คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ไดอารี่ย้อนหลัง
18 สิงหาคม 2555
วันนี้เป็นวันหยุด ปกติบริษัทที่ฉันทำงานอยู่นั้นจะมีวันหยุดทุกเสาร์อาทิตย์ ยกเว้นในบางอาทิตย์ที่จะต้องไปทำงานในวันเสาร์ แต่ก็ไม่บ่อยนัก ในรอบปฏิทินของบริษัทจะมีแค่สี่หรือห้าวันเท่านั้นในหนึ่งปี
เมื่อฉันตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็พบว่าอาการของยัยหนูนาดีขึ้นมากแล้ว หลังจากอาบน้ำปะแป้งให้ลูกสาวตัวดีเสร็จฉันก็ป้อนข้าวเขาด้วยแกงจืดที่ฉันลงมือทำเองกับมือ เมื่อกินอิ่มเจ้าตัวดีก็หลับปุ๋ยไปเลย ฉันค่อนข้างโชคดีที่ยัยหนูเป็นเด็กที่ไม่ค่อยงอแง แกเลี้ยงง่ายและไม่ค่อยดื้อค่อยซน ผิดกับลูกพี่หมอนที่ทั้งดื้อทั้งซนแถมยังร้องไห้เก่งอีกต่างหาก ถ้าลูกสาวของฉันเป็นอย่างลูกพี่หมอนฉันคงปวดประสาทแย่
หลังจากซักผ้าล้างจานและทำความสะอาดห้องเรียบร้อยแล้วฉันก็จัดการเปิดโน้ตบุ๊ก ฉันคิดไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าฉันควรจะหาอะไรทำในช่วงวันหยุดหรือหลังเลิกงาน ฉันเคยเขียนไดอารี่ไว้ในสมุดเล่มเล็กๆสมัยที่ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย แต่มันก็กระท่อนแท่นเหลือเกิน ไม่ประติดประต่อ เขียนข้ามวันข้ามอาทิตย์ บางครั้งถึงกับข้ามเดือนไปเลยก็มี ครั้งนี้ฉันเลยตั้งใจจะเขียนมันอย่างจริงๆจังๆสักหน่อย เผื่อเวลาที่อยู่เหงาๆคนเดียวจะได้เปิดอ่าน
ฉันนั่งจดๆจ้องๆอยู่หน้าจอโน้ตบุ๊กอยู่นาน คิดไม่ออกว่าจะเริ่มต้นอย่างไร และจะเริ่มเขียนจากวันไหน ในที่สุดฉันก็เลือกที่จะเริ่มต้นเขียนในวันครบรอบสองปีที่วสันต์จากไป วันที่ 13 สิงหาคม นั่นคือห้าวันย้อนหลัง
มันดูขลุกขลักในช่วงแรกเพราะกว่าที่ฉันจะนึกคำพูดแต่ละคำออกมาได้ช่างแสนยากเย็น แต่หลังจากผ่านไปสองสามประโยคเรื่องราวของฉันก็พร่างพรูออกมาราวกับสายน้ำ ฉันเขียนไปร้องไห้ไปเมื่อคิดถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับฉันในวันนั้น วันที่ 13 สิงหาคม เมื่อสองปีที่แล้ว ฉันเขียนข้ามวันที่ 14 สิงหาคม เพราะคิดไม่ออกว่าจะเขียนอะไรในวันนั้น มันเป็นวันอังคารที่ยุ่งเหยิงและน่าปวดหัวจนฉันนึกไม่ออกว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในวันนั้น ความทรงจำเริ่มกลับมาชัดเจนอีกครั้งในวันที่ 15 วันที่ฉันได้รู้จักกับนักเล่านิทานวันแรก ฉันอดแปลกใจไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงจดจำวันนั้นได้แม่นนัก คงจะเป็นเพราะฉันได้คัดลอกข้อความที่ฉันคุยกับเขาเอาไว้ในโน้ตบุ๊ก ฉันใช้เวลาเกือบทั้งวันเพื่อเขียนไดอารี่ย้อนหลัง วันนี้ทั้งวันยัยหนูนาเอาแต่นอนเสียเป็นส่วนใหญ่ ฉันต้องเป็นคนปลุกแกขึ้นมาป้อนข้าวกลางวันและข้าวเย็น เมื่อกินเสร็จแกก็หลับปุ๋ยอย่างสบายใจ นั่นคงเป็นเพราะลูกสาวคนสวยของฉันยังเพลียจากพิษไข้ที่เล่นงานแกเมื่อวันก่อน แต่อย่างไรก็ตาม ฉันก็ยังนึกขอบคุณลูกสาวคนดีของฉันที่แกไม่ดื้อไม่งอแงเลย
