คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : หนุ่มนักพนันกับหญิงสาว
บทที่สี่:หนุ่มนักพนันกับหญิงสาว
เงียบราวกันสุสาน เป็นสำนวนที่พวกมนุษย์นำมาเปรียบเทียบกับบรรยากาศที่เงียบสงัดและไร้เสียงรบกวน สุสานไท่จวงในยามนี้ก็เป็นอย่างนั้น ภายในบริเวณพื้นที่สิบสี่ไร่ของสุสานล้วนเบียดเสียดไปด้วยแผ่นหินสีขาวโพลนของป้ายหลุมศพ พื้นที่ของสุสานที่ค่อยๆลาดชันขึ้นทำให้นักรบนึกถึงโรงหนังขนาดใหญ่ที่มีพนักเก้าอี้เป็นสีขาวซอมซ่อ มันไล่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆจนไปสิ้นสุดตรงบริเวณหน้าผาหิน
ที่มุมหนึ่งของหน้าผานักรบมองเห็นวงกลมสีดำขนาดใหญ่ คงจะเป็นที่นั่น มีร่างสลัวในเงามืดหลายร่างเคลื่อนตัวมาจากทิศทางต่างๆของสุสานตรงไปยังวงกลมสีดำดังกล่าว ไม่มีแสงไฟไม่การพูดคุย พวกเขาเพียงแค่เคลื่อนตัวช้าๆไปเรื่อยๆ
หากมีพวกมนุษย์สักคนเพ่งมองฝ่าความมืดเข้ามายังสุสานในเวลานี้พวกเขาคงจะพากันยืนตัวแข็งทื่อ เลือดในกายเย็นเฉียบและขนทุกเส้นบนร่างกายลุกชูชันเพราะคิดว่าตัวเองมองเห็นวิญญาณในสุสานลุกขึ้นมาหลอกหลอนพวกเขา พวกมนุษย์นี่ช่างแปลกเสียจริงๆ กลัวในสิ่งที่ตัวเองเป็นทั้งๆที่รู้ว่าอีกไม่นานพวกเขาก็จะพากันเป็นในสิ่งที่ตัวเองกลัว นักรบมุ่งหน้าไปยังทิศทางดังกล่าวอย่างเงียบๆ ไม่มีการพูดคุย ไม่มีการทักทาย
เมื่อเดินไปถึงเขาก็พบว่าวงกลมสีดำที่เห็นอยู่ไกลๆแท้จริงแล้วมันเป็นช่องที่เจาะเข้าไปในหน้าผาอย่างจงใจขนาดของมันใหญ่พอที่คนสี่คนจะเดินสวนกันได้อย่างสบาย นักรบสืบเท้าเข้าไปในนั้น
มันมืดจนแทบมองไม่เห็นอะไรในช่วงแรกก่อนจะค่อยๆสว่างขึ้นด้วยแสงจากนีออนที่ถูกติดตั้งเรียงรายอยู่ตลอดแนวของโพลงหิน เมื่อเดินมาถึงจุดหนึ่งเขาก็พบยามร่างใหญ่สองคนที่ยืนเฝ้าอยู่ มันถลึงตาใส่เขาพลางโบกมือไล่ ต่อเมื่อเขายื่นใบเบิกทางของบังโกให้มันดูมันจึงยอมให้นักรบผ่านเข้าไป
ถ้ำที่มีขนาดเท่าคนสี่คนเดินผ่านในช่วงแรกค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆเมื่อเดินลึกเข้าไปจนในที่สุดมันก็มีขนาดใหญ่พอที่จะใส่คอนโดมิเนี่ยมหรูสูงยี่สิบชั้นลงไปได้หลายสิบหลัง มีผู้คนมากมายอยู่ในนั้นคนพวกนั้นล้วนเป็นพวกตระกูลใหญ่และทรงอิทธิพลต่อชาวสิงหลทั้งนั้น แต่นักรบไม่ได้เข้ามาในนี้เพื่อจะได้นั่งกระทบไหล่คนพวกนี้ เขามาที่นี่ด้วยวัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียว...ตามหาพวกกาลสูร
ตรงกลางห้องขนาดมหึมาเป็นที่ตั้งของเวทีขนาดมหึมา มันถูกล้อมด้วยโครงเหล็กขนาดใหญ่ แน่ใจได้เลยว่าจะไม่มียักษ์ตัวไหนแหกออกมาจากคอกเหล็กนั้นได้ ตรงบริเวณชิดติดขอบเวทีเป็นที่นั่งของแขกที่ทรงอิทธิพลยิ่ง เขามองเห็นสมาชิกผู้พิทักษ์กฎนั่งที่นั่นอยู่หลายคน
ที่นั่งที่อยู่ห่างจากเวทีออกมาเป็นที่นั่งของคนที่มีลำดับชั้นรองๆลงมา ยิ่งไกลออกมาจากเวทีเท่าไหร่ก็ยิ่งมีลำดับชั้นทางสังคมน้อยลงเท่านั้น แต่ไม่มีชาวสิงหลที่มีลำดับชั้นต่ำกว่าสามอยู่ที่นี่เลยสักคน
