ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สิงหล

    ลำดับตอนที่ #1 : บังโก

    • อัปเดตล่าสุด 12 ต.ค. 56


                                             บทที่หนึ่ง: บังโก

          ร่างเล็กๆสีดำหลายสิบร่างพุ่งฝ่าพายุฝนที่พัดกระหน่ำอย่างรุนแรงมุ่งตรงไปยังอาคารแปดเหลี่ยมสีขาวที่ยืนตระหง่านอยู่ไกลลิบลิ่ว มีเสียงฟ้าร้องและสายฟ้าแลบแปลบปลาบ แส้สายฟ้าบางเส้นพุ่งลงสู่พื้นดินเบื้องล่างและทำลายทุกอย่างที่ขวางทางเดินของมัน ท้องฟ้าบางแห่งที่เคยสงบนิ่งค่อยๆบิดตัวเป็นเกลียวและลากดึงทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บริเวณใกล้เคียงให้เข้าไปหา
        เมื่อร่างทั้งสิบร่อนลงสู่พื้นถนนหน้าอาคารทรงแปดเหลี่ยมพวกเขาก็กระโดดลงจากหลังพาหนะมีปีกก่อนจะพากันรีบก้าวเดินเข้าไปในตัวอาคารอย่างเร่งรีบ
       ที่ห้องโถงขนาดใหญ่รูปครึ่งวงกลมมีหลายคนนั่งรอการมาของพวกเขาอยู่แล้ว
       เกิดอาการสั่นไหวของแผ่นดินจนโคมระย้าที่ห้อยอยู่บนเพดานถึงกับแกว่งไกว ชายทั้งสิบรีบถอดเสื้อคลุมยาวแขวนไว้ตรงที่แขวนหน้าห้องก่อนจะเดินไปนั่งประจำที่นั่งของตัวเอง
        มีใครบางคนกำลังยืนพร่ามอยู่กลางห้องในขณะที่คนอื่นๆได้แต่นั่งฟัง ชายสูงอายุที่มีผมสีขาวแซมอยู่ทั่วศีรษะนั่งนิ่งอยู่บนคอกด้านหน้า บนคอกด้านซ้ายมือของเขามีผู้ชายวัยไล่เลี่ยกันนั่งอยู่อีกสี่ห้าคน ส่วนฝั่งทางขวามือเป็นหญิงสูงอายุนั่งอยู่สองคน  พวกเธอนั่งจดอะไรบางอย่างลงในกระดาษในขณะที่ชายคนนั้นยืนพร่ามอยู่
       ชายสูงอายุที่นั่งอยู่ตรงกลางคอกนั่งเอามือเท้าคางพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เขาหรี่ตาฟังคำพร่ามของชายที่อยู่ด้านล่างอย่างอดทน  ในที่สุดชายคนนั่นก็หยุดพร่ามแต่ก็ยังส่งคำถามสุดท้ายมาคุกคามเขาอยู่ดี
        "นี่ไม่ใช่เรื่องปกติเลย ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศและการไหวสะเทือนของแผ่นดินที่รุนแรงขนาดนี้ มันเกิดขึ้นตั้งแต่เช้า ตั้งแต่หกโมงเช้า...และจนถึงเวลานี้ มีคำอธิบายแค่เพียงอย่างเดียวสำหรับความผิดปกติในครั้งนี้" ชายผู้นั้นจ้องหน้าชายชราที่อยู่บนคอกนิ่ง ก่อนจะพูดว่า
       "เขากลับมาแล้ว...ตำนานแห่งหายนะ"
       "นั่นมันแค่ตำนาน...ท่านกังวลมากเกินไปแล้ว...ท่านรัฐมนตรีสหชาติ" ชายชราทำท่าเหนื่อยหน่ายก่อนจะหันไปถามคนอื่นๆว่า
      "มีรัฐมนตรีท่านอื่นอีกมั้ย" เขาร้องถาม
    "เดี๋ยวสิท่าน...ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลย" ชายผู้นั้นรีบท้วงขึ้นอย่างร้อนรน ชายชรามองหน้าเขาอย่างเหนื่อยหน่ายอีกครั้งก่อนจะพูดว่า

       "ท่านรัฐมนตรีสหชาติ การเอาเรื่องเล่าปรัมปรามากล่าวอ้างเพื่อของบประมาณเพิ่มมันไม่สมเหตุสมผล ฝ่ายควบคุมอาวุธวิเศษของท่านได้งบประมาณไปใช้จ่ายมากกว่าฝ่ายอื่นๆอยู่แล้ว แต่ผลงานที่ปรากฎออกมามันแสดงให้เห็นแล้วว่าไม่ค่อยจะคุ้มกับงบประมาณที่จ่ายลงไปสักเท่าไหร่เลย แม้แต่หอกคันฑมาสที่หายไปจากคลังอาวุธโบราณป่านนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้คืนมา นี่ท่านยังจะเอาเรื่องเล่าเหลวไหลมาของบประมาณเพิ่มอีกงั้นรึ"
       "นี่ไม่ใช่เรื่องเล่าเหลวไหลนะครับท่าน...นี่มันเรื่อง"
       "มีท่านอื่นอีกไหม..." ชายชราร้องตะโกนแข่งกับเสียงพูดของเขา นั่นหมายความว่าหมดเวลาพูดของเขาแล้วจริงๆ ในขณะนั้นเองแผ่นดินก็สั่นไหวรุนแรงอีกครั้ง โคมระย้าแกว่งไกวคล้ายจะหลุดออกจากขั้วให้ได้ ท่านประธานสภาแหงนหน้าขึ้นมองก่อนจะพูดว่า
       "ก็แค่ความแปรปรวนของสภาพอากาศ" เขาเอ่ยเสียงดัง

