ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    END [FIC iKON] พี่ชาย BJIN Ft. iKON BOBYUN JUNDONG

    ลำดับตอนที่ #21 : 20 : ฟิคพี่ชาย 20 [100%]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.95K
      17
      31 ก.ค. 58


    ฟิคพี่ชาย BJIN Ft. iKON Junhoe [BOBYUN] 

    -20-





    -

    โต๊ะอาหารกลางบ้านของตระกูลกูถูกล้อมรอบไปด้วยบุคคลถึงแปดคน อันประกอบไปด้วย ผอ.กู นั่งอยู่หัวโต๊ะ (นั่งหัวโต๊ะนั่นแหละคนออกตังค์ ไม่ใช่!! สนุกมากมั้ย- -“)  ซ้ายมือคือคุณท่านคิมซองกยู ถัดไปคือคุณนายคิม ฮันบินและจินฮวานตามลำดับ ส่วนทางขวามือคือคุณนายกู ต่อมาคือจุนฮเวและดงฮยอกตามลำดับเช่นกัน

     

    #ความจินฮวาน

     

    ผมนั่งมองอาหารตรงหน้าด้วยความชั่งใจ อันที่จริงผมไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ ไม่สิ ผมยังไม่หิวเลยต่างหาก แต่ตอนนี้ก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดี หลังจากที่ผมและจุนฮเวนั่งคุยกันไปได้สักพัก ผู้ใหญ่ทุกคนก็เดินเข้ามาในบ้านอย่างพร้อมเพรียง ทั้งคุณลุงจุนเพียว คุณป้าฮาร่า คุณพ่อและคุณแม่ ทุกคนเข้าบ้านมาพร้อมกัน

     

    แต่เมื่อกี้ผมเพิ่งบอกไปใช่มั้ยล่ะว่าผมนั่งคุยกับจุนเน่ ก็นั่นแหละครับ เรานั่งคุยกันจริงๆ ผมขอตัวจุนเน่ออกไปคุยข้างนอกหลังจากขอให้ดงฮยอกช่วยติวหนังสือต่อให้ฮันบินแทน

     

    ทีแรกฮันบินก็แสดงท่าทีอิดออดนิดหน่อยที่ผมขอคุยกับจุนเน่แค่สองคน เขาบอกว่าเขาหวงผม แต่ผมก็บอกพร้อมกับรับประกันไปแล้วว่ามันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น และทุกการกระทำของผมจะอยู่ในสายตาของเขา ก็จะไม่อยู่ในสายตาได้ไงในเมื่อที่ๆผมจะคุยกับจุนเน่กับที่ๆฮันบินนั่งอยู่ มีเพียงกระจกใสๆเท่านั้นที่กั้นไว้

     

    สุดท้ายฮันบินก็ยอมให้ผมได้คุยกับจุนเน่ แต่ดูเหมือนตัวจุนเน่เองจะไม่ค่อยอยากอยู่กับผมลำพังสักเท่าไหร่ เขาเองคงยังไม่รู้ว่าผมรู้แล้วว่าเขารู้สึกยังไงกับผม

     

     

    ว่าแต่อยากรู้หรือเปล่าว่าเราคุยอะไรกัน

     

     

    ถ้าอยากรู้ผมจะเล่าให้ฟังก็ได้นะ แต่ถ้าใครไม่อยากรู้คุณก็ต้องรู้ครับ เพราะมันคือสิ่งที่ผมอยากบอก ฮี่

     

     

     -

    ชั่วโมงก่อนหน้า

     

    “พี่มีอะไรหรือเปล่า” จุนเน่ถามขึ้นทันทีที่นั่งลงข้างๆผม เรานั่งกันอยู่ที่นอกบ้านริมกระจกที่ล้อมรอบไปด้วยสวนหย่อมขนาดกลาง

     

    “ก็มีแหละ” ผมตอบก่อนจะเกาจมูกเบาๆ แล้วนี่จะให้เริ่มยังไง ก็คิดแค่ว่าจะคุยแต่ไม่ได้คิดวิธีการเริ่มคุยมานี่นา-.-

     

    ความจริงว่าจะชวนจุนเน่แยกตัวออกมาคุยด้วยข้ออ้างที่ว่าพี่ทำคุ้กกี้มาให้ช่วยชิมให้หน่อยสิอะไรแบบนี้ แต่ไหนล่ะคุ้กกี้ บอกเลยว่าไม่ได้ทำมา ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง ฮันบินเอาแต่กวนผมตั้งแต่เช้าจนไม่มีสมาธิจะทำอะไร แถมยังบอกอีกต่างหากว่าถ้าผมทำขนมให้จุนเน่เขาจะโกรธผม

     

    เจริญมั้ยล่ะ แล้วนี่ก็บ้าจี้กลัวมันโกรธด้วย ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง!!! ไม่มีของมาฝาก ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมาเลย วันทั้งวันยุ่งอยู่กับการโต้เถียง และไม่ใช่ใครที่ไหนเลย ก็ฮันบินอีกนั่นแหละ

     

    “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

     

    “ช่วงนี้นายแปลกๆจัง เหมือนไม่อยากเจอพี่ ไม่อยากคุยกับพี่ ขนาดหน้ายังเหมือนไม่อยากมองเลย” อันนี้ความจริงครับ จุนเน่ทำอย่างที่ผมพูดไปทั้งหมดจริงๆ

     

    “ไม่ใช่ ไม่ใช่แบบนั้น” จุนเน่พูดเสียงตกใจก่อนจะทำหน้าตาเลิ่กลั่ก เขาคงไม่คิดว่าผมจะคิดแบบนี้ล่ะมั้ง เหมือนเขาจะกลัวผมเข้าใจผิดหรือโกรธอะไรสักอย่าง

     

    “แล้วนายเป็นอะไร บอกพี่ได้มั้ย”

     

    “ไม่มีไรครับ” เพียงแค่ชั่วครู่เขาก็กลับมาตีหน้านิ่งขรึมดังเดิม แต่แววตาคมนั้นก็ยังมีแววหวั่นๆอยู่หน่อยๆ ผมดูออกว่าเขากลัวผมโกรธ เพียงแต่ก็ยังรู้สึกว่าเขายังไม่อยากพูดอะไรมากมายกับผมอยู่ดี

     

                พยายามตีตัวออกห่างอะไรประมาณนั้น

     

    “จุนเน่..” ผมเรียกชื่ออีกคนเสียงเรียบเพื่อบ่งบอกให้รู้ว่านี่เป็นการเตือนครั้งที่หนึ่ง

     

    “ผมจะบอกพี่ได้ยังไง”

     

    “นายชอบพี่ใช่มั้ย” ผมเอ่ยใจความสำคัญออกไป ดูเหมือนเป็นคำถามที่หลงตัวเองไม่ใช่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็แอบเห็นจุนเน่ทำหน้าเหวอไป แสดงว่ามันเป็นความจริง เขาชอบผมจริงๆด้วย

     

    “พี่รู้ได้ยังไง”

     

    “มันคือเรื่องจริงหรอ”

     

    ” จุนเน่ไม่ตอบ เขาทำเพียงแค่พยักหน้าหงึกหงักให้ผมแทน ผมคิดว่าผมเข้าใจจุนเน่แล้วล่ะ เขาแค่ไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากยุ่งกับผม เพียงเพราะจะตัดใจจากผม แบบนั้นหรือเปล่า แบบนั้นแน่ๆ

     

    “ฮันบินเผลอพูดออกมาน่ะ แต่เขาไม่ได้ตั้งใจจะบอกพี่หรอกนะ”

     

    “อือ ผมรู้”

     

    “พี่เลยอยากคุยกับนาย อย่าเปลี่ยนไปสิจุนเน่”

     

