ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปาฏิหาริย์นิทานรักข้ามภพ

    ลำดับตอนที่ #4 : ความฝันอันแสนประหลาด

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.ย. 56


    19 สิงหาคม 2555
       
    เมื่อคืนนี้ฉันฝันประหลาดเหลือเกิน ฉันฝันว่าตัวเองเดินอยู่บริเวณลานวัดแห่งหนึ่ง เฝ้ามองดูดอกลั่นทมที่ร่วงหล่นลงมาจากต้น ดอกลั่นทมสีขาวแซมม่วง ในใจฉันรู้สึกห่อเหี่ยวอย่างไรพิกลและรู้สึกเศร้าอาดูรทุกครั้งที่มองเห็นดอกลั่นทมหลุดจากขั้วและลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ ฉันรู้สึกเหมือนมีความผูกพันธ์กับมันเป็นพิเศษ รวมทั้งลานวัดแห่งนี้ด้วย เมื่อมองเลยสวนลั่นทมออกไปฉันก็มองเห็นเถาน้ำเต้าขึ้นเลื้อยเลาะอยู่ตามเสาและหลังคาของนั่งร้านที่ทำจากไม้ไผ่ลำใหญ่ พวกมันขึ้นปกคลุมนั่งร้านจนกลายเป็นซุ้มเถาน้ำเต้าขนาดใหญ่ ฉันค่อยๆเดินผ่านสวนลั่นทมไปที่นั่น เถาน้ำเต้ายืนก้มหน้าเศร้าเหมือนกำลังไว้อาลัยต่อการจากไปของใครบางคน ลูกน้ำเต้าหลายลูกกำลังเหี่ยวเฉาและก็คงจะแห้งตายในอีกไม่ช้า ใครบางคนที่ว่าคงจะมีความผูกพันธ์กับมันมาก และบางที ใครบางคนที่ว่านั้นก็คงจะมีความผูกพันธ์กับฉันมากเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นฉันคงจะไม่สามารถรับรู้ถึงความเศร้าโศกของพวกมันได้แบบนี้
       ที่ใต้นั่งร้านของซุ้มเถาน้ำเต้ามีแคร่ไม้ไผ่เก่าๆวางอยู่ มีร่องรอยการใช้งานปรากฏอยู่บนแผ่นเปลือกไม้ มันขึ้นเงาไปทั่วทั้งผืน ฉันค่อยๆเอามือที่เหี่ยวย่นของตัวเองลูบคลำแคร่ไม้ไผ่นั้นอย่างแผ่วเบา ในขณะนั้นเองที่น้ำตาฉันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ฉันผละมือจากแคร่ไม้ไผ่แล้วเดินเงียบๆคนเดียวอยู่ที่ใต้ซุ้มเถาน้ำเต้านั้น สายตามองหาบางสิ่งบางอย่างจากลูกน้ำเต้าบางลูก เคยมีบางสิ่งบางอย่างอยู่บนลูกน้ำเต้าเหล่านั้น แต่มันคืออะไรฉันก็นึกไม่ออก จนกระทั่งฉันได้เจอกับลูกน้ำเต้าที่แห้งเหี่ยวตายมานานแล้ว ผลของมันกลายเป็นสีน้ำตาลหม่น ที่ด้านข้างมีตัวหนังสือเขียนเอาไว้เลือนลางมาก
     แม้ดั้นด้นเดินดินจากถิ่นฐาน
    เป็นหมื่นล้านพันโยชนั้นย่อมได้
    แต่ถิ่นรักปักฐานลงกลางใจ
    จะอยู่ไหนใจเล่าก็คืนเรือน
       ฉันค่อยๆยื่นมืออันสั่นเทาไปประคองลูกน้ำเต้าลูกนั้น จากนั้นก็ดึงมันมาสวมกอดอย่างสุดแสนอาลัยรัก น้ำตาของฉันไหลออกมาราวกับสายฝน มันไหลออกมาราวกับว่าชาตินี้จะไม่มีวันหยุดไหล
       ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมหยาดน้ำตาที่เปื้อนเต็มหน้าเต็มตาฉันไปหมด ฉันควานหาโทรศัพท์มือถือมาเปิดดูเวลา ตัวเลขเวลาบนโทรศัพท์มือถือบอกฉันว่าเป็นเวลาตีห้ายี่สิบ ฉันค่อยๆเดินโผเผไปที่ห้องน้ำ จัดการล้างคราบน้ำตาออกจากใบหน้า แต่หลังจากล้างหน้าเสร็จแล้วฉันลองนึกทบทวนความฝันของตัวอีกครั้ง และฉันก็ต้องประหลาดใจเมื่อน้ำตาของฉันไหลออกมาทุกครั้งที่ฉันคิดไปถึงตอนที่ฉันประคองกอดลูกน้ำเต้าลูกนั้น
