ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปาฏิหาริย์นิทานรักข้ามภพ

    ลำดับตอนที่ #5 : ขาดการติดต่อ

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.ย. 56


    24 สิงหาคม 2555
      
    ฉันไม่ได้เขียนไดอารี่มาหลายวันแล้ว ทั้งๆที่เคยตั้งใจจะเขียนให้ได้ทุกวัน แต่หลังจากค่ำคืนของวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันก็ไม่ได้เขียนอีกเลย ฉันไม่มีอารมณ์จะเขียนเพราะมัวแต่คอยจ้องมองโทรศัพท์ หวังว่านักเล่านิทานคนนั้นจะทักมา แต่ฉันรอเขาจนกระทั่งถึงห้าทุ่มทุกวันเขาก็ไม่ทักมา ฉันรู้สึกโกรธตัวเองที่ทำตัวเสียมารยาทใส่เขาในวันนั้น เป็นฉัน ฉันก็คงจะโกรธเหมือนกันหากมีใครมาปิดโทรศัพท์ใส่หน้าฉันแบบนั้นบ้าง  ฉันอยากจะขอโทษเขาสักสิบหน แต่ฉันก็ไม่กล้าทักกลับไป ฉันไม่รู้ว่าเขาจะโกรธฉันมากแค่ไหน บอกตามตรงว่าฉันกลัวคำต่อว่าของเขา วสันต์เคยโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเมื่อตอนที่ฉันไปแอบอ่านข้อความสนทนาในโทรศัพท์เครื่องใหม่ของเขา สุดท้ายเขาก็ทิ้งฉันไป ฉันเคยโทษตัวเองว่าอาจจะเป็นเพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็เลยทำให้เขาทำหมางเมินใส่ฉันและทิ้งฉันไปในที่สุด ฉันกลัวความหมางเมินมาตั้งแต่วันนั้น
        ช่วงเช้าของวันนี้ พงศพัฒน์ เดินเข้ามาหาฉันในออฟฟิต ในขณะที่ฉันกำลังรวบรวมเอกสารไปส่งให้หัวหน้า เขาทำเสียงกระแอมไอดังๆออกมาจนใครต่อใครในออฟฟิตพากันหันมามอง เมื่อฉันเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเขายืนยิ้มอยู่ที่หน้าโต๊ะ รอยยิ้มของเขาทำให้ฉันนึกถึงยาสีฟันยี่ห้อหนึ่งที่มีรูปผู้ชายยืนยิ้มอยู่ที่หน้ากล่อง  ฉันยิ้มตอบเพื่อรักษามารยาท ถึงแม้ในใจอยากจะเดินหนีไปจากตรงนั้นแค่ไหนก็ตาม
    "คุณหวานได้รับกล่องของฝากจากผมหรือยังครับ" เขาถามก่อนจะฉีกรอยยิ้มกลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิม
    "ได้รับแล้วค่ะ"
    "อร่อยไหมครับ"
    "อร่อยค่ะ...ขอบคุณนะคะ" ฉันบอกเขาพลางนึกถึงภาพของปารตีที่กำลังนั่งยัดขนมเค้กราดครีมสตอร์บอรี่รูปหัวใจใส่ปากอยู่ในห้องอย่างมูมมาม ฉันหวังว่ายัยปารตีคงจะรู้สึกอร่อยตอนที่นั่งกินขนมเค้กก้อนนั้น
    "เอ่อ....วันนี้คุณหวานจะให้เกียรติไปกินข้าวกับผมสักหน่อยจะได้ไหมครับ" พงศพัฒน์พูดพลางส่งสายตาเจ้าชู้มาให้ ฉันรู้สึกโมโหขึ้นมานิดๆ เขาคิดว่าฉันเป็นตัวอะไร
    "วันนี้หวานเขาไม่ว่าง...ต้องกลับไปดูแลลูก...ถ้ายังไงเปลี่ยนจากยัยหวานมาเป็นฉันแทนจะได้ไหมคะคุณพงศพัฒน์" เสียงปารตีแทรกเข้ามาพอดี พงศพัฒน์หน้าเจื่อน ก่อนจะกลับมาตีสีหน้าปกติและพูดว่า
    "ถ้าคุณหวานไม่ว่างก็ไม่เป็นไรครับ...เอาไว้วันหลังก็ได้" เขาบอก
