คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : การพบกันครั้งแรก
13 สิงหาคม 2555
วันนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งปีที่อดีตคนรักเก่าได้ทอดทิ้งฉันไป ฉันอายุยี่สิบหกปีแล้ว และกำลังจะครบยี่สิบเจ็ดปีเต็มในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ฉันเริ่มเชื่อแล้วล่ะว่า ตัวเลข 13 เป็นเลขอาถรรพ์ และฉันก็เกิดในวันนั้นเสียด้วย เคยมีหมอดูทำนายทายทักเอาไว้ตั้งแต่ฉันยังเด็กว่า
"อีนังหนูคนนี้จะต้องอยู่คนเดียวไปจนตลอดชีวิต...เขาจะต้องรอคนรักของเขาจนกว่าจะได้เจอกันในอีกชาติต่อไป..."
"อ้าว...ทำไมอย่างนั้นล่ะคะหมอ...แกก็ไม่ได้พิกลพิกาลอะไรนี่" แม่ท้วงขึ้นมาอย่างขัดใจในขณะที่ฉันได้แต่นั่งฟังตาปริบๆ ตอนนั้นฉันฟังอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรหรอก ฉันไม่รู้ความหมายของคำว่า คนรัก ด้วยซ้ำ ก็ตอนนั้นฉันอายุแค่หกขวบเอง รู้แค่อย่างเดียวคือวันนี้จะได้กินขนมอร่อยๆหรือเปล่า แม่ฉันจ่ายเงินค่าหมอดูแล้วจูงแขนฉันเดินกระฟัดกระเฟียดออกมาจากที่นั่น
"พวกหมอเดา!!" แกพูดอย่างโมโห ก่อนจะพาฉันไปนั่งกินขนมจีนน้ำยาในตลาด
แม่ไม่ได้สนใจคำทำนายของหมอดูที่ดูให้ฉันในวันนั้นเลย แม่ก็มักจะเป็นแบบนี้แหละ เลือกเชื่อคำทำนายที่แกชอบใจ ส่วนหมอดูคนไหนที่ทำนายไปในทางที่แกไม่ชอบใจแกก็จะบอกว่า หมอดูคนนั้นเป็นหมอดูเก๊ แม่เคยพาฉันไปให้หมอดูอีกหลายหมอให้ช่วยทำนายทายทักเรื่องดวงชะตาของฉันอยู่เรื่อยมา และถ้าหมอดูคนไหนทำนายว่าฉันจะเป็นลูกกตัญญูและช่วยค้ำชูให้แกได้มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แกก็จะรีบตบรางวัลพ่อหมออย่างงาม ยิ่งถ้าหมอดูคนไหนทายว่าฉันจะได้สามีแฟนเศรษฐีแกจะเพิ่มเงินค่าดูหมอเป็นสิบเท่าของราคาปกติ แกไม่รู้หรอกว่าในกาลต่อมา สิ่งที่แกเชื่อมันจะผิดเพี้ยนไปหมด เพราะฉันดันแอบไปมีแฟนในช่วงที่เรียมหาวิทยาลัย แฟนของฉันไม่ใช่ผู้ชายอย่างที่แกหวัง วสันต์ นั่นคือชื่อของเขา เขาเป็นเพียงผู้ชายที่เติบโตมาจากครอบครัวชาวนาเหมือนอย่างฉัน ฐานะก็แค่ปานกลาง ไม่ใช่เศรษฐีอย่างที่แม่หวังอยากจะใด้มาเป็นลูกเขย แต่เขาก็เป็นคนดี และมีรอยยิ้มที่มีเสน่ นอกจากนี้เขายังเรียนในคณะที่มีอนาคตก้าวหน้า มีสาวๆหลายคนมาติดพันเขา แต่ในที่สุดเขาก็เลือกฉัน
