได้มานานแค่ไหนแต่ก็ยังดูสงบและสะอาดตาเสมอ เพราะคุณนายคิมได้ว่าจ้างคนให้คนแถวนี้คอยมาดูแลบริเวณตรงนี้เป็นพิเศษอยู่ตลอด

     

     

    “คิดถึงจังเลยครับ” คนตัวเล็กเอ่ยเสียงแผ่ว เขารู้สึกใจหายทุกครั้งที่มาที่นี่ แม้จะได้มาแค่เพียงไม่กี่ครั้งในชีวิต แต่เขาคิดถึงพ่อกับแม่ แค่ลองคิดดูว่าถ้ามีโอกาสได้ดูแลและอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาบ้างก็คงจะดีไม่น้อยเลย

     

     

    เขารู้สึกผิดอยู่เสมอที่ไม่ได้ดูแลท่านทั้งสองเลย แม้ตอนที่พ่อกับแม่กลายเป็นสุสานไปแล้วแบบนี้เขายังไม่ค่อยได้มาเยี่ยมพวกท่านเลย

     

     

    “...” ฮันบินลอบมองเสี้ยวหน้าเล็กด้วยความสงสาร เวลานี้เขารู้สึกสงสารพี่จินฮวานจับใจ ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อก่อนเขาถึงได้มองข้ามเรื่องนี้ไป ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อและแม่ของเขาถึงได้เมตตาพี่จินฮวานขนาดนั้น เพราะพี่จินฮวานไม่ควรที่จะได้รับความเสียใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว นึกถึงเมื่อก่อนที่เขาเคยทำไม่ดีกับอีกคนสารพัดแล้วก็ได้แต่เจ็บในใจ ทำไมเขาต้องเกิดมานิสัยไม่ดีด้วยวะแม่ง

     

     

    “อยู่ตรงนั้นสบายดีใช่ไหมครับ”

     

     

    “...”

     

     

    “ผมอยู่ตรงนี้สบายดีนะ ไม่ต้องห่วงนะครับ คุณพ่อกับคุณแม่ดูแลผมดีมากเลย พ่อกับแม่ก็รู้ใช่มั้ยว่าพวกท่านใจดีแค่ไหน” น้ำตาแห่งความคิดถึงตีตื้นขึ้นมาพร้อมจะไหล แค่คิดถึงปมด้อยข้อนี้จินฮวานก็อยากจะร้องไห้ออกมา ชีวิตจริงมันโหดร้าย และเขารู้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่ได้รับการอุปการะจากตระกูลคิม พ่อกับแม่ก็คงหายห่วงไปได้บ้างที่เขาเติบโตมาได้จนถึงทุกวันนี้

     

     

    “...” ฮันบินโอบไหล่เล็กเข้ามาใกล้ตัวอย่างต้องการจะปลอบ เขาไม่ต้องการเห็นคนคนนี้ร้องไห้อีกแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่ต้อง น้ำตาของพี่จินฮวานมันบีบหัวใจกันเกินไป

     

     

    “ฉันไม่เป็นไรน่า” เอ่ยบอกคนน้องพร้อมเช็ดน้ำตาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาฉีกยิ้มเพื่อให้อีกคนสบายใจ

     

     

    “รู้ว่าไม่เป็นอะไร แต่ก็ไม่ควรร้องไห้สิ”

     

     

    “นายนี่ ก็ฉันคิดถึงพ่อกับแม่อ่ะ”

     

     

    “ผมรู้ ที่ผ่านมาพี่คงลำบากมากอ่ะ” ฮันบินเอ่ยเสียงแผ่ว ความรู้สึกผิดแล่นเข้าตัดขั้วหัวใจจนมันหวิวไปหมดอย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งมองใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ยังมีคราบน้ำตาของพี่จินฮวานตอนนี้มันก็ยิ่งบีบรัดรุนแรงจนปวดหนึบที่หัวใจ

     

     

    “แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้วไง ทำไมทำหน้างั้น” จินฮวานหันหน้ามามองก่อนสงสัย ก็ฮันบินเล่นทำหน้าเหมือนคนจะตายซะให้ได้อ่ะ ทำไมต้องหดหู่ขนาดนี้ด้วยล่ะ