มีเจ้าหน้าที่สาวสวยคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขา นักรบจึงชูใบเบิกทางให้หล่อนดูจากนั้นหล่อนก็พาเขาเดินไปยังเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ติดทางเดินในแถวนั่งที่สามนับจากขอบเวทีออกมา นักรบไม่สนใจจะมองสำรวจผู้คนที่นั่งอยู่รายรอบเวที ที่นั่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกเตรียมไว้สำหรับพวกกาลสูรไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้แถวไหนๆก็ตาม ลำดับชั้นทางสังคมของพวกเขาคือชั้นที่หนึ่งเทียบเท่ากับนักรบ น้ำเสียงเนิบๆของบังโกดังเข้ามาในหัวเขาอีกครั้ง
“พวกเขาเคยมีฐานะทางสังคมที่สูงส่งจวบจนกระทั่งหลังสงครามสามตระกูล พวกเขาก็ถูกลดขั้นทางสังคมให้มาอยู่ที่ระดับหนึ่ง ก็สมควรอยู่ที่พวกเขาจะถูกลดขั้นลง เพราะพวกเขาคือต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดมีชาวสิงหลล้มตายมากมายไม่เฉพาะคนของสามตระกูลนั้นเท่านั้น หลังสงครามจบลงพวกกาลสูรพ่ายแพ้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาเคยมีถูกอายัดโดยคณะกรรมการผู้พิทักษ์กฎ ถูกลดลำดับทางสังคมและถูกห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเมืองการปกครองอีกชั่วลูกชั่วหลาน ฉันเกรงว่าพวกเขากำลังวางแผนที่จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ไม่ว่าแผนการของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ฉันไม่อยากถูกลากเข้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้”
นักรบไม่ได้ถามรายละเอียดว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นอย่างไร เขาไม่ต้องการรู้มากไปกว่าที่บังโกบอก สิ่งที่เขาต้องทำคือหาพวกกาลสูรให้พบและจบเรื่องราวทั้งหมดก่อนที่พวกเขาจะดึงเอาบังโกเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายที่พวกเขากำลังจะก่อขึ้น
บนเวทียังว่างเปล่า ยังไม่มีใครขึ้นไปทำอะไรบนนั้น มีเพียงอย่างเดียวที่แสดงให้รู้ว่าจะมีการต่อสู้เกิดขึ้นบนเวทีแห่งนี้นั่นคือไมล์ที่แขวนห้อยลงมาจากเพดานตรงบริเวณกลางเวทีพอดิบพอดี
"ไม่มีโต๊ะสำหรับคณะกรรมการคอยจดแต้ม ไม่มีระฆังตีหมดยก กติกาก็คือ ขึ้นไปแล้วสู้จนกว่าจะแพ้หรือไม่ก็ตาย"ชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่เก้าอี้ข้างๆอธิบายกฎกติกาการต่อสู้ให้กับแฟนสาวที่นั่งอยู่ข้างๆฟังหล่อนอ้าปากค้างพร้อมกับยกมือขึ้นปิดปาก เป็นมารยาหญิงที่ใช้หลอกผู้ชายหน้าโง่สักคนให้หลงเชื่อว่าเธออ่อนแอแค่ไหน เป็นมารยาโดยธรรมชาติของผู้หญิงไม่ว่าเผ่าพันธุ์ไหนก็ตาม
"แล้วระฆังที่แขวนอยู่ฝั่งทางนั้นเขาเอาไว้ทำอะไรคะ..."หล่อนชี้ไปยังระฆังที่อยู่มุมด้านหนึ่งของเวที ถ้าไม่สังเกตให้ดีก็แทบจะมองไม่เห็น นั่นทำให้นักรบรู้ว่าหญิงสาวคนนี้ไม่ได้มีดีแค่เรื่องมารยาหญิงแต่หล่อนมีสายตาที่ดีเยี่ยมและสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ในระยะไกล อาจจะมองเห็นได้ไกลกว่านี้อีกมาก
ชาวสิงหลนอกจากจะสามารถกลายร่างได้ตามลักษณะทางเผ่าพันธุ์ของตัวเองแล้วก็ยังมีความสามารถเฉพาะตัวบางอย่างซ่อนอยู่แทบทุกคน'แต่คุณสมบัติที่หญิงสาวคนนี้มีจะมีเฉพาะแต่เพียงตระกูลพิเภกเท่านั้น'นั่นทำให้เขาละความสนใจจากทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนเวทีแล้วค่อยๆพิจารณาคู่สนทนาที่นั่งอยู่เก้าอี้ข้างๆแม้สายตาจะยังคงจับจ้องอยู่บนเวทีก็ตาม
"เขาเอาไว้ตีตอนเริ่มการต่อสู้เท่านั้นแหละจ้ะ..."แฟนหนุ่มบอกอย่างไม่แน่ใจนักหมอนี่ไม่มีอะไรนอกจากการเดาสุ่ม นักรบคิด