แม่มีสีหน้าไม่ดีตอนที่ได้รู้จักกับเขา และได้รู้ถึงฐานะความเป็นอยู่ของเขา ก็น่าอยู่หรอกเพราะแกหวังสูงกว่านี้มาก แต่แกก็ไม่ถึงกับไม่ยอมรับเขา เพราะอย่างน้อยเขาก็มีการศึกษาเท่าเทียมกับฉัน และยังมีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพการงานอีกด้วย
หลังเรียนจบฉันกับวสันต์ก็ได้ไปทำงานอยู่ที่บริษัทไกล้ๆกันในนิคมอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง เราเช่าห้องอยู่ด้วยกันและรอที่จะเก็บเงินไปสู่ขอและแต่งงานให้เป็นที่เรียบร้อย แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ไปสู่ขอให้เป็นเรื่องเป็นราวฉันก็เกิดตั้งท้องขึ้นมาก่อน นั่นทำให้แผนการณ์ทุกอย่างต้องล้มเลิกไปก่อน เพราะต้องเก็บเงินไว้เป็ค่าใช้จ่ายในระหว่างคลอด
หลายต่อหลายครั้งที่วสันต์แสดงให้ฉันเห็นว่าเขารักฉันแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นงานวันเกิดฉัน งานปีใหม่หรือเทศกาลต่างๆเขาก็มักจะมีของขวัญติดมือมาให้ฉันเสมอ ฉันคิดว่าคงไม่มีใครอีกแล้วที่ฉันจะรักได้นอกจากเขา เขาจะเป็นผู้ชายคนเดียวของฉันตลอดไป ฉันจะไม่มีวันรักใครได้อีกนอกจากผู้ชายคนนี้
แต่หลังจากการระเบิดครั้งใหญ่ของสิ่งที่เรียกว่าสังคมออนไลน์ในชื่อ เฟชบุค ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป วสันต์ซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่มีราคาแพงมาใช้โดยอ้างว่าเขาต้องติดต่อกับลูกค้าผ่านเครือข่ายที่ว่านี้ ฉันไม่ว่าอะไร เพราะเขาซื้อมาใช้ในงาน ฉันไม่เคยเฉลียวใจเลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการสูญเสีย เขาเริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นคนที่ชอบนั่งแอบอยู่คนเดียวและหัวเราะคิกคัก
วันเวลาผ่านไปจนฉันท้องได้แปดเดือน อีกแค่เดือนเดียวก็จะครบกำหนดคลอด และแล้วในค่ำคืนของวันหนึ่งหลังจากที่ฉันเลิกงานมา ฉันไม่เห็นเขาอยู่ในห้อง ปกติเขาจะเป็นคนอยู่ติดห้อง ไม่ค่อยออกไปเที่ยวที่ไหนนอกจากมีงานสังสรร และเขาก็จะโทรมาบอกเสมอ แต่ครั้งนี้เขากลับไม่โทรมาบอก ฉันอุตส่าห์คิดเข้าข้างตัวเองว่าบางทีแบตโทรศัพท์เขาอาจจะหมด ฉันเดินอุ้ยอ้ายไปที่โต๊ะเครื่องแป้งอย่างที่เคยทำทุกวัน เอากระเป๋าถือแขวนไว้ที่เก้าอี้ จากนั้นก็ล้วงกระเป๋าสตังส์ออกมาจากกระเป๋าชุดคลุมท้อง แล้ววางมันลงตรงกลางโต๊ะเครื่องแป้ง ฉับพลันฉันก็มองเห็นกระดาษเอสี่พับไว้อย่างดีอยู่ที่ตรงกลางโต๊ะเครื่องแป้งนั้น ฉันค่อยๆหยิบมันขึ้นมาด้วยมืออันสั่นเทา และเมื่อฉันเปิดออกมา มันคือข้อความบอกลาที่วสันต์ได้เขียนเอาไว้