กว่าที่ไดอารี่วันสุดท้ายซึ่งก็คือเมื่อวานนี้จะจบลง เวลาก็ล่วงเลยมาถึงสองทุ่มแล้ว ฉันวางมือจากการเขียนแล้วรีบอาบน้ำแต่งตัวเตรียมจะเข้านอนกับลูกสาว ทันใดนั้นเองฉันก็ได้ยินเสียงทักที่คุ้นเคยดังขึ้น ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู มีรูปของนักเล่านิทานโผล่ขึ้นมาบนหน้าจอ ฉันเผลอยิ้มให้กับตัวเอง ฉันเองยังรู้สึกแปลกใจตัวเองไม่หายว่าทำไมถึงยิ้มเมื่อรู้ว่าคนที่ทักมาคือนักเล่านิทานคนนั้น
:สวัสดีครับ
:ค่ะ...สวัสดีคะ
:ได้เวลาฟังนิทานก่อนนอนแล้วนะครับ
ฉันยิ้มปากแทบฉีกเมื่อได้อ่านข้อความของเขา เขาเป็นคนรักษาคำพูดจริงๆ นี่เป็นวันที่สามแล้วที่เขาบอกว่าจะเล่านิทานก่อนนอนให้ฉันฟัง แต่แล้วฉับพลันฉันก็นึกสงสัยว่า...คนอย่างเขานี่น่ะเหรอจะไม่มีแฟน ไม่น่าเป็นไปได้ เขาคงจะโกหกฉันมากกว่า พอคิดถึงตรงนี้ฉันก็รู้สึกใจหวิวๆอย่างไรไม่รู้ บ้าแล้วยัยหวาน แกห้ามคิดอะไรทั้งนั้น เขาก็แค่ผู้ชายกะล่อนคนหนึ่งเท่านั้น แกคิดหรือว่าเรื่องที่เขาเล่าให้แกฟัง จะมีแกคนเดียวเท่านั้นที่ได้ฟัง เขาอาจจะเล่าให้ผู้หญิงเป็นโหลฟังก่อนหน้าแกเป็นปีๆมาแล้วก็ได้...แกห้ามคิดอะไรนอกลู่นอกทาง เสียงค้านที่เกิดขึ้นภายในส่วนลึกของจิตใจย้ำเตือน
:คุณเล่านิทานพวกนี้ให้สาวๆทุกคนฟังหรือเปล่าคะ
:ขอสารภาพว่าคุณหวานคือคนแรก...และจะเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้น
:จริงเหรอคะ
:จริงครับ....ถ้าคุณหวานไม่เชื่อ...พี่ให้สัญญาก็ได้
ฉันควรจะเชื่อเขาดีหรือเปล่านะ แต่จริงๆแล้วฉันจะต้องไปคิดอะไร ในเมื่อฉันก็ได้บอกกับเขาไปแล้วว่ามีลูกและสามีแล้ว เรานี่ท่าจะบ้า ฉันบอกตัวเอง
:ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกคะ...ฉันแค่ถามดูเฉยๆ...จะเริ่มเล่าได้หรือยังคะ
:ครับ...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว55555555
:ค่ะ...ไต้เติ้ล5555555
:ครับ55555555...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กชายตัวดำหุ่นขี้ก้างคนหนึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่แสนกันดารและห่างไกลความเจริญ...ซึ่งก็คือพี่นั่นเอง5555555
:ค่ะ...อิอิ
:ในสมัยนั้น ในหมู่บ้านที่แสนกันดารและห่างไกลความเจริญแบบนั้น เงินทองเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง ไม่มีตลาดสำหรับการจับจ่ายซื้อหาอาหารมาทำกินอย่างทุกวันนี้ เพราะไม่มีใครมีเงิน การทำนาก็เพียงแค่หวังให้มีข้าวไว้สำหรับกินกันทั้งปีเท่านั้น ส่วนการทำไร่ก็หวังเพียงแค่จะได้มีเงินจากการขายพืชไร่มาไว้จับจ่ายใช้สอยเล็กๆน้อยๆเท่านั้น เพราะราคาพืชไร่ในสมัยก่อน ราคาถูกมาก ไม่มีใครหวังรวยจากการปลูกพืชไร่หรอก
:อ๋อคะ....
