ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สิงหล

    ลำดับตอนที่ #3 : เด็ดบาร์

    • อัปเดตล่าสุด 13 ต.ค. 56


                                                                             บทที่สาม:เด็ดบาร์

     

         เด็ดบาร์ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ นักรบ ต้องแวะเวียนเข้าไปเมื่อมีโอกาส  มันคือสถานเริงรมย์ที่ชาวสิงหลชอบเข้าไปหาความสำราญกันและมันเปิดให้บริการสำหรับชาวสิงหลเท่านั้น  ไม่มีพวกมนุษย์คนไหนสามารถเข้าไปในนั้นได้  และแน่นอนพวกเขามองออกว่าใครเป็นพวกเดียวกับเขาและใครไม่ใช่  ครั้งแรกที่เขาได้เข้าไปในนั้นก็เพราะบังโกพาเข้าไป นั่นมันเมื่อสามสิบปีมาแล้ว
        "ข่าวสารสำคัญบางอย่างไม่อาจหาได้ที่บ้านหรือในสื่อต่างๆ...แต่อยู่ในที่ที่มีผู้คนมานั่งสังสรรค์และพูดคุยกัน"บังโกบอกเขาหลังจากเดินผ่านยามร่างใหญ่สองคนที่ยืนเฝ้าอยู่หน้ารั้วกั้นอลูมิเนียม
        "อย่างเช่นอะไร..."เขาเอ่ยถาม
        "มิตร ศัตรู หรือเรื่องราวบางอย่างที่อาจจะมีผลกระทบต่อเรา"เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ทั้งเขาและบังโกก็เดินมาถึงประตูเหล็กขนาดมหึมาที่มีชายร่างใหญ่อีกสองคนยืนเฝ้าอยู่
        "วันนี้บังโกมาเองเลยหรือ"หนึ่งในสองคนเอ่ยทักบังโกพยักหน้าก่อนจะพูดว่า
        "ฉันพาองครักษ์ตัวน้อยๆของฉันมาเปิดหูเปิดตา...ต่อไปหากเห็นเขาเข้ามาคนเดียวก็เปิดประตูให้เขาเข้าไป..."
        "ครับ..." ยามเฝ้าประตูโค้งศีรษะให้ก่อนจะเปิดประตูให้พวกเขาเข้าไป  เหตุการณ์หลังจากนั้นเขาจำได้เพียงเรือนลาง มีการดื่มกินดูสาวเต้นรำบนฟลอและที่ขาดไม่ได้ในสถานที่แบบนี้ก็คือการทะเลาะวิวาท

        "มาอีกแล้วหรอเจ้าหนู" ยามเฝ้าประตูเอ่ยทัก เขาไม่เสียเวลาตอบโต้กับยามคนนั้นรีบก้าวผ่านประตูเข้ามาทันทีที่มันเปิดให้  ด้านในมีเสียงอึกทึกจากแผ่นเสียงที่เปิดเสียงดังเสียจนกลบเสียงพูดคุยและเสียงเอะอะโวยวายจากผู้คน

           เขาไม่เคยไปเที่ยวสถานเริงรมย์ของพวกมนุษย์ แต่เดาว่ามันคงไม่แตกต่างกันมากนักเสียง  ดนตรีกระหึ่ม แสงไฟกระพริบวิบวับ ควันบุหรี่ กลิ่นเหงื่อและเสียงคุยกันไม่ได้ศัพท์ เขามาที่นี่อาทิตย์ละครั้งหามุมเงียบๆนั่งและคอยเงี่ยหูฟังว่าใครพูดอะไรกันบ้าง  สิ่งที่เขาอยากได้ยินมากที่สุดจากผู้คนมากมายที่อยู่ที่นี่คือเรื่องราวของพวกกาลสูร