เขากล้าทิ้งผู้หญิงคนหนึ่งที่รักเขาอย่างหมดหัวใจและพร้อมจะให้เขาทุกอย่างเพื่อไปกับผู้หญิงอีกคนได้อย่างไร เขากล้าทิ้งผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาเคยบอกว่ารักสุดหัวใจไปได้อย่างไร เขากล้าทิ้งผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังอุ้มท้องที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาเองแท้ๆไปได้อย่างไร เขากล้าทิ้งผู้หญิงคนหนึ่งไว้กับอนาคตอันมืดมนได้อย่างไร ค่ำคืนนั้นฉันร้องไห้อย่างหมดอาลัยตายอยาก หลายครั้งที่ฉันพยายามคิดหาวิธีฆ่าตัวตาย แต่เมื่อมองเห็นท้องตัวเองที่ป่องล้นออกมาก็ทำให้ฉันต้องยั้งใจตัวเองเอาไว้ทุกครั้ง ในที่สุดฉันก็ทนกล้ำกลืนน้ำตาตัวเองเอาไว้...และตัดเรื่องเศร้าโศกเสียใจออกไปให้หมด...ฉันไม่ยอมบอกแม่ในเรื่องที่ฉันท้องรวมทั้งเรื่องที่วสันต์ตีจากฉันไป สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ...ฉันบอกแม่ไม่ได้ว่าคนที่ฉันรักและยังเคยพาเขาไปยืนยันต่อหน้าท่านว่าเขาคือคนที่ดีจริงและรักฉันจริง ฉันบอกท่านไม่ได้ว่าคนๆนั้นได้ทอดทิ้งฉันไปแล้ว
หลังจากคลอดยัยหนูนา ฉันได้อยู่ป้อนข้าวป้อนนมแกด้วยตัวเองอยู่สามเดือนตามประกาศกฎหมายแรงงาน แต่เมื่อครบสามเดือนแล้วฉันต้องกลับไปทำงานที่บริษัทตามปกติ เรื่องนี้ทำให้ฉันต้องเครียดอยู่หลายวัน จนกระทั่งวันหนึ่งบังเอิญพายัยหนูนาไปฉีดวัคซีนแล้วได้เจอกับเพื่อนข้างห้อง แกชื่อพี่หมอน อายุห่างจากฉันสามปี พอถามไปถามมาจึงได้รู้ว่าแกอยู่บ้านเลี้ยงลูกเฉยๆ สามีไปทำงานที่แท่นขุดเจาะน้ำมัน สามเดือนจึงจะกลับสักครั้ง ฉันลองขอให้แกช่วยหาคนที่ไว้ใจได้มาช่วยเลี้ยงหนูนาให้หน่อยในช่วงที่ฉันไปทำงาน แกเลยอาสารับเลี้ยงยัยหนูให้โดยไม่คิดค่าเลี้ยงดูแต่อย่างใด เมื่อฉันได้ยินพี่หมอนพูดอย่างนั้นฉันถึงกลับปล่อยโฮโดยไม่อายใครพร้อมกับก้มลงกราบแทบเท้าพี่หมอน แกตกใจใหญ่และถึงกับเข้ามากอดประโลมและพูดปลอบใจสารพัด
ไม่มีรักแท้จากผู้ชายคนไหนหรอก นั่นคือคำที่ฉันใช้บอกตัวเองเสมอมา หลังจากผ่านความขมขื่นจากคนที่ฉันเคยรัก หัวใจของฉันมันก็ด้านชาและไม่อยากรักผู้ชายหน้าไหนอีก พวกผู้ชายก็เหมือนกันหมดทุกคน พูดหวานเพื่อจะได้สมสู่กับผู้หญิงที่ตัวเองพึงพอใจ เมื่อสมหวังแล้วก็พร้อมที่จะกระโดดไปหาตัวเมียตัวอื่น...เหมือนหมาตัวผู้ไม่มีผิด ในใจฉันตอนนี้จดจ่ออยู่ที่ลูกคนเดียวเท่านั้น ฉันจะเลี้ยงให้เขาเติบโตเป็นคนดี และให้เขามีอนาคตสดใส ฉันหวังเพียงแค่นั้น
