ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สิงหล

    ลำดับตอนที่ #2 : คณะดนตรีคนตาบอด

    • อัปเดตล่าสุด 12 ต.ค. 56


                                                 บทที่สอง:คณะดนตรีคนตาบอด

          เสียงดนตรีไทยเพลง ลาวดวงเดือนดังไม่เป็นจังหวะอย่างที่ครูผู้ฝึกสอนอยากให้เป็น  เสียงระนาดยังคร่อมจังหวะกับเสียงซออยู่มาก เมื่อเสียงดนตรีหยุดลงจึงเป็นหน้าที่ของครูผู้ฝึกสอนจะต้องทำความเข้าใจกับนักดนตรี เด็กหนุ่มสะพายเป้ค่อยๆเดินไปตามทางเดินที่เทลาดลงไปเขามองหาเก้าอี้ที่เหมาะๆสักตัวเพื่อจะได้นั่งดูการซ้อมดนตรีของคณะคนตาบอดคณะนี้

         โรงหนังแห่งนี้ไม่เปิดฉายภาพยนตร์อีกต่อไปแล้ว เจ้าของโรงหนังมอบสถานที่ดังกล่าวให้เป็นสมบัติแก่มูลนิธิคนพิการเพื่อนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นต่อไป ส่วนใหญ่แล้วที่นี่จะใช้เพื่อการฝึกซ้อมดนตรีของคนพิการก่อนจะออกไปแสดงจริงยังสถานที่ต่างๆ ทั้งเพื่อหารายได้เข้ามูลนิธิหรือเพื่อการกุศลก็แล้วแต่โอกาส

         นักรบพบสถานที่แห่งนี้เมื่อสองปีที่แล้ว เขาประทับใจในความพยายามของคนพิการเหล่านี้จึงมักจะหาเวลามานั่งชมการซ้อมของพวกเขาอยู่บ่อยๆและบางครั้งก็จะมอบเงินช่วยเหลือแก่พวกเขาผ่านทางครูผู้ฝึกสอนของพวกเขา ชายผิวคล้ำรูปร่างอ้วนเตี้ยที่ยืนอธิบายให้นักดนตรีฟังหันมาส่งยิ้มให้กับเขาทันทีที่เหลือบมองเห็น เขายิ้มตอบก่อนจะแทรกตัวเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ตัวที่สามจากริมทางเดินของแถวที่สอง

           เขาสังเกตเห็นนักดนตรีหน้าใหม่คนหนึ่ง เป็นหญิงผิวขาวหน้าตาสะอาดสะอ้านและค่อนข้างสวย แม้จะมองจากระยะไกล เธอกำลังฟังคำอธิบายจากครูผู้ฝึกสอนของเธออย่างตั้งใจ เขามองไม่เห็นนักดนตรีอีกคนคนที่เล่นซอเมื่อครั้งหลังสุดที่เขามาดูการซ้อม ชายแก่ท่าทางใจดีคนนั้นหายไป อาจจะป่วยหรืออะไรสักอย่างที่ทำให้เขามาร่วมซ้อมไม่ได้  นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เพลงที่พวกเขาเล่นไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร หญิงสาวคนนั้นคงจะเป็นมือใหม่  เขาคิดพลางสอดมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบเอกสารที่เจ้าสามขาจัดเตรียมไว้ให้ออกมา 