     

     

    “ผมขอโทษนะ ที่ผ่านมาขอโทษทุกอย่าง ทั้งคำพูดและการกระทำของผมที่มันทำให้พี่ไม่สบายใจ ผมขอโทษจริงๆ” คนน้องว่าพร้อมจ้องหน้าคนพี่นิ่งๆ ถ้าจะให้พูดความรู้สึกตอนนี้มันก็มีแค่ความรู้สึกผิดนั่นแหละ ก็เคยคิดว่าชอบพี่เขาแล้วจะทำดีกับเขาเพื่อลบล้างสิ่งไม่ดีที่เคยทำไว้ไปได้ แต่พอมาอยู่ตรงนี้ สถานการณ์ตอนนี้กลับบีบบังคับให้ฮันบินคิดแต่อยากจะขอโทษ และคิดว่าขอโทษเท่าไรก็คงไม่พอ ย้อนไปเมื่อห้าหกปีที่แล้วเขาทำร้ายจิตใจอีกคนด้วยคำพูดที่ไม่คิดของเขาไปมากจริงๆ

     

     

    “ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกน่า” จินฮวานเอ่ยอย่างเข้าใจ เขารู้ว่าตอนนี้ฮันบินรู้สึกยังไง ในใจคงหดหู่มากสินะ คงสงสารเขามากสิท่าถึงได้แสดงท่าทีออกมาแบบนี้

     

     

    มือเล็กถูกส่งไปขยี้หัวคนเด็กกว่าเบาๆทั้งที่เขาเองก็ยังซบหัวอยู่บนไหล่เด็กนี่อยู่ แต่เขาก็ไม่อยากให้ฮันบินรู้สึกผิดอะไร ตกลงใครต้องเศร้า? สรุปใครต้องปลอบใครกันแน่? จินฮวานงงมาก...

     

     

    “...”

     

     

    “ก่อนหน้านี้นายอาจจะทำร้ายจิตใจฉันไปมากก็จริง แต่ตอนนี้นายคือคนที่ฉันอยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุดนะ”

     

     

    “...”

     

     

    “บินอ่า” ทำได้เพียงเรียกชื่อเพราะอีกคนยังคงเงียบอยู่ ฮันบินกำลังทบทวนตัวเอง ไม่ใช่เขาไม่ได้ยินที่คนตัวเล็กพูดหรอก เขาได้ยินทุกอย่างนั่นแหละ เพียงแต่ตอนนี้แค่มองไปยังหลุมฝังศพตรงหน้าก็อยากจะขอโทษจากใจจริงแล้ว

     

     

    “ขอผมพูดอะไรหน่อยนะ” บอกก่อนจะผละตัวเองออกจากคนตัวเล็กกว่า

     

     

    “อือ” แม้จะงงๆอยู่บ้างแต่จินฮวานก็ยอมตามใจฮันบินอยู่ดี

     

     

    “ผม คิมฮันบิน ลูกชายคนเล็กของครอบครัวคิมที่พวกคุณรู้จักดี” ฮันบินนั่งคุกเข่ามองไปยังหลุมศพตรงหน้า ปากหนาเริ่มเอ่ย แววตาคมมองที่ป้ายชื่อทั้งสองชื่อสลับไปมาอย่างหนักแน่น

     

     

    “...”

     

     

    “ผมอยากขอโทษ ที่เคยพูดและทำไม่ดีกับพี่จินฮวาน ผมรู้ว่ามันสายเกินไปที่จะขอโทษแต่ก็อยากจะขอ ยกโทษให้ผมด้วยนะครับ”

     

     

    “...”

     

     

    “ที่ผ่านมา ผมแย่มากจริงๆ ผมขอโทษสำหรับทุกอย่าง”

     

     

    “...” แม้แต่จินฮวานเองยังเงียบฟังที่ฮันบินพูด เขาไม่คิดว่าฮันบินจะพูดอะไรแบบนี้ต่อหน้าพ่อกับแม่ของเขาตอนนี้

     

     

    “ผมขอบคุณที่พวกคุณอยู่เคียงข้างพ่อของผม ช่วยเหลือท่านอย่างจริงใจมาโดยตลอด”

     

     

    “...”

