ส้มดา ไม่อุทธรณ์ (หลังจากบวช) - ส้มดา ไม่อุทธรณ์ (หลังจากบวช) นิยาย ส้มดา ไม่อุทธรณ์ (หลังจากบวช) : Dek-D.com - Writer

    ส้มดา ไม่อุทธรณ์ (หลังจากบวช)

    แล้วส้มดา ต้องสึกออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

    ผู้เข้าชมรวม

    83

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    83

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  15 ก.ย. 49 / 19:16 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

             แล้วถึงวันที่ผมจำใจต้องสละผ้าเหลือง สึกนะสิ ผมต้องทิ้งชีวิตความเป็นพระสงฆ์ ออกมาใช้ชีวิตฆราวาสดังเดิม ผมสึกออกมาอย่างเงียบๆ เพราะไม่อยากให้ผู้ใดต้องมาเดือดร้อน ต้องจัดงานต้อนรับให้เอิกเกริก บวชมาแล้วต้องรู้จักสมถะ คำนี้ผมจำขึ้นใจ

      อย่าสงสัยเลย ผมสึกก่อนวันออกพรรษา  แปลว่ายังไม่ครบพรรษานะสิ 

            ก็ใช่นะสิ  การสึกครั้งนี้เป็นอุบัติเหตุที่ไม่ตั้งใจ แล้วโอกาสหน้าจะมาบอกให้ฟังอีกทีว่าเกิดอะไรขึ้น ผมรู้สึกเสียใจมากๆที่ไม่สามารถอยู่ครบเทอมพรรษา แต่เมื่อหลวงพ่อมาขอร้องให้ผมเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ด้วยตัวเอง แม้จะอยู่ช่วงกลางพรรษา แล้วจะให้ผมทำอย่างไรล่ะ คนจิตใจงามอย่างผมจึงต้องยอมเสียสละ ..ทำไมหลายคนชอบยกคำนี้มาใช้กับผมมากเหลือเกิน ถ้าไม่มีดินพอกหางหมูไว้ตัวผมคงลอยเป็นรามสูรไล่ฟันไล่ปล้ำนางเมขลาไปแล้ว

            เมื่อสึกออกมา ผมเลือกที่จะกลับบ้านก่อน ไม่ใช่ว่าอายเรื่องเส้นผม แต่เป็นเพราะปัจจัยเมื่ออยู่ในวัดกว่าจะได้แต่ละครั้งยากเย็นไม่ใช่น้อย จึงขอไปตั้งหลักที่บ้านเสียก่อน

            เมื่อผมเดินเข้าเขตบ้าน พ่อกับแม่พากันตกใจอย่างที่สุด ไม่ใช่ประหลาดใจจำผมไม่ได้หรอก  สองคนถามผมด้วยเสียงอึกทึก เมื่ออธิบายให้ฟัง ทุกคนก็สบายใจขึ้น แต่มีเพียงบ่นพึมพำเล็กน้อยที่ไม่ได้มาร่วมพิธีงานสึกของผม

            "ไม่รู้ว่าซวยอะไรนักหนา บ้านเราสงบได้ไม่กี่วัน มันสึกออกมาอีกแล้ว....."  พ่อบ่นพึมพำหยอกผมเล่นอีกแล้ว หลายวันที่ผมไม่อยู่แกคงเหงามาก

            "คงไปสร้างความเดือดร้อนที่วัดด้วยละมั้ง หลวงพ่อถึงไล่มันออกมา ....." แม่หยอกเล่นกับผมด้วยอีกคนแล้ว แต่แรงไปหน่อย ผมบอกแล้ว หลวงพ่อไม่ได้ไล่แต่ขอให้ผมเสียสละ มันเป็นบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่

            "กูไม่ได้หยอก แต่กูด่ามึงว้อย...." สองเสียงดังประสานออกมาพร้อมเพรียงกัน คอรัสเสียงเพราะเสียด้วย