           บังโกเฝ้าสืบเสาะหาพวกมันมานานแล้วนับตั้งแต่เหตุการณ์ถูกลอบทำร้ายในครั้งนั้นซึ่งทำให้เขาเองเกือบตาย แต่เหมือนพวกมันจะล่องหนหายตัวไปจากสังคมของชาวสิงหล ไม่มีข่าวคราวของพวกมันไม่มีใครเอ่ยถึง ไม่มีแม้แต่คำด่าทอสาปแช่งจากใครสักคนที่เคยถูกพวกมันไล่เตะตูด

           ข่าวคราวบางครั้งก็มักจะมาในยามที่คาดไม่ถึงขึ้นอยู่กับว่าเราจะอดทนรอได้นานสักแค่ไหน

         นั่นคือคำพูดของบังโกเมื่อเขาบอกว่าไม่มีข่าวคราวของพวกกาลสูรจากเด็ดบาร์เลยและนั่นก็เปรียบเสมือนคำสั่งว่าให้เขาคอยติดตามต่อไปอย่าได้หยุด

          เรื่องราวระหว่างบังโกกับรัฐมนตรีขี้ฉ้อคนนั้นจบไปแล้ว เพียงยี่สิบปีต่อมาเขาก็หมดอำนาจวาสนาเมื่อคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริตตรวจพบรายการทุจริตครั้งมโหฬารของรัฐมนตรีหลายคน และเขาก็อยู่ในรายชื่อของรัฐมนตรีทุจริตเหล่านั้นเขาถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง เขาถูกอายัดทรัพย์รวมทั้งถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลายี่สิบปีในความผิดดังกล่าวแต่นั่นไม่เป็นปัญหาสำหรับบังโก

            เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเลือดบังโกก็ส่งมือสังหารเข้าไปเอาชีวิตเขาแถมด้วยดอกเบี้ยอีกหลายเท่าจากสัญญาเดิมที่ได้ทำเอาไว้  นักรบนึกภาพไม่ออกว่าอดีตรัฐมนตรีขี้ฉ้อคนนั้นจะได้รับความเจ็บปวดทรมานมากเท่าใดก่อนที่จะถูกมีดจองจำปักลงตรงกลางหน้าอก...ตรงกลางหัวใจพอดี มันคงเป็นความตายที่แสนจะทรมานที่สุดเท่าที่บังโกเคยส่งคนไปทวงหนี้มา

           ในส่วนตัวของนักรบเองเขาไม่เคยได้รับคำสั่งเป็นพิเศษว่าจะให้ความตายของลูกหนี้ที่เขาไปตามเก็บเป็นอย่างไร ดังนั้นเขาจึงใช้วิธีที่ทำให้ลูกหนี้เจ็บปวดน้อยที่สุด แค่แอบอยู่ด้านหลังและรอให้ลูกหนี้หันมา แล้วมีดจองจำก็จะถูกปักลงไปตรงกลางหัวใจพอดี ไม่ทันที่ลูกหนี้จะได้ร้องด้วยซ้ำ

         ทำกับเขาอย่างสุภาพฉันต้องการแค่วิญญาณของเขา ไม่จำเป็นต้องเอาความหวาดกลัวของเขามาเป็นของกำนัลให้ฉันยกเว้นฉันจะสั่ง  บังโกมักจะบอกมือสังหารแบบนี้เสมอ ยกเว้นรัฐมนตรีฉ้อฉลคนนั้น
         อย่างไรก็ตาม บังโกก็ยังมีอีกเรื่องที่จะต้องสะสางต่อ  ความช่วยเหลือจากพวกกาลสูรที่มีให้แก่รัฐมนตรีฉ้อฉลคนนั้นเป็นเรื่องที่บังโกจะต้องชำระสะสางให้จบ