       บ้าไปแล้วแกยัยหวาน...ฉันบอกตัวเองพลางยิ้มทั้งน้ำตา นี่ฉันกำลังจะเป็นบ้าไปแล้ว ฉันจัดการเปิดโน้ตบุ๊กแล้วเขียนบันทึกความฝันลงไปในนั้น
       ตลอดทั้งวันฉันเอาแต่นั่งนึกถึงความฝัน ฉันท่องจำบทกลอนบทนั้นได้อย่างขึ้นใจ ไม่รู้ทำไมฉันถึงอยากจะจดจำมันไว้นัก พี่หมอนแวะมาหาฉันที่ห้องตอนบ่ายสอง แกอุ้มยัยน้อยหน่าลูกสาวแกมาด้วย และยังอุตส่าห์หิ้วขนมกล้วยบวชชีมาฝากฉันอีกด้วย เราสองคนคุยกันสัพเพเหระตามประสาผู้หญิง จนกระทั่งมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฉันนึกถึงความฝันขึ้นมาได้ ฉันตัดสินใจเล่าให้พี่หมอนฟัง เมื่อฟังจบแกทำท่านิ่งอึ้งอยู่พักใหญ่ก่อนจะพูดกับฉันว่า
    "นั่นอาจจะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับหวานจริงๆเมื่อชาติก่อนก็เป็นได้"
    "พี่หมอนเชื่อเรื่องพวกนี้ด้วยหรือคะ..."
    "พี่เชื่อเต็มประตูเลยแหละ...แล้วหวานล่ะ...เชื่อเรื่องพวกนี้หรือเปล่า"
    "หวานไม่แน่ใจ ยังไม่รู้ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อดี"
    "เคยมีคนที่กลับมาเกิดใหม่แล้วระลึกชาติได้อยู่มากมาย...มีบันทึกไว้เป็นหนังสือก็มาก...มาออกทีวีก็เยอะ...พี่น่ะ...เชื่อว่าชาตินี้ชาติหน้ามีจริง...หวานเองก็เถอะ...พี่เชื่อว่าหวานเคยผูกพันธ์กับใครบางคน....อาจจะเป็นคนรักเก่าเมื่อชาติที่แล้วก็ได้จึงได้ฝันแบบนี้"
       ฉันเองไม่ค่อยแน่ใจในเรื่องนี้เท่าไหร่ จึงไม่ได้แสดงความเห็นอื่นใดออกไป ฉันคิดว่า บางทีอาจจะเป็นเพราะฉันเสียใจกับการจากไปของวสันต์มากเกินไป จิตใต้สำนึกเลยกลั่นออกมาเป็นความฝันในลักษณะนั้น
      พี่หมอนกลับห้องตอนเกือบสองทุ่ม ผู้หญิงอย่างพวกเรา พอได้มาเจอกันแล้วก็มีเรื่องให้คุยกันได้ทั้งวัน ทั้งเรื่องชีวิตประจำวัน เรื่องผม เรื่องเสื้อผ้า แฟชั่น ดารา นักร้อง ยกเว้นเรื่องการเมืองที่พวกเราไม่สนใจและไม่เคยนำมาเป็นหัวข้อสนทนา
      หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จฉันก็เปิดโน้ตบุ๊คเพื่อบันทึกไดอารี่ประจำวันเอาไว้ก่อนที่จะล้มตัวลงนอน เมื่อฉันพิมพ์เสร็จก็มีเสียงทักมาจากนักเล่านิทานคนเดิม
    :สวัสดีครับ
    :สวัสดีคะ
    :พร้อมจะฟังนิทานหรือยังครับ
    :คะ...หวานรอฟังอยู่คะ
    :ครับ...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว55555555
    :
    เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆ
    :กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กชายตัวดำหุ่นขี้ก้างคนหนึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆอันแสนกันดารและห่างไกลความเจริญ เด็กชายที่ว่านั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แท้ที่จริงแล้วเจ้าเด็กกะโปโลนั่นก็คือพี่นั่นเอง5555555
    :
    ค่าาาาาา
    :สมัยเด็กๆหวายเคนเล่นรถกระป๋องมั้ย
    :เคยคะ...หวานยังเคยทำเองกับมือด้วยนะ...มีเพื่อนคนนึงสอนให้ทำ...พวกเราจะเอากระป๋องแป้งมาเจาะรูแล้วก็เอาฝาน้ำอัดลมมาทำเป็นล้อสี่ล้อ...จากนั้นก็เอาเชือกมาผูกแล้วก็จูงเล่นทั้งวัน55555555
    :
    ครับ...แบบนั้นเลย...แต่รถที่คุณหวานทำมันเป็นแค่รถกระป๋องธรรมดา พวกเด็กบ้านนอกอย่างพวกพี่ชอบขับรถเปิดประทุนมากกว่า5555555
    :
    หน้าตามันเป็นยังไงหรอคะรถเปิดประทุนของพี่
    :มันเป็นรถที่ทำจากกระป๋องสังกะสีที่ได้จากกระป๋องของปลากระป๋องน่ะครับ เมื่อได้กระป๋องมาพวกเราก็จะเจาะรูสองข้าง เหลาไม้ไผ่ให้มีขนาดพอดีรู จากนั้นก็เหลาปลายไม้ไผ่ทั้งสองข้างให้แหล แล้วสอดไม้ไผ่ที่เหลาไว้อย่างดีแล้วเข้าไปในรูของกระป๋องที่เจาะเอาไว้แล้ว จากนั้นก็หารองเท้าแตะที่ไม่ใช้แล้วเอามาตัดให้เป็นวงกลมให้ได้สองอันแล้วเอามาเสียบกับปลายไม้ไผ่ทั้งสองข้าง ขั้นตอนการประกอบช่วงล่างของรถเปิดประทุนก็เป็นอันเสร็จสิ้น ต่อไปก็เป็นระบบบังคับเลี้ยว
    :ฟังดูหรูหราจัง555555555
    :
    คร้าบบบบบบบ....55555....ต้องหรูหราอยู่แล้วเพราะนี่คือรถเปิดประทุน555555555
    :55555555....
    รถกระป๋องของหวานเลยดูกระจอกไปเลย55555555
    :5555555...
    คร้าบบบบบบบ
    :อะ...ต่อๆๆๆๆๆๆ
    :คร้าบบบบบ...วิธิการสร้างระบบบังคับเลี้ยวค่อนข้างจะยุ่งยากนิดหนึ่ง คือเราต้องหาลำไม้ไผ่มาไห้ได้ก่อน หาให้ได้ลำสักขนาดเท่าท่อนแขนของเรา จากนั้นก็ตัดไม้ไผ่ลำนั้นให้ความยาวประมาณจากพื้นถึงศีรษะ เหลาปลายด้านหนึ่งให้แหลม ปลายอีกด้านวัดลงมาสองศอกแล้วก็ทำเครื่องหมายไว้ที่จุดนั้น จากนั้นก็ตัดลำไม้ไผ่อีกลำให้ได้ความยาวศอกครึ่ง เอามันทาบลงไปที่ตำแหน่งเครื่องหมายที่ทำไว้บนลำไม้ไผ่อีกลำ แล้วเอาตะปูมีตียึดมันไว้ด้วยกันในลักษณะเครื่องหมายกากบาท (ไม้ไผ่ที่ทำกากบาทไว้ก็คือพวงมาลัยรถนั่นเอง) เจาะรูกระป๋องในลักษณะเฉียงขึ้นตรงตำแหน่งตรงกลางระหว่างล้อทั้งสองข้าง สอดปลายแหลมของลำไม้ไผ่เข้าไปในรูนั้นก็เป็นอันสิ้นสุดกระบวนการผลิต...ต่อมาก็นำไปทดลองขับเพื่อเช็คสมรรถภาพของรถ การขับรถเปิดประทุนก็ง่ายนิดเดียว  แค่ทาบไม้ไผ่ลำนั้นลงบนไหล่ เอามือทั้งสองข้างจับพวงมาลัยไม้ไผ่ที่เราตียึดเป็นรูปกากบาท...จากนั้นเราก็ขับไปไหนต่อไหนได้แล้ว ทดลองขับรอบหมู่บ้านสักรอบก็เป็นอันเสร็จสิ้น...ทีนี้รถเปิดประทุนก็พร้อมอวดโฉมบนท้องถนนได้แล้ว55555555
    :5555555...