            จะว่าไปผมเห็นพ่อกับแม่ทำท่าทางแบบนี้กับผมบ่อยๆ แกล้งทำทีเป็นโกรธ แกสองคนแสดงได้เหมือนมากเหลือเกิน แต่ครั้งนี้ผมรู้สึกเพลีย จึงไม่อยากเล่นสนุกด้วย ขอปลีกตัวหาที่นอนเข้าสู่สมาธิขั้นวิเวกดีกว่า แต่หลายครั้งผมไม่แน่ใจว่าแกโกรธหรือหยอก  งงไปหมดแยกไม่ออก

            เย็นวันนั้น คนในหมู่บ้านที่รู้ข่าวต่างมาขอดูตัวจริงให้เห็นกับตา จนผมเขินอายที่ต้องมาอยู่ท่ามกลางสายตาจ้องมองมากแบบนั้น โดยมากเป็นกลุ่มที่ช่วยกันจัดงานบวชให้กับผมนั่นแหละ  เมื่อเห็นว่าตัวผมยังมีความอิ่มบุญอยู่ ทุกคนจึงพูดไม่ออกคงยังตื้นตันใจ

           "เวรกรรมของพวกเรานะ ตาดา"

            ฟังพวกนั้นบ่นกับพ่อสิ เสียดายที่ผมรีบสึกออกมา เสียใจที่ยังไม่มีโอกาสได้ไปทำบุญที่วัดใส่บาตรให้ ซึ่งผมได้แต่แสดงความเห็นใจ

            สิ่งที่ทำได้เพียงแค่ปลอบใจพวกเขาเหล่านั้น มีบวชต้องมีสึกเป็นของธรรมดา แต่ท่าทางคงไม่เข้าใจกันอีกแล้วละ

            ผมอยู่คุยด้วยกับพวกเขาไม่นานหรอก ไม่อยากเห็นความเสียใจ เพราะจะทำให้ชีวิตแห้งแล้ง จึงขึ้นไปห้องนอนหาหนังสือมาดูมาอ่านดีกว่า

            อืม....รูปพวกนี้เอง ที่ถือว่าเป็นมารแห่งกิเลส ช่วงที่อยู่ในวัดหามารพวกนี้มาทดสอบด้วยไม่ได้เลย  ดูแล้วได้แต่ปลง แต่ต้องทนอ่านทนดู เราต้องศึกษามาร ศึกษากิเลส เพื่อที่จะได้รู้เท่าทันมัน จึงหยิบหนังสืออีกเล่มออกมา ตั้งใจดูเรียนรู้อย่างจริงจังมุ่งมั่น

           เมื่อไอ้น้องชายอายุสิบสองขวบโผล่เข้ามา หนังสือทั้งหมดแว๊บหายไปใต้ผ้าห่ม กิเลสมักเป็นเช่นนี้แล หลบซ่อนตัวได้อย่างรวดเร็ว เราต้องตามให้ทัน

            เฮ่อออ... ออกมานั่งเล่นอยู่บ้านสองสามวัน ตัวขี้เกียจมันเกาะเต็มตัวไปหมดจนรู้สึกปวดเมื่อย กระดูกขัดกันลั่นกร๊อบกร๊วบไปทังตัว ขืนหากยังพักผ่อนต่อไป สนิมคงกินไขข้อแน่ๆ นึกอยากหาอะไรทำช่วยผ่อนงานของพ่อบ้างดีกว่า จะมัวนั่งนอนอยู่เฉยทำตัวไร้ประโยชน์ไม่ได้  ชีวิตต้องมีขยับขับเคลื่อนบ้างสิ 

           ..เอ ทำไรดี เข้าไปในเมืองดีกว่า ต้องมีเรื่องให้ทำแน่นอน
      ดีที่สุด ถูกต้องแล้วคร้าบบบบ.....  ดูเถอะใจผมเห็นดีด้วยรีบตะโกนร้องย้ำออกมา

            มอเตอร์ไซด์ของพ่อจอดทิ้งไว้นั่น หรือว่าพ่อตั้งใจมาจอดให้ คงใช่แน่เลย ไม่งั้นจะเสียบลูกกุญแจคาไว้ทำไม ครอบครัวของเรามักจะมีความคิดที่ตรงกันในเวลาเดียวกันอยู่เสมอไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ไม่เคยคิดหาความเข้าใจ