           แม้มือสังหารจะพยายามคาดคั้นเจ้ารัฐมนตรีคนนั้นเท่าไหร่เขาก็ไม่สามารถให้ความกระจ่างได้ เขาบอกได้เพียงแค่ว่าเจอผู้ชายคนหนึ่งที่ยื่นเงื่อนไขที่จะช่วยกำจัดบังโกให้ขอแค่เพียงเขารับปากที่จะมอบของสิ่งหนึ่งให้แก่ผู้ชายคนนั้นซึ่งชายผู้นั้นก็ไม่ยอมบอกว่าของสิ่งนั้นคืออะไร ขอเพียงแค่รับปากเท่านั้นก็พอ  อย่างทีรู้กันดีว่าพวกมนุษย์ส่วนมากมักจะจำไม่ได้หรอกว่าตัวเองเคยรับปากอะไรกับใครไว้ หรือไม่พวกเขาก็จะแกล้งทำเป็นลืมๆไปเสียเมื่อถึงเวลาจริงๆ แล้วกาลสูรตนนั้นไปขออะไรแบบนั้นกับพวกมนุษย์ได้อย่างไร ยิ่งจากคนขี้ฉ้ออย่างรัฐมนตรีคนนั้นด้วยทางเดียวที่จะรู้ได้คือหาพวกมันให้เจอ...แล้วเค้นเอาความจริงจากพวกมัน
         "อะไรก็ตามที่มันจะขอจากรัฐมนตรีคนนั้นจะต้องมีความสำคัญมากๆไม่อย่างนั้นมันคงไม่กล้าลงมือโจมตีฉันแน่ๆ "บังโกให้ความเห็น
        เนื้อย่างก้อนกลมหนาขนาดเท่าฝ่ามือที่วางอยู่บนจานกระเบื้องสีขาวนวลพร้อมช้อนส้อมถูกนำมาวางลงตรงหน้าของนักรบ บริการสาวยิ้มให้เขาหน่อยหนึ่งก่อนจะเดินจากไป นี่คือเมนูอาหารเพียงอย่างเดียวตลอดเวลาสามสิบปีที่เขาเดินเข้าออกที่นี่ เขาไม่ชอบดื่มน้ำมึนเมาของพวกมนุษย์ มันทำให้เขาปวดหัวไปหลายวันทีเดียวดังนั้นเขาจึงไม่เคยสั่งมาดื่มเลยสักครั้งเดียว แต่เนื้อสเต็กย่างของผับแห่งนี้เขาไม่เคยพลาด
          เมื่อเขาเริ่มกินไปได้ไม่ถึงหนึ่งในสี่ของชิ้นเนื้อเงาร่างของใครบางคนก็ทาบลงบนไหล่ของเขา นักรบชะงักมือเล็กน้อยแต่ก็ไม่เสียเวลาเงยหน้าขึ้นไปมอง เขาจำกลิ่นนี้ได้
         "ได้ข่าวคืบหน้าอะไรบ้าง"นักรบเอ่ยถามในขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่มือทั้งสองข้างของตัวเองที่กำลังตัดเนื้อออกเป็นชิ้นๆ ร่างนั้นกระแทกนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้าม เจ้าของร่างเอามือเสยผมพลางทำหน้าเหมือนเหนื่อยหน่ายเหลือเกิน
        "ไม่มี"เขาบอกแค่เพียงสั้นๆ คราวนี้นักรบเงยหน้าขึ้นมองเขา ชายที่อยู่โต๊ะตรงข้ามเป็นชายร่างสูงแต่ผอมบาง ผิวของเขาค่อนข้างขาวแต่ดูสกปรกมอมแมมใบหน้าเรียวยาวแต่เต็มไปด้วยริ้วรอยขรุขระ