วันที่ 15 สิงหาคม 2555
ความเศร้าของฉันได้ทุเลาลงไปบ้างแล้วหลังจากที่ได้ซบหน้าร้องให้กับอกพี่หมอนตอนไปรับยัยหนูนาเมื่อวันก่อน ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมฉันจะต้องจดจำวันครบรอบวันจากไปของเขาด้วย มันไม่ใช่สิ่งที่ควรจดจำเลยสักนิดหนึ่ง และที่สำคัญ...ก็ไม่ใช่เพราะเขาหรือที่ทำให้ฉันต้องลำบากอยู่ในขณะนี้ ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมความทรงจำของผู้หญิงที่มีต่อผู้ชายคนหนึ่งถึงได้ฝังลึกจนยากจะถอนได้ขนาดนี้ ในขณะที่พวกผู้ชายกลับไม่เคยสำเหนียก พวกเขาแค่หวังจะได้ผู้หญิงที่สาวกว่า สวยกว่า และรวยกว่า
หลังจากที่ฉันตกเป็นหม้ายก็มีผู้ชายหลายคนพยายามจะเข้ามาเกาะแกะ ทั้งพวกหนุ่มใหญ่หนุ่มน้อยในโรงงานหรือพวกขาจรที่ติดสอยห้อยตามมากับเพื่อนๆ รวมทั้งพวกที่พยายามจะทักเข้ามาใน เฟชบุค ใครบางคนบอกว่าฉันปิดกั้นตัวเองเกินไป ไม่ยอมเปิดใจให้คนอื่นบ้างเลย...บอกตามตรง...ฉันเข็ดจริงๆ ฉันยังเคยคิดด้วยซ้ำว่าในโลกนี้คงหาผู้ชายดีๆไม่ได้หรอก จนกระทั่งเมื่อวานนี้ มีผู้ชายคนหนึ่งทักเข้ามา ตอนนั้นเป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว ยัยหนูนาก็หลับไปแล้ว ฉันพึ่งจะอาบน้ำเสร็จ ยังอยู่ในชุดผ้าขนหนูห่อตัวอยู่เลย ผู้ชายที่ทักเข้ามาก็หน้าตาพื้นๆ ไม่ถึงกับหล่อ แต่ก็ไม่ขี้เหร่ แต่มีบางสิ่งบางอย่างในตัวเขาทำให้ฉันสดุดใจซึ่งฉันเองก็บอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร เมื่อฉันกดดูข้อความของเขา เขาทักมาว่า
:สวัสดีครับ ทำไรอยู่ครับ ผมเข้ามารบกวนหรือเปล่าครับ
ฉันจ้องมองข้อความนั้นอยู่นานพลางคิดในใจว่า พวกเสือผู้หญิง ฉันเลยอยากให้เขาเลิกยุ่งวุ่นวายกับฉันจึงตอบเขาไปว่า
:สวัสดีคะ กะลังให้นมลูกอยู่คะ และก็รอแฟนกลับบ้าน
ฉันโกหกเขาไป หวังว่าเขาจะเลิกเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตฉันเสียที แต่เขากลับทักตอบมาว่า
:ลูกอายุกี่ขวบแล้วครับ
ฉันคิดในใจว่าผู้ชายบ้าอะไร แทนที่เมื่อได้ยินคำพูดของฉันแล้วจะรีบหลบหน้าไป แต่กลับถามกลับมาแบบนี้ เลยตอบเขาไปว่า
:สองขวบคะ
:น่าเสียดายจัง ถ้าสักห้าขวบผมจะเล่านิทานให้เขาฟังซะหน่อยวันนี้ เสียดายเขายังเด็กเกินไป
ฉันรู้สึกประหลาดใจระคนสงสัย เพราะปัจจุบันนี้จะหาคนเล่านิทานให้เด็กฟังคงไม่มี ฉันจึงตัดสินใจตอบข้อความเขากลับไปว่า