            ไอ้เวร...... ผมตบถากหัวน้องชายไปหนึ่งทีด้วยความเอ็นดู มันดันทะลึ่งเดินย่องตามมาด้านหลังเลียนแบบโดยไม่รู้ตัว ผมจึงกระซิบชวนเข้าเมืองด้วยกัน ท่าทางมันดีใจตื่นเต้นมากจนลืมเจ็บหัว

            ดูมันทำสิ... เดินย่องเลียนแบบผมอีกแล้ว แต่เหตุผลที่ผมต้องทำอย่างนี้เพราะไม่อยากให้มีเสียงรบกวนถึงหูพ่อแม่ เดี๋ยวแกจะเสียสมาธิในการทำงานและการพักผ่อน

            ผมไม่ได้ขี่ไอ้รถคู่ใจ(พ่อ)คันนี้มาหลายเดือน วันนี้จึงตื่นเต้นไม่น้อย เมื่อเข้าประชิดได้ผมจึงกระโดดใส่ ตบตูดสองที บิดกุญแจ สตาร์ทเครื่องจนควันดำลอยโขมง ไอ้น้องชายกระโดดตัวลอยกอดเอวผมหมับ ขึ้นซ้อนท้าย รถคู่ใจพุ่งทะยานไม่ต่างกับม้าดีได้จ็อกกี้ถูกใจ ยกขาหน้าลอยวิ่งตะบึงเสียงดังลั่นหมู่บ้าน

           แอ่น.....แอ่นนนนน....แอ้นนนนนน..... แปร่นน แปร้นนนนน
           ผมทดลองบิดอัดคันเร่งเต็มที่ ยังใช้การได้ดีทันใจ

            บีบแตรเพื่อทดสอบระบบความปลอดภัย เสียงอาจจะดังหนวกหูไปบ้าง แต่เพื่อความมั่นใจ ระบบเบรคยังไม่ต้องทดลอง ต้องรอให้วิ่งไปได้ไกลบ้านสักหน่อยก่อน ถือว่าเป็นการช่วยพ่อตรวจสภาพรถไปด้วย ประเทศเราพัฒนาแล้วต้อง ปลอดภัยไว้ก่อน ฝรั่งมันเรียก ฟิฟตี้เฟริส

            "ไม่ใช่ฟิฟตี้ ต้องเรียก  เซฟตี้เฟริส ......" น้องชายของผมเก่งสมกับความตั้งใจที่อยากทดสอบภาษา ผมชื่นชมในความสามารถของมันที่ผ่านการทดสอบได้

            แต่ลางสังหรณ์บางอย่างเหมือนมีใครจ้องอยู่ด้านหลัง ประสาทส่วนนี้ของผมจะเร็วมาก ไม่ใช่ระแวง แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ตั้งแต่เกิด จึงหันกลับไปดู ไม่ยอมปล่อยคันเร่ง ขืนชะลอละก้อเสียชื่อ 'ส้มดา'ตายเลย

            อ๋อ.. พ่อเราน่ะเอง  แกวิ่งตามมาส่งจนไกลเลย  ดูสิโบกมืออวยพรให้อีก ผมจึงโบกมือตอบรับ เป็นสัญญาณว่าไม่ต้องห่วง ผมจะดูแลน้องชายให้อย่างดี

            "พ่อวิ่งตามมาด่า..... "ไอ้น้องชายปากเสีย มันยังเด็กจึงไม่เข้าใจความหมายของพ่อ ผมใช้ท่าศอกกลับ กระแทกโดนเต็มหน้า  บอกแล้วว่าพ่อตามมาส่ง

            "พ่อออกมาด่า ชี้นิ้วด่าเรา..." มันยังเถียงไม่เลิก ทำให้ผมชักเหลืออด ผมไม่ชอบการพูดหลายครั้ง จึงชะลอรถลง คงต้องคุยกับมันให้รู้เรื่อง อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ ทำไมไม่เข้าใจสื่อความหมายของพ่อ