         รัฐมนตรีสหชาตินั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่สานคอยเงี่ยหูฟังรายงานข่าวจากวิทยุทรงสี่เหลี่ยมยี่ห้อ ธานินทร์ เขานั่งกระสับกระส่ายและรู้สึกไม่สบายใจยิ่ง มีรายงานข่าวความเสียหายที่เกิดจากแผ่นดินไหวเมื่อวานนี้ มีผู้เสียชีวิตมากมายจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ นั่นยังไม่เพียงพอต่อคำอธิบายของเขาอีกหรือ
       เขารู้สึกหงุดหงิดใจมากเมื่อนึกถึงท่าทีที่เฉยเมยของท่านประธานสภาต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หายนะกำลังจะกลับมาแต่ทุกคนกลับละเลยที่จะหาทางป้องกัน
       ในขณะที่เขานั่งครุ่นคิดอยู่นั้น ชายรูปร่างบอบบางสองคนในชุดสีดำก็เดินเข้ามาหาเขา เมื่อเข้ามาใกล้พวกมันก็ค่อมศีรษะให้กับเขา
       "เราได้แบะแสมาแล้วครับท่าน" หนึ่งในพวกเขารายงาน
       "ยังไง" เขาทะลึ่งพรวดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที ความตื่นเต้นยินดีปรากฎออกมาเต็มใบหน้า
       "มีเด็กนักเรียนคนหนึ่งขโมยมันไป ในวันก่อนวันจบการศึกษา เราพอจะรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร"
        "ดี...รีบตามจับมันมาให้ได้...ก่อนที่มันจะเอาหอกนั่นไปทำเรื่องยุ่งๆ"
        "ครับ..."ชายทั้งสองรับคำสั่งพร้อมกันก่อนจะก้าวถอยออกไป
         "เดี๋ยวก่อน" เขาร้องเรียกเหมือนเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นได้ ชายทั้งสองชะงักเท้าแล้วหันกลับมามองผู้เป็นนาย
         "ฉันยังมีอีกเรื่องหนึ่งจะให้พวกแกทำ"
        "ครับ" หนึ่งในสองตอบรับและรอฟัง
        "ตามหาเด็กผู้ชายที่เกิดเมื่อวานนี้ ช่วงหกโมงเช้าถึงแปดโมงเช้า พิสูจน์ให้แน่ใจว่าเขาเป็นพวกเรา...เมื่อพิสูจน์ได้แน่ชัดว่าเป็นเขาจริงๆ...ก็ให้สังหารเขาทันที"
        "แต่ท่านครับ...นั่นมันผิดกฏ" ชายผู้นั้นทักท้วง ผู้เป็นนายจ้องหน้าเขานิ่งก่อนจะพูดว่า
        "ก็ทำอย่างเงียบๆสิ"
       "ครับ..." เมื่อมันรับคำสั่งเสร็จพวกมันก็ค่อมศีรษะให้เขาก่อนจะก้าวเดินออกไป
        เมื่อชายทั้งสองออกจากคฤหาสน์ไปแล้ว เขาก็เดินไปหยิบชุดคลุมยาวมาสวม นาฬิกาลูกตุ้มตีบอกเวลาทุ่มยี่สิบ เขาต้องรีบไปที่งานเลี้ยงพิธีหมั้นของใครบางคน เขาจำชื่อไม่ได้แล้ว แต่คงจะจำได้เองเมื่อเข้าไปถึงในงานนั้น

     

    สี่สิบเก้าปีต่อมา

           ร่างของเหยื่อนอนกระตุกตาเบิกโพลงอยู่บนเตียงไม้ที่ปูด้วยผ้าปูที่นอนสีน้ำตาลหม่น ผ้าห่มนวมสีครีมยังถูกพับไว้อย่างเรียบร้อยที่บนหัวเตียง แขนซ้ายของเหยื่อตกห้อยลงมาจากเตียงทำให้เลือดจากปากแผลบางส่วนไหลเป็นทางมาตามลำแขนข้างนั้น

         ควันบุหรี่ที่ลอยอ้อยอิ่งเหมือนผ้าม่านสีเทาแสนบางถูกลมพัดสะบัดไปมา  เด็กหนุ่มดึงบุหรี่ออกมาจากนิ้วของผู้ตายพลางบ่นพึมพำกับเหยื่อว่า
        "บุหรี่มันฆ่าแกได้แกไม่รู้หรือไง"เขานำบุหรี่มวนนั้นไปขยี้รวมกันมวนอื่นๆตรงแก้วเขี่ยบุหรี่ทรงสี่เหลี่ยมที่วางอยู่บนหัวเตียงก่อนจะหันกลับมาดึงมีดที่ปักอยู่บนอกของเหยื่อที่ตอนนี้นอนแน่นิ่งไปแล้ว 

         เมื่อปลายมีดพ้นออกมาจากหน้าอกปากแผลที่เกิดจากคมมีดก็ค่อยๆสมานเข้าหากันจนปิดลงในที่สุด ไม่มีร่องรอยใดๆหลงเหลืออยู่บนร่างกายของผู้ตาย เขาเก็บมีดเข้าซองที่ซ่อนอยู่ด้านข้างของรองเท้าหนังกลับทรงสูงก่อนจะหยิบขวดแก้วใสทรงกระบอกมารองเอาหยดเลือดที่เริ่มไหลมาออกันอยู่บริเวณปลายนิ้วชี้

          หยดเลือดหยดแรกไหลลงสู่ก้นขวดที่กลมมนตามมาด้วยหยดต่อๆมา  เมื่อเลือดถูกเติมจนถึงครึ่งขวดเขาก็ชักมือออกมาพร้อมกับปิดฝาจุกปล่อยให้เลือดหยดต่อๆไปไหลลงสู่พื้นกระเบื้องด้านล่าง