     

     

    “...และก็ขอบคุณมากนะครับที่ทำให้เขาเกิดมา” ฮันบินเอื้อมไปคว้ามือเล็กมากุมไว้ที่หน้าขาของตน

     

     

    “...”

     

     

    “ผมรักพี่จินฮวาน ถึงแม้สถานะมันจะไม่ใช่พี่น้องอย่างที่ควรจะเป็นแต่ผมก็มั่นใจว่าผมรักเขาไม่แพ้ใคร”

     

     

    “...”

     

     

    “ได้แต่หวังว่าพวกคุณจะเข้าใจและยอมรับได้เหมือนกับที่ครอบครัวผมยอมรับนะครับ” ฟังๆไปก็เหมือนการสารภาพรักต่อหน้าพ่อแม่ เพียงแต่ตอนนี้ไม่ได้มีการตอบโต้ใดๆกลับมา

     

     

    “...” จินฮวานเริ่มรู้สึกตาร้อนๆเหมือนจะร้องไห้อีกครั้งเพราะคำพูดของฮันบิน ทำไมฟังดูใส่ใจที่จะพูดขนาดนั้น นายทำแบบนี้ฉันจะอดใจกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่รู้นะรู้มั้ย บินอ่า

     

     

    “ไม่ต้องเสียใจที่ไม่ได้ดูแลเขานะครับ เพราะต่อไปนี้ผมจะดูแลจินฮวานเอง”

     

     

    “...”

     

     

    “ถ้าผมทำให้เขาเสียใจขอให้ตัวผมเองเสียใจมากกว่าเป็นเท่าตัว ถ้าเขาร้องไห้ขอให้ผมเสียน้ำตาให้มากกว่า...”

     

     

    “...”

     

     

    “และถ้าเขาจะเจ็บขอให้รู้ไว้ว่าผมจะต้องเจ็บก่อน...ผมสัญญาครับ” ฮันบินพูดไปพร้อมกับคว้าเอาคนตัวเล็กมาไว้ในอ้อมกอด จินฮวานร้องไห้ ร้องไห้หนักมาก ทั้งซึ้งใจกับคำพูดของฮันบิน ทั้งดีใจ ทั้งสับสนและงงไปหมดว่าคำพูดพวกนี้คิดเองหรือเปล่า ไม่ได้ไปลอกใครมาใช่มั้ย ฮือออ ฮันบินคนดี

     

     

    “...” จินฮวานสะอื้นฮักพร้อมกอดฮันบิน ซบหน้าลงบนแผ่นอกแกร่งแล้วปล่อยให้น้ำตาแห่งความยินดีไหลออกมาเท่าที่มันอยากจะไหล

     

     

                พ่อกับแม่รับรู้ถึงความจริงใจของฮันบินใช่ไหมครับ ดูออกใช่ไหมว่าเขาหนักแน่นกับผมแค่ไหน

     

     

    “ฮันบินรักจินฮวานมากนะรู้มั้ย” มือหนาส่งนิ้วโป้งเอื้อมไปปาดคราบน้ำตาออกจากแก้มใส ถึงจะเป็นน้ำตาแห่งความดีใจแต่เขาก็ไม่ชอบที่จะเห็นน้ำตาอยู่บนใบหน้าหงานๆของพี่จินฮวานอยู่ดี

     

    “จินฮวานก็รักฮันบิน มากๆเลย” คนพี่ผละตัวออกหลังจากคำบอกรักรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ถูกเอ่ยออกไป เขาก็ยังรู้สึกเขินอายที่จะพูดมันออกมาอยู่ดี ต่อให้รักมากหรือจะพูดบ่อยแค่ไหนแต่ต่อหน้ฮันบินทีไรเขาก็ร้อนไปทั้งตัวและเขินมากๆทุกที

     

     

    ทั้งคู่นั่งเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ฮันบินจะเอ่ยออกมา

     

     

    “เหมือนมาสู่ขอพี่จากพ่อแม่เลยอ่ะ”

     

     

    “ก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่จะยกให้หรือเปล่านะ” ร่างเล็กว่าทีเล่นทีจริงพลางเหล่มองคนข้างกายนิดๆก่อนจะหลุดขำออกมาเมื่อฮันบินสวนกลับและหันมองเขาในทันที