            แค่ผมชะลอรถเท่านั้นหละ
            "สงสัย พ่อจะวิ่งออกมาส่งพวกเรา ..." มันเปลี่ยนความคิดอย่างทันใจ ถึงเสียงจะไม่ดังฉาดฉาน แต่ทำให้ผมหายโกรธได้ น้องชายคนนี้สอนง่ายเสมอ มันเป็นคนหัวเร็วคิดเร็ว

            ผมบึ่งมอเตอร์ไซด์คู่ใจฝ่าตะลุยกองทัพฝุ่น แหวกกระจุยกระจาย เสื้อถูกปลดกระดุมเหลือเพียงเม็ดล่างเม็ดเดียวผมต้องบอกให้ไอ้น้องชายมันก้มตัวมุดอยู่ใต้หลังเสื้อ ถ้ามองจากภายนอกชายเสื้อคงปลิวไสวเท่ห์ระเบิดเถิดเทิงน่าดู เสียดายที่ผมบนหัวยังไม่ขึ้น แต่เพียงแค่นี้กับแว่นตาดำ มันทำให้ผมดูเท่ห์สุดๆแล้ว ไม่ต้องใส่หมวกกันน๊อคให้บังความหล่อ ล้อรถช่วยขยี้ให้กองทัพฝุ่นฮึกเหิมยิ่งขึ้น จนมองไม่เห็นด้านหลัง

            ใจของผมคิดถึงแม่ยอดยาหยีแล้วละ

            ผมต้องแวะปั๊มน้ำมันก่อนจะทะลุเข้าตัวเมือง โถ...มีฝุ่นเกาะเต็มไปหมด ไม่เลือกแม้แต่หัวที่ไร้เส้นผม จะ เข้าเมืองไนสภาพแบบนี้ได้ยังไง ยอดยาหยีของผมไม่ชอบคนสกปรก เมื่อล้างหน้าล้างหัวเสร็จแล้ว ผมรู้ดีที่นี่ยังมีลมให้เติม นั่นไงสายยางเติมลม

             ผมยืนเท่ห์กางแขนอ้าปากหาวรับลม ไอ้น้องชายทำหน้าที่ฉีดๆๆๆ พ่นลม เท่านี้เสื้อผ้าผมสะอาดหมดจดจนดมได้แล้ว ไอ้น้องชายคิดจะเลียนแบบบ้าง ยื่นสายยางให้ผม แค่เงื้อมือเท่านั้นหละ มันรีบเก็บม้วนสายลมเก็บเลย ตัวมันยังเป็นเด็กจะต้องเรียกร้องความน่าสนใจอะไรนักหนา กอดผู้หญิงยังไม่เป็นด้วยซ้ำ ผมจัดแจงเก็บชายเสื้อมุดเข้ากางเกง

            จะบอกว่าปั๊มน้ำมันในยุคนี้คือสวรรค์ของนักเดินทางไม่น่าจะเพี้ยน ลองต้องทนกลั้นอาการปวดท้องดูสิ ยิ่งกว่าตกนรกเสียอีก ยากจะบรรยายออกมาเสียจริง ขมิบทีละหน่อย ทีละหน่อย ภาวนาให้รถจอดแวะปั๊มน้ำมัน ซึ่งนอกจากเป็นที่ถ่ายของเสียออกแล้ว ยังเป็นแหล่งนำของเข้าอีกด้วย ร้านค้าปลีกย่อยหรือว่าจะหาหมูปิ้งลูกชิ้นทอด หาได้ไม่ยาก 

            ท่าทางไอ้น้องชายคงหิวทั้งน้ำทั้งขนม มันแทบจะยอมให้ผมขี่คอ เมื่อบอกว่าจะหาของให้กิน  

            เด็กพนักงานในปั๊มนี้ ผมรู้จักคุ้นเคยกับพวกมันทุกคน เป็นเพื่อนเป็นน้องทั้งนั้น นั่นไงขวดน้ำกับขนมปัง มีกล่องข้าวอีกด้วย เพื่อนกันเองทั้งนั้น หากทำตัวเกรงใจจะเสียมรรยาท ผมจึงหยิบขวดน้ำยกกรอกเข้าปากแล้วส่งต่อให้น้องชาย ตั้งใจจะหยิบขนมปังทั้งสองก้อน แต่ถูกมือนรกกระชากไปก้อนนึง ไอ้คำตันยืนจ้องหน้าผมตาแข็ง ไม่รู้ว่ามันโผล่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไร

            ไอ้คำตันรีบตะโกนบอกเพื่อนถึงข่าวดี ว่าผมมาแล้ว ใช่สิ ผมหายไปนานตั้งสองเดือน ทุกคนต่างดีใจอยากเจอหน้าผมทั้งนั้น ดูเถอะ เด็กทั้งปั๊มสี่ห้าคนรีบวิ่งปรี่เข้ามา ไอ้คำแจ้งเพื่อนของผมและเป็นพี่ชายของไอ้คำตันถึงกับปล่อยทิ้งลูกค้า ผมต้องยกมือแสดงความขอบคุณพวกมัน และหยิบขนมปังในมือเข้าปากโดยเร็ว จึงลืมที่จะแบ่งให้ไอ้น้องชาย พวกนั้นต่างกรูเข้ามาหยิบกล่องข้าวและห่อขนมไปถือไว้ จ้องหน้าผมราวกับว่าเห็นดารา  ไอ้คำตันกระชากขวดน้ำไปจากมือน้องชายผม ยังงี้เสียมรรยาทเกินไปแล้ว ผมจึงแบมือจะฟาดเข้ากลางหัวสั่งสอนสักที แต่โชคดีที่ไอ้คำแจ้งเข้ามาขอร้องไว้ก่อน ผมจึงยอมผ่อนมือและมันก็ปล่อยกำปั้นของมันลง

            "มึงจะมา ทำไมไม่บอกก่อน" นี่หละประโยคน้ำใจของมิตรสหาย มันคงกระดากใจที่ผมมาโดยไม่รู้ตัว ทำให้ไม่มีของต้อนรับ

            "ไอ้ฮ่า.. พวกมึงก็เหมือนกัน เห็นมันเข้ามาทำไมไม่รีบบอก" แน่ะมันยังไปตวาดใส่น้องน้องอีก ที่ไม่ช่วยดูแลผม

            เฮ้ย...ไม่เป็นไร...มีแค่นี้ก็กินกันแค่นี้.... ผมเป็นสุภาพบุรุษเสมอ ไม่อยากทำให้ทุกคนลำบากใจ จึงเข้าไปจะดึงกล่องข้าวจากมือของพวกมัน แต่ทุกคนพากันถอยกรูดอย่างพร้อมเพรียงกอดของไว้ในอ้อมแขนแน่น

            ช่างรักษามรรยาทเหลือเกิน คงไม่อยากให้ผมกินของที่ไม่ตั้งใจซื้อมาฝาก โถ.... ข้าวของพวกมันก็คงหาซื้อตามข้างทาง เป็นพวกรถเข็นนั่นแหละ คงกลัวว่าจะไม่เหมาะสม

            ผมจึงเลิกถือสากับพวกมัน ชวนน้องชายขึ้นซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซด์ ไปหาแม่ยอดยาหยีของผมดีกว่า

            ก่อนเข้าร้านกาแฟของยอดยาหยี ผมขยับแว่นตาดำสักพัก จนกระทั่งมันอยู่ในตำแหน่งเดิมนั่นแหละ สองมือเสยลูบผมปั้นหน้าหล่อที่ตั้งใจฝึกมาอย่างหนัก  แหม๋.....ลืมไปว่าเส้นผมยังไม่มี  เชิดหน้าเสียหน่อย เดี๋ยวนี้สาวๆชอบผู้ชายมาดเท่ห์ทำตัวหยิ่งอย่างนี้ เพียงแค่นี้หัวใจของยอดยาหยีคงอ่อนระทวยเป็นมะเขือยาวถูกไฟรนแน่