            เขาเคยสงสัยว่าใครกันที่ตั้งชื่อให้กับชายที่มีรูปร่างผอมเหมือนไม้เสียบลูกชิ้นแถมมีท่าทางซื่อๆเซ่อๆคนนี้ว่าสามขา จวบจวนเมื่อได้เห็นเขาวิ่งขึ้นเนินมาด้วยขาทั้งสามข้างที่แบกร่างสีเขียวขนาดมหึมามาด้วยจึงได้เข้าใจเขาคือเผ่าพันธุ์ยักษ์สามขานั่นเอง
         ครั้งแรกนักรบไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจะต้องกลับไปเข้าโรงเรียนมัธยมปลายอีกทั้งๆที่เขาจบมาตั้งนานแล้ว แต่เมื่อได้รับคำอธิบายจากบังโกจึงได้เข้าใจ
         "พวกเราจำเป็นต้องทำตัวให้กลมกลืนกับพวกมนุษย์เพื่อทำให้พวกเขาเชื่อว่า...พวกเราไม่มีตัวตน...อายุที่ยาวนานของพวกเราจะทำให้พวกเขาสงสัยเอาได้...คงไม่ใช่เรื่องดีแน่หากมีใครมาเห็นเธออยู่ในที่เดิมๆในชื่อเดิมๆแต่อยู่มานานกว่าร้อยปีโดยที่รูปร่างหน้าตาไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิด  พวกเขาจะพากันสงสัยและตั้งคำถามกับเธอมากมายเชียวล่ะ
        "แต่เป็นเรื่องง่ายที่พวกเขาจะจำเธอไม่ได้ถ้าเธอแฝงตัวเข้าไปอยู่ปะปนกับพวกเขาทำกิจกรรมร่วมกับพวกเขาในระยะเวลาที่เหมาะสมแต่ไม่นานจนเกินไป...โรงเรียนมัธยมปลายของพวกมนุษย์ให้สิ่งเหล่านั้นแก่เธอได้เพราะรูปร่างหน้าตาของเธอตอนนี้ดูเหมือนเด็กหนุ่มอายุสิบสี่หรือสิบห้าปีเท่านั้นสำหรับพวกเขา...เธอจำเป็นต้องใช้ชีวิตร่วมกับพวกมนุษย์ที่อยู่ในวัยเดียวกัน...
        "เมื่อผ่านไปสักสองสามร้อยปีเธอจึงจะมีรูปร่างหน้าตาใกล้เคียงกับมนุษย์ในวัยเข้าสู่มหาวิทยาลัย...ใช้เวลาอีกสองสามร้อยปีเธอก็จะมีหน้าตาเท่ากับคนในวัยทำงานของพวกเขา...เธอต้องอยู่ปะปนกับพวกเขาในแต่ละช่วงเวลา...พวกเราชาวสิงหลทุกคนล้วนทำแบบนี้กันทั้งนั้น...ผิดแต่เพียงว่าใครจะอยู่ในแต่ละช่วงเวลาได้นานมากน้อยแค่ไหน..นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละเผ่าพันธุ์และต้นตระกูลของเขา"นั่นคือคำอธิบายที่ออกจากปากของบังโก
          เมื่อนักรบเปิดแฟ้มเอกสารออกมาก็พบว่าข้างในมีบัตรประชาชนหนีบด้วยคลิปอยู่มุมด้านบนสุดนาย พิเศษ จงใจมั่น นี่คือชื่อใหม่ของเขาสินะ  บังโกเปลี่ยนชื่อและบัตรประชาชนให้เขาใหม่ทุกๆสามปีเพื่อที่เขาจะได้กลับไปเรียนมัธยมปลายใหม่อีกครั้ง  ถัดมาคือวุฒิบัตรการศึกษาระดับชั้นมัธยมต้น โรงเรียนบ้านโคกเหรอ ไกลปืนเที่ยงจังแฮะแต่มันก็เท่านั้น ใครจะไปสน

             ที่เหลือหลังจากนั้นเขาไม่ได้สนใจ เพราะถึงอย่างไรเจ้าหก ลูกน้องที่เชี่ยวชาญทางด้านคอมพิวเตอร์และการปลอมแปลงเอกสารของบังโกก็ไม่เคยผิดพลาดอยู่แล้ว เขาแค่อยากจะรู้ว่าจะบอกชื่อและโรงเรียนที่จบมากับพวกเด็กนักเรียนที่ชอบเข้ามาถามซอกแซกจากเขาว่าอย่างไร

              เขาสอดแฟ้มเอกสารกลับเข้าไปในเป้แล้วรูดซิบกระเป๋าเอนหลังในท่าสบายพร้อมกับหลับตาฟังเพลง ลาวดวงเดือน ที่นักดนตรีคนตาบอดเริ่มบรรเลงใหม่อีกครั้ง คราวนี้ดีขึ้นมานิดหน่อย
      

              เขาไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปนานแค่ไหน เมื่อตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นใครแล้วเขาจึงลุกเดินออกมาเมื่อเดินมาถึงหน้าโรงหนังก็พบว่าพวกนักดนตรีต่างทยอยกันขึ้นรถทีละคนๆจนเหลือแต่หญิงสาวตาบอดที่ยืนโบกมือล่ำลาเพื่อนๆของเธอ
          "ทำไมคุณไม่ไปกับพวกเขา"เขาเอ่ยถามเมื่อคล้อยหลังรถตู้รับส่งของมูลนิธิแล้วหญิงสาวดูเหมือนจะชะงักเล็กน้อยก่อนจะขยับถอยห่างออกไป
        "ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก...ผมมาดูพวกคุณซ้อมอยู่บ่อยๆ...คุณประวัติครูผู้ฝึกสอนของพวกคุณ...ผมรู้จักเขา"
        "คุณคงจะเป็นคุณนักรบ..."เธอพูดเสียงแผ่วเบาราวกับเสียงของสายลมที่พัดผ่านผิวกายแต่กลับเหมือนมีเวทมนต์อยู่ในน้ำเสียงที่แผ่วเบานั้นเป็นเวทมนต์ที่ทำให้คนที่ได้ฟังลุ่มหลงงงงวยได้ ใบหน้าที่ดูสวยงามแม้ยามมองไกลๆพอได้เห็นใกล้ๆยิ่งงดงามราวกับดวงจันทร์ส่องกระจ่างจนดาวที่อยู่รายล้อมต้องก้มหน้าหลบเมื่อยามเธอหันมอง
        "คุณประวัติเคยเล่าให้ฟังอยู่เหมือนกัน..."
        "ทำไมคุณไม่กลับไปพร้อมกับพวกเขา..."เด็กหนุ่มเอ่ยถามอีกครั้ง  แม้จะน่าอึดอัดเพราะเขาไม่เข้าใจความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวเองในขณะนี้ว่ามันคืออะไรกันแน่แต่ก็ไม่อยากเห็นเธอต้องยืนเปลี่ยวเปล่าอยู่ท่ามกลางความมืดหน้าโรงหนังเก่าแบบนี้ มีพวกอารมณ์เปลี่ยวอยู่เพ่นพ่านเต็มไปหมดโดยเฉพาะที่ที่ร้างผู้คนแบบนี้
        "ฉันไม่ได้พักอยู่ในมูลนิธิค่ะ...ฉันพักอยู่ที่มิลลิเนี่ยมคอนโด"
            ย่านคนรวยซะด้วย โดยเฉพาะคนโดมิเนี่ยมที่เธอพัก มันสร้างอยู่แทบจะติดสถานีรถไฟฟ้าเลยทีเดียว เมื่อลงจากสถานีสีลมเดินไปอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงลิฟแก้วที่จะพาผู้ที่พักอาศัยขึ้นไปถึงห้องพักที่พวกเขาอยู่ นั่นมันคอนโดมิเนี่ยมหรูกลางใจเมืองเชียวล่ะ
        "แต่ถึงอย่างไรคุณก็ไม่ควรจะมายืนอยู่คนเดียวแบบนี้...มันอันตราย"เขาบอกเธอพยักหน้าอย่างเข้าใจ
        "ฉันก็กำลังจะเดินไปที่สถานีรถไฟฟ้าอยู่พอดี"
        "แต่มันก็ยังไม่ปลอดภัยพอ...ไปเถอะผมจะเดินไปส่ง"
        "ขอบคุณค่ะ..."
        "ไม่เป็นไร..."
      ราวห้านาทีพวกเขาก็เดินมาถึงสถานีรถไฟฟ้าเขาจัดการซื้อตั๋วสองใบแล้วพาเธอเข้าไปนั่ง
        "คุณรู้หรือค่ะว่าฉันจะไปลงสถานีไหน..."เธอเอ่ยถามขณะนั่งอยู่บนรถ
        "คุณบอกผมแล้ว...มิลลิเนี่ยมคอนโด...สีลม..."เขาบอกถึงจุดหมายปลายทางของตั๋วที่เขาซื้อให้เธอซึ่งรวมทั้งของเขาเองด้วย
        "แล้วคุณจะไปลงไหน..."
        "ที่เดียวกัน...แต่คนละคอนโด..."
        "หรอคะ...แล้วคุณพักอยู่คอนโดอะไร..."นักรบแอบกลืนน้ำลาย อันที่จริงห้องที่เขาพักยังอยู่ห่างออกไปอีกมากหรือจะพูดให้ถูกคืออยู่คนละทางกันเลยกับที่เขามา การนิ่งเงียบคือการหลีกเลี่ยงการโกหกที่เขาชอบทำที่สุด  เธอไม่ได้ถามอะไรเขาต่อจวบจนกระทั่งถึงสถานีปลายทาง เขารอให้หญิงสาวเดินเข้าไปในลิฟแก้วของคอนโดเรียบร้อยเสียก่อนจึงซื้อตั๋วเพื่อนั่งรถย้อนกลับมา