    “ผมคิดว่าผมยังตัดใจจากพี่ไม่ได้นะ ผมแค่ไม่อยากคิดอะไรเกี่ยวกับพี่อีก ขอโทษนะครับถ้าทำให้พี่ไม่สบายใจ”

     

    “พี่ไม่ได้ว่าอะไร และไม่ขอให้นายเป็นเหมือนเดิมก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่าเราจะห่างเหินกันแบบนี้สิ”

     

    “ผมรู้ว่าพี่คิดกับผมแค่น้อง เพราะพี่เองก็ชอบฮันบินใช่มั้ยล่ะ”

     

    ” ประโยคนี้ของเขาเล่นเอาผมอึกอักพูดอะไรไม่ถูก เขารู้หรอ? เขารู้ได้ยังไง

     

    “ผมรู้ว่าต่อให้สู้กับมันผมก็แพ้มัน”

     

     

    “แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ผมเป็นน้องพี่ยังไงก็คือน้องพี่ ผมจะเป็นเหมือนเดิมแต่ขอเวลาหน่อย”

     

    “จุนเน่คนอื่นที่พร้อมให้นายดูแลมีตั้งเยอะแยะนะ” ผมพูดจริงๆนะครับ มันไม่ใช่การปลอบใจผู้แพ้ มันไม่ใช่การที่จะพูดเพื่อทำให้ตัวผมเองดูดี แต่ผมอยากบอกกับเขาแบบนี้ เพราะระหว่างเขากับผมมันไม่มีความเป็นไปได้ ผมมองไม่ออกหรอกไอ้ที่เราจะเป็นอย่างอื่นมากกว่าพีน้องอ่ะ ผมรักเขาเหมือนน้องแท้ๆ มากกว่าน้องในบ้านอย่างฮันบินซะอีก ในฐานะพี่น้องอ่ะนะ

     

    การที่เขาจะคิดอะไรกับผมผมก็ห้ามเขาไม่ได้หรอก แต่ถ้าคิดไปแล้วผมเชื่อว่ามันก็ต้องเลิกคิดได้ ก็คงต้องใช้เวลาไม่ก็ต้องมีใครสักคนที่เข้ามาหาจุนเน่ เขาถึงจะลืมๆผมไปสักที หมายถึงลืมความรู้สึกของการรักชอบในแบบอื่นอ่ะนะ แต่ความเป็นพี่น้องผมเชื่อว่าเขาจะไม่ทิ้งมันแน่นอน เพราะผมเองจะไม่มีวันทิ้งมันเด็ดขาด

     

    “ไม่มีใครเหมือนพี่สักคน” เขาพูดเสียงเรียบก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ท่าทีสบายๆ แต่ใบหน้านั้นก็ยังดูกังวลปนงงๆอยู่เล็กน้อย ดูก็รู้ว่าเขากำลังใช้ความคิด แต่คิดอะไรอยู่นี่ก็ไม่สามารถหยั่งรู้ได้

     

    “แล้วดงฮยอกล่ะ พี่แอบเห็นสายตานายเวลามองเขานะ มันเหมือนสายตาบ๊อบบี้ที่มองยุนฮยอง”

     

    ” จุนเน่ทำหน้างงใส่ผมอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจ เขาเองก็คงจะคิดเรื่องนี้อยู่ไม่น้อยเลยล่ะมั้ง ผมแอบเห็นเขาเหลือบไปมองดงฮยอกที่ตอนนี้แทบจะทึ้งหัวฮันบิน คงเป็นเพราะฮันบินไม่ยอมฟังเขาละมั้ง เพราะผมมองไปทีไรก็เห็นฮันบินมองมาที่ผมอยู่ตลอด

               

    หวงอ่ะเด้ หวงป้ะล่า คิคิ

     

    “สายตาแบบชอบที่จะมอง มองแบบเอ็นดู” อันนี้ก็เรื่องจริงอีกนั่นแหละครับ ผมไม่ได้จะพยายามกีดกันจุนเน่ออกด้วยการยัดเยียดดงฮยอกให้เขา แต่ผมคิดแบบนั้นจริงๆ จุนเน่มองดงฮยอกอ่ะเหมือนบ๊อบบี้มองยุนฮยองเด๊ะเลย

     

    “พี่ก็เวอร์ไป” เขาว่าผมพร้อมเสียงหัวเราะอ่อนๆ เอาจริงๆก็ไม่น่าจะเวอร์นะ ผมเห็นแบบนั้นจริงๆ เขามองดงฮยอกแบบนั้นจริงๆ เพียงแต่ว่าเขาเองอาจจะไมรู้ตัว หรือไม่ก็อาจจะรู้แต่พยายามทำเป็นไม่รู้

     

                ผมว่าผมเนี่ยรู้ดีเกินไปละ =.=

     

    “พี่มั่นใจว่านายไม่เคยมองพี่แบบที่นายมองดงฮยอก”

     

    ” อ่าว ผมจะบาปมั้ยหนิ ทำไมจุนเน่ขมวดคิ้วทำหน้าตาคิดหนักขนาดนั้นล่ะ เขาเครียดหรอ?

     

    “ลองคิดดูดีๆนะจุนเน่ คิดแบบที่ไม่ต้องฝังใจ ไม่ต้องคิดว่ายังไงก็คือพี่ เปิดใจให้คนอื่นและยอมรับความรู้สึกตัวเองบ้าง” ทำไมผมพูดดีจัง พูดเหมือนรู้ไปซะทุกเรื่อง ทั้งๆที่จริงๆก็แค่เดา แต่สายตาของจุนเน่ที่มองดงฮยอกนั่นมันจับง่ายจริงๆนะ

     

    บางทีเขาอาจจะแค่สับสน หรืออาจจะเป็นความคิดฝังใจว่าคนที่เขาชอบคือผมคนเดียว ทั้งๆที่บางทีเขาเองอาจจะชอบใครอีกคนไปแล้วก็ได้

     

    “ผมไม่เข้าใจที่พี่พูดหรอก”

     

    “นายชอบพี่มากขนาดไหน”

     

    “ไม่รู้อ่ะ ก็ชอบ ผมไม่เคยมองว่าใครน่ารักเท่าพี่หรอก” พูดไปสายตาก็มองดงฮยอกไป คิ้วเข้มขมวดแรงเป็นรอบที่สามของวัน แล้วนั่นคิดอะไรอยู่ คิดว่าดงฮยอกก็น่ารักหรอ? หรือไง?

     

    พูดว่าไม่เคยมองใครน่ารักเท่าพี่แต่สายตาเอาแต่มองดงฮยอกเนี่ยนะ

     

    “ดงฮยอกล่ะไม่น่ารักหรอ?”

     

    “...”

     

    “...”

     

    “เมื่อก่อนก็ไม่อ่ะ แต่ตอนนี้ก็ปกติ หรือบางทีก็น่ารักมั้ง” บางทีจินก็คิดนะ ว่าทำไมจุนเน่ต้องทำหน้างงโลกขนาดนั้น เขาทำเหมือนคนสับสนที่ไม่รู้แม้กระทั่งจะเบนความคิดไปทางไหน เอาจริงๆหน้าตาเขาดูทุกข์มากอ่ะ มองดงฮยอกมองแล้วมองอีก มองแล้วก็มองอีก ความจริงจุนเน่น่าจะมั่นใจได้แล้วนะ คนไม่คิดอะไรมันจะมองกันบ่อยขนาดนั้นได้ยังไง

     

    ทำไมตอนเขาชอบผมเขาถึงรู้ตัวว่าเขาชอบผม แต่ทำไมเวลาแบบนี้เขาถึงไม่รู้ตัว นี่ผมรู้แทนเขาจนมั่นใจแทนไปแล้วนะว่าจุนเน่อ่ะต้องมีคิดอะไรกับดงฮยอกบ้างแน่ๆ

     

    มีเสาฟันเสามีธงฟันธงอ่ะจินบอกเลย!!