"แล้วเคยมีใครตายหรือเปล่า"หญิงสาวคนนั้นถามกลับ สีหน้าแสดงอาการหวาดกลัว และตอนนี้เองที่ทำให้เขาจำเธอได้
"ยังไม่มี..."ชายคนนั้นบอกสีหน้าคล้ายผิดหวังนิดๆที่ไม่มีอะไรตื่นมากกว่านี้มาเล่าให้หล่อนฟัง
ผู้คนเริ่มหลังไหลกันเข้ามาโชคร้ายที่นักรบได้ที่นั่งอยู่ติดทางเดินเขาจึงต้องเบี่ยงตัวหลบทุกครั้งที่มีการเดินเบียดแทรกกันเข้ามา เก้าอี้ในแถวต่างๆที่เคยว่างเปล่าค่อยๆถูกเติมให้เต็มทีละตัวๆ แถวของเขาเต็มทุกที่นั่งแล้ว แถวที่อยู่ด้านหลังเขาก็ดูเหมือนจะเต็มหมดแล้วเช่นกันเหลือแต่แถวแรกกับแถวที่สองเท่านั้นที่ยังมีว่างอยู่บ้าง
ครู่ต่อมาเขาเห็นผู้ชายผิวขาวร่างเล็กคนหนึ่งเดินขึ้นเวที ใบหน้าเรียวยาวสะอาดสะอ้านในชุดทักซิโด้สีขาวผูกหูกระต่ายสีดำที่ชายคนนั้นส่วมใส่ทำให้นึกถึงโลโก้ที่มีกระต่ายสีขาวผูกหูกระต่ายสีขาวยืนหันข้างปั้นหน้าแบบสุดแสนจะสงสัย มันเป็นโลโก้ที่ปรากฏอยู่บนกางเกงในชายยี่ห้อหนึ่ง
"ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย"พิธีกรคนนั้นเริ่มพูดเขาหมุนตัวช้าๆไปรอบๆเวทีคล้ายจะมองหาอะไรสักอย่างที่เขาทำหล่นหาย
"บัดนี้...เวลาที่ทุกคนรอคอยได้มาถึงแล้ว...เวลาแห่งความตื่นเต้นเร้าใจ...การต่อสู้ที่ท่านจะหาดูที่ไหนไม่ได้อีก..."
"ดูซิว่านี่ใครเอ่ย"น้ำเสียงน่ารำคาญของผู้ชายคนหนึ่งดังแทรกขึ้นมาเหมือนมันดังอยู่ข้างๆหูของนักรบนั่นเอง
"นายนักรบผู้จองหองนั่นเอง..."มันดังอยู่ข้างหูของเขาจริงๆด้วย ไม่จำเป็นต้องหันไปมองเขาก็รู้แล้วว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร นายอัครเดชนั่นเอง ถ้าไม่นับการกลายร่างได้ตามลักษณะทางเผ่าพันธุ์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิดของเขาล่ะก็ น้ำเสียงที่สามารถสร้างความรำคาญใจให้แก่ผู้คนรอบข้างได้ดูเหมือนจะเป็นความสามารถพิเศษเพียงอย่างเดียวที่เขามีอยู่
"ที่รัก...นี่นายนักรบ เพื่อนร่วมชั้นสมัยเรียนที่โมกฆศาสตร์...."มันแนะนำเขาให้กับแฟนสาวที่มันควงมาและโดยไม่ต้องหันไปมองนักรบก็รู้ว่าหล่อนอ้าปากค้างพลางเอามิดปิดปาก
"แต่ทำไมยังดูเด็กอยู่เลย"หล่อนเอ่ยถามแฟนหนุ่มเจ้าอัครเดช
หัวเราะอย่างชอบใจ
"จริงๆแล้วเขาไม่เปลี่ยนไปเลยต่างหากสามสิบปีที่แล้วเป็นอย่างไรก็อย่างนั้นฮ่าๆๆๆๆๆๆ"
"ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีตระกูลไหนที่เป็นแบบนี้"หญิงสาวเอ่ยถามอย่างสงสัย คราวนี้เจ้าอัครเดชหัวเราะเสียงดังยิ่งกว่าเดิม
"ตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองมาจากกระกูลไหน ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ" นักรบกำหมัดแน่นนึกภาพว่าตัวเองลุกขึ้นต่อยปากเน่าๆของนายอัครเดชจนล้มลงไปกองกับพื้นแต่เขาก็ไม่ได้ทำ
"นายควรจะหุบปากเน่าๆของนายแล้วเดินไปนั่งประจำที่นั่งของตัวเองจะดีกว่า...การนอนดูที่พื้นคงไม่สนุกเท่าไหร่หรอก..."นักรบพูดน้ำเสียงราบเรียบ สายตายังคงจับจ้องไปบนเวที
"นายคิดว่าฉันเป็นไอ้ไก่อ่อนหรือไง...นายคิดว่าฉันจะล้มคว่ำด้วยหมัดน้อยๆของนายงั้นหรอ..."ตอนนี้มันยื่นตัวสั่นอยู่ นักรบรู้ได้จากสัญชาตญาน หรืออันที่จริงเขามองเห็นภาพทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับนายอัครเดชได้อย่างชัดเจนแม้จะไม่ได้เหลือบไปมองเลยก็ตามรวมทั้งภาพอื่นๆที่อยู่รอบด้าน ถ้าเพียงแต่เขาอยากจะดูมัน เป็นความสามารถพิเศษที่ติดตัวเขามาตั้งแต่ที่เขาจำความได้ เขาไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใคร แม้แต่กับบังโก