           สภาพการจราจรในยามเช้าสร้างความหงุดหงิดให้แก่สารวัติพิสินเป็นอย่างมาก เขานั่งกระฟัดกระเฟียดอยู่หลังพวงมาลัยหันซ้ายแลขวาราวกับว่าการทำแบบนั้นจะช่วยให้ถนนโล่ง
    "มันจะติดอะไรกันนักกันหนาวะ.."เขาบ่นพลางเอามือทุบพวงมาลัยรถ
        "โรงเรียนเปิดเทอมรับ  สมัครนักเรียนใหม่วันแรกก็แบบนี้แหละค่ะพ่อ..."เด็กสาวอายุสิบสี่จะย่างสิบห้าที่นั่งอยู่เบาะข้างๆพูดพลางทำหน้าง้ำใส่พ่อ
        "รู้แล้วน่า..."สารวัติกระแทกเสียงใส่อย่างรำคาญ
        "รู้แล้วยังจะบ่นอีก"
        "เอ๊ะยัยออน...ชักจะเอาใหญ่แล้วนะเรา...เถียงพ่อคำไม่ตกฟาก...แกไปเอานิสัยนี้มาจากใครเฮอะ"
        "ก็จากพ่อนั่นแหละ.."ก่อนที่สารวัติจะได้เอ็ดลูกต่อก็มีสายด่วนเรียกเข้ามา
        "หนูลงตรงนี้ก็ได้ค่ะ...ดูเหมือนพ่อจะมีธุระยุ่งยากที่จะต้องรีบไปจัดการ"

          เด็กสาวพูดกระแทกเสียงใส่  ไม่พูดเปล่าเธอยังกระแทกประตูเปิดออกแล้วก้าวลงจากรถ ก่อนจะหันกลับมาไหว้อย่างเร่งรีบสารวัตรพิสินได้แต่ตะโกนไล่หลังลูกสาว
        "ระวังตัวด้วยนะลูก"
        "ค่ะ...."คำพูดส่งท้ายของลูกสาวไม่ค่อยสบอารมณ์เขาสักเท่าไหร่ เธอพูดตกไปประโยคหนึ่ง 'พ่อก็เหมือนกัน ระวังตัวด้วยนะคะ' เธอลืมคำพูดนี้ไปได้ยังไงนะ
        "ว่ามา..."เขาตะคอกใส่ไมโครโฟนก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้กำลังคุยกับลูกสาว

         ก้าวช้าๆแต่มั่นคงคือลักษณะการเดินที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา  เด็กหนุ่มในชุดกางเกงขาสามส่วนสีเขียวกับเสื้อยืดสีขาว รองเท้าผ้าใบและสะพายเป้สีดำเขาพยายามจะทำตัวให้เรียบง่ายที่สุด อย่าทำให้ตัวเองตกเป็นเป้าสายตา นั่นคือคำสั่งแต่ถึงแม้บังโกจะไม่สั่งเขาก็จะทำอยู่แล้ว วันนี้เป็นวันแรกของการรับสมัครนักเรียนใหม่ ดังนั้นวันนี้จึงมีคนมาที่โรงเรียนแห่งนี้มากเป็นพิเศษ ผู้ปกครองที่พลอยตื่นเต้นไปกับลูกตัวน้อยๆที่จะได้เริ่มบทบาทใหม่ย่อมจะไม่ยอมพลาดสำหรับวันแรกของการเปิดรับสมัครแบบนี้