        กระเบื้องสีน้ำเงินลายลูกเป็ดเดินตีปีกค่อยๆถูกระบายด้วยสีแดงจากหยดเลือดของผู้ตาย เด็กหนุ่มค่อยๆห่อขวดแก้วด้วยฟลอยด์อีกชั้นก่อนจะเดินมาที่กระเป๋าหนังทรงสี่เหลี่ยมที่มีลักษณะคล้ายกระเป๋าพยาบาลของโรงพยาบาลทั่วๆไป

           เขาเปิดกระเป๋าแล้วหย่อนขวดแก้วลงในช่องๆหนึ่งที่มีขนาดพอดีกับขนาดของขวดแก้ว  มีหลายขวดที่วางอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่ใช่ว่าทุกขวดจะมีเลือดบรรจุอยู่  มีอยู่เพียงสองขวดเท่านั้นเมื่อรวมกับขวดล่าสุดที่เขาพึ่งจะวางลงไป  ที่เหลือคือขวดเปล่า  เมื่อปิดกระเป๋าเรียบร้อยแล้วเขาก็เดินออกมาจากห้องนั้นอย่างเงียบเชียบ
     

          สารวัตรพิสิน มาถึงที่เกิดเหตุด้วยอารมณ์อันบูดบึ้ง  เขาเพิ่งจะพลาดการไปเที่ยวทะเลกับภรรยาและลูกทั้งๆที่สัญญากับพวกเขาเอาไว้ตั้งนานแล้ว  และแล้วความหวังก็พังทลายเมื่อมีสายด่วนโทรเข้ามาตอนหกโมงเช้าว่ามีคนเสียชีวิตอยู่ในคอนโดเต็มเดือน นี่เขาจะไม่มีเวลาให้กับครอบครัวบ้างเลยหรือไง  ถ้ารู้ว่าการเป็นตำรวจจะต้องเสียสละเวลามากขนาดนี้เขาคงเลือกที่จะเป็นทนายความไปตั้งนานแล้ว เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุจ่าสมหมายกับตำรวจอีกสองนายก็รออยู่ก่อนแล้ว
        "สภาพศพไม่มีรอยบาดแผลหรือว่าการต่อสู้  น่าจะเกิดจากอาการหัวใจวายเฉียบพลัน"จ่าสมหมายรายงานราวกับว่าตัวเองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดสารวัตส่ายหน้าอย่างระอา
        "จ่ายืนอยู่กับเขาตอนที่เขากำลังจะตายงั้นหรือ...แล้วเลือดที่อยู่ที่พื้นนี่ล่ะ...มันคืออะไร"สารวัตสวนกลับ ก่อนจะเดินเข้าไปสำรวจสภาพศพใกล้ๆ ไม่มีบาดแผล ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ที่หัวเตียงมีบุหรี่หลายมวนที่ถูกขยี้บี้แบน เห็นได้ชัดว่าผู้ตายเป็นคนสูบบุหรี่จัดดวงตาเบิกโพลงเหมือนกลัวอะไรสักอย่าง

        ตามบริเวณร่างกายไม่พบรอยบาดแผลใดๆแต่หยดเลือดที่พื้นนี่มันหมายถึงอะไร  แล้วคราบเลือดที่แห้งกรังอยู่บนเสื้อของผู้ตายอีกล่ะ  มันเป็นเลือดของผู้ตายหรือว่าของใครกัน เขาหันไปหาจ่าสมหมายก่อนจะสั่งว่า

       "เก็บตัวอย่างเลือดไปให้สถาบันนิติเวชตรวจสอบ  ดูซิว่ามันเป็นเลือดของผู้ตายหรือว่าของใคร และเคลื่อนย้ายศพส่งไปตรวจพิสูจน์ส่วนสิ่งของที่เหลือที่อยู่ในนี้...อย่าเพิ่งให้ใครเคลื่อนย้ายอะไรทั้งนั้นจนกว่าผมจะสั่ง...เจ้าของคอนโดอยู่ไหนผมอยากคุยกับเขาสักหน่อย"
       "ทางนี้ครับ" ตำรวจอีกนายบอกก่อนจะออกเดินนำเพื่อไปหาเจ้าของคอนโด  สารวัตรู้สึกสะกิดใจอะไรบางอย่างจึงหันไปบอกจ่าสมหมายอีกครั้ง
       "เก็บก้นบุหรี่พวกนั้นไปตรวจพิสูจน์ด้วย...อ้อ..เอ่อ..เอาไปทั้งหมดทั้งที่เขี่ยบุรี่ด้วยนั่นแหละ..ดูซิว่ามีใครมาเป็นแขกเขาเมื่อคืนนี้"เมื่อสั่งการเสร็จเขาจึงเดินตามจ่าคนนั้นไป
      

     

         ภายในคฤหาสน์อันโอ่อ่าบนเนื้อที่ร้อยยี่สิบไร่  แสงจากโคมระย้าที่ห้อยอยู่บนเพดานสูงของห้องโถงใหญ่ไม่ได้ช่วยขับไล่ความขมุกขมัวแห่งราตรีกาลออกไปได้สักเท่าไหร่  ดูเหมือนมันไม่ได้ถูกออกแบบมาตามวัตถุประสงค์ของผู้คิดค้นมัน  ดังนั้นห้องโถงใหญ่ในยามนี้จึงถูกโอบล้อมไปด้วยบรรยากาศอันอึมครึมจนน่าอึดอัด