"ไปเถอะคะอย่ามีเรื่องกันเลย"น้ำเสียงของหล่อนมีแววกังวล ดีแล้ว ลากมันไปไกลๆ ก่อนที่มันจะเจ็บตัว นักรบคิดเขาไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับนายอัครเดชอีก เขามาที่นี่เพื่อหาคนไม่ได้มาเพื่อหาเรื่อง
บังโกคงไม่พอใจเท่าไหร่หากรู้ว่าเขามามีเรื่องกับลูกชายคนเดียวของท่านประธานสภาผู้พิทักษ์กฎ หล่อนค่อยๆตะล่อมนายอัครเดชเพื่อไปหาที่นั่งแวบหนึ่งเขามองเห็นสายตาหวานฉ่ำของหล่อนโปรยมาให้ นายอัครเดชได้ที่นั่งตัวที่ห้าของแถวแรก หล่อนได้ที่นั่งตัวถัดจากเขา
ตอนนี้การประกาศบนเวทีสิ้นสุดไปแล้ว นั่นทำให้นักรบหงุดหงิดเขาพลาดการแนะนำตัวคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายเขาพลาดช่วงที่สำคัญที่สุดไปเพราะมัวแต่ไปต่อปากต่อคำกับลูกชายไม่เอาไหนของประธานสภาผู้พิทักษ์กฎคำแนะนำตัวเพียงเล็กน้อยอาจนำเขาไปสู่สิ่งที่เขากำลังตามหา แต่เขาก็พลาดไปหมดเขาทำมันพัง ตอนนี้นักต่อสู้ทั้งสองอยู่บนเวทีแล้วได้แต่หวังว่าเขาจะเจออะไรบ้างในระหว่างที่นักต่อสู้ทั้งสองกำลังห้ำหันกันบนเวที
นักต่อสู้มุมน้ำเงินเป็นชายร่างใหญ่ผิวขาวตกกระไปทั้งตัว ปากดำสนิทและมีเส้นผมเหลือติดหัวเพียงหลอมแหลม ในขณะที่นักสู้อีกคนเป็นชายหนุ่มหุ่นสะโอดสะองผิวสีดำสนิท หน้าตาหลอเหลาเอาการ ตอนแรกทั้งสองยืนอยู่ที่มุมเวทีคนละฝั่งก่อนจะถูกกรรมการเรียกมากลางเวทีหลังจากนั้นกรรมคนนั้นพูดเพียงเบาๆกับนักต่อสู้ทั้งสอง
"กติกาคือไม่มีกติกา...นั่นคือคำพูดที่กรรมการคนนั้นกำลังบอกนักต่อสู้ทั้งสองคน"ชายคนที่นั่งอยู่ข้างๆเขาบอกแฟนสาวหญิงสาวทำท่าเหมือนรู้สึกทึ่งในความสามารถของชายคนรักแต่ไม่ว่าท่าทางนั้นมันจะหมายถึงมารยาหญิง แผนการ กับดักหรืออะไรก็แล้วแต่แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าผู้ชายที่นั่งอยู่กับเธอคือไอ้จอมโกหกปลิ้นปล้อนและตอแหล
กรรมการสั่งให้นักต่อสู้กลับไปอยู่ที่มุมของตัวเองเพื่อรอสัญญาณเริ่มการต่อสู้จากนั้นกรรมการคนนั้นก็เดินออกมาจากเวที เจ้าหนุ่มผิวตกกระทำท่าเหมือนกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะให้เริ่มการต่อสู้เสียที มันหมุนมือตัวเองไปมาพลางทำท่าแยกเขี้ยวใส่คู่ต่อสู้ที่อยู่ที่มุมตรงข้าม
เจ้าหนุ่มผิวหมึกมีท่าทีเฉยชา ไม่แสดงอาการใดๆออกมาให้เห็นมันยืนนิ่งอยู่ที่มุมของตัวเองเหมือนจระเข้ที่นอนนิ่งเหมือนท่อนไม้รอให้เหยื่อเดินเข้ามาหา
เมื่อระฆังถูกตีไอ้หนุ่มร่างอ้วนก็วิ่งออกมาจากมุมของตัวเองอย่างรวดเร็วก่อนจะกระโดดขึ้นแล้วกลายร่างเป็นยักษ์ตัวโตผิวขาวตกกระ มันเงื้อกำปั้นทุบลงมายังจุดที่เจ้าผิวดำยืนอยู่
โครม....
ร่างมหึมาของมันกระเด็นกลับไปทิศทางเดิมก่อนจะกระแทกกับพื้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เจ้าหนุ่มผิวดำรูปหล่อตอนนี้กลายเป็นไอ้หนุ่มร่างยักษ์ผิวสีหมึกแทน มันเสยอัปคัตคู่ต่อสู้ที่โผนเข้ามาหาจนกระเด็นกลับไป เจ้ายักษ์ผิวตกกระสะบัดหัวเร่าๆก่อนจะประคองตัวเองลุกขึ้น ตอนนี้มันชักโมโหแล้วเมื่อลุกขึ้นมาได้มันจ้องมองคู่ต่อสู้ของมันด้วยแววตาวาวโรจน์
โฮกกกกกกกก!!!