              เขาน่าจะไปเข้ารับการรักษาผิวหน้าของตัวเองกับสถานเสริมความงามของพวกมนุษย์บ้าง แต่ก่อนอื่นเขาต้องรักษากลิ่นตัวที่เหม็นหึ่งไปด้วยกลิ่นน้ำเมาของพวกมนุษย์เสียก่อนไม่อย่างนั้นหมอเจ้าของไข้คงเมาหัวทิ่มหัวตำจนไม่อาจจะหยิบจับเครื่องมือใดๆได้  เสื้อยีนส์สีน้ำเงินซีดที่เขาใส่อยู่บ่งบอกถึงตัวตนของเขาได้เป็นอย่างดี รอยปุขาดที่มีอยู่ทั้งตัวเหมือนชีวิตที่ผุพังของเขานั่นแหละ
        "ข้าไม่มีเงินแล้ว...เด็ดบาร์สูบไปจากข้าจนหมด"
        "พูดราวกับว่าเป็นความผิดของที่นี่...ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วนายแทบจะนอนเฝ้าที่นี่เลยด้วยซ้ำหากเจ้าของที่นี่อนุญาต"
        "ข้ามาทำงานให้ท่าน...เท่าที่จำได้...ท่านบอกให้ข้าคอยจับตาดูผู้คนที่เข้าๆออกๆที่นี่..."
         "แต่ฉันไม่ได้บอกให้นายมาเมาหยำเปที่นี่ด้วย"
         "ช่ายยยย"เขาลากเสียงยาวเอามือเสยผมก่อนจะโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย
         "แต่ท่านจะไม่มีทางได้รู้อะไรจากใครเลยถ้าท่านไม่ยอมทำตัวให้กลมกลืนกับพวกเขา"เขาจ้องหน้านักรบนิ่ง
        "ข้าต้องการเงิน...เจ้านาย" เขาบอกในที่สุด

            เจ้านาย  ไม่ใช่คำพูดยกยอปอปั้นสำหรับชายคนนี้ ที่เขาพูดแบบนั้นก็เพราะมันว่าเป็นแบบนั้นชายที่เห็นอยู่ตรงหน้าเขาคือเผ่าพันธุ์ ปอบอันต่ำต้อยสำหรับชาวสิงหลพวกมันเกิดมาเพื่อเป็นทาส ถูกซื้อขายและถูกใช้งานจากชาวสิงหลคนหนึ่งไปสู่ชาวสิงหลอีกคนหนึ่ง เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าพวกมันจะตายซึ่งก็กินเวลาหลายร้อยปีทีเดียว นักรบซื้อมันมาจากชาวสิงหลคนหนึ่งที่นำมันมาเร่ขายเพราะทนพฤติกรรมเมาหยำเปของมันไม่ได้
          "ครึ่งเหรียญเงินเท่านั้นเอง ถูกยิ่งกว่าซื้อผ้าขี้ริ้วของพวกอีกาซะอีก"ชายคนนั้นบอก แต่นักรบไม่ได้ใส่ใจ เขาแค่อยากซื้อผ้าขี้ริ้วของพวกอีกาไม่ได้ต้องการซื้อทาสขี้เมา แต่ในขณะที่เขากำลังจะส่งเหรียญเงินหนึ่งเหรียญให้พ่อค้าชาวอีกาเหรียญเงินเหรียญนั้นก็ร่วงหล่นจากมือของเขา ชายผู้เร่ขายทาสไม่รอช้าที่จะหยิบเหรียญเงินนั่นขึ้นมาใส่กระเป๋าตัวเอง
          "เป็นการซื้อขายที่ดีมากครั้งหนึ่งในชีวิตของเธอเลยว่ามั้ย"ชายคนนั้นพูดไปยิ้มไปก่อนจะผลักไหล่เจ้าทาสขี้เมามาหาเขา นักรบเดินกลับโดยไม่ยอมซื้อผ้าขี้ริ้ว และก็ไม่ยอมรับทาสที่เพิ่งจะถูกใครยัดเยียดให้ เขาปล่อยเจ้าทาสคนนั้นไว้ตรงนั้น หวังว่ามันจะไปหาเหล้ากินที่ไหนก็ได้ตามแต่มัน  อย่างน้อยๆมันก็เป็นอิสระไม่ต้องไปเป็นข้าทาสของใครอีกต่อไป เว้นเสียแต่มันจะไปติดค่าเหล้าของใครเข้าอีกแต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดเจ้าทาสขี้เมาติดตามเขาไปทุกที่และไม่ว่าเขาจะพยายามไล่อย่างไรมันก็ไม่ไป
          "ท่านซื้อข้ามาแล้วข้าต้องติดตามและคอยรับใช้ท่านจนกว่าข้าจะตายหรือท่านขายข้าให้กับคนอื่น"มันบอกเขา  ในที่สุดเขาเลยจำต้องรับมันมาเป็นทาสอย่างไม่เต็มใจนัก

