ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องสั้นเศร้า

    ลำดับตอนที่ #7 : เรื่องพี่สาวน้องชาย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.62K
      10
      10 ก.ค. 51

    ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน  แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี  วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ  ของฉันมีกัน  จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง   พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง  โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
     "
    ใครขโมยเงินไป " พ่อตวาด

    ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน

     พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า  " ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ  ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ "
     
    พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้
     
    แล้วพูดว่า " ผมขโมยเองครับ "
     
    ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง
    พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
    จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย  พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน

    " ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีกแกน่าจะโดนตีให้ตาย * * * หัวขโมย "
     
    คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้  หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด  แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย
     
    กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
     
    น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
    "
    พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว "
     
    ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ

    หลายปีผ่านไป  แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง
    ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย

     ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11 ปี...
     
     
    เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น
     
    เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน
     
    ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย
     
    ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน
     
     
    คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน
     
     
    ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า " ลูกเราทั้งคู่เรียนดี เรียนดีมากนะ "
     
     
    แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า
     "
    แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร  ในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน "
    >
     
    ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
     "
    ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว "
     
     
    พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
     "
    ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้  ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
     
    พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้ "
     
     
    คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ  ทั่วทั้งหมู่บ้าน
     
    เพื่อขอยืมเงิน
     
     
    ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
     "
    ต้องให้น้องได้เรียนต่อ  ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้ "
     
     
    แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้  ใครจะรู้ได้ ...... วันต่อมาในตอนเช้ามืด  น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว
     
     
    ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน
     
    ขณะฉันกำลังหลับ
     "
    พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....  ผมจะไปหางานทำ
     
    แล้วจะส่งเงินมาให้พี่ "
     
     
    ฉันนั่งอยู่บนเตียง  อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ......
     
    ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป  ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17 ปี ส่วนฉันอายุ 20 ปี
     
     
    ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน
     
    รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที

     
    ไซท์ก่อสร้าง ...... ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3 วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก  เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า

    " มีชาวบ้านมาหาเธอ  อยู่ข้างนอกแน่ะ "
     
     
    ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???  ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
     
    ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
     ...
     
    ฉันถามเขาว่า
     "
    ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ "
      
    น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า

    " ก็ดูผมสิ สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้  ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี "
     
     
    ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้องและพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
    "
    พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม "

     
    จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน
    แล้วพูดว่า
     "
    ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง "
     
     
    ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด  ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
    ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี

    วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
     
    ฉันสังเกตเห็นว่า หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว
     
    เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

    หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า
    "
    แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก  เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ "

    แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า

    " แม่ไม่ได้จ้างหรอก น้องชายลูกต่างหาก วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
    ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ "
     
     
    ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ
    ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด " เจ็บมากไหม "
    ฉันถาม
     
    "
    ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
     
    แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ และ... " >
     
    น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด
    เพราะฉันหันหน้าหนีเขา น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง

     ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...

     
    หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
    หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน
    แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ
     
     
    ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง แต่เมื่อออกไปแล้ว
    ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม

    น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป
     
    เขาบอกกับฉันว่า
    "
    พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง "

    สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว เราทั้งคู่อยากให้น้องชาย
    ของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้
    เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา  
    วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
    และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล
     
    ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
     
    น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา
    ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

    "
    ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!! ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมา
    ทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้ ดูตัวเองซิ  เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง "
    คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
    ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
    "
    พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน
    ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
     
    คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด "
    น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย
    ฉันบอกกับน้องว่า
    "
    แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่... "

    "
    ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ "
    น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
    ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...
    เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี เขาได้แต่งงานกับสาวชาวนาในหมู่บ้านเดียวกัน
    ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
    "
    ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้ "
    น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล " พี่สาวของผมครับ "
    และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้
    "
    ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง เราสองคน
    พี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2 ชม. เพื่อเดินไปเรียน และเดินกลับบ้าน
    วันหนึ่งผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
    และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล เมื่อเรา
    กลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว เธอไม่สามารถ
    จับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ ...... นับจากวันนั้น ผมสาบานกับตัวเอง
    ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี และจะทำดีกับเธอ "
    เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน
    คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก ...... " ในโลกใบนี้ คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ "
    ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้ น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...
    จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ วันในชีวิตของคุณและเขา
    อาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ
    แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง
    ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
    หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×