มันอ้าปากร้องคำรามลั่น น้ำลายเหนียวเหนอะกระเด็นฟ่องออกมาจากปากของมัน ผู้ชมที่อยู่รอบเวทีเริ่มสงเสียงเชียร์การพนันขันต่อเริ่มต้นขึ้น แถวทางด้านหลังเริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้ พวกเขาพากันยืนพลางโก่งคอตะเบ็งเสียงเรียกราคาเพื่อให้ใครสักคนมาร่วมเล่นพนันกับตัวเอง ส่วนแถวด้านหน้ายังคงพูดคุยกันปกติ
เจ้ายักษ์ผิวตกกระคำรามก้องอีกครั้งก่อนจะพุ่งตัวเข้าหาคู่ต่อสู้ของมัน เจ้ายักษ์ร่างหมึกรอจังหวะอยู่แล้ว เมื่อเจ้ายักษ์ผิวตกกระเข้ามาอยู่ในระยะมันก็เหวี่ยงหมัดออกไป แต่ดูเหมือนมันจะกะจังหวะผิดเพราะเจ้ายักษ์ผิวตกกระเบี่ยงตัวหลบหมัดของมันได้และเอาไหล่กระแทกเข้าที่หน้าอกมันอย่างจัง ร่างของมันกระเด็นมาชนกับรั้วเวทีเสียงดังสนั่น รั้วเหล็กสั่นไหวเพียงเล็กน้อย
เจ้ายักษ์รูปหล่อร่วงลงมากองกับพื้นมันพยายามจะลุกขึ้นให้เร็วที่สุดแต่ก็ยังช้าเกินไป เจ้ายักษ์ผิวตกกระวิ่งเอาเข่ามากระแทกที่ใบหน้ามันอีกครั้ง มันถึงกับผงะหลังด้วยแรงกระแทกนั้น ตอนนี้ราคาต่อรองตกมาอยู่ที่ฝั่งเจ้ายักษ์ผิวตกกระแล้ว
ยังไม่ทันที่เจ้ายักษ์ผิวหมึกจะได้ทันฟื้นจากอาการมึนงงคู่ต่อสู้ของมันก็รวบขาของมันก่อนจะลากมากลางเวทีแล้วเริ่มจับมันหมุนเป็นลูกข่าง ร่างของเจ้ายักษ์ผิวหมึกถูกยกขึ้นด้วยแรงเหวี่ยงหนีศูนย์เจ้ายักษ์ผิวตกกระหมุนอยู่ห้ารอบก็ปล่อยร่างคู่ต่อสู่ให้ลอยไปกระแทกกับรั้วกั้นเสียงดังสนั่น
ถึงตรงนี้ราคาต่อรองอยู่ที่หนึ่งต่อยี่สิบแม้กระนั้นก็ยังหาคนที่จะมาเล่นมวยรองอย่างเจ้ายักษ์ผิวหมึกไม่ได้
"หนึ่งต่อสามสิบ...สนใจไหมไอ้หนู"ชายที่นั่งอยู่ข้างนักรบเอ่ยถาม เขาไม่ชอบเล่นการพนันแต่ก็น่าสนใจดีถ้าหากสิ่งที่จะใช้ลงพนันน่าสนใจ
"นายจะพนันด้วยอะไร"นักรบเอ่ยถามโดยไม่หันไปมองตอนนี้เจ้ายักษ์ผิวหมึกกำลังกลายเป็นกระสอบทรายที่นอนกลิ้งไปมาให้เจ้ายักษ์ผิวตกกระคู่ต่อสู้ของมันเตะเล่น
"ยี่สิบเหรียญทอง"เจ้าหมอนั่นบอกจำนวนเงินพนัน นักรบนิ่งเงียบ เขาไม่อยากได้เงิน
"สามสิบเหรียญทองเป็นไง...กับราคาต่อรองสี่สิบต่อหนึ่ง" เขายื่นเงื่อนไขใหม่
ตอนนี้เจ้ายักษ์ผิวหมึกเป็นยิ่งกว่ากระสอบทรายมันกลายเป็นกระต่ายบั้กบันนี่ยัดนุ่นของเจ้ายักษ์ผิวตกกระนั่นไปแล้ว เจ้านักพนันคนนี้ไม่ค่อยฉลาดนัก สิ่งที่มีอยู่ในตัวของมันคือความโลภ นักรบคิด
"นั่นคือที่มาของสัญญาดีๆหลายฉบับของฉัน ฉันคงจะไม่ได้มาอยู่ในระดับที่ฉันกำลังเป็นอยู่ในทุกวันนี้ถ้าไม่มีใครหยิบยื่นสัญญาดีๆมาให้ฉันพิจารณาในช่วงเวลาที่เหมาะสม อย่ายอมพลาดโอกาสที่จะได้ทำสัญญาที่คุ้มค่ากับคนที่กำลังโลภโมโทสัน" เสียงบังโกแว่วเข้ามาในหูเขาอีกครั้ง
"ฉันเล่น" นักรบบอกเขาอยากจะทดสอบคำพูดของบังโก
"ดี...ตกลงตามนี้"เจ้าหนุ่มนักพนันนั่นพูดออกมาอย่างกระตือรือร้นดูเหมือนไอ้หนุ่มนักพนันหน้าโง่ที่นั่งอยู่ข้างๆเขาจะยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่งโดยไม่รู้ว่ามันกำลังถูกเขาหลอกให้มาติดกับ ครู่ต่อมาเจ้ายักษ์ผิวตกกระก็โยนเจ้ายักษ์ผิวหมึกไปที่มุมของมันเหมือนเด็กที่เบื่อของเล่นแล้ว ร่างของเจ้ายักษ์ผิวหมึกไม่กระดุกกระดิก มันนอนแน่นิ่ง