            นักรบหยิบห่อผ้าสีดำแล้วโยนไปให้ เจ้าปอบรีบคว้าหมับและยัดถุงนั่นใส่กระเป๋าเสื้อยีนส์สีหน้าเริงร่าเหมือนหมาได้เศษอาหาร มันรีบลุกเดินจากไปทันทีโดยไม่กล่าวคำขอบคุณเขาแม้แต่น้อย ถึงตรงนี้นักรบชักไม่อยากกินเนื้อย่างส่วนที่เหลืออีกแล้ว เขาผลักจานสเต็กออกไปก่อนจะหยิบผ้าออกมาเช็ดปาก ในขณะนั้นเองก็มีชายผิวคล้ำร่างใหญ่คนหนึ่งนั่งลงบนเก้าอี้ที่เจ้าทาสปอบของเขาพึ่งจะเดินผละไป
         "ไม่ได้เจอกันนานเลยนะไอ้หนู"ชายผิวคล้ำเอ่ยทักนักรบโยนผ้าเช็ดปากลงบนโต๊ะก่อนจะพูดกับเพื่อนผู้มาใหม่โดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง
        "จำได้ว่าเมื่อครั้งเจอกันวันแรกเมื่อสามสิบปีที่แล้วนายยังเดินเกาะแขนแม่แจทำท่าเหมือนลูกวัวแรกเกิดที่มึนงงอยู่กับสภาพแวดล้อมใหม่ที่เพิ่งเคยเห็น"
        "นั่นก็อาจจะใช่..แต่ดูฉันตอนนี้สิ..ฉันเป็นหนุ่มเต็มตัว"เขากางแขนออกพลางมองสำรวจตัวเอง และเหมือนอย่างที่เขาพูด เขาเป็นหนุ่มเต็มตัว  กล้ามเนื้อเป็นมัดๆที่ซุกซ่อนอยู่ในเสื้อยืดสีดำของเขาเบียดเสียดจนล้นทะลักออกมาให้เห็นและในความคิดเห็นของนักรบ เขาเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาทีเดียวเทียบกับเมื่อสามสิบปีที่แล้วที่โรงเรียนแห่งชาวสิงหล โมกฆศาสตร์  จากเด็กตัวดำและผอมเก้งก้างกลายมาเป็นหนุ่มร่างบึ้กได้แบบนี้ก็นับว่าน่าอัศจรรย์