    "วุ้ย...จะรอให้เสียฤกษ์เสียยามไปทำไม...ไปกินวันนี้แหละ...ฉันยังว่างอยู่ทั้งคน" ยัยปารตีหรือก้อยพูดพลางทำหน้าทำตากระลิ้มกะเหลี่ย นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้นายพงศพัฒน์ถอยฉากออกไป สองคนนี้เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ฉันอดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากสองคนนี้ต้องกลายมาเป็นคู่สามีภรรยากันชีวิตพวกเขาจะวุ่นวายแค่ไหนนะ
    "ชิ...พวกมะกอกสามตะกร้า" ยัยก้อยพูดพลางเบ้หน้าใส่ในขณะที่นายพงศพัฒท์ก้าวพ้นประตูออฟฟิตไปแล้ว
    "เธอก็ชอบไปแกล้งเขา"ฉันพูดกับเพื่อนสาวเบาๆ
    "ไม่ได้หรอก...ไอ้พวกผู้ชายแบบนี้มันต้องเจอกับฉันถึงจะสมน้ำสมเนื้อ" คำพูดของยัยก้อยทำให้ฉันอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ฉันรู้สึกสังหรใจอยู่ลึกๆว่ายัยก้อยกับนายพงศพัฒท์คนนี้จะเป็นเนื้อคู่กัน ฉันแอบยิ้มอย่างขบขันเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เพื่อนสาวมองหน้าฉันอย่างสงสัยก่อนจะถามว่า
    "แกหัวเราะอะไรของแก" เพื่อนรักถามเสียงขุ่น ฉันจึงได้แต่พูดแก้ไปตัวไปว่า
    "ไม่มีอะไร...ฉันแค่ขำที่แกไปทำท่าทางยียวนกวนประสาทเขาแบบนั้น"
    "คนกะล่อนแบบนั้นก็ต้องเจอแบบนี้แหละ..."เพื่อนสาวพูดพลางยิ้มอย่างสะใจ ก่อนจะหันมามองฉันแล้วพูดว่า
    "พักนี้ฉันเห็นแกซึมๆไป...มีอะไรหรือเปล่า" ยัยก้อยเอ่ยถามเสียงเครียด ฉันแอบถอนหายใจเพราะไม่คิดว่าเพื่อนรักจะดูอาการของฉันออก ฉันพยักหน้าให้เธอก่อนจะลุกจากเก้าอี้แล้วจูงแขนเธอเดินออกมาหน้าออฟฟิต ฉันจูงแขนยัยก้อยออกมาจนถึงม้านั่งไต้ต้นมะม่วงหลังป้อมยาม จากนั้นก็ปล่อยแขนเธอแล้วค่อยหย่อนตั
    วลงนั่งที่ม้านั่ง ยัยก้อยค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งที่ม้านั่งข้างๆกัน
    "เป็นอะไรมากหรือเปล่า" เพื่อนรักเอ่ยถาม ฉันถอนหายใจอยู่ครู่หนึ่งจึงได้พูดออกไปว่า
    "ฉันเจอผู้ชายคนนึง" ฉันบอกเธอ ยัยก้อยทำตาโตก่อนจะถามว่า
    "ที่ไหน" เธอยื่นมือมาเขย่ามือฉัน ฉันได้แต่ตอบด้วยเสียงแผ่วเบาว่า
    "ในเฟชบุ๊ก" ยัยก้อยถึงกับอ้าปากกว้างก่อนจะพูดว่า
    "ไอ้บ้า...แกไม่รู้หรือไงว่าพวกผู้ชายที่ทักเข้ามาในเฟสบุ๊กมีแต่พวกผู้ชายหลอกลวงทั้งนั้น" ฉันมองหน้าเพื่อนสาวด้วยความรู้สึกสิ้นหวังก่อนบอกเธอว่า
    "หลายวันก่อนฉันฝันว่าตัวเองยืนอยู่ในลานวัดแห่งหนึ่ง ฉันกำลังยืนมองดอกลั่นทมที่ร่วงหล่นลงมาจากต้น ด้านหลังสวนลั่นทม ฉันมองเห็นซุ้มเถาน้ำเต้า ฉันเดินไปที่นั่น ฉันมองเห็นแคร่ไม้ไผ่ที่วางอยู่ใต้ซุ้มน้ำเต้านั้น จากนั้นฉันก็เดินไปเรื่อยๆใต้ซุ้มน้ำเต้านั้น ในที่สุดฉันก็เจอลูกน้ำเต้าที่แห้งตายมานานแล้วลูกหนึ่ง...เมื่อฉันเห็นลูกน้ำเต้าลูกนั้นฉันก็ประคองมันมากอดไว้...แล้วน้ำตาฉันก็ไหลออกมาเฉยๆซะงั้น ฉันเล่าเรื่องนี้ให้พี่หมอนฟัง แกบอกว่าคงเป็นสัญญาเก่าที่ฉันจดจำมาจากอดีตชาติ"