             เห็นไหมล่ะ รีบหันขวับทันทีเมื่อผมเปิดประตูเข้าไป ดูเธอแสร้งทำเก๊กหน้าทนเก็บความรู้สึกไม่ยอมยิ้ม ทั้งที่สาวสมัยนี้เขาทำตัวเปิดเผย ทำตามใจเรียกร้องตามแรงปรารถนากันหมดแล้ว แต่ยอดยาหยีของผมยังทำตัวเป็นสุภาพสตรีที่แสนงดงาม  แต่เจอเสน่ห์ของผมวิ่งปะทะอย่างรุนแรงแบบนี้ จะฝืนใจตัวเองไหวได้นานเท่าไรเชียว อีกไม่นานดอกไม้งามต้องเอนกิ่งเข้ามาใกล้จนได้แหละ ผมฉีกยิ้มแค่มุมปากนิดนิด เพื่อตามเข้าบดขยี้หัวใจซ้ำ  ป่านนี้ประตูใจห้องคงเปิดกว้างรอผมทั้งสี่ห้องแล้ว ถ้ายกเฟอร์นิเจอร์เข้าตั้งเสียหน่อย ก็สามารถเข้าอยู่ได้เลย ไม่ต้องผ่อนไม่ต้องดาวน์

            โอ้ยยย....ท่าทางสาวคนอื่นในร้านคงหัวใจละลายไปด้วยเช่นกัน ดูสิ ...ปากยังพูดคุยกันแต่สายตาแอบชำเลืองมองผม บางคนจ้องมองโดยตรงเลย โถ.. น่าสงสารจัง แต่หัวใจของผมมีคนจองเสียแล้ว หัวใจของผมหลงรออยู่แต่ยอดยาหยีคนเดียวเท่านั้น

           คนอื่นน่ะเหรอหรือว่าอีสายพิณ กระตุกขั้วหัวใจของผมให้เขวไม่ได้หรอก ยอดยาหยีของผมงามประดุจนางสาวไทย แต่คนอื่นน่ะเพียงแค่นางงามตกรอบจากงานวัดเท่านั้นเอง เอวอนงค์คอดกิ่วจนเกือบจับหมุนรอบได้ สองก้อนตะโพกงดงามผายเท่าเทียมกัน หลบซ่อนในกางเกงเอวต่ำ ท้าทายสายตา เธอก้มแต่ละครั้งหัวใจของผมแทบร่วงหล่นไปอยู่กลางร่องนั้นทุกที

            หัวใจอันเปราะบางของยอดยาหยี ต้องหมั่นบำรุงดูแล ปุ๋ยที่ดีที่สุดคงไม่พ้นตัวผมนี่หละ

            แอร์ภายในร้านของยอดยาหยีเย็นฉ่ำ ไอ้น้องชายตื่นเต้นที่สุด เพราะเย็นกว่าพัดลมเบอร์ห้าที่บ้านเสียอีก  ยิ้มหวานให้กับแอร์ มันรู้จักดีแต่ไม่ค่อยได้สัมผัสเท่านั้นเอง

            คาร์ปูชิโน่หนึ่งแก้ว ผมยืดตัวตรงไขว่ขากระดิกเท้ารอ  ส่งรอยยิ้มเพื่อบำรุงหัวใจให้เธอ ดูสิ... ไม่กล้าตอบรับผมโดยตรง แกล้งเบือนหน้าหนี ผมรู้นะ แอบยิ้มอยู่คนเดียวละสิ เธอยังเป็นสาวแรกรุ่นต้องมีความขวนเขินเป็นธรรมดา ของยังใหม่นี่นะ

            เธอชอบแกล้งทดสอบจิตใจของผมเช่นนี้ประจำ ดูเถอะ ทั้งที่ในร้านมีลูกค้าไม่มาก แต่ยังไม่ยอมทำกาแฟให้ผมสักที ผมจึงชี้นิ้วสั่งให้ไอ้น้องชายไปหยิบแก้วเปล่ามา เพื่อทานน้ำดับกระหายให้ชื่นคอ  ดูสิ.... ทำสีหน้าราวกับจะกินเลือดน้องชายของผมเลยเชียว จะรีบขู่ให้กลัวไปทำไม เพราะสุดท้ายผมต้องสอนให้มันเคารพเชื่อฟังและเกรงกลัวพี่สะใภ้อยู่แล้ว

            ถึงเวลาที่ผมต้องทดสอบหัวใจของเธอบ้างล่ะ แบงค์สีแดงที่ถูกรีดจนเรียบ ผมคีบดีดสะบัดอยู่ตรงหน้า 