          “ตอนนี้ฉันเรียนอยู่มหาลัยเกษตร อยู่ปีสองแล้ว มีพวกที่จบมาจากโมกฆศาสตร์รุ่นเดียวกันกับพวกเราหลายคนเรียนอยู่ที่นั่น บางคนก็อยู่ปีสี่แล้ว แต่ใครจะไปสน เพราะเมื่อจบแล้วพวกมันก็ต้องกลับมาเรียนใหม่ และมาเป็นรุ่นน้องฉันอยู่ดี แต่พูดก็พูดเถอะ ฉันล่ะชอบชีวิตในมหาลัยจริงๆ มีสาวๆสวยๆอยู่เต็มไปหมด และฉันก็ไม่ต้องกังวลว่าจะทำพวกหล่อนท้องด้วย ก็อย่างที่นายรู้...พวกเราให้กำเนิดทารกกับพวกมนุษย์ไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นฉันจึงสุขบรมเลยขอบอก” พูดจบมันก็ยิ้มเยาะเขา
          "แต่ดูนายสิ...เกิดอะไรขึ้นกับนายนักรบผู้เงียบขรึมและเย่อหยิ่ง...นายยังเป็นเด็กอยู่เหมือนเมื่อสามสิบปีที่แล้วไม่เปลี่ยนแปลงฮ่าๆๆๆๆๆๆ...ต้องติดแหงกอยู่กับพวกนักเรียนมอปลายต่อไป ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ"เจ้าหนุ่มร่างบึ้กหัวเราะอย่างสะใจ
           "ตระกูลฉันอาจจะมีอายุที่ยาวนานกว่าตระกูลอื่นหรือเผ่าพันธุ์อื่นๆในบรรดาชาวสิงหลด้วยกันซึ่งสักวันฉันก็คงจะรู้" เขาบอก ตอนนี้เจ้าหนุ่มนั่นหยุดหัวเราะไปแล้วมันเลิกคิ้วอย่างสงสัย
           "จนป่านนี้แล้วนายยังหาต้นตระกูลของตัวเองไม่เจออีกเหรอ"นักรบไม่พูด เขายกแก้วน้ำขึ้นจิบแทนคำตอบ

              เมื่อสามสิบปีที่แล้วเขาถูกบรรดาเพื่อนๆร่วมชั้นคอยถากถางเรื่องต้นตระกูลของเขาและสิบคนจากนักเรียนทั้งชั้นถูกเขาต่อยคว่ำ เจ้าหนุ่มร่างบึ้กที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้  ตอนนั้นยืนหน้าซีดปากสั่นเมื่อเขามองสบตาหลังจากที่คว่ำเด็กนักเรียนพวกนั้นหมดทุกคนแล้ว

            แต่วันนี้นักรบไม่แน่ใจว่าจะสามารถคว่ำชายคนนี้ได้หรือเปล่า เวลามันได้เปลี่ยนแปลงรูปร่างและจิตใจของบรรดาเพื่อนร่วมชั้นในอดีตไปหมดแล้วรวมทั้งเจ้าหมอนี่ด้วย การเวก นั่นคือชื่อของเจ้าหมอนี่
         "นายจำยัยกิ่งกาญได้ไหม..."เจ้าหนุ่มร่างบึ้กเอ่ยถาม เขาไม่ตอบ แต่ภาพของเด็กผู้หญิงที่มีสิวเขรอะเต็มหน้าและท่าทางขี้อายผุดขึ้นมาในสมองแทน ใครจะไปนึกว่าเด็กผู้หญิงขี้อายคนนั้นจะกล้าปีนหอพักชายขึ้นมาหาเขา ร่างกระจ้อยร้อยที่ลอยละลิ่วลงจากหน้าต่างหอพักที่ต่อมากลายร่างเป็นยักษ์สีดำตัวขนาดเท่าช้างกระแทกพื้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เขายังจำได้ติดตาไม่เคยลืมและมันกลายเป็นหัวข้อข่าวชวนหัวของพวกเพื่อนๆไปอีกหลายอาทิตย์