    "แล้วมันเกี่ยวกับผู้ชายที่อยู่ในเฟชบุ๊กยังไง"
    "ฉันเล่าให้เขาฟังว่าคืนนั้นฉันฝันว่าตัวเองยืนอยู่ที่ลานวัดแห่งหนึ่ง...ฉันยังไม่ได้พูดอะไรออกไปเลยหลังจากที่พูดประโยคนั้น...แต่เขากลับถามฉันกลับมาว่า...ที่ลานวัดแห่งนั้นมีสวนลั่นทมอยู่ด้วยใช่ไหม...และเลยสวนลั่นทมออกไปก็คือซุ้มเถาน้ำเต้าใช่ไหม ฉันรู้สึกแปลกใจมากเพราะฉันยังไม่ได้พูดถึงสวนลั้นทมหรือว่าดอกลั่นทมเลย"
    "เขาอาจจะได้ยินมาจากพี่หมอนอีกต่อหนึ่งก็ได้...เจ้าหมอนี่อาจจะเป็นน้องชาย หลานชายหรือว่าญาติพี่หมอนก็ได้"
    "ตอนแรกฉันก็คิดแบบนั้น...แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ฉันไม่ได้เล่าให้พี่หมอนฟัง นั่นคือบทกลอนที่สลักไว้บนผลน้ำเต้าลูกนั้น ไม่มีทางที่จะมีใครรู้นอกจากฉันที่เป็นคนฝัน"
    "บทกลอนอะไร" เพื่อนสาวถามทำตาโต ฉันจึงได้บอกเธอว่า
    "ที่ผลน้ำเต้าแห้งลูกนั้นมีบทกลอนเขียนเอาไว้อยู่บทหนึ่ง"
    "เธออย่าบอกนะว่าเขาสามารถท่องบทกลอนนั้นออกมาได้" เพื่อนสาวเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น เมื่อฉันพยักหน้าเธอก็ถึงกับเอามือปิดปากทำตาโต
    "โอ...คุณพระคุณเจ้า...นี่มันเทพนิยายชัดๆ"
    "เขาบอกว่าบทกลอนบทนั้นเขาเป็นคนเขียนขึ้นมาเอง เขาเขียนเอาไว้ก่อนที่จะไปออกรบ"
    "กลอนบทนั้นเขียนว่าอย่างไรหรือ" ยัยก้อยเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว สายตาที่ส่งมาเหมือนมีแววอ้อนวอนอย่างเห็นได้ชัด ฉันเริ่มท่องกลอนบทนั้นให้เธอฟังด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
    "แม้ดั้นด้นเดินดินจากถิ่นฐาน
    เป็นหมื่นล้านพันโยชนั่นย่อมได้
    แต่ถิ่นรักปักฐานลงกลางใจ
    จะอยู่ไหนใจเล่าก็คืนเรือน"
    "โอแม่เจ้า...ซึ้งจนน้ำตาจะเล็ดแล้ว...เธอสาบานได้ไหมว่าไม่เคยท่องกลอนบทนี้ให้พี่หมอนหรือว่าใครฟังมาก่อน" ฉันเขม่นมองเพื่อนก่อนจะพูดว่า
    "เธอคือคนแรกที่ได้ยินกลอนบทนี้"
    "แล้วพวกเธอสองคนยังได้คุยกันอยู่ไหมทุกวันนี้" คำถามของเพื่อนรักทำให้ฉันต้องก้มหน้านิ่ง ฉันรู้สึกเหมือนเริ่มมีน้ำเอ่อออกมาตรงขอบตาทั้งสองข้าง
    "เขาไม่ยอมทักกลับมาอีกเลยหลังจากวันนั้น" แล้วฉันก็เริ่มสะอื้น ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้อ่อนแอขนาดนี้...นี่ฉันกำลังร้องไห้ให้กับคนที่ฉันไม่เคยรู้จัก ฉันกำลังร้องไห้ให้กับคนที่อยู่ในความฝัน ฉันนี่มันช่างอ่อนแอเหลือเกิน ปารตีโอบกอดฉันอย่างแผ่วเบาพลางพูดปลอบโยนฉันว่า
    "คนเราถ้ามันจะได้เป็นคู่กัน...ยังไงเสียก็ต้องกลับมาเจอกันจนได้อยู่ดี...ฉันเชื่อว่ายังไงซะเขาก็ต้องกลับมาหาแกจนได้ล่ะน่า"

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×