:ทำไมคุณถึงอยากเล่านิทานให้ลูกฉันฟัง ทำไมคุณไม่เล่าให้ลูกคุณฟังล่ะ
:น่าเสียดายผมไม่มีลูก อย่าว่าแต่ลูกเลย เมียผมก็ยังไม่มีปัญญาหา55555555555
:ทำไมล่ะคะ...ทำไมถึงคิดว่าตัวเองไม่มีปัญญาหา
:ผมคงจะขี้เหร่มาก..เลยไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบ
:อ๋อคะ
จากนั้นฉันก็ปิดโปรแกรมแมสแซงเจอร์แล้วไปที่เมนูเพื่อน แล้วมองหาคนที่ชื่อ'กันชน' จากนั้นก็คลิกไปที่รูปภาพของเขา เมื่อภาพปรากฎออกมา ส่วนใหญ่จะเป็นรูปต้นไม้ใบหญ้าและภาพธรรมชาติ มีภาพที่เป็นภาพผู้ชายอยู่แค่สองภาพ ภาพหนึ่งถ่ายครึ่งตัวใส่เสื้อคอกลมแขนสั้นสีเทาหม่น อีกภาพเป็นภาพผู้ชายคนเดียวกันใส่เสื้อยีนส์กางเกงยีนส์รองเท้าหนังสีดำทรงสูง หน้าตาคมคาย ท่าทางใจดีแต่ดูเศร้าอย่างประหลาด ถ้าเขาคือคนในรูปนี้จริง เขาก็ไม่ถึงกับขี้เหร่ แต่ก็ยังไม่หล่อเท่ากับวสันต์ แต่ด้วยหน้าตาอย่างเขา เขาสามารถหาคู่ครองได้ไม่ยากเย็น...เจ้าหมอนี่ก็คงจะกะล่อนไม่แพ้ผู้ชายคนอื่นๆ ฉันเลิกสนใจ ปิดเครื่อง แล้วหันกลับมามองลูกสาวแสนสวยที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนที่นอนอย่างมีความสุข นี่ต่างหากที่ฉันควรจะให้ความสนใจ
วันที่ 16 สิงหาคม 2555
วันนี้ฉันแทบจะไม่เป็นอันทำอะไรหลังจากที่ได้รับข่าวร้ายว่าลูกสาวสุดที่รักของฉันไม่สบายหนัก พี่หมอนต้องพาแกไปโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ฉันเดินวนไปวนมาอยู่รอบโต็ะทำงานของตัวเองจนลืมงานที่เจ้านายสั่งให้ทำ และเมื่อเจ้านายเรียกหางานที่สั่งให้ฉันทำ ฉันกลับหยิบแฟ้มงานอีกชุดไปส่ง เจ้านายคงจะสังเกตุถึงสิ่งผิดปกติในตัวฉันจึงได้เอ่ยถาม ฉันเล่าเรื่องที่ลูกสาวไม่สบายให้แกฟัง ในที่สุดแกก็อนุญาติให้ฉันเลิกงานครึ่งวันเพื่อไปเยี่ยมลูกได้ เมื่อฉันไปถึงหมอบอกว่าลูกสาวฉันเป็นไข้หวัดใหญ่ อาการปลอดภัยแล้ว สามารถนำลูกกลับบ้านได้ ฉันกล่าวคำขอบคุณคุณหมออย่างซาบซึ่ง และเข้าสวมกอดพี่หมอนอย่างซาบซึ้งในพระคุณของพี่หมอนอย่างยิ่ง เธอโอบปลอบพลางพูดว่า
"ไม่เป็นไรน่า...ยัยหนูนาจะไม่เป็นอะไรตราบที่มีพี่คอยดูแลอยู่...ไม่ต้องห่วงนะ"
ฉันจ่ายค่ายาและพายัยหนูนากลับมาถึงห้องตอนห้าโมงเย็น ลูกสาวแสนสวยนอนหลับตาพริ้มอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวในสิ่งที่พึ่งจะเกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อเห็นยัยหนูนอนหลับสบายแล้ว ฉันจึงอาบน้ำแต่งตัวในชุดสบายๆเพื่อเตรียมเข้านอนกับยัยหนู ในขณะที่ฉันกำลังปะแป้งแต่งตัวอยู่นั้นก็มีเสียงทักเข้ามาทางโทรศัพท์