    สุดยอด...สมแล้วที่เป็นรถเปิดประทุน55555555
    :5555555...
    แต่พี่ยังไม่พอใจเพียงแค่นั้น...รถเปิดประทุนของพี่มันจะต้องหรูหรากว่าของใครๆ...พี่ลงทุนตกแต่งเพิ่ม...โดยไปหากระดาษสีที่เขาแขวนไว้ที่งานทำบุญร้อยวันให้ญาติของใครสักคนในหมู่บ้าน จากนั้นก็เอากระดาษสีเหล่านั้นมาพันรอบตัวรถ นอกจากนี้พี่ยังเพิ่มล้อเข้าไปอีกข้างละล้อ กลายเป็นสี่ล้อ เมี่อตกแต่งเสร็จ รถพี่ก็กลายเป็นรถเปิดประทุนี่หรูหราที่สุดในหมู่บ้าน55555555
    :5555555...
    สุดยอดเลยพี่...5555555
    :
    พี่ขับรถเปิดประทุนคันนั้นไปโรงเรียนท่ามกลางสายตาของเพื่อนๆที่มองพี่ด้วยความอิจฉา555555555...รถเปิดประทุนของพวกมันกลายเป็นรถตกรุ่นไปเลยเมื่อพี่ขับรถไปจอดเทียบ5555555
    :555555...
    แน่นอนจริงพี่...55555555
    :
    หนึ่งในบรรดาเพื่อนที่อิจฉาพี่มากที่สุดก็คือไอ้สุพจน์ นักเรียนตัวโข่งที่ใครๆต่างก็ต้องยอมก้มหัวให้ เพราะมันตัวใหญ่กว่าทุกคนในห้องแถมยังอันธพาลไม่เลือก เมื่อมันเห็นรถพี่ไฟอิจฉาก็พุ่งออกมาจากตาทั้งสองข้างของมัน มันทิ้งรถของตัวเองลงพื้นแล้วเดินมากระชากรถเปิดประทุนไปจากมือพี่เอาดื้อๆ  พี่เป็นคนไม่ยอมคนมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว เมื่อพี่เห็นมันหันหลังให้พี่ก็เดินไปหยิบแปลงลบกระดานแล้วเอาไปฟาดหัวมันจากทางด้านหลัง การลอบทำร้ายคนจากด้านหลังถือเป็นการต่อสู้ที่กล้าหาญมากสำหรับพี่
    :55555555...กล้ามากกกกกกกก...5555555
    :
    หลังจากนั้นการต่อสู้ระหว่างพี่กับไอ้สุพจน์ก็เกิดขึ้น ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งนาทีก็รู้ผลแพ้ชนะ ไอ้สุพจน์ยืนลูบคลำรถเปิดประทุนของพี่อย่างหงอยเหงาเศร้าซึม ที่หัวมีรอยแดงเป็นปื้นอันเกิดจากแปลงลบกระดาน ในขณะที่พี่นอนกองอยู่ที่พื้นอย่างสะใจ ปากและจมูกมีเลือดไหลเป็นทาง เห็นได้ชัดว่าไอ้สุพจนพ่ายแพ้ให้กับพี่อย่างราบคาบ
    :55555555...แต่หวานว่าสภาพของพี่ดูแย่กว่าไอ้สุพจน์มากเลยนะ555555555
    :5555555..