     

     

    “นายหวั่นไหวกับใครง่ายๆใช่มั้ยล่ะ”

     

    “ผมไม่รู้อ่ะ ผมรู้แค่ว่าผมชอบพี่”

     

    “คิดดีๆนะจุนเน่ พี่ว่านายไม่ได้ชอบพี่แล้วล่ะ”

     

     

    “ตั้งแต่ที่นายบอกว่าดงฮยอกน่ารักแล้ว” ผมตบป่าเด็กยักษ์ปุๆด้วยความมั่นใจว่าการสันนิษฐานของผมมันไมผิดแน่ๆ จุนเน่มองผมงงๆอีกครั้ง ผมไม่แน่ใจว่าเราคุยกันเข้าใจหรือเปล่า ไอ้ที่ผมพูดไปทั้งหมดเนี่ยจุนเน่จะเก็บไปคิดตามบ้างมั้ย ผมว่าเขาคงคิดแหละ คิดมากด้วย

     

    ” จุนเน่เงียบ

     

    ” ผมเองก็เงียบ

     

    “เข้าไปกันเถอะพี่ ก่อนไอ้บินมันจะฆ่าผม” ในที่สุดจุนเน่ก็พูด แต่ก็ไม่ค่อยจะเกี่ยวกับเรื่องที่เราคุยกันสักเท่าไหร่ ไม่เกี่ยวเลยมากกว่า มันเกี่ยวไรกะฮันบินเล่า .///.

     

    “นายเข้าใจที่พี่พูดหรือเปล่าน่ะ”

     

    “ก็เข้าใจนะ เดี๋ยวผมจะเก็บไปคิด คิดดูดีๆ” เขาพูดก่อนจะขมวดคิ้วอีกครั้ง ท่าทางคิดไม่ตกเหมือนคนหาทางออกไม่เจอ เฮ้ย ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เขาเครียดขนาดนี้นะ TT

     

    “ดีแล้ว ไม่ต้องคิดอะไรให้มากหรอก แค่ทบทวนเฉยๆ” ผมส่งยิ้มให้พลางเอื้อมือจับหัวเด็กยักษ์โครงไปมา

     

    “แล้วถ้าผมคิดไม่ออกล่ะ”

     

    “ปรึกษาพี่ได้ ทุกเรื่องนั่นแหละ” ผมยังคงยิ้มแล้วยกหัวเขาต่อ จุนเน่เป็นเด็กน่ารักนะ ผมเล่นกับเขาได้ตลอดแหละ เราเหมือนพี่น้องกันมากจริงๆ

     

    “อย่ายิ้มแบบนี้ครับ มันยากต่อการตัดใจนะ” จุนเน่พูดอีกครั้งด้วยท่าทีที่สบายขึ้น เหมือนเขาจะล้อเล่นนะ เขาไม่ได้ดูจริงจังเท่าไหร่เวลาพูด

     

    “บ้า ก็บอกให้คิดดีๆ บางทีนายอาจไม่ต้องเสียเวลาตัดใจก็ได้ อาจจะตัดไปได้ตั้งนานแล้ว”

     

    “อือ ผมจะคิดนะ” จุนเน่ยิ้มกับผมอีกครั้งก่อนที่เราจะเข้าไปข้างในพร้อมกัน พร้อมกันกับที่พวกผู้ใหญ่เดินเข้าบ้านมาพอดี

     

     

    กลับมาที่ปัจจุบัน

     

    ผมยังคงนั่งจ้องกับข้าวตรงหน้านิ่งๆ ไม่รู้ทำไม ไม่รู้สึกอยากจะยัดอะไรเข้าปากเลย

     

    “น้องจินทำไมทำหน้าแบบนั้นครับ ไมหิวเหรอ?” เป็นคุณป้าฮาร่าที่เอ่ยถามผมไปพร้อมๆกับการทำลายความเงียบ ท่านก็มักจะเรียกผมแบบนี้แหละครับ กับคนอื่นๆก็เช่นกัน น้องจิน น้องบิน ลูกตัวเองยังเรียกน้องจุน นี่ล่าสุดเห็นเรียกดงฮยอกว่าน้องดง อือครับ น่ารักดี

     

    “ผมไม่ค่อยหิวน่ะครับ”

     

    “กินครับ กินเยอะๆ” ฮันบินพูดจบก็ตักอาหารมาใส่จารให้ผม จะบ้าตาย ทำไมต้องดีขนาดนี้ด้วย ทำไมฮันบินน่ารักจัง สายตาเขาเหมือนผู้ใหญ่ที่คอยดูแลเด็กคนหนึ่งเพื่อที่จะให้กินข้าวเยอะๆ

     

    “ดูแลกันดีจริงๆ ผิดปกตินะเนี่ย” คุณลุงจุนเพียวพูดติดตลก ก็แน่สิครับ ครั้งล่าสุดที่ท่านเห็ผมกับฮันบินยังกัดกันเป็นหมาอยู่เลย มาคราวนี้เป็นแบบนี้ก็คงดูแปลกไปจริงๆนั่นแหละ

     

    แต่สายตาของใครก็ไม่เท่าสายตาของคุณพ่อเลยจริงๆ ไม่เคยรู้สึกเหมือนเป็นนักโทษแบบนี้มาก่อน การจ้องมองชนิดที่ว่าไม่ปล่อยให้คลาดสายตาแบบนั้น

     

     

     

     

    30%

     

     

     

     “พี่คุยอะไรกับไอ้เน่” ฮันบินส่งยิ้มให้คุณลุงพอเป็นพิธีก่อนที่เขาจะหันมากระซิบถามผมเสียงเบา

     

    “ไม่ใช่เวลาที่จะมาถามมั้ย กินข้าวไปก่อนเลย” ผมกระซิบกลับด้วยอาการร้อนรนหน่อยๆ

     


                ใช่ครับ ผมร้อนรน มันรู้สึกอึดอัด เพราะคุณพ่อยังจ้องมองมาที่พวกเราไม่เลิก

     

    “ไม่บอกผมก็ไม่กิน” ไม่ว่าเปล่า เขาพูดพร้อมวางช้อนลงเสียงดัง

     

    แล้วฮันบินจะมาเอาแต่ใจอะไรตอนนี้ล่ะ ไม่สิ เด็กนี่มันก็เอาแต่ใจมาตลอดชีวิตนั่นแหละ แต่ช่วยเข้าใจหน่อยได้มั้ยว่านี่มันไม่ใช่เวลาที่เราสองคนจะมานั่งคุยเรื่องนี้กันน่ะ

     

    ผมยอมรับเลยว่าตอนนี้ผมยังไม่อยากคุยกับฮันบินมากนัก ความรู้สึกกลัวมันก็ยังชัดเจนขึ้นมาตลอดเมื่อผมได้สบตาคุณพ่อ

     

                เรียกว่าร้อนตัวก็ไม่น่าจะผิดอะไร

     

    “เป็นอะไร” คุณพ่อหันมามองฮันบินแววตาเคืองหน่อยๆ คงเพราะไม่พอใจที่ฮันบินเสียมารยาทบนโต๊ะอาหารแหละครับ

     

    “ไม่อร่อยหรอครับน้องบิน” ป้าฮาร่าสมทบขึ้นอีกคน

     

    “ผมไม่ค่อยหิวอ่ะ แต่เผอิญวางแรงไปหน่อย ขอโทษครับ” เอ่ยขอโทษขอโพยผู้ใหญ่เสร็จก็กลับมานั่งหน้าหงิกเหมือนเดิม ให้มันได้แบบนี้สิ!