:สวัสดีครับ สบายดีไหม
รูปที่คุ้นเคยโผล่ขึ้นมา ผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว ผู้ชายโรคจิต ฉันคิดอย่างนั้นจริงๆในตอนนั้น และฉันก็ได้ตัดสินใจไล่เขาด้วยความสุภาพที่สุดว่า
:อย่าว่าอย่างงั้นอย่างนี้เลยนะคะ ฉันมีครอบครัวแล้ว ฉันมีสามีที่รักฉันมาก และเรายังมีลูกที่น่ารักด้วยกัน ถ้าจะกรุณา ก็อย่าพยายามมาตื้อฉันเลยค่ะ...คุณคงจะเสียเวลาเปล่า
:คุณเข้าใจผิดแล้วครับ ผมไม่หวังจะทำลายครอบครัวใคร ไม่เคยคิดแม้แต่น้อย คุณไว้ใจเถอะ ผมจะไม่มีวันแตะต้องคุณ ผมสัญญา แต่ที่ผมทักคุณเข้ามาเพราะผมแค่รู้สึกอยากคุยกับคุณ อยากเป็นเพื่อนกับคุณ แต่ถ้าหากมันทำให้คุณลำบากใจ ผมไปก็ได้ครับ จะไม่มารบกวนคุณอีก
ข้อความของเขาขาดหายไปหลังจากนั้น ฉันไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้รู้สึกหวั่นไหวกับคำตัดพ้อของเขานัก ฉันรีบพิมพ์ตอบกลับไปในเวลาต่อมาไม่นานว่า
:ป่าวหรอกค่ะ ฉันแค่ไม่อยากให้ใครมาจีบหรือเกี้ยวพาราสีคนที่มีลูกมีครอบครัวแล้วอย่างฉัน แต่ถ้าคุณบอกว่าอยากเป็นเพื่อน ฉันก็ยินดีคะ
:ครับ ผมต้องการแค่นั้นจริงๆ แค่เราได้เป็นเพื่อนกัน ได้พูดคุยกันก็พอ
:คุณบอกว่ามีนิทานจะเล่าให้ยัยหนูฟัง...ตอนนี้ยัยหนูหลับแล้ว...จะเป็นไรมั้ยถ้าคุณจะเล่าให้แม่ยัยหนูฟังก่อน...เมื่อยัยหนูโตขึ้นฉันจะได้เอานิทานของคุณเล่าให้แกฟังทุกคืนก่อนนอน
:5555555 ได้สิครับ...งั้นช่วงนี้...ผมจะเป็นนิทานก่อนนอนให้คุณทุกวันก็แล้วกันครับ..ผมสัญญา
:คะ...แต่ทำไมคุณใช้ทำว่าสัญญากับฉันบ่อยจังคะ
:มันเป็นนิสัยที่ติดตัวผมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ ผมมักจะพูดคำว่า'ขอให้สัญญา'กับคนที่ผมตั้งใจจะทำสิ่งนั้นๆให้สำเร็จจนได้แม้จะยากเย็นแค่ไหนก็ตาม
:อ้อคะ...แล้วทีนี้...สัญญาที่คุณบอกฉัน...คุณจะเริ่มได้เมื่อไหร่คะ
:5555555555 คร้าบบบบบ เริ่มเดี๋ยวนี้เลยคร้าบบบบบ 5555
:อ้อคะ...อิอิ
:กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
:คะ...นิทานปกติเค้าต้องเริ่มอย่างนี้ทุกทีอิอิ
:5555555 คร้าบบบบ
:อะ...ต่อๆๆๆๆๆๆๆ
:กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กชายตัวดำหุ่นขี้ก้างอายุหกขวบอาศัยอยูในหมู่บ้านอันแสนกันดารและห่างไกลความเจริญ เขาไม่เหมือนเด็กทั่วๆไปตรงที่ เขามีเขี้ยวงอกยาวโง้งออกมาจากริมฝีปากทั้งสองข้าง ชาวบ้านต่างพากันชำเลืองมองเจ้าเด็กเขี้ยวโง้งคนนั้นอย่างหวาดกลัวพลางกระซิบกระซาบบอกกันว่า เดี๋ยวคืนนี้มันจะไปจับเอ็งกินแน่ๆ 55555555