           เด็กหนุ่มในชุดสีดำทั้งชุดก้าวเดินช้าๆแต่มั่นคงในทุกก้าวมุ่งตรงไปยังชายร่างใหญ่แต่ดูภูมิฐานที่ดูเหมือนจะยืนรอการมาของเขาอยู่แล้วเหมือนกัน เมื่อเดินเข้ามาใกล้เด็กหนุ่มก็ค่อมศีรษะให้ชายร่างใหญ่นิดหนึ่งก่อนจะยื่นกระเป๋าหนังสีดำทรงสี่เหลี่ยมให้  ชายร่างใหญ่ไม่ได้สนใจจะดูมันด้วยซ้ำ เขาหันไปหาองครักษ์ในชุดสีดำอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่เยื้องกันไปไม่ไกลนัก นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ชายในชุดสีดำคนนั้นเข้าใจในภารกิจของตัวเอง เขาเดินมาหยิบกระเป๋าใบนั้นแล้วเดินหายไปในมุมมืดของห้องโถงทิ้งไว้แต่เด็กหนุ่มที่ยืนจับจ้องใบหน้าชายผู้มีอายุมากกว่าอยู่ตรงนั้นนานจนน่าอึดอัดในที่สุดชายผู้มีอายุมากกว่าจึงได้เริ่มเอ่ย
         "เธอรู้มั้ยว่าทำไมคนพวกนี้ถึงยอมทำสัญญาโง่ๆพวกนี้..."เขาเอ่ยถาม
         "ท่านเคยบอกแล้วครับ.."เด็กหนุ่มเลี่ยงที่จะตอบคำถามนั้น
         "ใช่...ฉันเคยบอกเธอแล้ว...และก็จะยังบอกอีก..."เขาขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยชวนเด็กหนุ่ม
         "มากับฉันหน่อยสิ..."เขาก้าวเนิบๆออกเดินนำทันทีที่พูดจบ เด็กหนุ่มก้าวตามช้าๆ  เมื่อออกมาจากห้องโถงก็พบระเบียงทางเดินที่ทอดยาวออกไปจนถึงสวนขนาดใหญ่ที่กินเนื้อที่กว่าห้าไร่
         "พวกเขาส่วนใหญ่มองว่าฉันเป็นพวกน่าขยะแขยง เป็นจอมฉกฉวยที่น่ารังเกียจทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วฉันคือคนที่ให้โอกาส  ฉันเป็นคนที่ทำให้ความฝันของพวกเขาเป็นจริง..."เขาหยุดเมื่อเดินมาถึงลานกว้างที่ปูด้วยกรวดหลากสี  ค่ำคืนที่ไร้แสงจันทร์ทำให้สิ่งที่อยู่รายรอบล้วนดูทึมเทาแต่ก็ไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับเด็กหนุ่มและชายผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์
        "ฉันแค่ยื่นข้อเสนอให้กับพวกเขา...สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาปรารถนา...แลกกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพวกเขาอย่างแน่นอนอยู่แล้ว...นั่นคือความตาย"ชายร่างใหญ่นั่งลงบนเก้าอี้ไม้พลางผายมือให้แขกอายุน้อยกว่านั่งตาม  เด็กหนุ่มค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างๆในขณะที่เจ้าของคฤหาสน์แหงนมองดาวบนท้องฟ้า
        "พวกมนุษย์นั้นช่างอ่อนแอนักอย่างที่เธอรู้  แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่คอยผลักดันพวกเขาอยู่ตลอดเวลา...เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขาเอาชนะพวกเราได้...สิ่งที่ว่านั้นก็คือความโลภ"เจ้าของคฤหาสน์หันมาจ้องตาเด็กหนุ่มก่อนจะเอ่ยถามว่า
        "ตอนนี้เธออายุเท่าไหร่แล้วนะ..."
        "จะครบห้าสิบปีในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าครับ"เขาบอก  ชายเจ้าของคฤหาสน์มองเขาอย่างสำรวจก่อนจะพูดขึ้นว่า
        "นอกจากร่างกายที่หนาขึ้น...อย่างอื่นก็แทบจะไม่เปลี่ยนไปเลย...เธอยังดูเหมือนเมื่อครั้งที่เราพบกันครั้งแรก"ชายร่างใหญ่ลุกขึ้นยืนทำท่าจะเดินกลับ  เขาหันกลับมาบอกเด็กหนุ่มว่า
       "โรงเรียนใกล้จะเปิดเทอมใหม่แล้ว  ฉันบอกให้สามขาจัดเตรียมเอกสารการสมัครไว้ให้แล้วพร้อมทั้งชื่อโรงเรียนที่เธอจะต้องไปเรียนด้วย  ป่านนี้เขาคงเตรียมไว้ให้แล้วล่ะ...แค่นี้ล่ะ...ฉันต้องรีบไปทำธุระข้างนอกในวันนี้"จบคำเจ้าของคฤหาสน์ก็เดินจากมา
       เขายังคงเหมือนเดิมเหมือนเมื่อครั้งแรกที่ได้เจอกัน  ชายร่างใหญ่ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าหาคฤหาสน์พร้อมด้วยอดีตของเด็กหนุ่มคนนี้ที่พร่างพรูออกมา
        มันเป็นค่ำคืนที่แสนเคร่งเครียดหลังจากงานเลี้ยงรับรองที่แสนน่าเบื่อของรัฐมนตรีคนใหม่ที่จัดเลี้ยงรับรองให้กับเขาเป็นการเฉพาะ  ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ชายผู้นั้นคือลูกค้าของเขา

           หลังจากที่ชายยากจนและมีตระกูลอันต่ำต้อยปรารถนาจะมีชีวิตที่มั่งคั่งและเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง  ดังนั้นสัญญาเลือดระหว่างเขากับชายยากจนผู้นั้นจึงเกิดขึ้น เพียงระยะเวลาไม่นานชายผู้นั้นก็กลายเป็นเศรษฐีจากธุรกิจนายหน้าค้าที่ดินและกลายเป็นมหาเศรษฐีจากธุรกิจค้าที่ดินนั่นเอง