     

    “เป็นไรหรือเปล่าลูก” คุณแม่ถามบ้างหลังจากนั่งมองอาการลูกชายตัวดีอยู่นาน

     

    “ผมปวดหัวนิดหน่อย ขอกลับบ้านก่อนได้ไหม”

     

    “จริงหรอ เป็นไรมากหรือเปล่า ไปหาหมอก่อนไหมครับ” ป้าฮาร่าถามน้ำเสียงใจดี ทุกคนรู้ว่าถ้าจะคุยกับฮันบินต้องประนีประนอม เด็กนี่น่ะยิ่งกว่าไข่ในหินของทุกคนอีกครับ ถูกตามใจแม้กระทั่งกับครอบครัวอื่น

     

                ต่อไปเขาอาจจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินอาจจะเป็นฮันบินที่บินได้เหมือนชื่อของเขา

     

    แต่ผมก็รู้เหอะว่าฮันบินไม่ได้ปวดหัวจริงหรอก เขาแค่หงุดหงิด และเมื่อไหร่ที่เขาหงุดหงิดเขาก็จะชอบอยู่คนเดียว เขาคงไม่อยากทำให้สถานการณ์มันดูแปลกและเลวร้ายไปกว่านี้แล้วล่ะมั้ง

     

    “ไม่เป็นไรครับกลับไปนอนพักสักหน่อยคงจะดี”

     

    “งั้นลูกกลับบ้านไปก่อนก็ได้ พ่อกับแม่ขออยู่ต่อก่อน” คุณแม่ว่า คงเป็นเพราะนี่เพิ่งจะเริ่มเวลาอาหารเย็น ถ้าเราแห่กลับบ้านกันจนหมดก็คงจะเป็นอะไรที่เสียมารยาทน่าดู คุณแม่คุณพ่อก็เลยต้องอยู่ก่อน

     

    “ครับ” ฮันบินรับคำก่อนจะชำเลืองสายตามามองผมเล็กน้อย ค้อนวงใหญ่ถูกส่งมาให้อย่างจังไม่ทันตั้งตัว

     

    บ้าไปแล้ว ทำไมเขาชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่จังเลย แค่ผมยังไม่ได้บอกว่าผมคุยอะไรกับจุนเน่เนี่ยนะ คือจริงๆมันก็ไม่ได้มีอะไรน่าปิดบังหรอก แต่ก็บอกแล้วไงว่า ณ ตอนนี้ผมยังไม่อยากพูดอะไรกับฮันบินมาก รอให้กลับบ้านก่อนไม่ได้หรือไง นี่จะเล่าให้ฟังทุกอย่างเลยนะ!

     

    เขาทำท่าฮึดฮัดขัดใจก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

     

    “เอ่อ งั้นผมกลับด้วยดีกว่า เพราะถ้าปวดหัวน้องคงขับรถไม่ไหว” ผมตัดสินใจพูดออกไปก่อนจะลุกขึ้นยืนข้างๆฮันบิน ทุกคนมองมาที่เรากันหมดไม่เว้นแม้แต่แม่บ้าน ผมสบตากับจุนเน่ก่อนที่เราจะส่งยิ้มจางๆให้กัน ผมคิดว่าจุนเน่รู้ว่าฮันบินเป็นคนยังไง และเขาก็น่าจะเข้าใจดีด้วยกับไอ้อาการที่ฮันบินเป็นอยู่ตอนนี้

     

    “โอเค งั้นพี่จินกลับบ้านกับน้องเนอะ ดูแลน้องด้วยนะลูก”

     

    “ครับคุณแม่”

     

    “ขับรถระวังๆล่ะ”

     

    “ครับคุณพ่อ” ผมตบปากรับคำก่อนจะจับข้อมือเด็กดื้อแล้วลากเขาออกมา

     

     

    #จบความจินฮวาน

     

     

     

     

     

    ร่างเล็กของจินฮวานจูงมือของฮันบินมาหยุดที่รถโดยที่ไม่มีใครได้พูดอะไร

     

    “กุญแจมาจะขับให้”

     

    “กลับไปนั่งเหอะ ผมขับเองได้”

     

    “อย่าดื้อให้มันมากได้มั้ย ปวดหัวไม่ใช่ไง”

     

    “พี่ก็รู้ว่าผมโกหก” ฮันบินเอ่ยออกไปตามความจริง เขาก็แค่โกหก แล้วเขาก็รู้ด้วยว่าอีกคนรู้ว่าเขาโกหก ก็แค่อยากแยกออกมา อารมณ์ไม่ดี ไม่มีอารมณ์กินข้าว แค่นั้นเอง

     

    “ฮันบิน

     

     

    “ทำไมเป็นแบบนี้อยู่เรื่อยเลยล่ะ นายกำลังคิดอะไรงี่เง่าแค่เพียงเพราะฉันไม่ได้บอกนายว่าฉันคุยอะไรกับจุนเน่งั้นเหรอ”

     

    “เรื่องของพี่มันก็เกินที่ผมจะยับยั้งอารมณ์ได้ตลอดนั่นแหละ ไม่เคยอยากเป็นแบบนี้เถอะ แต่มันเป็นตลอดจะให้ทำไง”

     

    “เด็กบ้า ไม่ใช่ว่าจะไม่บอกสักหน่อย”

     

    “แล้วทำไมไม่บอก”

     

    “กลับถึงบ้านจะบอก ขึ้นรถสิ”

     

    “จะขับจริง?”

     

    “อืม” เพียงแค่นั้นเด็กดื้ออย่างฮันบินก็ส่งกุญแจรถให้คนพี่อย่างว่าง่าย

     

    ฮันบินขึ้นมานั่งบนรถโดยที่ไม่ได้พูดอะไร กำลังใช้ความคิดอยู่ กำลังคิดว่าตัวเองกำลังงี่เง่าเกินไปหรือเปล่าอะไรแบบนี้ บ้าชิบหาย ทำไมกูจะต้องมาหงุดหงิดกับอะไรง่ายๆแบบนี้ด้วยวะ

     

     ไม่รู้แหละ ถ้าเป็นเรื่องของพี่จินฮวานนี่ก็ยอมรับเลยว่ามีอิทธิพลต่อความรู้สึกมาก

     

    มีตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้แค่ว่าตอนนี้มีมาก มีอิทธิพลมากเหลือเกิน

     

     

     

     

     

     

     

    -

    ใช้เวลาเพียงไม่นานสปอร์ทคาร์คันงามก็เคลื่อนวงล้อเข้ามาจอดในบริเวณบ้านตระกูลคิม

     

    จินฮวานใช้เวลาทั้งหมดในการนั่งขับรถเงียบๆ ส่วนฮันบินเองก็ใช้เวลาทั้งหมดในการนั่งรถอย่างใช้ความคิด รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กน้อยเอาแต่ใจที่แสนจะงี่เง่าก็ตอนนี้ มึงเป็นแบบนี้บ่อยๆพี่เขาอาจจะเบื่อมึงนะเว้ยฮันบิน คิดแล้วก็หงุดหงิดตัวเอง รู้สึกผิดก็รู้สึกผิดอ่ะ แต่ฟอร์มก็ยังต้องรักษา เพราะงั้นเลยได้แต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา

     

    “ลงมาดิ ถึงแล้วนะ” มือเล็กจับไหล่หนาเขย่าจนเจ้าของไหล่สะดุ้งเฮือก ก่อนจะรีบกุลีกุจอลงจากรถ

     

     

     

     

     

    “มีอะไรที่อยากถามก็ถามมา” ทันทีที่เดินเข้าไปในตัวบ้านคนเป็นพี่ก็เอ่ยขึ้น เขาอยากจะบอกทุกเรื่องที่ฮันบินสงสัยนั่นแหละ

     

    ก็แคร์อ่ะ ไม่อยากให้เด็กบ้านี่เข้าใจอะไรผิดๆหรอกนะ

     