คู่แรกจบแล้วเจ้ายักษ์ผิวหมึกค่อยๆกลายร่างกลับไปเป็นเจ้าหนุ่มสะโอดสะองในสภาพยับเยินอยู่ที่มุมเวที เจ้ายักษ์ผิวตกกระชูกำปั้นขึ้นพลางคำรามอย่างสะใจก่อนจะเดินเข้าหามุมพร้อมด้วยร่างที่ย่อเล็กลงเรื่อยๆจนกลับไปอยู่ในสภาพเจ้าอ้วนผิวตกกระหน้าตาน่าเกลียดเหมือนเดิม
"เย้...เห็นไหมพี่บอกแล้ว"เจ้านักพนันนั่นชูมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างสะใจ นักรบล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบเหรียญทองออกมาวางไว้บนเก้าอี้ของเจ้าหมอนั่น มันรีบคว้าเอาไปประเคนให้หญิงสาวทันทีเจ้าหล่อนทำตาลุกวาวก่อนจะจ้องมองชายหนุ่มด้วยแววตาที่หวานซึ้ง
"ขอบคุณค่ะที่รัก"หล่อนพูด ก่อนจะบรรจงหอมแก้มเหยื่อของหล่อน
เจ้าอ้วนผิวตกกระลงจากเวทีไปพร้อมกับการแห่แหนของกองเชียร์ของมันในขณะที่เจ้าหนุ่มหล่อผิวสีหมึกก็ถูกเพื่อนๆของมันลากลงจากเวทีไปอย่างเงียบๆเช่นกัน
กรรมการคนเดิมขึ้นมาบนเวทีอีกครั้งและเริ่มประกาศแนะนำตัวสำหรับคู่ต่อสู้คู่ต่อไปและจากการประกาศแนะนำตัวของทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีอะไรที่น่าสนใจหรือบ่งบอกความนัยว่าพวกเขามีความเกี่ยวข้องกับพวกกาลสูรแต่อย่างใด
นักต่อสู้คู่ต่อมาเป็นชายผิวขาวทั้งคู่ ต่างกันก็แต่เพียงรูปร่างฝ่ายแดงเป็นชายร่างใหญ่ หน้าตาดุดัน แววตาเรียบเฉย ตัดผมเกรียนหนวดและเคราถูกไถตั้งขึ้นดูแล้วเหมือนหุ่นยนต์ในภาพยนตร์ที่พวกมนุษย์ทำออกมาฉายมากกว่าจะเป็นชาวสิงหล
คู่ต่อสู้ของมันเป็นชายร่างผอมสูง แขนขาดูเก้งก้าง หน้าตาซูบซีด เหมือนพวกติดยาถ้าเปรียบเทียบในสำนวนมนุษย์ เจ้าหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆชักจะได้ใจมันหันมาหาเขาและเริ่มพนันขันต่ออีกครั้งเมื่อเห็นว่าเจ้าหนวดกลายร่างเป็นยักษ์รูปร่างใหญ่กล้ามโตสีผิวแดงก่ำในขณะที่เจ้าก้างกลายร่างมาเป็นเจ้าก้างเหมือนเดิมผิดแต่มีรูปร่างที่สูงใหญ่ขึ้นเท่านั้น
"ยี่สิบต่อหนึ่ง...สี่สิบเหรียญทอง"มันยื่นข้อเสนอ
"สี่สิบต่อหนึ่ง" นักรบยื่นข้อเสนอใหม่มันตกลงรับข้อเสนอของเขาทันที มันกำลังจะติดกับ เขาเพียงแค่รอเท่านั้นเมื่อการต่อสู้ผ่านไปสิบนาที เจ้าก้างก็พ่ายแพ้อย่างหมดรูป
เขารู้อยู่แล้วว่าเจ้าก้างไม่มีทางชนะ แต่เพื่อให้แผนของเขาสำริดผลเขาจำเป็นต้องยอมเสียเหยื่อไปบ้าง หกสิบเหรียญทองนั่นคือเงินทั้งหมดที่เขาพกติดตัวมาหลังจากที่เอาบางส่วนให้เจ้าทาสขี้เมาในเด็ดบาร์ไปแล้ว
คู่ต่อไปคือคู่สุดท้ายของวันนี้ เป็นคู่เอกของรายการ ฝ่ายแดงคือเห่าดงตามฉายาที่มันตั้งให้ตัวเอง ขึ้นเวทีมาห้าครั้งชนะทั้งห้าครั้งฝ่ายน้ำเงินขึ้นเวทีมาสองครั้งชนะหนึ่งเสมอหนึ่ง ฉายาของมันคือ เจ้ารถถังแต่ดูจากหุ่นของมัน นักรบคิดว่ามันน่าจะมีฉายาว่าเจ้ารถกระป๋องมากกว่า
เมื่อเจ้ารถถังกลายร่างมันช่วยยืนยันความคิดของนักรบทันทีว่าเจ้าหมอนั่นน่าจะมีฉายาว่ารถกระป๋องจริงๆเพราะในขณะที่เจ้าเห่าดงกลายร่างเป็นยักษ์ตัวสีดำน่าเกลียดน่ากลัวเจ้ารถถังกลับกลายร่างเป็นยักษ์แคระผิวขาวซีดและมีกล้ามเนื้อที่ปูดโปนอยู่เต็มไปหมดทั้งร่างความสูงของมันแค่เอวของเจ้ายักษ์เขียวเท่านั้น