:เมื่อไม่มีเงินก็ไม่มีตลาด เมื่อไม่มีตลาด ทุกครอบครัวก็ต้องหาอาหารด้วยตัวเอง อาหารที่หาได้ก็ได้มาจากท้องไร่ท้องนาและตามห้วยหนองคลองบึง ไม่ว่าจะเป็นกบเขียดปูปลาหนูนาหรือแม้กระทั่งกิ้งก่าหรือว่าจิ้งหรีด ถ้าสามารถหามาได้ก็มันก็จะกลายเป็นอาหารขึ้นเหลาสำหรับครอบครัวนั้นทันที แต่ส่วนใหญ่อาหารหลักของคนในหมูบ้านก็คือน้ำพริกปลาร้ากับผักต้ม ดังนั้นค่านิยมในสมัยนั้นก็คือ หากลูกชายบ้านไหนสามารถหาอาหารพวกนี้ได้เก่งก็จะถูกยกย่องนับถือจากผู้หลักผู้ใหญ่ในหมู่บ้านว่าเป็น 'คนหากินเก่ง' และคนๆนั้นก็จะถูกจับจองไว้เป็นลูกเขยของบ้านใดบ้านหนึ่ง น่าเสียดาย พี่ไม่มีคุณสมบัติที่ว่านั้นเอาเสียเลย5555555
:อ้าว...ทำไมล่ะคะ
:ก็เพราะพี่ไม่เคยหาอาหารเหล่านั้นได้เลย ไปใส่เบ็ดกับเพื่อนก็ไม่เคยได้ปลา...มีแต่เบ็ดที่หายไปกับสายน้ำ เอาเบ็ดใส่เหยื่อไปปักไว้ที่ไว้หนองน้ำแทนที่จะได้ปลามาบ้างไม่มีล่ะ มีแต่เบ็ดหาย แม่อุตส่าห์เหลาไม้ไผ่ทำเบ็ดเป็นวันๆ ซื้อตะขอเบ็ดหมดเงินไปตั้งหลายบาท ทำเบ็ดให้พี่หนึ่งร้อยคัน พี่เอาไปปักไว้ตามลำห้วยกับเพื่อนๆ พอรุ่งสางไปเก็บเบ็ดที่ปักไว้เหลือเบ็ดกลับบ้านยี่สิบคัน55555555
:55555555...แล้วแม่ไม่ด่าพี่แย่หรอ
:ไม่จร้า...แม่พี่เป็นคนไม่ชอบด่า...ถ้าไม่ชอบใจขึ้นมาแกตีอย่างเดียว5555555555..ไม่ต้องพูดหรือมีคำอธิบายให้วุ่นวาย55555555
:55555555...พี่ก็...ไปว่าแก55555555
:5555555...วันนั้นหลังจากที่แกตีพี่จนหนำใจแล้วแกก็พูดกับพี่ว่า...หากินไม่เป็นอย่างมึงจะเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียยังไงไหว5555555
:พี่เลยตอบแกไปว่า...ก็ให้ลูกให้เมียหาให้กินซะก็สิ้นเรื่อง55555555
:5555555...พี่คิดได้ไงอะ55555555
:พี่พูดโดยไม่คิดด้วยซ้ำในตอนนั้น...พี่เพียงแค่อยากจะพูดประชดแม่ที่มองพี่เป็นคนไม่เอาไหน...ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆก็เถอะ55555555
:555555...จร้า...แล้วยังไงต่อ
:ด้วยความหยิ่งในศักดิ์ศรีพี่จึงอยากจะพิสูจน์ให้แกเห็นว่าจริงๆแล้วพี่มีความสามารถมากกว่าที่แกคิด และแล้ววันนั้นหนึ่งในขณะที่พี่เดินน้อยใจแม่ออกมาจากบ้าน พี่ก็มองเห็นทิดมีหิ้วนกพวงใหญ่ผ่านหน้าพี่ไป พี่คิดได้ทันทีว่าจะไปฝึกปรือวิทยายุทธการหากินได้ที่ไหน พี่เดินตามทิดมีจนถึงบ้านของแกแล้วก็คุกเข่าขอเป็นศิษย์แกทันที5555555
:พี่พูดขอร้องให้แกรับพี่เป็นศิษย์ด้วยเถอะ...เพราะในยุทธ์ภพนี้คงไม่มีใครมีฝีมือในการจับนกเท่าแกอีกแล้ว5555555
:แกมองพี่อย่างฉงนฉงายก่อนจะยิ้มพลายพร้อมบอกพี่ว่า..."ได้..ข้าจะรับเจ้าไว้เป็นศิษย์...ข้าจะถ่ายทอดวิทยายุทธการดักนกให้กับเจ้า...เพื่อต่อไปในวันข้างหน้าเจ้าจะได้สืบทอดเคล็ดวิชาดัชนีพิฆาตหงส์อันลือลั่นของข้าต่อไป...วะฮ่าๆๆๆๆๆๆ" 5555555