    “ไม่มีอะไรแล้ว”

     

    “แน่ะ”

     

    “เฮ้ยไม่มีอะไรจริงๆ” คนน้องเริ่มระล่ำระลักคำพูดยกใหญ่ ไอ้ที่เขาบอกว่าไม่มีอะไรน่ะมันจริงๆนะเว้ย ไม่ได้ประชดด้วยสาบานเลย

     

    “ฮันบิน

     

    “ที่จริงผมก็ไม่ควรจะถามพี่ตั้งแต่แรกแล้วล่ะ ทั้งๆที่พี่ก็บอกแล้วว่ามันจะไม่มีอะไร ผมควรจะเชื่อพี่”

     

    “เพิ่งคิดได้เหรอ” จินฮวานทิ้งร่างเล็กๆลงบนโซฟาตัวนุ่มอย่างแรง

     

    “ก็คนมันอยากรู้นี่หว่า”

     

    “ก็ถึงได้บอกให้ถามมาไง”

     

    “ก็ถามว่าคุยอะไรกัน” ฮันบินนั่งลงบนโซฟาบ้าง รู้สึกตัวลีบลงยังไงชอบกล ปกติกูไมเป็นแบบนี้ป้ะ ทำไมกูต้องกล้าๆกลัวๆด้วยเนี่ย กว่าจะถามออกไปได้ทำไมกูต้องคิดนานขนาดนี้  บ้า กูคงไม่ได้กำลังกลัวอำนาจมืดที่มีอยู่ในตัวพี่จินฮวานหรอกนะ

     

    “ก็คุยเรื่องที่อยากรู้นั่นแหละ ว่าเขาชอบฉันหรือเปล่า”

     

    “แล้วมันว่าไงล่ะ”

     

    “ก็ชอบ”

     

    “ก็บอกแล้ว”

     

    “แต่ก็คุยเข้าใจแล้วเหอะ แถมมีแนวโน้มว่าจุนเน่จะชอบใครอีกคนไปแล้วซะด้วย”

     

    “หืม? ไม่เห็นจะเคยได้ยินมันพูดถึงใคร”

     

    “นายจะไปรู้อะไร”

     

    “อ่อ เรื่องของไอ้เน่คงไม่มีใครรู้ดีเกินพี่อยู่แล้วนี่”

     

    “ฮันบิน” คนที่กำลังเล่าอย่างออกรสออกชาตหันมามองอีกครั้งด้วยความขัดใจ

     

    “พูดจริง”

     

    “งอนหรอ?” จินฮวานพูดก่อนจะเลื่อนหัวเล็กๆของตัวเองไปวางไว้บนตักแกร่ง กลายเปนว่าตอนนี้ฮันบินนั่งนิ่งให้จินฮวานหนุนตักอยู่

     

              ขอสาบานว่าไม่ได้อ่อย แค่อ้อนน้อยๆให้น่าเอ็นดู

     

    “เปล่า”

     

    “งั้นเล่าต่อนะ”

     

    “เฮ้ย สนใจกันหน่อยดิ”

     

    “ก็นายบอกไม่ได้งอน”

     

    “นั่นคือผมงอน”

     

    “โอ๋เอ๋ไม่งอนนะ โอ๋เอ๋ๆ” คนพี่ส่งมือไปหยิกแก้มคนน้องอย่างหมั่นเขี้ยว เด็กบ้าอะไรเรียกร้องความสนใจเก่งชะมัด

     

    “นอนนิ่งๆ” ว่าเสียงขุ่นก่อนจะปัดมือเล็กออกจากแก้มตัวเอง แม่มึง ตกลงกูเมะจริงๆใช่มั้ย ขี้งอนสัสอ่ะกูเนี่ย!!

     

    “เชื่อก็กลัวดิ” จินฮวานยังหยิกแก้มเด็กดื้อต่อ นอนดิ้นไปดิ้นมาเหมือนเด็กที่กำลังท้าทายอำนาจของผู้ใหญ่

     

     

    ฮันบินมองการกระทำของอีกคนแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ไม่รู้ว่าไปเอาความกล้าแบบนี้มาจากไหน ปกติเขาบอกแค่คำสองคำพี่เตี้ยนี่ก็ไม่กล้าหือแล้ว

     

     

     

    หรือว่า….

     

     

     

     

     

    เป็นกูเองที่จะไม่กล้าหือกับพี่จินฮวานอีกต่อไป ไม่นะ

     

    ไม่ได้

     

     

    กูต้องหยัดยืน

     

     

    อย่าคิดว่าผมชอบพี่แล้วผมจะยอมพี่ทุกอย่าง

     

     

    อะไรหลายๆอย่าง ผมต้องเหนือกว่า

     

     

    เดี๋ยวทำให้ดู

     

     

    “ผมบอกให้นอนนิ่งๆ” ว่าจบก็ใช้มือล็อคหน้าคนนอนดิ้นให้อยู่นิ่งๆ ก่อนจะค่อยๆโน้มใบหน้าลงมาใกล้ คนนอนอยู่ถึงกับตะลึงใจเต้นไม่เป็นระส่ำ ขอบอกก่อนเลยว่าไอ้ที่ใจต้นแรงนี่ต้องเป็นเพราะเหนื่อยจากการดิ้นไปดิ้นมาเมื่อกี้แน่ๆ

     

                ไม่ได้เกี่ยวกับรีแอคชั่นที่มีต่อการกระทำของฮันบินในตอนนี้หรอก

     

     

                ไม่ใช่แน่ๆ

     

     

             

     

              เชื่อสิ!!!

     

     

    “จะ จะทำอะไร”

     

    “ดื้อนักก็ต้องโดนลงโทษ” พูดจบประโยคปากก็แตะลงที่ปากเล็กของอีกคนพอดิบพอดี

     

    ฮันบินแตะริมฝีปากค้างไว้สักพักก่อนจะเลื่อนมาจูบบริเวณแก้มใสนุ่มนิ่ม ไล้สันจมูกดอมดมกลิ่นหอมมาจนถึงปลายจมูก เปลือกตา และจบด้วยการกดจูบลงบนหน้าผากมนเบาๆ

     

    จินฮวานหลับตานิ่งไม่ขัดขืน เขารู้ว่าฮันบินจะไม่ทำอะไรไปมากกว่านี้ และนี่ก็เป็นสัมผัสที่อ่อนโยนมาก รับรู้ได้เลยว่าฮันบินชอบและอยากจะถนุถนอมเขามากขนาดไหน

     

    จะบ้าตาย รู้สึกเหมือนหน้าจะระเบิด

     

    “ทีนายดื้อไม่เห็นจะมีการลงโทษ” คนที่นอนนิ่งอยู่นานได้ทีพูดบ้าง หลังจากที่ฮันบินยอมเว้นระยะห่างของใบหน้าให้ประมาณสามเซน ย้ำว่าสามเซน ตอนนี้หน้าอยู่ห่างกันประมาณสามเซนติเมตร!

     

    “คราวหน้าถ้าผมดื้อก็จับจูบได้เลย”

     

    “บ้า”

     

    “และถ้าพี่ดื้อ ผมก็จับพี่จูบ ง่ายดี”

     

    “พูดอะไรเล่า เอาหน้าออกไปได้แล้ว”

     

    “ผมจูบนะ” การผลักไสไล่ส่งจากจินฮวานไม่เป็นผล เมื่อฮันบินยังทำหูทวนลม ซ้ำยังเอ่ยประโยคชวนเขินแบบนั้นออกมาอีก

     

    “มะ ไม่

     

    “ไม่ให้ก็จูบอยู่ดี”

     

    “อื้อ..