            ได้ผลแฮะ.... เธอปรี่เข้ามากระชากหลุดมือของผมไปทันที  สตรีเช่นนี้แหละที่มีคุณสมบัติพร้อมจะเป็นแม่บ้าน เดิมทีใจหายวาบไปเหมือนกัน แต่เมื่ออดกลั้นไว้ จึงเห็นเงินทอนสี่สิบห้าบาทที่เธอหย่อนวางลงบนโต๊ะ นับว่าเป็นความอดกลั้นที่คุ้มค่า ไม่เสียเชิงชาย ผมพยายามจะคว้าเงินทอนให้โดนมือที่ขาวนุ่มราวกับใยสังเคราะห์ แต่สุภาพสตรีที่แสนดีรู้จักหวงตัว ไม่เหมือนสาวใจระเบิดเช่นทุกวันนี้ นี่หละที่ทำให้ผมหลง ผมแอบสูดดมกลิ่นตัวที่ลอยเข้ามาจนท่วมปอด จนต้องสำลักคืนออกมา 

            แต่.. เอ๊ะ...... ต้องทอนห้าสิบห้าบาทสิ ผมยังไม่ถามหรอก เงินแค่สิบบาท เธออาจจะไม่ตั้งใจ

            "ชั้นตั้งใจย่ะ....สิบบาทนั่น เป็นค่าเสียเวลา"  ดูเถอะความรอบคอบของว่าที่แม่บ้านส่วนตัวของผม คามเค็มของเธอแห้งเกาะจนหัวใจของผมดิ้นไม่ได้  เสียงหวานแต่ดังไปหน่อย คงเพราะเธอยืนพูดกรอกเสียงอยู่ใกล้ริมหูผมมากเกินไป

            แล้วไอกาแฟหอมกรุ่นลอยขึ้นมาปะทะช่องจมูกอันใหญ่โตของผม  แม้จะช้าไปหน่อยแต่ผมรอได้ ฝีมือยอดยาหยียังไม่เปลี่ยนแปลง สองเดือนที่สุดคิดถึง และเธอคงคิดถึงผมไม่น้อย

            โถ.โถ ..โถ.. สาวน้อยผู้น่าสงสาร ไอ้ส้มดาคนนี้ไม่ได้ตั้งใจทรมานหัวใจอ่อนแอของเธอเลยสักนิด แต่เป็นเพราะหน้าที่  วันนี้พี่มาเยี่ยมโฉมงามแล้ว

            "พี่ส้มดา....น้ำลาย" ผมเอื้อมมือข้ามไปเขกกะโหลกน้องชาย เสือกไม่บอกตั้งแต่แรก ปล่อยให้ไหลเกือบย้อยใส่ถ้วยกาแฟ  เมื่อทิชชู่เกือบหมดกล่อง จึงได้เวลารำพันต่อ 

            เธอช่างระมัดระวังในความสัมพันธ์ของเรา  ไม่ให้เป็นเหยื่อปากของชาวบ้านที่ชอบกินเรื่องเสียหายของคนอื่น  แต่เพียงแค่การทักทายด้วยสายตาของเธอ อานุภาพกระชากร้ายแรงยิ่งกว่าหมอกระตุ้นหัวใจเสียอีก พองโตจนคับแน่นหน้าอกอันผึ่งผาย  ปั้มหัวใจทั้งสี่เครื่องเร่งทำงานอย่างหนัก รอให้สองอกเธอมานาบพิง
       อกทอร์นาโดของเธอ  โอ้ยย...ไม่อยากคิดมากเลย 

            ยามเธอชม้ายตา ราวกับว่ามีใบมีดโกนมากวัดแกว่งอยู่แถวหน้าท้อง ทำให้ใจหายวาบร่วงใส่ถ้วยกาแฟ ไม่รู้ว่าเธอแย่งชิงความงามมาจากดวงจันทร์ได้อย่างไร จันทร์เต็มดวงนะครับ ไม่ใช่ยามจันทร์เว้าแหว่ง 