          ที่บริเวณหน้าโรงเรียนมีการตั้งแผงขายอาหารและอุปกรณ์การเรียนอยู่แน่นขนัดไปหมด ป้ายชื่อโรงเรียนถูกบังจนเกือบมิดด้วยแผงร้านค้า มีเพียงสระโอเท่านั้นที่โผล่แพลมออกมาให้เห็นแต่ถึงอย่างไรเขาก็มั่นใจว่ามาถูกที่แน่ หรือถึงจะผิดก็ไม่เห็นจะเป็นไร  ยังมีเวลาอีกตั้งหลายวันกว่าจะปิดรับสมัคร

          เขาเข้าๆออกๆโรงเรียนมัธยมปลายมาเจ็ดครั้งแล้วและครั้งนี้จะเป็นครั้งที่แปด เข้าไปเพื่อเรียนวิชาเดิมๆทำกิจกรรมเดิมๆแม้จะน่าเบื่อ แต่นี่คือคำสั่งและเท่าที่จำได้ เขาไม่เคยฝ่าฝืนคำสั่ง
       เมื่อเข้ามาในรั้วโรงเรียนเขาพยายามองหาอาคารลงทะเบียน มีลูกแหง่หลายคนที่เกาะชายเสื้อแม่พลางเดินตามหลังอยู่ไม่ห่าง เขามองเห็นคุณแม่ที่แสนอวบอ้วนคนหนึ่งจูงมือลูกชายที่มีหุ่นคล้ายคลึงกันเที่ยวเดินสอบถามหาอาคารลงทะเบียนจากคนโน้นทีคนนี้ที เหมือนแม่ฮิปโปที่พาลูกฮิปโปเกิดใหม่เที่ยวเดินหาแหล่งน้ำโดยมีลูกฮิปโปเดินแข้งขาอ่อนอยู่ข้างๆ โชคดีที่เขาไม่เคยทำแบบนั้น 
         "
    ขอโทษค่ะ..ไม่ทราบว่าอาคารลงทะเบียนไปทางไหนคะ.."เสียงใสๆของเด็กสาวคนหนึ่งเอ่ยถามเขาจากด้านหลัง
         "ผมก็อยากรู้เหมือนกัน...แต่คิดว่าอีกไม่นานก็คงจะรู้"เขาตอบโดยไม่หันกลับไปมองพักต่อมาเขาก็เห็นแม่ลูกคู่นั้นเดินมุ่งหน้าไปยังอาคารหลังหนึ่ง
         "เอาล่ะ...แม่ฮิปโปพาลูกฮิปโปไปที่บ่อน้ำแล้ว...เราก็แค่เดินตามพวกเขาไปยังแหล่งน้ำ"เขาพูดพลางออกเดิน  มีเสียงหัวเราะคิกคักจากเด็กสาวเจ้าดังอยู่ข้างหลังก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งตามมา
         "เธอชื่ออะไร.."เด็กสาวที่เดินตามเขามาเอ่ยถามขณะที่เขานั่งกรอกประวัติอยู่ที่โต๊ะใต้ต้นจามจุรีข้างอาคารลงทะเบียน
         "พิเศษ"เขาพูดโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง
         "พิเศษสมชื่อจริงๆ..."หญิงสาวพึมพำเบาๆคล้ายกับพูดกับตัวเอง
         "เธอจบมาจากที่ไหน..."
        "โรงเรียนบ้านโคก" เขาตอบหญิงสาวปิดปากหัวเราะแต่ก็พอจะได้ยินเสียงคิกคักเล็ดลอดออกมา
        "บ้านเธออยู่แถวไหน..."เขากรอกข้อมูลเสร็จพอดีจึงไม่จำเป็นต้องนั่งตอบคำถามของเด็กสาวอีกต่อไป เขาเอาเอกสารไปยื่นให้เจ้าหน้าที่ที่รับสมัครจากนั้นก็เดินตรงไปที่ประตูทางออกของโรงเรียน