:55555555...พูดเหมือนปารมาจารย์ในหนังจีนกำลังภายในเลยพี่5555555
:555555....ไม่อยากบอกเลยว่าทิดมีก็บ้าหนังจีนกำลังภายในเหมือนกัน...ในช่วงนั้น...หนังจีนกำลังภายในเรื่อง...จอมยุทธ์ เฮ้งบ่อจี้ กำลังออกอากาศทางช่องห้าทุกคืนวันเสาร์และอาทิตย์555555555
:55555555...จร้า...แล้วไงต่อจ้ะ
:หลังจากที่แกรับพี่เป็นศิษย์ในเย็นวันนั้น...เช้าวันต่อมาแกก็พาพี่ไปฝึกวิชาด้วย ในช่วงหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวออกจากนาใหม่ๆ...จะมีเมล็ดขาวบางเมล็ดหรือรวงข้าวบางรวงร่วงหล่นอยู่ตามท้องนา ในช่วงนี้เองที่บรรดาพวกนกคุ่ม(ตามภาษาคนบ้านนอกที่ใช้เรียกพวกมัน) จะออกมาหาเก็บกินเมล็ดข้าวพวกนี้...และพวกมันคือเป้าหมายของทิดมี ทิดมีพาพี่เดินลงไปยังทุ่งนาแห่งหนึ่ง แล้วเริ่มสอนวิธีการวางแร้วดักนกให้พี่ ผ่านไปหลายนาทีจนกระทั่งแกไปเจอที่เหมาะๆแห่งหนึ่ง แกบอกพี่ว่า
"ที่แบบนี้แหละที่พวกนกคุ่มชอบมา"
"เพราะอะไรเหรอ" พี่ถามแก แกยิ้มพลายก่อนจะบอกพี่ว่า
"เพราะมีร่องรอยทางเดินเก่าที่พวกมันทำไว้...มึงเห็นร่องเล็กๆนั่นไหม" แกพูดพลางชี้นิ้วให้ดู เมื่อพี่มองตามก็เห็นอย่างที่แกว่าจริงๆ แกพูดต่อว่า
"เดี๋ยวกูจะดักแร้วไว้ตรงนี้" ว่าแล้วแกเอาแร้วไปดักตรงร่องทางเดินเล็กๆนั้น จากนั้นแกก็เดินกลับมาหาพี่พร้อมกับพูดว่า
"เดียวมึงหาที่หลบหลังกอข้าวฝั่งนี้นะ...ส่วนกูจะไปหาที่หลบหลังกอข้าวฝั่งโน้น" แกบอก พี่เลยถามแกอย่างไม่มั่นใจว่า "พวกนกมันจะมาจริงๆเหรอ" แกตอบอย่างมั่นใจว่า..."มาสิ...พวกมันมาแน่ๆ...แต่ในขณะที่มึงนั่งรอให้มันเดินไปติดแร้ว...ห้ามส่งเสียงหรือโผล่ออกมาจากที่ซ่อนเป็นอันขาด " เมื่อแกพูดจบ พี่ก็พยักหน้าอย่างไม่เข้าใจ55555555
:มันเป็นยังไงหรออาการที่ว่าพยักหน้าอย่างไม่เข้าใจน่ะ5555555
:555555ก็คืออาการพยักหน้าไปงั้นๆ...แต่จะทำตามหรือเปล่าก็เป็นอีกเรื่อง5555555
:จร้า...ต่อๆๆๆๆๆๆๆ
:เมื่อทิดมีกำชับพี่เรียบร้อยแล้วแกก็ถือมีดปลายแหลมเดินไปหลบอยู่หลังกอข้าวในฝั่งตรงข้ามกับพี่ เมื่อแกเดินเข้าไปนั่งหลบเรียบร้อยแล้วแกก็ยกมีดปลายแหลมขึ้นมาทำท่าจุ๊ปากเพื่อเป็นสัญลักษณ์บอกให้พี่อยู่นิ่งๆห้ามกระดุกกระดิก พี่พยักหน้าอย่างไม่เข้าใจอีกครั้ง555555555
:อ๋อคะ...55555555...แล้วยังไงต่อคะ
:ทิดมีคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ...แกมีวิทยายุทธ์ล้ำเลิศจริงๆพี่ขอยอมรับ เพียงในระยะเวลาต่อมาไม่นานก็มีนกคุ่มตัวหนึ่งเดินมาที่บริเวณนั้นจริงๆ...ใจพี่เต้นไม่เป็นจังหวะ...พี่รู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างบอกไม่ถูก...สายตาพี่จับจ้องไปที่นกตัวนั้น...แต่ในสมองของพี่มันจินตนาการณ์ไปไกลถึงไหนต่อไหนแล้ว...พี่มองเห็นภาพแม่พี่ยิ้มอย่างมีความสุขและพูดเยินยอพี่ไม่ขาดปาก จากนั้นก็มองเห็นภาพของผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านทยอยกันมาที่บ้านของพี่และพูดว่ากับแม่ว่าอยากขอหมั้นหมายพี่ให้กับลูกสาวคนโน้นคนนี้ 55555555