     

     

    “ต้องยกให้ดิ”

     

     

    “ก็ลองถามดูสิ”

     

     

    “แล้วผมจะได้คำตอบมาจากไหนอ่ะ”

     

     

    “ถ้าพ่อกับแม่ไม่ตอบ...ก็แสดงว่าพวกท่านยกให้นั่นแหละ” จินฮวานว่าแค่นั้นก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

     

     

    “อะไรของพี่วะ” ดูเหมือนฮันบินจะยังไม่เข้าใจอะไรง่ายๆ

     

     

    จินฮวานก้มลงมองเด็กหน้าหล่อที่นั่งทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก ฮันบินมันเด็กโง่ เด็กโง่จริงๆเลย

     

     

    “ก็นายกำลังคุยกับอะไรอยู่ล่ะ สุสานไม่ใช่หรอ แล้วพ่อกับแม่ฉันตายไปตั้งแต่เมื่อไหร่? นายถามอะไรไปแล้วพวกท่านตอบได้มั้ย? แล้วเมื่อกี้ฉันบอกว่าอะไร? ถ้าพวกท่านไม่ตอบแสดงว่ายกให้ใช่มั้ย แล้วพวกท่านตอบนายมั้ยล่ะ ก็ไม่ตอบไม่ใช่หรอ? ...เข้าใจยังเนี่ย”

     

     

    “ก็แสดงว่ายกให้สิ” ฮันบินเอ่ยตอบงงๆ เขารู้สึกว่าหัวสมองมันตื้อๆ หรือพี่จินฮวานจะพูดมากไปจนเขาประมวลผลไม่ทันกันแน่ ฮันบินไม่แน่ใจ...

     

     

    “ก็เออไง” เรื่องแค่นี้ทำไมต้องให้เขาอธิบายซะยาวเหยียดเลยนะ มันใช่เวลามาโง่หรอคิมฮันบิน

     

     

    “ที่แท้ก็ยกให้แล้วนี่นา” คนเด็กกว่าลุกขึ้นยืนตามก่อนจะคว้าไหล่บางเอนอีกคนมาไว้ข้างๆตัว

     

     

    “...” จินฮวานยิ้มออกมานิดหน่อยพลางซบหัวลงที่ไหล่กว้าง ความอบอุ่นตรงนี้ของฮันบินมันกลายเป็นความเคยชินของเขาไปซะแล้ว

     

     

    “รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอนครับ ผมจะดูแลเขาให้ดีที่สุด ผมรักพี่จินฮวานจากใจจริง ถ้ามีใครถามผมก็จะตอบไปแบบนี้ สัญญาครับ” ประโยคหนักแน่นถูกเอ่ยออกไปอีกครั้งต่อหน้าหลุมฝังศพ ฮันบินอยากจะย้ำให้ท่านทั้งสองมั่นใจว่าจินฮวานจะไม่มีทางคิดผิดที่เลือกเขา

     

     

    “ขอบคุณนะ” เป็นจินฮวานที่พูดออกมา ฮันบินเปิดเผยความจริงใจทั้งหมดให้เขาได้เห็นและเขาเชื่อว่าพ่อกับแม่ต้องรับรู้มันได้และคิดตรงกับเขาที่เลือกและรักฮันบิน

     

     

    “คนดีของผม” ใบหน้าหล่อก้มลงต่ำสบกับดวงตาหวานก่อนจะใช้จมูกคลอปลายจมูกเล็กเบาๆ ทั้งคู่ยิ้มให้กันอย่างคุ้นเคย

     

     

    ฮันบินไล้จมูกไปตามพวงแก้มเนียน ไล่สูดดมกลิ่นหอมคุ้นเคยที่เป็นเอกลักษณ์ของคนตัวเล็ก ก่อนที่ปากหยักจะจรดลงบนกลีบปากสีฉ่ำอย่างตั้งใจ

     

     