ที่สำคัญมันเดินขาโก่งเหมือนลิงอุรังอุตัง มันเอาชนะคู่ต่อสู้มาได้อย่างไรตั้งหนึ่งคน นอกจากว่าเจ้าหมอนั่นจะเดินสะดุดเท้าตัวเองจนหน้ากระแทกพื้นและสลบไปเอง เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วนักรบก็รู้ว่าเจ้าหนุ่มนักพนันคนที่อยู่ข้างๆจะเชียร์ฝ่ายไหนและก็เชื่อได้เลยว่ามันจะต้องทุ่มสุดตัวแน่
"สี่สิบต่อหนึ่ง...ฉันลงหกสิบเหรียญทอง"มันยื่นข้อเสนอเข้ามาอย่างที่นักรบคิดไว้
"ฉันไม่สนใจ" เขาบอกสีหน้าเรียบเฉย
"แปดสิบต่อหนึ่ง..."เขายื่นข้อเสนอเข้ามาใหม่
"นั่นเท่ากับนายต้องจ่ายสี่พันแปดร้อยเหรียญทองเชียวนะหากฉันลงพนันด้วยเงินห้าสิบเหรียญทอง"นักรบบอก สีหน้ายังเฉยเมยเช่นเดิม
"ใช่...เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจไหมล่ะ..."มันพูดพลางชะโงกหน้าเข้ามาใกล้นักรบไม่เชื่อว่าเจ้าหมอนี่จะมีปัญญาจ่าย หากมันเป็นฝ่ายแพ้
"ฉันไม่สน" นักรบบอกตอนนี้เจ้ายักษ์ดำกำลังไล่เตะต่อยเจ้ายักษ์ขาโก่งอย่างมันมือเจ้าหมอนั่นขยับถอยกลับไปอย่างผิดหวังมันพยายามจะลุกขึ้นต่อราคากับคนอื่นๆที่อยู่รายรอบ แต่ไม่มีใครสนใจข้อเสนอของมัน
เจ้ายักษ์แคระขาโก่งกำลังจะถูกอัดตายคาเวที มันวิ่งไปทางนั้นทีทางนี้ทีเพื่อหนีให้พ้นจากหมัดและเท้าของเจ้ายักษ์ดำ เจ้าหนุ่มคนนั้นกลับลงมานั่งบนเก้าอี้ตัวเองอย่างผิดหวังในขณะที่แฟนสาวของมันยังคงยืนเชียร์อย่างออกรสชาติ
"สี่ร้อยเหรียญทอง" นักรบบอกครั้งแรกเจ้าหมอนั่นทำท่าเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อหูตัวเอง
"อะไรนะ..."มันถามเสียงสูง
"สี่ร้อยเหรียญทอง..." เขาพูดย้ำอีกครั้ง
"ตกลงไอ้หนู..."มันบอกพลางยิ้มอย่างเริงร่าก่อนจะหุบปากเมื่อได้ยินประโยคต่อมาของเขา
"แลกกับแฟนของนาย..."เขาบอก
"มันจะมากไปแล้วไอ้หนู..."มันถลันลุกขึ้นพลางขบกรามแน่น
"เงินตั้งสามหมื่นเหรียญทอง...ฉันเชื่อว่านายไม่มีเงินขนาดนั้นแน่...ดังนั้น...ฉันต้องการลงพนันกับบางสิ่งบางอย่างที่ฉันคิดว่ามีมูลค่าที่เหมาะสมพอ...นายจะว่ายังไง...จะเล่นหรือไม่เล่น"นักรบพูดช้าๆและรอ ดูเหมือนมันจะยังลังเลอยู่เขาจึงได้พูดสำทับลงไปอีกว่า
"การต่อสู้กำลังจะจบแล้ว...ถ้านายไม่รีบตัดสินใจตอนนี้...นายก็จะพลาดโอกาสดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตไป"เขาบอกโดยที่สายตายังจับจ้องอยู่บนเวที เจ้าหมอนั่นหันหน้าไปทางเวทีตอนนี้เจ้ายักษ์ดำชูกำปั้นเดินไปรอบๆเวทีในขณะที่เจ้ายักษ์แคระขาโก่งยืนโอนเอนไปมาถ้าเพียงแค่มีใครสักคนเอานิ้วไปดีดหน้าผากมันมันก็คงจะล้มตึงลงในทันที
"ตกลง..."เจ้านักพนันบอกพลางขบกรามแน่นก่อนจะกระแทกลงนั่งบนเก้าอี้ มันหันมามองสายตาจ้องเขาเขม็งมันชะโงกหน้ามาหาเขาใกล้ๆก่อนจะพูดว่า
"แลกกับผู้หญิงของฉัน...แต่แกแพ้แน่ไอ้หนู"น้ำเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่นและเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังมันเหลือบสายตาไปมองหญิงคนรักหน่อยหนึ่งก่อนจะเบนสายตาไปยังบนเวทีเหยื่อติดกับแล้วนักรบคิด
"เราต้องทำสัญญากันก่อน" นักรบบอก
"สัญญาอะไรอีกวะ"มันขึ้นเสียงสูงนักรบหยิบแผ่นหนังสีน้ำตาลคล่ำครึออกมาแผ่นหนึ่งแล้วยื่นออกไปตรงหน้าเจ้าหนุ่มนั่น
"เพียงแค่นายพูดว่ายอมรับเงื่อนไข...ทุกอย่างก็สมบูรณ์"มันมองนักรบอย่างอยากจะแล่เนื้อเถือหนังเขาออกเป็นชิ้นๆ
"ได้...ฉันยอมรับเงื่อนไข..."