     

    จินฮวานรู้ว่าการต้านทานฮันบินน่ะมันยากแค่ไหน และตั้งแต่โดนรุกมาก็ไม่เคยที่จะต้านทานได้สักครั้งเลยด้วย

     

    อันตราย

     

    ฮันบินนี่มันอันตรายจริงๆ

     

     

    ปากหนาละเมียดละไมคลอเคลียปากเล็กไม่ห่าง ถึงแม้จะต้องก้มลงจนเมื่อยคอขนาดไหน ฮันบินก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นอุปสรรค การก้มลงไปกินอะไรหวานๆมันเป็นเรื่องที่ต่อให้ลำบากแค่ไหนก็ต้องก้มต้องได้กิน แค่นั้นเอง

     

                บอกแล้วว่าไม่ชอบของหวาน แต่เพราะพี่จินฮวานหวาน ฮันบินก็เลยชอบอะไรที่หวานๆ เพราะฮันบินชอบพี่จินฮวาน

     

     

    เมื่อได้ลิ้มลอง ก็ห้ามใจไม่อยู่

     

     

    ทุกที

     

    มือแกร่งเริ่มซนจับนั่นจับนี่ไปทั่วจนร่างเล็กสะดุ้งและตั้งสติได้

     

    “พอได้แล้ว เดี๋ยวมีคนมาเห็น” ผลักหน้าคนขี้ฉวยโอกาสออกก่อนจะลุกขึ้นนั่งชะเง้อแชะแง้มองหาคนในบ้าน เพราะกลัวว่าจะมีใครมาเห็น

     

    ป้ายูรินไม่อยู่หรือไงนะ ปกติถ้าเห็นพวกเราเข้ามาป้าต้องออกมารับสิ

     

    “อ้าวหนูใหญ่หนูเล็ก ทำไมมาเร็วจังคะ มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”

     

    นั่น พูดปุ้บก็มาปั้บเลย

     

    จินฮวานโล่งใจอย่างถึงที่สุด นึกขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ป้ายูรินเดินออกมาตอนนี้ เพราะถ้าป้าแกเดินออกมาเร็วกว่านี้แล้วเห็นอะไรเข้า เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น

     

    “เมื่อกี้นี้เองครับ” จินฮวานตอบออกไปยิ้มแย้ม ต่างกับฮันบินที่ตอนนี้บูดลงอย่างเห็นได้ชัด

     

    อ้าว ก็คนมันขัดใจอ่ะ ก็ทำไมล่ะ ก็จูบอยู่อ่ะ แล้วยังไงล่ะ ผลักหน้ากันออกเฉยเลยอ่ะ จะบ้าไง? งอนอ่ะ!!

     

    “ทำไมกลับก่อนคุณท่านล่ะคะ”

     

    “ฮันบินไม่ค่อยสบายอ่ะครับ เลยขอตัวมาก่อน”

     

    “เป็นอะไรมากไหมหนูเล็ก” ทันทีที่ได้รับรู้ว่าคุณหนูเล็กคนโปรดของเธอไม่ค่อยสบายป้ายูรินก็รีบปรี่ตัวเข้าหาฮันบินทันที เธอทั้งเอามืออังหน้าผาก แตะที่คอแล้วก็จับตัวคุณหนูพลิกไปพลิกมาดูอาการอย่างเป็นห่วง

     

    “ป้าครับ ผมแค่ปวดหัวนิดหน่อยเอง นอนพักคงหาย”

     

    “งั้นนอนมั้ยคะ กินข้าวกินยาก่อนแล้วค่อยนอนมั้ย”

     

    “ผมนอนเลยดีกว่า ขอตัวนะครับ” ว่าจบคุณหนูคนเล็กก็ลุกขึ้นปลีกตัวเดินขึ้นห้องทันที

     

    จินฮวานนั่งมองฮันบินที่เดินจากไปด้วยอาการงงนิดๆ เป็นอะไรอีกหรือเปล่า งอนอีกอะไรอีกหรอหรือยังไง โอ่ยยยยยยย ยากจะเข้าใจจริงๆนะ!

     

    “ป้าไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวผมดูแลน้องเอง” ได้แค่เพียงพูดออกมาแล้วมองร่างสูงของคนน้องที่ยิ่งเดินห่างไป

     

    ฮันบินเดินขึ้นบันไดไปจนสุดสายตาแต่จินฮวานยังนั่งอยู่ที่เดิม ทั้งที่เพิ่งบอกป้ายูรินไปว่าเขาจะดูแลน้องเอง จริงๆก็จะดูแลนั่นแหละ แต่เดี๋ยวค่อยตามขึ้นไปไง กำลังถามใจตัวเองอยู่ว่านี่ทำอะไรผิดใจฮันบินอีกหรือเปล่า ทำไมถึงดูไม่ค่อยพอใจขนาดนั้น

     

    “มีอะไรเรียกป้าได้เลยนะคะ”

     

    “ครับผม ป้าไปทำงานเถอะ”

     

    “ดูแลน้องดีๆล่ะค่ะหนูใหญ่”

     

    “รับทราบคร้าบ” รับปากทิ้งท้ายก่อนจะพาร่างเล็กๆของตัวเองวิ่งดุ๊กดิ๊กๆ ขึ้นบันไดไป

     

     

     

    ฮันบินปิดประตูห้อง

     

     

    ไม่ต้อนรับ?

     

     

    อยากอยู่คนเดียว?

     

     

    แต่รับปากป้ายูรินไปแล้วว่าจะดูแล ก็ต้องดูแลนั่นแหละ

     

    แต่เดี๋ยวก่อนนะ

     

    ทำใจแป่บ

     

     

    ยืนเก้ๆกังๆบ้าๆบอๆหน้าห้องอยู่นาน กว่าจะนำพามือเล็กๆของตัวเองให้เลื่อนไปเคาะประตูได้

    ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังกลัวอะไร รู้แค่ว่าไม่ค่อยมีความมั่นใจอะไรเลย อารมณ์เหมือนมีความผิดติดตัวทั้งๆที่กูไม่ได้ผิดอะไรเนี่ย!!

     

              จินฮวานจะร้องไห้...

     

    ก๊อกๆๆ

     

    “ฮันบิน” เคาะประตูเบาๆพร้อมกับส่งเสียงเรียกพอมั่นใจว่าคนข้างในจะได้ยิน

     

    “...” นั่น เงียบไง

     

    “ฮันบินอ่า”

     

    “...” เงียบอีกแล้วไง

     

    “...” เงียบบ้างได้ไหมล่ะ

     

    “ไม่ได้ล็อค”

     

    ผ่าง! แล้วก็ไม่บอกตั้งนาน ปล่อยให้เคาะอยู่นั่นแหละ

     

    จินฮวานโผล่หน้าเข้าไปดูสถานการณ์ก่อนที่จะก้าวขาเดินเข้าไป ฮันบินนอนตะแคงหันหน้าไปอีกทาง

     

    นั่น มาแนวนี้ก็ต้องมีอะไรไม่พอใจแน่ๆ

     

    มันแหงอยู่แล้ว

     

    “เคาะอยู่ได้” คนที่นอนบนเตียงว่าเสียงขุ่น นี่บอกเลยนะว่าไม่ได้ล็อคประตูขนาดนี้ก็น่าจะรู้มั้ยอ่ะ ก็งอนอยู่เนี่ย

     

    อ่อยขนาดนี้ยังไม่รู้อีก ต้องให้เปิดประตูรอเลยหรือไง พี่เตี้ยนี่แม่ง

     

    “ก็นึกว่าหลับ”

     

    “ประสาท” พูดมาได้ไงว่าหลับ เพิ่งจะขึ้นมาไม่ถึงห้านาทีมั้ยเอาดีๆ มนุษย์ที่ไหนมันจะหลับง่ายดายขนาดนั้น นอนนะเว้ยไม่ได้ซ้อมตาย!