:มีด้วยเหรอคะเด็กที่มีเขี้ยวโง้งแบบนั้น
:คุณลืมไปแล้วหรือครับ...ว่าคุณกำลังฟังนิทานอยู่...อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้นถ้าเป็นนิทาน555555555
:อ๋อคะ5555555...ฉันก็ลืมนึกไป...ต่อๆๆๆๆเลยคะ
:ครับ...ถึงแม้ว่าผู้เป็นแม่ของเด็กชายเขี้ยวโง้งคนนั้นจะสงสารเขาและคิดอยากจะพาลูกไปถอนเขี้ยวออกปากเขาสักเท่าไหร่ แต่เรื่องเงินคือปัญหาสำหรับชาวบ้านผู้มีรายได้น้อยอย่างแก การไปโรงพยาบาลต้องเดินทางไกลและเสียค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นแกเลือกที่จะปล่อยไว้แบบนั้นจนกว่ามันจะหลุดออกไปเอง แต่รอแล้วรอเล่ามันก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลุดออกไปจากปากเขาสักที ชาวบ้านเริ่มซุบซิบและวาดภาพให้เด็กชายคนนี้เป็นยักษ์เป็นมาร พวกเขาเชื่อกันว่า เด็กคนนี้เป็นลูกยักษ์มาเกิด
:แย่จัง...แล้วแม่เด็กทำไงต่อคะ
:ผู้เป็นแม่ปกป้องลูกชายของตัวเองอย่างเต็มที่...แกบอกใครต่อใครว่า มันเป็นลูกกู...ไม่ใช่ยักษ์ใช่มารที่ไหน ว่าแล้วแกก็หอบลูกแมวฝูงหนึ่งที่คลานยั้วเยี้ยะอยู่บนบ้านพร้อมกับจูงแขนลูกชายไปหาหลวงตาที่วัด เมื่อขึ้นไปอยู่บนกุฏิของหลวงตาได้แล้ว แกก็พูดกับหลวงตาว่า หลวงตาคะ ฝากเจ้าพวกนี้ไว้ที่วัดด้วยนะคะ ว่าเสร็จแกก็ทำท่าจะลุกเดินกลับบ้าน หลวงตาเห็นท่าไม่ดีเลยรีบท้วงขึ้นทันทีว่า เฮ้ยๆๆๆๆๆๆๆๆ...เดี๋ยวก่อนอีบด..มึงอย่าบอกนะว่า เจ้าพวกนี้ของเอ็งมันหมายถึงไอ้นี่ด้วย แกพูดพลางชี้มือมาที่เด็กชายที่นั่งทำหน้าเหรอหราอยู่ตรงนั้น หญิงที่ชื่อบดทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมใส่หลวงตาก่อนจะพูดออกมาเสียงอ่อยๆว่า ก็ได้ไหมล่ะเจ้าคะ...5555555555
:555555...แล้วยังไงต่อค่ะ
:หลวงตาตะคอกกลับไปว่า...อีบด...นี่มันลูกมึงนะ...ไม่ใช่ลูกหมาลูกแมวที่ไหนจะได้เอามาปล่อยทิ้งไว้ที่วัดได้ง่ายๆ แม่ใหญ่บดทำหน้าเหมือนถูกขัดใจก่อนจะพูดว่า ก็แค่รอให้เขี้ยวมันหลุดออกไปหมดก่อนแล้วอิฉันจะมารับมันคืนเจ้าคะ หลวงตาเลยบอกว่า มึงไม่ต้องรอ เดี๋ยวกูจะทำให้มันหลุดวันนี้แหละ ว่าแล้วแกก็หาเชือกมาเส้นหนึ่ง ผูกปลายด้านหนึ่งไว้ที่เขี้ยวของเจ้าเด็กนั่น แล้วนำปลายอีกด้านไปผูกกับหูจับประตูกุฏิ จากนั่นแกก็กระชากประตูปิด ปั้ง!