         ที่สถาบันนิติเวชวิทยาของกรมตำรวจ  สารวัตรพิสินกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างๆประตูห้องผ่าศพเพื่อไล่กินคาวเลือด  เนื้อเน่าและน้ำยาอาบศพที่ไหลมาเข้าจมูก  ชายผู้มีใบหน้ากลมอ้วน ผิวสีออกชมพูและมีหัวที่ล้านเลี่ยนวางมีดผ่าศพลงบนอ่างฆ่าเชื้อเสียงดังเคล้งก่อนจะถอดถุงมือแพทย์โยนลงในถังขยะที่อยู่ข้างๆเตียงผ่าศพ  เขาเดินมาขอบุหรี่จากสารวัตรเจ้าของคดีที่ยืนเฝ้าอยู่...
        "คดีที่ ๑o๗๖ ชายไทยอายุประมาณ ๕๘ ถึง ๖o ปี ส่วนสูง ๑๖๘ เซนติเมตร" พูดจบหมอร่างอ้วนก็ล้วงไฟแช็คออกมาจากกระเป๋าเพื่อจุดบุหรี่

        "ไม่มีรอยบาดแผลจากภายนอก...อวัยวะภายในก็ปกติดีทุกอย่าง...มีเพียงรอยฟกช้ำที่บริเวณหน้าอกเท่านั้น...ตรงจุดกึ่งกลางของหัวใจพอดี..."หนุ่มร่างอ้วนสูดควันเข้าเต็มปอดก่อนจะพ่นมันออกมาราวกับจะไล่ความเครียดที่เกาะกุมเขามาอย่างยาวนานให้ออกไปให้หมดในคราวนั้นคราวเดียว
        "หัวใจหยุดเต้นด้วยการกระแทกด้วยของแข็งตรงบริเวณหัวใจ...ทำให้หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน..."สารวัตรพิสินคาดคะเน แต่รอยเลือดล่ะ มันหมายความว่าอย่างไร ลลินีเจ้าหน้าที่ประจำสถาบันนิติเวชที่มีหน้าที่ในการตรวจพิสูจน์ตัวอย่างเลือดได้ยืนยันกับเขาว่าตัวอย่างเลือดที่เขาส่งมาให้คือเลือดของผู้ตาย  แล้วมันไหลออกมาจากทางไหนของร่างกายเขา
        "ดูหนังจีนกำลังภายในมากไปหรือเปล่าสารวัตร..."หมอผ่าศพพูดพลางทำสีหน้าเย้ยหยัน
        "การจะทำให้หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้โดยที่อวัยวะภายในไม่บุบสลายมีอยู่สองทางก็คือใช้ไฟฟ้าช๊อตกับฉีดยาพิษเข้าเส้นเลือดหรือไม่ก็ลม"
        "หรือทำให้ตกใจสุดขีดฉันกำลังพูดถึงประเด็นนี้...มีใครบางคนอยากแกล้งเขาเล่นโดยหาอะไรสักอย่างที่ดูคล้ายอาวุธมีคมแล้วยืนซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด..รอเวลาให้เขาเดินเข้ามาในห้อง...แล้วพอเขาหันมาก็เงื้ออาวุธขึ้นแล้วฟันโช๊ะ"
        "นั่นมันหมายถึงคนที่เป็นโรคหัวใจ...แต่เขาไม่ได้เป็น...เขาแข็งแรงดีทุกอย่างยกเว้นปอดที่เริ่มดำแล้ว..."
        "แล้วสาเหตุการเสียชีวิตของเขาคืออะไร"
        "เสียเลือดมาก...มีเลือดตกในช่องท้อง"
        "แต่นายบอกเองว่าเขาไม่มีรอยบาดแผลทั้งจากภายในและภายนอก..."
        "นั่นแหละที่ทำให้ผมงงจนหัวแทบจะแตกอยู่ในตอนนี้..."หมอร่างอ้วนอัดควันบุหรี่เข้าไปในปอดอีกเฮือกใหญ่ก่อนจะพ่นระบายออกมาอย่างกลัดกลุ้ม

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×