:5555555...ฝันไปไกลขนาดนั้นเลย5555555
:จร้า55555555....ด้วยความตื่นเต้นที่ว่าทำให้พี่ผุดลุกผุดนั่งอยู่ในที่ซ่อนของตัวเอง...ใจก็อยากจะกระโดดออกจากที่ซ่อนไปตะคลุบเจ้านกตัวนั้นเสียให้รู้แล้วรู้รอด ทิดมียกมีดปลายแหลมขึ้นป้องปากพลางทำท่าร้องจุ๊...สายตาแกดูเหมือนจะขัดเคืองในอาการลุกลี้ลุกลนของพี่มาก แกทำตาดุใส่พี่อย่างจริงจังจนพี่จำต้องนั่งนิ่งๆต่อไป พี่ต้องใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างสูงเพื่อพยายามทำให้ตัวเองอยู่นิ่งๆให้ได้ นกตัวนั้นเดินมาตามร่องทางเดินของมันอย่างระมัดระวัง...มันเดินใกล้พี่เข้ามาเรื่อยและก็ใกล้เข้ามาเรื่อย พี่มองเห็นเห็นทิดมีเอามีดป้องปากพลางส่งสายตาจ้องเขม็งมาที่พี่...ความหมายที่สื่อออกมาคือ...เงียบๆเข้าไว้ไอ้เด็กเวร...อย่าส่งเสียงดัง...แต่เจ้านกนั้นเดินเข้ามาใกล้พี่เหลือเกิน ใกล้จนถึงขนาดที่พี่คิดว่าตัวเองสามารถจะเอื้อมมือไปคว้าเอามันมาได้อย่างง่ายดาย...เร็วเท่าความคิด...พี่ลุกจากที่ซ่อนและพร้อมที่จะกระโจนใส่นกตัวนั้น...พี่ได้ยินเสียงทิดมีร้องออกมาสุดเสียงว่า....อย่า!!!!!!
:แกลืมนึกไปว่าตัวเองนั่งอยู่ในท่าเอามีดแนบปากและที่สำคัญ แกดันหันคมมีดเข้าหาปากตัวเอง...และในทันทีที่แกเผยอปากร้อง คมมีดปลายแหลมก็แยกริมฝีปากของแกออกเป็นสองซีก
:ว้าย...น่ากลัวอะ
:จร้า...แกกลายเป็นคนปากแหว่งมาตั้งแต่วันนั้น...แกคงคิดอยากจะฆ่าพี่ให้ตายในวันนั้น แต่แกก็ทำอะไรไม้ได้...เพราะตอนนั้นพี่เป็นเพียงแค่เด็กอายุแปดขวบ หลังจากวันนั้นแกก็สาบานว่าจะไม่ขอคบหาสมาคมกับทุกคนในตระกูลพี่55555555
:55555555โชคยังดีที่ตอนนั้นพี่อายุแค่แปดขวบ...ถ้าอายุมากกว่านี้เขาคงฆ่าพี่ตายแน่ๆ555555
:แกคงฆ่าล้างตระกูลเลยแหละพี่ว่า555555555
:55555555คงจะอย่างนั้น555555
:นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...จงอย่ารับเด็กอายุแปดขวบไว้เป็นลูกศิษย์...โดยเฉพาะเด็กอายุแปดขวบอย่างพี่....เพราะมันอาจทำให้ผู้เป็นอาจารย์กลายเป็นคนปากแหว่งได้5555555555
:555555555จริงๆด้วย5555555555
:5555555...คร้าบบบบบ....สนุกมั้ยครับเรื่องนี้
:สนุกมากคะ...ขอบคุณนะคะ
:คร้าบ....ดึกแล้ววันนี้...คุณหวานนอนเถอะนะครับ...ฝันดีครับ
:คะ...ฝันดีคะ
หลังจากนั้นสัญญาณออนไลน์ของเขาก็ขาดหายไป ฉันกลับขึ้นไปอ่านข้อความที่คุยกับเขาอีกรอบ นั่งอมยิ้มกับตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มลงมือเขียนไดอารี่สำหรับวันนี้
ความคิดเห็น