         เมื่อทุกอย่างพร้อมเขาก็ก้าวเข้าสู่เส้นทางนักการเมือง เพียงแค่สมัยเลือกตั้งสมัยแรกที่เขาลงสมัครเขาก็ชนะการเลือกตั้งและได้เป็น ส..และกลายเป็นรัฐมนตรีในเวลาต่อมา  และเทียบเชิญก็ถูกส่งมาถึงเขาในค่ำคืนของวันหนึ่ง

         เขาคาดหวังว่าจะได้เห็นพฤติกรรมอันแปลกประหลาดจากลูกค้ารายนี้และก็ไม่ผิดหวัง  มันเป็นงานเลี้ยงที่ไม่มีการกินเลี้ยง บนโต๊ะอาหารแทนที่จะมีอาหารอยู่บนโต๊ะมันกลับเต็มไปด้วยธนบัตรใบละพันกองสูงจนท่วมหัวต่อให้คนสองคนยืนต่อตัวกันก็ตาม
        "ท่านรัฐมนตรีกำลังเล่นตลกอะไรกับผมเขาถามเสียงเนิบๆแต่เต็มไปด้วยความตึงเครียดและกำลังตัดสินใจว่าจะเลื่อนกำหนดการชำระให้เร็วขึ้นดีไหม
       "ผมยังมีมากกว่านี้อีกนะ..บังโกบอกมาเลยว่าจะเอาเท่าไหร่"รัฐมนตรีผู้นั้นพูดอย่างกระตือรือร้นพลางพยักหน้าไปทางลูกน้องให้ไปเอาเงินมาเติมในกองอีก
       "สัญญาระหว่างเราไม่ใช่แบบนี้..."เขาบอก ก่อนจะขยับลุกขึ้น
       "คุณเก็บกระดาษพวกนี้ไว้ใช้เองเถอะ...ผมไม่อยากได้...และมันก็ยังไม่ถึงเวลาชำระหนี้ด้วย"
          เขาเดินออกมาจากห้องนั้นมีเสียงเยาะเย้ยถากถางทำนองที่ว่า แกทำอะไรฉันไม่ได้หรอกสัญญาบ้าบอแบบนั้นฉันไม่มีวันทำตามหรอกเจ้าโง่และอะไรต่อมิอะไรอีกหลายคำที่เขาพ่นออกมา เมื่อคนของเขาขับรถพาเขาออกมาได้ไม่ไกลนักเขาก็ได้รับรู้ว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นข้างหน้ารถไม่สามารถจะไปต่อได้ เขาจึงสั่งให้คนรับใช้อีกคนเอารถอีกคันจากที่คฤหาสน์มารับ

         ในช่วงที่เดินจะไปขึ้นรถอีกคันที่ถนนฝั่งตรงข้ามนั่นเองเขารู้สึกเหมือนมีใครบางคนตะโกนบอกมาจากทางด้านหลังว่าให้ระวัง เมื่อเขาหันกลับไปมองก็มีร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งเซถลาเข้ามาหาและนอนจมกองเลือดอยู่ตรงนั้นมือเขายังกุมมีดเอาไว้กับท้อง