            ไอ้น้องชายยังอร่อยอยู่กับน้ำเปล่า  ผมต้องอธิบายว่าน้ำนี้มาจากขวด ไม่ใช่มาจากฟ้าหรือว่ามากจากใต้ดิน แม้จะเป็นของฟรี แต่เป็นน้ำสะอาดกว่าที่กินเป็นประจำ มันจึงเลิกน้อยใจ

            แต่เพราะความสงสาร มันยังนั่งทำตาห้อยจนลูกตาเกือบหล่นออกมา  ผมจึงตัดใจให้มันได้ชิมรสเลิศหรูกาแฟของยอดยาหยีบ้าง  มันทำท่าดีใจราวกับว่าพ่อถูกหวยรางวัลใหญ่แล้วจะซื้อมอเตอร์ไซดฺคันใหม่ให้ใช้ยังงั้นหละ รับคว้าไปซดลงคอ ฮ๊วบบบ.... จนผมตาเหลือก ต้องรีบกระชากแก้วออกจากปาก อยากจะใช้ท่าบาทาลูบพักตร์กับมันยิ่งนัก 

            โถ.. ผมยังต้องการมองหน้ายอดยาหยีของผมอีกนาน ดูสิผ่านมาชั่วโมงกว่าแล้ว ผมยังทำให้กาแฟเหลืออีกกว่าครึ่งแก้วแน่ะ แต่ไอ้น้องชายใช้เวลาแค่กระพริบครึ่งตา หายไปเกือบไม่เหลือ

            เพียงแค่ผมให้ไอ้น้องชายลุกไปหยิบน้ำเหยือกใหม่ เจ้าหล่อนทำตาขวางดุใส่อีกแล้วและขอคิดเพิ่มอีกตั้งสิบบาทแน่ะ แต่เรียกร้องมาเท่าไร ใจผมพร้อมจะใส่ซองถวายอยู่แล้ว

            "ไอ้บ้า  นี่ไม่ใช่วัด จะได้มาใส่ซองผ้าป่า" แหม๋ ..เธอค้อนหรือว่าควักหัวใจของผมนะนี่

            เมื่อวางเงินไว้ให้เจ้าแม่ปลาเค็มที่น่ารักอร่อยแล้ว น้องชายผมจึงลุกไปหยิบเหยือกใหม่จากโต๊ะด้านในสุด  ไอ้น้องชายผมไม่โง่หรอก แต่ที่ไม่หยิบเหยือกจากโต๊ะข้างเคียงก็เพราะมันหมดไปแล้วต่างหาก

            ได้กลิ่นขนมปังปิ้งของฝีมือแม่ยอดยาหยีแล้วช่างน่าฟัดเหลือเกิน ตัวอยากในกระเพาะถึงกับวิ่งพล่าน ขึ้นกระแทกคอหอย 

            อีกสิบห้าบาท... เธอบอกอย่างเอียงอายไม่กล้าหันหน้ามอง จะแกล้งทดสอบใจของผมไปถึงไหน ใจคอจะเอาให้หมดเต็มร้อยบาทเลยหรือไง

        แต่ผมยังอิ่มจากข้าวผัดอเมริกันมื้อเช้า  จึงต้องขอรอให้ท้องว่างเสียก่อน

            "พี่ส้มดา เมื่อเช้าเรากินข้าวราดกะปิกัน" ผมเตะผ่านลอดโต๊ะไปที่หน้าแข้งไอ้น้องชาย  มันทำปากยาวอวดรู้ดี มันน่าจะเข้าใจบ้าง ผมอยู่ที่วัดตั้งสองเดือน จะมีหลงลืมเรียกถูกเรียกผิดบ้างเป็นธรรมดา

            ผมจึงเทน้ำใส่แก้วของมันอีก อิ่มมากๆจะได้ปากไม่อ้า  กาแฟของผมยังมีเหลือติดก้นแก้ว แต่น้ำในเหยือกท่าทางจะหมดก่อนแน่นอน 

            แต่ไม่เป็นไร เพราะผมเล็งเห็นอีกเหยือกอยู่ที่เค้าท์เตอร์ของยอดยาหยีนั่นเอง

       

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×