            การเวกทำสีหน้ากลุ้มกริ่มก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางเอี้ยวตัวไปมองหญิงสาวเท้าไฟที่วาดลวดลายอยู่กลางฟลอสาวผมดำยาวสลวย รูปร่างอ้อนแอ้นและมีใบหน้าชวนฝันเธอกำลังโยกย้ายส่ายสะโพกในท่าที่ทำให้ผู้ชายหลายคนนึกถึงเตียงนุ่มๆที่มีเธอนอนเปลือยกายอยู่ข้างๆ
         "นั่นเธอล่ะ...ฮ่าๆๆๆๆๆ...สวยเช้งไปเลยนายว่ามั้ย...ตอนนี้หล่อนเรียนอยู่ที่มหาลัยกรุงเทพ ได้ข่าวว่าเป็นดาวมหาลัยที่นั่นด้วย ฉันแทบจะไม่อยากเชื่อว่านั่นคือหล่อนจริงๆ"
         "ฉันไม่สน" นักรบบอก สีหน้ายังคงเฉยชา เรื่องผู้หญิงไม่เคยอยู่ในความคิดของเขาผิดกับการเวกที่มีแววเจ้าชู้มาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วเขาป้อผู้หญิงแทบจะทุกคนที่เขาพบ ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์สาวยกเว้นกิ่งกาญในคราบของเด็กสาวขี้เหร่ในตอนนั้นแต่ตอนนี้การเวกดูเหมือนพร้อมที่จะทบทวนเรื่องนี้ใหม่อีกครั้ง
          "มีสถานที่เปิดใหม่อยู่แห่งหนึ่ง นายสนใจจะเข้าไปดูหรือเปล่า"ชายร่างบึ้กเปลี่ยนเรื่องคุยเขาคงจะรู้ดีว่าการพยายามชวนนักรบคุยเรื่องสาวๆก็คงไม่ต่างอะไรกับการนั่งคุยกับตอไม้
          "สถานที่แบบไหน"นักรบถาม
        "เวทีต่อสู้ แบบที่เอาให้อีกฝ่ายล้มลงและไม่ลุกขึ้นมาอีก"
        "ฟังดูน่าสนใจ" นักรบบอกและเขาก็คิดแบบนั้นจริงๆ
        "แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่าไม่ใช่ว่าใครก็เข้าไปในนั้นได้...ต้องเป็นชาวสิงหลระดับสามขึ้นไปหรือไม่ก็มีบัตรตัวแทนจากชาวสิงหลระดับเจ็ดขึ้นไป อย่างบังโกเป็นต้น"  มันบอกสายตาเหมือนรอความหวังจากใครสักคน
         "แล้วนายรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร"
         "นายจำไอ้เวรอัครเดชได้มั้ย"นักรบพยักหน้าแทนคำตอบ เขาจะลืมคู่อริตัวฉกาจของเขาลงได้อย่างไรลูกชายขี้กร่างของท่านประธานผู้พิทักษ์กฎแห่งสิงหล  นายอัครเดชคือนักเรียนคนแรกในจำนวนสิบคนที่เขาต่อยจนล้มคว่ำตอนที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนโมกฆศาสตร์
          "มันใหญ่โตน่าดูเชียวล่ะตอนนี้...และทำตัวอย่างกับมันเป็นประธานผู้พิทักษ์กฎซะเอง...วันก่อนมันมาที่นี่และเที่ยวคุยโวโอ้อวดให้ใครต่อใครฟัง"นักรบนึกภาพออกทันทีมันเป็นภาพของไอ้หนุ่มขี้เก๊กที่เดินอาดๆไปโต๊ะโน้นโต๊ะนี้เพื่อเล่าให้บรรดาเพื่อนผู้ต่ำต้อยฟังว่าเขาไปทำอะไรที่ไหนและแวดล้อมไปด้วยพวกใหญ่ๆโตๆแค่ไหน
           "แม้จะรู้สึกหมั่นไส้มันแค่ไหนแต่ฉันก็อยากลองเข้าไปในนั้นดูสักครั้งว่ะเพื่อน"เพื่อนร่างบึ้กสารภาพพลางพ่นลมออกมาฟู่ใหญ่
           "เห็นช้างขี้อย่าขี้ตามช้าง...สำนวนของพวกมนุษย์"นักรบบอก หนุ่มร่างบึ้กหัวเราะออกมาอย่างคนอารมณ์ดีแม้จะพูดออกไปแบบนั้นแต่นักรบก็อยากจะลองเข้าไปดูสักครั้งเหมือนกัน  เขาไม่ได้ต้องการเข้าไปดูพวกคนใหญ่ๆโตๆอย่างที่นายอัครเดชทำ  เขาแค่อยากเข้าไปดูนักต่อสู้อาจจะมีพวกกาลสูรสักตัวคันไม้คันมือนึกอยากออกกำลังขึ้นมาบ้างก็ได้ ใครจะรู้
           "สถานที่ที่ว่านั้นอยู่ที่ไหน"นักรบเอ่ยถามแกล้งทำท่าเหมือนไม่ค่อยใส่ใจนัก
           "ห่างออกไปยี่สิบกิโลเมตรใกล้ๆกับสุสานไท่จวง"หนุ่มร่างบึ้กบอกสีหน้ามีแววสงสัย
           "นายจะไปที่นั่นเหรอ..."
           "เปล่า...ฉันแค่ถามดูจะได้ไม่หลงเดินไปทางนั้น  ฉันไม่อยากถูกพวกยามของที่นั่นรวบหัวรวบหางแล้วจับโยนขึ้นไปบนเวทีเพราะหานักต่อสู้ไม่ทัน"คราวนี้เจ้าหนุ่มร่างบึ้กถึงกับปล่อยก้ากออกมา
           "ฉันนึกภาพไม่ออกเลยว่านายจะกลายเป็นตัวอะไรเมื่อถึงเวลาคับขัน"เจ้าหนุ่มร่างบึ้กพูดพลางกลั้วหัวเราะ ใช่...นักรบเองก็อยากรู้เหมือนกัน เพราะเขาไม่เคยกลายร่างได้เลยไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ตาม  ปกติเด็กๆชาวสิงหลจะกลายร่างเมื่อตกอยู่สภาวะตกใจกลัวสุดขีด แต่เขาไม่เคยมีเหตุให้ตกใจกลัวเลยสักครั้ง นั่นมันไม่ค่อยดีเลยสำหรับเขา เขาอยากรู้ใจจะขาดว่าตัวเองคือตัวอะไรกันแน่ อยากรู้ยิ่งกว่าใครๆทั้งหมด