         ด้วยความที่ไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาใครเขารีบบอกคนของเขาให้อุ้มเด็กไปที่รถและขับกลับไปยังคฤหาสน์ของเขาในขณะเดียวกันเขาก็สั่ง ประเวศ หมอประจำคฤหาสน์ของเขาให้เตรียมห้องปลอดเชื้อและเครื่องมือแพทย์ไว้ให้พร้อมเขากำลังนำคนบาดเจ็บสาหัสไปรักษาที่นั่นเมื่อเขากลับไปถึงคฤหาสน์ทุกอย่างก็พร้อมแล้วร่างของเด็กหนุ่มถูกนำเข้าห้องปลอดเชื้อเป็นการด่วน
        "ดูซิว่านี่อะไร...ไม่ว่าใครก็ตามที่เป็นเจ้าของมีดเล่มนี้...เขาไม่ได้หันคมมีดเข้าหาเจ้าหนูนี่แน่ๆ..."ชายผิวขาวซีดใบหน้าตอบและมีผมเหลืออยู่บนหัวเพียงหลอมแหลมเอ่ยพลางชูอาวุธมีดสีเขียวมรกตให้เขาดู
        "ผมไม่คิดว่าเขาจะรอดหรอก" หมอกล่าวสรุป หมอส่งมีดเล่มนั้นมาให้กับผู้เป็นเจ้านาย เขารับมีดมาจากหมอแล้วยกมีดเล่มนั้นขึ้นมาพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วนก่อนจะพูดอย่างเนิบๆว่า
        "ทำให้เต็มที่ก็แล้วกัน..."เขาสั่งหมอ ก่อนจะเดินออกมาจากห้องปลอดเชื้อ
        "ตรวจสอบประวัติของเขาดูว่าผู้ปกครองของเขาเป็นใครและตอนนี้พวกเขาพักอยู่ที่ไหน"เขาบอกชายผิวขาวที่อยู่ในชุดสีดำท่าทางสะอาดสะอ้านก่อนจะหันไปสั่งชายผิวคล้ำหุ่นผอมเก้งก้างอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆกัน
       "เตรียมโลงศพไว้ให้พร้อม...ฉันจะฝังเขาไว้ในสุสานของฉัน"
    ชายในชุดสีดำทั้งสองค่อมศีรษะให้เขาก่อนจะผละไปทำหน้าที่ของตนในขณะที่เขาจ้องมองดูมีดเล่มนั้นด้วยดวงตาวาวโรจน์ราวกับจะเผามีดเล่มนั้นให้ไหม้เป็นจุล
        "เจ้ารัฐมนตรีคนนี้...สงสัยฉันต้องคิดดอกเพิ่ม"  เขาพึมพำกับตัวเองหลังจากนั้นไม่นานชายผิวขาวผู้สะอาดสะอ้านก็เดินกลับมาหา
        "หาลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งสิบใบ...แล้วเอาไปให้ผู้ปกครองของเจ้าหนุ่มนั่น...รู้ใช่ไหมว่าจะต้องทำอย่างไร"เขาบอก
        "ท่านครับ...ผมสืบดูทะเบียนประวัติเขาแล้ว...เขาไม่มีผู้ปกครองครับแม่บุญธรรมของเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเมื่อหลายเดือนมาแล้ว...นอกนั้นเขาก็ไม่มีญาติที่ไหนอีก...ตอนนี้เขาอาศัยอยู่ในหอพักแห่งหนึ่งใกล้ๆโรงเรียนที่เขาเรียนอยู่นั่นเอง..."
        "น่าเสียดาย...เขาไม่ได้รับค่าตอบแทนในสิ่งที่ตัวเองทำ"เขาพึมพำเบาๆก่อนจะโบกมือไล่ชายผู้นั้นไม่นานต่อมาชายแก้มตอบในชุดกราวด์ก็เดินออกมาจากห้องปลอดเชื้อพลางทำสีหน้าที่เขาเองก็เดาไม่ออก
        "ตายแล้วใช่ไหม..."เขาเอ่ยถาม  หมอส่ายหัวก่อนจะพูดว่า
        "ผมไม่เข้าใจ...บาดแผลขนาดนี้และด้วยมีดเล่มนี้...ไม่มีทางเลยที่เขาจะรอด...อย่าว่าแต่มนุษย์เลย...แม้แต่ชาวสิงหลอย่างเราก็ใช่ว่าจะรอด" ผู้เป็นหมอบอก
       "นอกเสียจากว่าเขาจะไม่ใช่มนุษย์..."เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบๆแววตาเหมือนกำลังครุ่นคิดก่อนจะพูดกับหมอคนนั้นว่า
       "แกตรวจดีเอ็นเอของเขาดูหรือยัง.."เหมือนเพิ่งจะนึกออกหมอคนดังกล่าวรีบกระวีกระวาดกลับไปที่คนไข้ทันที