    ไม่รู้แหละ...ก็พี่คิดของพี่อย่างนี้น่ะ55555555
    :
    จร้า555555555
    :
    หลังจากเลิกเรียนวันนั้นพี่เดินกลับบ้านพลางคิดในใจว่าจะเล่าเรื่องที่พี่ลอบทำร้ายเพื่อนจากทางด้านหลังอย่างกล้าหาญให้แม่ฟังดีหรือเปล่าน้อ5555555
    :
    จร้า...กล้าหาญมาก555555555
    :
    ในขณะที่เดินคิดจนไกล้จะถึงบ้านนั่นเอง พี่ชายพี่ยืนทำหน้าถมึงทึงอยู่ที่ตีนบันไดบ้าน เมื่อแกมองเห็นพี่แกก็ชี้นิ้วพลางตะโกนด่าทันทีว่า ไอ้ชน มึงใช่มั้ยที่เอารองเท้าแตะของกูไปเจาะจนเป็นรูแบบนี้ ว่าแล้วแกก็ยกรองเท้าแตะคู้นั้นขึ้นมาให้พี่ดู ที่บริเวณตรงกลางมีรอยกลวงโบ๋เป็นรูปวงกลม ขนาดของมันเข้ากันกับล้อรถเปิดประทุนของพี่ได้อย่างพอดิบพอดี5555555
    :5555555...
    สองล้อที่พี่ใส่เพิ่มเข้าไปนั่นเอง5555555
    :
    เย็นวันนั้นหากจะมีใครสังเกตุ จะเห็นเด็กผู้ชายวัยสิบห้าปีวิ่งไล่ตีเด็กผู้ชายอายุแปดขวบรอบหมู่บ้าน ผู้เป็นพี่ชายวิ่งตามไล่ตีน้องรอบหมู่บ้านจนครบสี่รอบ พอรอบที่ห้าแม่ก็มาวิ่งผสมโรงไปกับพวกเราด้วย ในมือถือไม้คานด้ามหนึ่ง เมื่อถึงตรงนี้พี่ชายก็ทำความเร็วขึ้นมาจนอยู่เสมอกันกับน้องชายของเขา ทั้งสองต่างแย่งกันวิ่งขึ้นหน้าโดยลืมความบาดหมางที่ผ่านมาทั้งหมด..ต่างพากันคิดแค่อย่างเดียวว่าจะหลบไม้คานของแม่พ้นได้อย่างไร...5555555
    :55555555...
    นึกภาพออกเลยอะ..555555...แล้วยังไงต่อคะ
    :จบแล้ว5555555555
    :
    อ้าว...จบแล้วหรอ...ว้า
    :5555555....นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...อย่าวิ่งไล่ตีน้องอย่างประเจิดประเจ้อหากไม่แน่ใจว่าแม่จะกลับมาเห็นเมื่อไหร่555555
    :555555...