               เมื่อจัดการชำระค่าอาหารเสร็จเขาก็เดินออกมาจากเด็ดบาร์  ปล่อยให้เพื่อนรูปหล่อของเขานั่งส่งสายตากระลิ้มกระเหลี่ยให้สาวๆที่เดินผ่านไปมาตามลำพัง  เมื่อเดินออกมาถึงหน้าถนนเขาก็ส่งสารไปถึงบังโกทันที
    -มีสถานที่เที่ยวแห่งใหม่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ผมอยากจะลองเข้าไปในนั้นดูเผื่อจะได้ข่าวคราวของพวกกาลสูรบ้าง
    -แล้วมาบอกฉันทำไม
    -พลเมืองชั้นสามขึ้นไปเท่านั้นที่จะเข้าไปในนั้นได้หรือไม่ก็ต้องมีบัตรตัวแทนของชนชั้นเจ็ดขึ้นไป ผมต้องการใบเบิกทาง
    -รออยู่ที่นั่นฉันจะให้เจ้าปากแหลมเอาไปให้ 

         นักรบลืมตาขึ้น และยืนรออยู่ตรงนั้นครู่ต่อมาเขาก็ได้ยินเสียง แควกๆ ของสัตว์มีปีกชนิดหนึ่งดังขึ้นและแผ่นโลหะสี่เหลี่ยมขนาดเท่าฝ่ามือสีทองสะท้อนแสงวาววับก็ร่วงลงมาแทบเท้าของเขา เขาหยิบมันขึ้นมาพร้อมกับเสียงร้องของเจ้าสัตว์ปีกที่ลอยห่างออกไป ตรงกลางแผ่นโลหะมีสัญลักษณ์โล่อันเป็นตราประจำตัวของบังโกนักรบยัดแผ่นโลหะเข้าไปในกระเป๋าเสื้อด้านในก่อนจะก้าวช้าๆอย่างมั่นคงไปยังทิศทางของสุสาน
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×