         อาการของเด็กหนุ่มดีขึ้นเรื่อยๆ  เขาสั่งให้หมอดูแลเด็กหนุ่มอย่างใกล้ชิด และเมื่อเขาหายดีเมื่อไหร่ก็ให้พามาพบ  สิบหกวันหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น เด็กหนุ่มก็ได้มายืนอยู่ต่อหน้าเขา  ไม่มีคำพูดจาไม่ท่าทีหวาดกลัว  สายตาวางเปล่าเหมือนแก้วน้ำที่ถูกทิ้งไว้บนหิ้งเมื่อนานมาแล้วและไม่มีใครสนใจจะหยิบออกมาใช้
       "เธอชื่ออะไร"เขาเอ่ยถาม
       "นักรบ" เด็กหนุ่มตอบเสียงราบเรียบดวงตายังคงจดจ้องอยู่บนใบหน้าผู้ถามไม่กระพริบ
       "เธอรู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ"
        "ผมเห็นคุณกำลังจะถูกแทง..." เด็กหนุ่มบอก น้ำเสียงเหมือนไม่แยแสเอาเสียเลยเขายิ้มอย่างพึงพอใจ
    "แต่เธอเป็นคนถูกแทง..." เขาบอก เด็กหนุ่มเม้มปาก  เขาค่อยๆชูมีดสีเขียวมรกตเล่มหนึ่งให้เด็กหนุ่มนั่นดูพลางเอ่ยถาม
        "เธอรู้มั้ยว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร..."
        "มีด" เด็กหนุ่มตอบเพียงสั้นๆเขาชำเลืองดูมีดเล่มนั้นนิดหนึ่งแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมาเพื่อสบตากับเด็กหนุ่มคนนั้น
        "แน่นอน..มันคือมีด...แต่ไม่ใช่ว่าใครก็ได้ที่จะเป็นเจ้าของมัน...มีดเล่มนี้มีชื่อว่ากริชกาลสูรพวกตระกูลกาลสูรเท่านั้นที่จะรู้วิธีตีมีดแบบนี้..."เด็กหนุ่มเม้มปากหน่อยหนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม
        "พวกเขาเป็นใคร...ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน"
        "เธออายุเท่าไหร่ไอ้หนู..."
        "สิบห้า"
        "ยังเด็กเหลือเกิน"เขาพึมพำเหมือนพูดกับตัวเองก่อนจะพูดต่อไปว่า
        "ฉันอายุหนึ่งพันสามร้อยห้าสิบปี...กับอีกสี่สิบห้าวันถ้านับวันนี้ด้วย"เด็กหนุ่มย่นคิ้ว
        "เป็นไปไม่ได้ไม่มีใครอยู่ได้นานขนาดนั้นหรอก..."
        "ใครที่เธอว่า...เธอคงหมายถึงพวกมนุษย์สินะ...พวกนั้นอายุมากที่สุดก็คงจะหนึ่งร้อยหรือหนึ่งร้อยสิบปี...แต่เธอเชื่อจริงๆหรือว่าในโลกใบนี้มีแต่พวกมนุษย์เท่านั้นที่อาศัยอยู่"
        "คุณกำลังจะบอกว่าคุณไม่ใช่มนุษย์..."
        "และเธอก็ไม่ใช่พวกเขาด้วยเหมือนกัน..."
        "ผมกำลังอยู่ในนิทานเรื่องไหน..."เด็กหนุ่มถามน้ำเสียงราบเรียบแต่คำพูดที่ออกมาคือคำพูดประชดประชัน  เขาไม่ได้แสดงอาการโกรธหรือนึกขำแต่อย่างใดยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเนิบๆว่า
        "มีดเล่มที่เธอเห็น...ที่มันฝังเข้าไปในเนื้อของเธอ...แทงทะลุเข้าไปถึงอวัยวะภายในของเธอ...โชคดีที่มันไม่โดนอวัยวะสำคัญ...แต่เธอก็รอดมาได้...นั่นคือข้อพิสูจน์"
        "คนอื่นก็อาจจะรอดได้เหมือนกัน...มันพิสูจน์อะไรไม่ได้หรอก"
        "ก็อาจจะ...แต่ไม่ใช่พวกมนุษย์...มีดเล่มนี้อย่าว่าแต่แทงเข้าไปในท้องเลย...แค่เฉือนเบาๆพอให้เลือดออกก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกมนุษย์ที่อ่อนแอตายได้...ไม่มียาขนานใดๆของพวกมนุษย์ที่จะรักษาอาการเลือดเป็นพิษที่เกิดจากบาดแผลของมีดเล่มนี้ได้  เพียงแค่ห้าวินาทีหลังถูกมีดเล่มนี้บาด...เลือดของพวกมนุษย์ก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำและลุกลามไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว...และเมื่อเวลาผ่านไปสองชั่วโมงร่างกายของพวกเขาก็จะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ...แต่เธอไม่ได้แสดงอาการเหล่านั้นออกมาเลย"
        "คุณกำลังจะบอกอะไร..."เด็กหนุ่มเอ่ยถาม
        "เธอไม่ใช่มนุษย์ไอ้หนู...ไม่อย่างนั้นป่านนี้ฉันก็คงจะทำพิธีฝังเศษเนื้อของเธอไปแล้วเมื่อสิบหกวันก่อน"
        "ถ้าผมไม่ใช่มนุษย์...แล้วผมเป็นอะไร..."
        "อา...ฉันก็อยากจะรู้คำตอบเหมือนกัน...โชคไม่ดีที่คนของฉันไม่สามารถเปรียบเทียบดีเอ็นเอของเธอได้...ดีเอ็นเอของเธอไม่ตรงกับวงศ์สกุลไหนๆทั้งนั้นในฐานข้อมูลที่เรามี...แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร...มีชาวสิงหลอีกหลายตระกูลที่ยังหลบซ่อนตัวเองจากโลกภายนอกผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน...ดังนั้นคนของฉันจึงอาจจะยังไม่มีตัวอย่างดีเอ็นเอให้เปรียบเทียบ...ในตอนนี้"
        "คุณพูดว่าชาวอะไรนะ..."
        "ชาวสิงหล...ผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่หลังเงามืดเป็นส่วนใหญ่...ใต้เงารัตติกาล...มีอยู่หลายเผ่าพันธุ์...มีพละกำลังกว่ามนุษย์  แข็งแกร่งกว่าและมีอายุยืนยาวกว่า...แต่แพร่พันธ์ได้ช้ากว่า...อันที่จริงช้ากว่ามากๆ...ดังนั้นเธอจึงเห็นแต่ลูกหลานของพวกมนุษย์อยู่เต็มพื้นโลกไปหมด...แต่มีพวกเราอยู่น้อยเต็มทีเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรของพวกมนุษย์"
        "คุณบอกว่าพวกคุณแข็งแกร่งกว่างั้นหรือ"
        "พวกเรา..."เขาแก้คำให้ใหม่ก่อนจะพูดต่อว่า
        "ใช่...แข็งแกร่งกว่า..."
        "แบบไหน.."เด็กหนุ่มเอ่ยถาม เขายิ้มที่มุมปากนิดหนึ่งก่อนจะพูดว่า
        "แบบที่คนของฉันจะแสดงให้เธอดู.."เขาหลับตานิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วพูดว่า
        "คอยดูให้ดีนะ..."เมื่อพูดจบ เด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงตึงตังคล้ายมีใครกำลังตอกเสาเข็ม  แผ่นดินไหวสะเทือน  และแล้วเขาก็มองเห็นร่างมหึมาสีเขียวร่างหนึ่งวิ่งด้วยขาสามขาตรงดิ่งมาทางนี้  หัวใจเด็กหนุ่มแทบหยุดเต้น