:เชือกขาด!! 55555555
:5555555555...แล้วยังไงต่อคะ
:หลวงตาเอาใหม่ ที่นี้เพิ่มจำนวนเชือกเข้าไปเป็นสี่เส้น นำปลายด้านหนึ่งผูกกับเขี้ยวของเจ้าหนู ปลายอีกด้านผูกเข้ากับหูจับประตูเหมือนเดิม จากนั้นแกก็จะชากประตูปิดปั้ง!
:หูจับประตูหลุด55555555
:ตายจริง55555555...แล้วไงต่อคะ
:หลวงตาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในขณะที่ยายบดแอบอมยิ้มอย่างมีความหวัง เมื่อหลวงตาเห็นดังนั้นจึงทำใจฮึดสู้ใหม่ คราวนี้แกทำน้ำมนต์ใส่ขันแล้วเอามาให้เจ้าเด็กนั่นกิน เมื่อเด็กกินน้ำมนต์หมดขันแล้ว แกก็เรียกเด็กให้ไปหาแกที่หน้าบันไดกุฏิพลางชี้ให้ดูที่ต้นตาลที่อยู่ไกลลิบลิ่ว เจ้าเด็กนั่นมองตาม มันหวังว่าจะได้เห็นไอ้มดเอ็กซ์กระโดดลงมาจากต้นตาลต้นนั้น แต่ยังไม่ทันที่มันจะได้มองเห็นอะไรก็มีตีนหยาบๆของใครบางคนยันโครมเข้าที่บั้นท้ายของมัน มันกลิ้งลุนๆเป็นลูกขนุนลงมาจากบันไดจนถึงพื้น 55555555...เมื่อมันลุกขึ้นมาได้มันก็พบว่าเขี้ยวของมันได้หลุดออกจากปากแล้ว มันเอามือลูบคลำที่ปากอย่างดีใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะร้องไห้เป็นวักเป็นเวรเมื่อมองเห็นเลือดอยู่เต็มมือ55555555
:55555555...หลวงตาแกฉลาดจริงๆนะคะ
:คร้าบบบบบ...สนุกมั้ยครับนิทานเรื่องนี้555555
:สนุกมากคะ...
:นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...จงอย่าไว้ใจใครเพียงเพราะนิ้วชี้ให้ดู...แม้จะเป็นถึงหลวงตาก็ตาม55555555...
:อ๋อคะ5555555
:ดึกมากแล้ว...ฝันดีนะครับ
:คะ...ฝันดีคะ
ฉันแอบอมยิ้มเมื่อปิดสัญญานเน็ตพลางคิดในใจว่า...ผู้ชายคนนี้ใช้ได้ทีเดียว ฉันก้มลงหอมแก้มยัยหนูก่อนจะล้มตัวลงนอนข้างๆแก
ความคิดเห็น