เมื่อมันพูดจบก็มีเปลวไฟแวบขึ้นมาบนแผ่นหนังมันเป็นเปลวไฟเล็กๆที่ค่อยๆลามเลียเป็นเส้นสายไปบนแผ่นหนังเรื่อยๆจนกระทั่งมอดไหม้หมด ที่บนแผ่นหนังมีตัวหนังสือปรากฏอยู่ตามร้อยไหม้
"แกเตรียมเงินสี่ร้อยเหรียญทองเอาไว้ได้เลยไอ้หนูเพราะแกแพ้แน่"มันบอกพลางหันหน้ากลับไปยังเวทีนักรบสอดแผ่นหนังกลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแล้วเริ่มงานของเขาทันทีเขาเพ่งสายตาไปยังเจ้ายักษ์แคระขาโก่งนั่น
เพียงระยะเวลาไม่นานก็เหมือนกับเขาได้ไปยืนอยู่กับเจ้ายักษ์แคระตนนั้น ขาของมันดูอ่อนล้าเหลือกำลัง แขนของมันก็ดูเหมือนจะอ่อนเปลี้ยไม่มีแรง สายตาทุกคู่ที่จับจ้องมายังมันเหมือนพวกเขากำลังมองดูสุนัขที่กำลังจะถูกเชือด เขามองเห็นได้รอบทิศจากจุดที่มันยืนอยู่ เจ้ายักษ์ดำแสยะยิ้มอย่างพอใจชัยชนะของมันอยู่แค่เอื้อม มันหันไปมองรอบเวทีอีกครั้งก่อนจะคำรามก้อง
แค่รอจังหวะให้มันหันมา แค่หมัดเดียวที่ปลายคางเขากระซิบบอกร่างที่ยืนโอนเอนอยู่นั้น ตอนนี้มันเริ่มได้สติแล้วเหลือเพียงแค่รวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายเมื่อเจ้ายักษ์ดำหันกลับมาเพื่อปิดฉากชัยชนะของตัวเอง ตอนนี้แหละเขากระซิบบอกเจ้าขาโก่ง
เปรี้ยง......
หมัดเดียวที่เจ้าขาโก่งเหวี่ยงออกไปเข้าปลายคางเจ้ายักษ์ดำเต็มๆหัวของเจ้ายักษ์ดำหมุนไปตามแรงหมัด
ตึงงงงงง......
ร่างใหญ่ยักษ์ของเจ้ายักษ์ดำล้มลงฟาดพื้นท่ามกลางความตื่นตะลึงของผู้ชม เจ้าขาโก่งเดินโอนเอนเข้ามุมก่อนจะทรุดนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรง แต่เจ้ายักษ์ดำตัวใหญ่นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง
"สุดยอดเลย...เมื่อตะกี้นี้มันสุดยอด...จากที่คิดว่าจะแพ้กลับชนะ...คุณเห็นมั้ย"หล่อนพูดกับเขาอย่างกระตือรือร้น แต่เจ้าแฟนหนุ่มกลับนั่งลงเหมือนหมดอาลัยตายอยาก ถึงตรงนี้หล่อนจำต้องหุบยิ้มเพราะยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแฟนหนุ่มตัวเอง
"นายแพ้แล้ว...นายต้องจ่ายตามสัญญา"นักรบบอกเขา หญิงสาวยังคงไม่เข้าใจ เธอมองเขาสลับกับแฟนหนุ่มไปมา
"คุณเสียพนันให้เขาเท่าไหร่คะ" เธอถามเขาแต่แฟนหนุ่มไม่ตอบ เขานั่งเป็นเบื้อใบ้อยู่ตรงนั้น
"กี่ร้อยเหรียญทอง"เธอคาดคั้นเขา เจ้าหมอยังคงนั่งนิ่งอยู่เหมือนเดิมหล่อนหันมาหานักรบก่อนจะถามเขาว่า
"เขาแพ้พนันคุณกี่ร้อยเหรียญทองคะ"นักรบจ้องหน้าเธอนิ่งก่อนจะตอบว่า
"สิ่งที่เขาใช้พนันกับผมคือตัวคุณ...ไม่ใช่เงิน...คุณเป็นของผมแล้ว"เมื่อพูดจบนักรบรู้สึกร้อนวูบขึ้นที่บริเวณกระเป๋าเสื้อของตัวเอง หญิงสาวอ้าปากค้างก่อนจะเอามือปิดปาก น้ำตาไหลอาบนองสองแก้ม
"พรุ่งนี้ไปหาผมที่นี่..."นักรบเขียนที่อยู่พร้อมล้วงแผ่นหนังออกมาจากกระเป๋าเสื้อส่งให้หญิงสาว ก่อนจะหันหลังเดินจากมา
ความคิดเห็น