     

    แล้วทำไมกูต้องอารมณ์เสียขนาดนี้ แค่จะจูบแล้วจูบไม่ได้นานเนี่ยนะ ไม่ใช่! ที่อารมณ์เสียเนี่ยเป็นเพราะพี่จินฮวานผลักหน้าออกอย่างไร้เยื่อใยต่างหาก แถมยังแสดงอาการกลัวโน่นนี่นั่นมากความ ก็บอกแล้วว่าถ้ามีฮันบินพี่จินฮวานไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรทั้งนั้นอ่ะ

     

    บอกให้เชื่อใจนี่เคยเชื่อกันบ้างไหมถามจริงๆ

     

    “นายว่าอะไรนะ” คนเป็นพี่เดินเข้ามาใกล้แล้วถาม ก็ไม่ใช่ไม่ได้ยิน เมื่อกี้ได้ยินเต็มสองหูเลยแหละ เพราะได้ยินนั่นแหละถึงอยากถามว่าเมื่อกี้ฮันบินพูดอะไร มันเป็นคำพูดที่ไม่น่าฟังเลยนะ

     

    “พี่อ่ะประสาท”

     

    “นายนั่นแหละประสาท ด่ากันได้ขนาดนี้คงไม่ได้เป็นอะไรหรอกมั้ง ดูแลตัวเองก็แล้วกัน” จินฮวานว่าเข้าให้ ความอดทนที่คิดมาตลอดว่าจะค่อยๆพูดค่อยๆจาเพราะอยากพูดกันดีๆ มันพังหมดเพียงเพราะคำพูดของฮันบิน

     

    นี่อุตส่าห์คิดจะง้อทั้งๆที่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองผิดอะไร แต่ฮันบินก็ทำเหมือนเขาผิดนักหนา คำว่าประสาทนี่ควรพูดหรอถามหน่อย ถาม!!?

     

    “พี่จินฮวาน” ก่อนที่ขาเล็กจะก้าวออกไปคนเอาแต่ใจก็เรียกดักไว้ได้ก่อน ฮันบินรู้ว่าถ้าพี่จินฮวานพูดขนาดนี้คือเขาต้องไปจริงๆแน่ แต่ใครจะยอมให้ไปกันล่ะ

     

    “ทำไม” ไร้เยื่อใยอะไรขนาดนี้

     

    “มานั่งนี่หน่อย” คนเป็นน้องยันตัวเองขึ้นนั่งพิงพนักเตียงก่อนจะตบที่นอนข้างๆที่ยังว่างเพื่อเรียกให้อีกคนเข้ามานั่งใกล้ๆกัน

     

    “...” จินฮวานถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วเดินไปนั่งตามที่อีกคนบอก เขาไม่ได้อยากทะเลาะ ถ้าฮันบินจะอ่อนลงบ้างเขาก็พร้อมจะคุยดีๆอยู่แล้ว แต่ทำไมมันต้องเง้างอดกันบ่อยขนาดนี้เขาไม่เข้าใจ

     

    “...”

     

    “...”

     

    ทั้งคู่นั่งอยู่ข้างๆกันเงียบๆ ปล่อยให้ความเงียบกัดกินทุกอย่างไปเรื่อยๆเพื่อที่คนทั้งสองคนจะได้ใช้ความคิด อะไรที่ต้องคิดก็ควรคิดให้มากๆ

     

    “พี่จินฮวาน/ฮันบิน” เงียบก็เงียบมาตั้งนาน พอคิดจะพูดก็มาพูดพร้อมกันอีก ยอมใจในความพร้อมเพรียง

     

    “พี่พูดก่อน”

     

    “นายอ่ะ ก่อน”

     

    “ก็ผมขอโทษ” คนเอาแต่ใจยอมเอ่ยถ้อยคำที่คิดว่าน่าจะโอเคที่สุดในตอนนี้ออกไป

     

    “...”

     

    “ผมไม่รู้ว่าผมผิดมั้ยและไม่รู้ว่าพี่โกรธหรือเปล่า แต่ที่ผมเป็นแบบนี้อ่ะ ผมขอโทษ”

     

    “ฉันก็ไม่รู้ว่านายโกรธอะไร แล้วก็ไม่รู้ว่าฉันผิดอะไร แต่ที่ตอนนี้มันทำให้นายแย่ ฉันก็ขอโทษ”

     

    “พี่ไม่ผิดหรอกผมงี่เง่าเองทั้งนั้นแหละ”

     

    “...ก็ถ้าไม่พอใจอะไรก็ต้องบอกสิ อยู่ๆนายก็เงียบแล้วมาพูดจาไม่ดีใส่กันแบบนี้มันก็ยิ่งแย่ลง”

     

    “ขอโทษครับ”

     

    “ไม่รู้ว่าฉันต้องผิดมากขนาดไหนนายถึงจะด่าฉันว่าประสาทแบบนี้ได้”

     

    “ปากผมมันไว ฮันบินอยากจะยกตีนฟาดปากตัวเองซะเดี๋ยวนี้ แต่มันก็ไม่ใช่ทางที่ดี มันคงไม่ได้ช่วยให้พี่จินฮวานรู้สึกดีขึ้น

     

    “มันแย่อ่ะ”

     

    “...”

     

    “และมันแย่สำหรับฉันมาก...เพราะเป็นนายพูด”

     

    “ไม่โกรธได้ไหมครับ ขอโทษนะ” แขนแกร่งโอบไหล่บางไว้ข้างตัวก่อนจะให้มือเอนหัวเล็กให้ซบลงกับลาดไหล่กว้าง

     

    “ไม่ได้บอกว่าโกรธ แค่ไม่เข้าใจนาย”

    “ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผมเป็นแบบนี้”

     

    “...”

     

    “พอรู้ว่าตัวเองสำคัญกับพี่เข้าหน่อยผมก็งี่เง่าอยู่นั่นแหละ”

     

    “แล้วที่เป็นอยู่เนี่ยเป็นอะไร” จินฮวานเงยหน้ามองคนเจ้าปัญหาก่อนที่ปากบางจะเอื้อยเอ่ยคำถาม ฉันไม่เถียงหรอกนะที่นายบอกว่านายสำคัญกับฉันน่ะ เพราะนายสำคัญกับฉันมากจริงๆเข้าแล้วล่ะ

     

    “เอาจริงหรอ? บอกได้จริงดิ”

     

    “อือ บอก”

     

    “ผมไม่ชอบที่พี่ผลักหน้าผมออกแบบนั้นอ่ะ”

     

    “งี่เง่าจริงๆด้วย”

     

    “โหย แล้วไหนจะท่าทางแบบนั้นอีก”

     

    “แบบไหน”

     

    “อาการกลัวของพี่น่ะ”

     

    “ก็กลัวถ้าใครมาเห็นเข้าแล้วเราจะทำยังไง”

     

    “ผมเคยบอกแล้วว่าถ้ามีผมพี่ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรทั้งนั้นอ่ะ”

     

    “ฉันกลัวว่ามันจะหนักกว่านั้น มันอาจจะถึงจุดที่เราไม่สามารถช่วยอะไรกันได้”

     

    “พี่กลัวว่าเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันเหรอ?”