          และแล้วเจ้ายักษ์เขียวก็วิ่งมาหยุดที่ตรงหน้าเด็กหนุ่ม ก่อนจะเงื้อกำปั้นขึ้นและทุบเปรี้ยงลงมา แผ่นดินถึงกับยุบยวบลงไปพร้อมๆกับเศษดินที่กระเด็นขึ้นมาถูกหน้าถูกตาเจ้าเด็กหนุ่มนั่น เจ้ายักษ์ร่างเขียวหายใจรดหน้าเด็กหนุ่มจนผมปลิวไปด้านหลัง...จากนั้นมันก็ลุกขึ้นเดินกลับไปยังแหล่งที่มันมา
        "ยักษ์" เด็กหนุ่มอุทานออกมาอย่างแผ่วเบา  แม้จะไม่มีอาการหวาดกลัวแสดงออกมาให้เห็นแต่ก็มองเห็นเหงื่อเม็ดเป้งที่ผุดออกมาอยู่เต็มใบหน้า
        "เธอจะเรียกแบบนั้นก็ได้...พวกข้างนอกล้วนแต่เรียกพวกเราแบบนั้นทั้งนั้น..."
        "ผมรู้แล้วว่ารูปปั้นยักษ์ที่หน้าวัดแจ้งไม่ได้ปั้นขึ้นมาจากจินตนาการ...พวกเขาปั้นมาจากแบบของจริง"
        "นั่นมันน่าเกลียดมาก...พวกเราไม่เคยมีเขี้ยวงอกยาวโง้งอยู่ข้างปากแบบนั้นหรอก...นอกจากยักษ์พิการบางตัวเท่านั้น"ด้วยคำพูดของเขาทำให้เด็กหนุ่มอดขำไม่ได้เหมือนกัน
        "คุณกำลังจะบอกว่า...คุณ รวมทั้งผมและคนอื่นๆของชาวสิงหลเป็นยักษ์อย่างนั้นหรือ..."
        "ฉันไม่เคยพูดแบบนั้น...พวกเราชาวสิงหลไม่ได้มีเพียงเผ่าพันธุ์ยักษ์เผ่าพันธุ์เดียว...ยังมีเผ่าพันธุ์อื่นที่ไม่ใช่ยักษ์...และเธออาจจะใช่...หรืออาจจะไม่ใช่เผ่าพันธุ์ยักษ์ก็ได้...แต่ที่แน่นอนแล้วก็คือเธอคือชาวสิงหล"
        "แล้วพวกคุณเคยจับพวกมนุษย์มากินหรือเปล่า"เขาอดขำในคำพูดของเจ้าเด็กหนุ่มนั่นไม่ได้ เขาหัวเราะเสียงดังลั่นก่อนจะพูดว่า
        "เนื้อมนุษย์เหม็นสาบจะตาย..ไม่มีชาวสิงหลคนไหนกินเนื้อพวกมนุษย์หรอกนอกจากพวกโรคจิต...."เขาหยุดพูดนิดหนึ่งพลางหันหน้าไปที่ประตูคฤหาสน์ของตัวเอง
        "พวกมนุษย์ชอบสร้างจินตนาการว่าผู้อื่นคือสิ่งเลวร้าย...ในขณะที่ตัวเองคือผู้สูงส่ง...ฉันไม่โทษพวกเขาในเรื่องนั้นหรอก...พวกเขาอ่อนแอมากจนต้องหาสิ่งอื่นมาชดเชย...และสิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุดก็คือคำพูด" เขาบอก  สายลมยามค่ำคืนดังหวีดหวิวเหมือนหัวใจของเด็กหนุ่มที่ถูกพัดพาไปด้วยเรื่องราวต่างๆที่เขาเล่าให้ฟัง  เด็กหนุ่มยืนนิ่งราวกับรูปปั้นเพื่อทบทวนเรื่องราวต่างๆที่พึ่งจะได้ยินจากปากของเขา
       "ผมจะสามารถพองตัวได้ใหญ่โตเหมือนกับเจ้าตัวเขียวที่มีสามขาตัวนั้นมั้ย"เด็กหนุ่มเอ่ยถามขึ้นในที่สุด
       "อาจจะ...หรืออาจจะไม่...เธอยังเด็กนักเมื่อเทียบกับอายุของพวกเรา...เธอจะไม่มีวันรู้ว่าตัวเองจะมีรูปร่างแบบไหนจนกว่าเธอจะมีอายุเข้าสู่ช่วงพ้นวัยเด็กไปแล้วเสียก่อน"
       "ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะถึงตอนนั้น..."
       "อาจจะสามสิบ...หรือสี่สิบปีต่อจากนี้"
       "ถึงตอนนั้นผมคงจะกลายเป็นตาแก่ร่างยักษ์ที่วันๆเอาแต่นอน"
       "เธอเทียบตัวเองกับพวกมนุษย์อีกแล้ว...อย่างไรก็ตาม...ฉันยืนยันกับเธอได้ว่าเธอจะยังไม่แก่ไปกว่านี้มากนักเมื่อเธอมีอายุห้าสิบปี"เด็กหนุ่มจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของเขา

          ช่างเป็นแววตาที่คมกล้าน่าเกรงขามยิ่งนัก...เขาคือตัวอะไรกันแน่
    เขาคิดอย่างครั่นคร้ามก่อนจะพูดออกมาว่า
        "เธอช่วยฉันไว้...ไม่ว่าเธอจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม...ดังนั้นเธอควรจะได้รับค่าตอบแทน...บอกมาว่าเธอต้องการอะไร..."เขามองหน้าเด็กหนุ่มอย่างรอคำตอบและนานกว่าที่เด็กหนุ่มคนนั้นจะขยับตัว
        "ผมจะกลับบ้าน"เด็กหนุ่มบอกก่อนจะหันหลังและตั้งท่าจะเดินไปที่ประตูทางออก  เขาคว้าข้อมือของเด็กหนุ่มเอาไว้ก่อนจะหยิบลูกแก้วกลมๆที่มีน้ำสีเขียวมรกตกลอกกลิ้งอยู่ข้างในออกมาจากชายเสื้อเขาพูดกับเด็กหนุ่มด้วยสีหน้างุนงงระคนแปลกใจว่า
        "เธอเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดมากที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบมา อย่างไรก็ตาม ฉันอยากให้เธอเก็บของสิ่งนี้ไว้ ฉันเรียกมันว่า ลูกแก้วคำขอ  เมื่อไหร่ที่เธอนึกออกว่าอยากจะขออะไรจากฉันก็จงคืนมันมาให้ฉันแล้วพูดในสิ่งที่เธออยากจะได้จากฉันมา แล้วเธอจะได้ตามนั้น"
        ผ่านมาสามสิบห้าปีแล้ว เขายังไม่เคยเห็นเด็กหนุ่มคนนี้เอา ลูกแก้วคำขอออกมาให้เขาดูเลยสักครั้ง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×