    เนิ่นนานที่ฮันบินค้างปากไว้แบบนั้น ไม่มีการรุกล้ำล่วงเกินไปมากกว่าการสัมผัสริมฝีปากของกันและกัน แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้จินฮวานหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข เบื้องหน้าคือพ่อกับแม่แท้ๆที่เขาคิดถึงมาโดยตลอด ส่วนตรงหน้าคือคิมฮันบิน คนที่เขารักและรับเข้ามามีอิทธิพลต่อหัวใจและความรู้สึก

     

     

    ฮันบินคือคนเดียวที่จะได้ทั้งหมดไปจากคิมจินฮวาน ทั้งร่างกาย และหัวใจ

     

     

    วันข้างหน้าจะเป็นยังไงคงไม่มีใครรู้ได้ จินฮวานได้แต่หวังขอให้เราดูแลกันและรักกันอย่างนี้เรื่อยไป จนกว่าจะถึงวันที่เบื่อกัน และถ้าจะมีวันนั้นก็ขอให้มีเหตุผลที่เพียงพอมาอธิบายว่าทำไมถึงเบื่อกัน

     

     

    วันนี้จินฮวานรัก รักคิมฮันบิน ยังคิดไม่ออกว่าจะมีวันที่เบื่อหรือเปล่าแต่ถ้าในทุกๆวันยังเป็นแบบนี้ หนทางที่จะเบื่อมันก็ไม่มีเลย

     

     

    ฮันบินเองตั้งแต่มีพี่จินฮวานเขาก็ไม่เคยมองใครเลยด้วยซ้ำ จะว่าเขาสิ้นลายไปเลยก็ได้ แต่ชีวิตต่อจากนี้ก็อยากจะวอแวกับพี่จินฮวานแค่คนเดียว รักก็แค่คนเดียว คิดถึงก็แค่คนเดียว ทุกความรู้สึกรวมอยู่ที่คนคนเดียว

     

     

     

     

    แค่คิมจินฮวานคนเดียว

     

     

     

    -END-

     

     

     

    วี้ดดดดดดดดดดดดดดด จบแล้วข่าาาาาาาา

    ในที่สุดฟิคเรื่องนี้ก็จบ ขอบคุณรีดเดอร์ทุกท่านที่ติดตามกันมาจนถึงตอนจบ ขอบคุณทุกเม้นทุกสกรีมทุกเฟบทุกแชร์ทุกกำลังแรงใจที่มีให้กันตลอดมา #นี่กล่าวขอบคุณตำแหน่งสส.ถูกไหม ถถถถถถถ

    จะบอกว่าเรารักเรื่องนี้มาก และเป็นเรื่องแรกที่เราแต่งจบ เปิดเรื่องตั้งแต่กุมภาฯปีที่แล้วมาจบเอาพฤษภาฯปีนี้ รวมเวลาแต่ง(บวกดอง)ก็ปีกว่า งือออออออออ ตอนนี้จบแล้วนะ ขอโทษที่ช่วงหลังๆมาห่างมากแต่ตอนนี้จบแล้ว

    เราอาจจะมีสเปพาร์ทมาเรื่อยๆนะคะ จะยังไม่ปิดจบเพราะเราต้องคิดถึงแน่ ยังไงก็ฝากติดตามต่อเนอะ

    อนึ่ง แอบคิดพล็อตเรื่องใหม่ไว้ ถ้าว่างๆก็อาจจะมาเปิด อาจะเป็นบีจิน Ft.มาร์คแบม Ft.มินวอน อันนี้แอบคิดคร่าวๆกับน้องอีกคน แค่แอบคิด 55555555 อยากขยันแล้วรีบปั่นเปิดเรื่องจังค่ะ ฮืออออออออ

     

    สุดท้ายก็ขอบคุณรีดเดอร์ทุกคนนะคะ ตอนจบถูกใจมั้ยก็เม้นบอกกันได้ เราก็อยากอ่านเหมือนเดิม เราก็คิดถึงเหมือนเดิม เราก็รักเด็กๆเหมือนเดิมมมมมมมมมมมมมมมม

    ใจหายเหมือนกันนะเว้ย แบบเห้ยจบแล้วจริงอ่ะ แต่อีกใจก็เออจบเหอะเมิงนานเกินไปละ 5555555555555555555555

    #ฟิคพี่ชายบีจิน

    ทอล์กผีบ้าอะไรยาวขนาดนี้ 5555555555555555555555555555555555




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×