     

    “ไม่เคยคิดว่าจะมีโมเม้นอะไรแบบนี้กับนายหรอกนะ แต่ตอนนี้มีนายอยู่ข้างๆมันดีที่สุด” มือเล็กเอื้อมไปจับมือใหญ่มากอบกุมไว้เต็มสองมือ

     

    ทั้งๆที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เล็กจนโตจนกลายเป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนี้มันเป็นเรื่องพิเศษเพราะความรู้สึกมันเปลี่ยนไป เมื่อก่อนก็เป็นแค่พี่น้อง(ที่ฮันบินไม่ยอมรับ) แต่ตอนนี้สถานะมันเปลี่ยน ถึงจะไม่ได้พูดแต่เราก็รู้ว่าระหว่างเราตอนนี้มันคืออะไร และมั่นใจว่ามันจะยิ่งชัดเจนขึ้นทุกวัน และนั่นก็คือสิ่งที่กลัวอีกนั่นแหละ

     

    กลัวว่ามันจะชัดเจนเกินจนไปเตะตาคุณพ่อเข้า

     

    แต่ถ้าเทียบกับความสุขตอนนี้ จินฮวานก็ไม่อยากจะคิดอะไรแล้ว

     

    “น่ารักจัง” คนสองคนนั่งสบตากันนิ่งๆก่อนที่ทั้งคู่จะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข

     

     

                สำลักความสุขน่ะรู้จักหรือเปล่า

     

    ฮันบินมองสบตาหวานอย่างนึกเอ็นดู ถ้ารู้ว่าการนั่งจ้องตากับพี่จินฮวานมันจะมีความสุขขนาดนี้ฮันบินจะขอจ้องมาตั้งแต่เด็ก จะไม่ปล่อยช่วงเวลาให้มันสูญเปล่าไปเหมือนที่ผ่านมา

     

    ทำไมนะ ทำไมถึงรู้ความรู้สึกตัวเองช้าขนาดนี้ แต่ก็ดีที่รู้ตอนนี้ ดีที่ไม่รอไปรู้ตอนอายุมากกว่านี้

     

    “จูบอีกได้ป้ะเนี่ย” คนเป็นน้องเอ่ยถาม ท่าทางทะเล้นทะลึ่งซจนคนเป็นพี่จิ๊ปากใส่

     

    “เยอะละๆ” จินฮวานเอ็ดเสียงแหลม แหม เห็นว่ามองๆจ้องๆกันให้เคลิ้มตามเข้าหน่อยละลามปามเชียว

     

                เขินนะเนี่ย เขิน!!!

     

    “ผมไม่รู้ว่าพี่น่ารักตั้งแต่เมื่อไรนะ รู้ตัวอีกทีผมก็ชมพี่ว่าน่ารักจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว”

     

    “ฉันก็ไม่รู้ว่านายพูดจาหวานๆเป็นตั้งแต่เมื่อไรอ่ะ”

     

    “พูดเป็นตั้งนาน แค่ไม่อยากพูดแค่นั้นเอง”

     

    “ต่อไปนี้จะพูดบ่อยๆมั้ยอ่ะ”

     

    “จะพูดให้ฟังทุกวันเลยเอามั้ยล่ะ”

     

    “เลี่ยนตายกันพอดี”

     

    “ไม่ชอบที่ผมพูดหวานๆด้วยหรอ”

     

    “อะไรที่เป็นนายก็ชอบหมดแหละ”

     

    “นั่นน่ะ พูดแบบนี้คือไรอ่ะ อ่อยมั้ยยังไง?”

     

    “บ้า ฉันจะอ่อยนายทำไม” แค่อ้อนไงอ้อน ไม่ได้อ่อย ไม่เลยไม่มี๊

     

    “พี่รู้ใช่มั้ยล่ะว่าต่อให้ไม่อ่อยผมก็หลงพี่อยู่ดี”

     

    “แน่นอนดิ นายรักฉันจะตาย”

     

    “รักผมแบบที่ผมรักพี่มั้ยล่ะ”

     

    “ที่จริงก็น่าจะรู้อยู่”

     

    “นี่โง่กะทันหันเลยเนี่ย”

     

    “ฮันบินคนโง่”

     

    “ที่รักพี่จินฮวานคนเดียว”

     

    “บ้า เขิน”

     

    “รักผมมั้ยอ่ะ”

     

     

    “ผมถามแล้วเงียบคืออะไรอ่ะ”

     

    “...”

     

    “พี่ไม่รักผม...”

     

    “รักสิโว้ย!!! ถามอยู่นั่นแหละ คนก็เขินเนี่ย”

     

    5555555 น่ารักจัง” ปากพูดพลางแขนแกร่งก็คว้าอะไหล่เล็กๆมาโอบไว้ กอดโยกไปโยกมาเหมือนผู้ใหญ่ที่กำลังเอ็นดูเด็กตัวเล็กๆ

     

    “...” คนที่เขินก็ยังคงหลับหูหลับตาเขินต่อไป ไม่พูดไม่จาอะไรสักคำด้วยกลัวว่าพูดออกมาแล้วเสียงมันจะสั่น ฮรือออออออ ทั้งเขินทั้งอายเนี่ยให้ทำไง

     

    “รักมากมั้ยอ่ะ”

     

    “...”

     

    “พี่จิน รักผมมากมั้ย”

     

    “ฮันบิน...ควรหยุดนะ”

     

    “บอกก่อน”

     

    “รักมาก คิมจินฮวานรักคิมฮันบิน ไม่ได้รักแบบน้องชายด้วย! รักมากในแบบที่คนคนนึงจะรักใครอีกคนได้! พอใจยัง!!” ตะโกนใส่หูจนแก้วหูแทบเสื่อมแบบนี้ไม่พอใจก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วนะ

     

    “คิมฮันบินก็รักคิมจินฮวานครับ รักมากเลย!!

     

    “นายนี่มันจริงๆเลย”

     

    “พี่จินฮวาน”

     

    “หื้อ?”

     

    “เป็นแฟนกันมั้ยครับ” ประโยคคำถามคุ้นหูที่เคยเอ่ยถามออกมาแล้วก่อนหน้านี้ถูกเอ่ยออกมาอีกครั้งอย่างจงใจ ฮันบินรู้ว่านี่ถึงเวลาแล้ว และพี่จินฮวานจะไม่มีทางปฏิเสธิคำขอของเขา ไม่มีทางเด็ดขาด

     

    “เอาจริงหรอ?”

     

    “อือ เป็นแฟนกับผมนะ” แววตาทรงสเน่ห์ที่ฉายแววจริงจังออกมาแบบปิดไม่มิดของฮันบินทำให้จินฮวานอดไม่ได้ที่จะลอบยิ้มในใจ เวลานี้เขามีความสุขกับการที่มีฮันบินอยู่ข้างๆจริงๆ

     

    “อื้ม เป็นแฟนกัน”

     

     

     

     

    “พวกแกว่าไงนะ!!!

     

     

     

     

    “พ่อ/คุณพ่อ!!!

     

     

     

     

    100%

     

     

     

     

     

     

    อ่าวเฮ่ยพ่อมา วิ่งดิบีจินวิ่ง!!!!

    พ่อมาไมวะ ไมรู้เวลาล่ำเวลาเลยวุ้ย เวลานี้ควรกินข้าวอยู่ที่บ้านท่านกูจุนเพียวมิใช่รึ

    เป็นแฟนกันแล้วนะ แต่อุปสรรคคืออิพ่อมันขึ้นมาได้ยินไง ไม่รู้ขึ้นมาทำไม โว๊ะ!!

    เอาล่ะ กราบนะ ขอกราบเลยที่หายไปนาน ขอโทษที่ให้รอ(ใครรอแก) 5555555

    นี่มาอัพแล้วเน้อ ไม่ได้หายไปไหนแหละ แค่ยุ่งๆเหลือเกินช่วงนี้

    *ตอนนี้ยาวมากแต่เราก็ไม่อยากตัดตรงไหนออกเลยลงมันมาหมดเลย 55555555

    ยังไงก็ติดตามกันด้วยน้า ไม่ได้หายไปไหน แค่อัพช้ากว่าเดิม(มากกกก)

    คิดถึงน้ะก้ะ #ฟิคพี่ชายบีจิน

     

     

     

     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×