    จริงด้วย5555555
    :
    จร้า...555555555
    :
    พี่จะนอนหรือยังคะ
    :ยังจ้าาาา...ทำไมหรอ
    :พี่เชื่อเรื่องชาติก่อน ชาตินี้ และชาติหน้าไหม
    :อืมมมม...ไม่รู้สิ...ทำไมหรอ
    ฉันนิ่งอยู่นานเมื่อถึงตรงนี้ ไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะเล่าเรื่องความฝันให้เขาฟังดีหรือเปล่า ใจหนึ่งก็กลัวว่าเขาจะหัวเราะเยาะ แต่อีกใจก็คิดว่าคงจะเป็นไรไป ในเมื่อถึงอย่างไรเราก็จะไม่มีวันได้เจอเขาอยู่แล้ว ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจที่จะเล่า
    :คือเมื่อคืนหวานฝันเห็นสถานที่แห่งหนึ่ง หวานฝันว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ที่ลานวัดแห่งหนึ่ง ความฝันมันเหมือนจริงมาก มีพี่คนหนึ่งบอกหวานว่า บางทีหวานอาจจะผูกพันธ์กับสถานที่แห่งนั้นเมื่อในชาติก่อนก็ได้ หวานก็เลยสงสัยว่าพี่จะเชื่อเรื่องพวกนี้หรือเปล่า
    :ลานวัดที่หวานฝันถึง มีสวนลั่นทมอยู่ด้วยหรือเปล่า
    :ค่ะ
    ฉันตอบไปโดยอัตโนมัติ แต่เอ๊ะ...ฉันยังไม่ได้พูดอะไรที่เกี่ยวกับสวนลั่นทมเลยนี่นา
    :เลยสวนลั่นทมออกไปจะมีซุ้มเถาน้ำเต้า
    :คุณรู้ได้อย่างไร
    :เพราะผมก็เคยฝันเห็นมันเหมือนกัน
    ฉันอึ้งอยู่นานพลางคิดไปต่างๆนานา เรื่องความฝันนี้มีแค่พี่หมอนเท่านั้นที่รู้ นอกนั้นก็ไม่มีใคร เว้นแต่ว่าพี่หมอนจะเอาไปเล่าให้คนอื่นฟัง บางทีแกอาจจะเอาไปเล่าให้น้องชายหรือญาติแกฟังก็ได้ และบังเอิญอีตาหมอนี่ก็เป็นน้องชายหรือญาติคนนั้นของแก ฉันตัดสินใจทดสอบสมมุติฐานของตัวเอง ถึงแม้ฉันจะเล่าความฝันให้พี่หมอนฟัง แต่ฉันก็ไม่ได้เล่าให้แกฟังทั้งหมด  ฉันไม่ได้เล่าให้แกฟังเกี่ยวกับรายระเอียดของซุ้มเถาน้ำเต้า

    :คุณช่วยอธิบายลักษณะซุ้มเถาน้ำเต้าที่คุณฝันเห็นหน่อยได้ไหมคะ
    :มีแคร่ไม้ไผ่อันหนึ่งวางอยู่ไต้ซุ้มเถาน้ำเต้านั้น ด้านหลังซุ้มเถาน้ำเต้าเป็นคลองเล็กๆ น้ำใสเย็นสบาย พี่ชอบไปนั่งเล่นที่แคร่นั้นเป็นประจำ สมัยเด็กๆพี่เคยไปวิ่งเล่นอยู่ใต้เถาน้ำเต้ากับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง พวกเราจะชอบเล่นทายคำโดยการเขียนไว้ตามลูกน้ำเต้า แล้วให้อีกฝ่ายออกค้นหาว่าเขียนอะไรไว้บ้าง เราเล่นกันอยู่แบบนั้นจนกระทั่งโต
        มีอยู่วันหนึ่ง พี่ต้องออกไปเป็นทหารที่ในเมือง เข้าใจว่าคงจะเป็นเมืองอโยธยาศรีรามเทพ ในวันก่อนจากนั้น พี่ได้เขียนบทกลอนบทหนึ่งไว้บนลูกน้ำเต้าลูกหนึ่งก่อนที่จะจากไปรบ ข้อความที่พี่เขียนเอาไว้ก็คือ
    แม้ดั้นด้นเดินดินจากถิ่นฐาน
    เป็นหมื่นล้านพันโยชนั้นย่อมได้
    แต่ถิ่นรักปักฐานลงกลางใจ
    จะอยู่ไหนใจเล่าก็คืนเรือน
    ฉันตกใจมากกับสิ่งที่ได้ยิน ที่แท้คือเขาหรอกหรือ ฉันรีบปิดโทรศัพท์ นั่งมึนงงกับตัวเอง เขารู้ได้อย่างไรว่ากลอนบทนั้นเขียนไว้ว่าอย่างไร จะว่าพี่หมอนเป็นคนบอกก็ไม่น่าจะใช่ เพราะฉันไม่ได้ท่องกลอนบทนั้นให้แกฟังเลย อีกทั้งยังไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนั้นเลยสักนิด ฉันรู้สึกใจหวิวๆขึ้นมาอย่างประหลาด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×