ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ღ Rival or Lover ღ :: kai x sehun ::

    ลำดับตอนที่ #16 : Rival or Lover :: 15 ::

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.26K
      34
      29 มี.ค. 56


                สัมผัสที่ริมฝีปากยาวนาน ก้านนิ้วเรียวไล้ผิวแก้มขาวอย่างอ่อนโยน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจดจ้องและเก็บรายละเอียดบนดวงหน้าหวานล้ำของน้องชายคนละสายเลือด เสียงครางอื้ออึงยามเขากดแนบและขบเม้น หยอกล้อด้วยการผละออกแล้วจุ๊บใหม่เบาๆเรื่อยๆนั้น น่ารักน่าหมันเขี้ยวจนห้ามตัวเองแทบไม่อยู่ สบดวงตาเรียวคู่สวยที่ปรือเปิดยั่วอารมณ์เป็นครั้งคราว ไหนจะริมฝีปากนิ่มสีแดงอ่อนที่เผยออ้ารับยามเคลื่อนเข้าใกล้ จูบตอบเก้ๆกังๆ

     

                ไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมรับว่าโคตรน่ารักเลย

     

                คิมจงอินค่อยๆละมือข้างที่วางบนสะโพกกลมกลึงออกช้าๆ พร้อมกับริมฝีปากอิ่มที่ถอนจูบออกในเวลาต่อมา ละห่างเสียก่อนที่เขาจะห้ามไม่ได้ ละห่างเสียก่อนที่อะไรจะเกินเลยไปมากกว่านี้

     

                “นั่งรออยู่นี่ก่อนนะ ไปเช็ดพื้นแป๊บเดียว”  นั่นหมายถึงเลือดที่หยดตามพื้น คราบนมจืดและเก็บเศษแก้วตัวดีที่สร้างบาดแผลให้อีกคน กายสูงโปร่งลุกขึ้นยืนโดยไม่ลืมจะหยิบกล่องยาไปเก็บไว้ที่เดิม ปล่อยให้โอเซฮุนนั่งหน้าแดงจมอยู่กับความคิดของตัวเองคนเดียว

     

                ความจริงก็เห็น อันที่จริงก็รู้ แต่แสร้งทำไม่สนใจ และถึงต่อให้อยากมองแก้มขาวๆที่ขึ้นสีเรื่อนั่นอีกหน่อย เขาก็ต้องหยุดความคิด เพราะไม่อย่างนั้นมีหวังพ่อกลับมาฆ่าลูกชายคนโตทิ้งแน่นอน ข้อหาล่วงเกินลูกชายคนโปรดไง

     

                เขาจะเรียกมันว่าอะไรดีระหว่าง เอ็นดู.. หวง.. ชอบ.. คิมจงอินกำลังทำอะไรอยู่ เขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ โอเซฮุนเป็นน้องชาย แต่ก็เป็นน้องชายที่น่ารักมากซะด้วย

     

                ม่านกลมสีน้ำตาลลอบมองคนอ่อนเดือนกว่าผ่านชั้นวางแบบบิวท์อินที่กั้นกลางระหว่างโซนเครื่องดื่มและห้องนั่งเล่น มุมริมฝีปากยกยิ้มบางอย่างที่เจ้าตัวชอบทำเป็นนิสัย ยามสังเกตเห็นว่าคนผิวขาวกำลังนั่งก้มหน้าก้มตาเงียบ สักพักก็ยกมือขึ้นยีหัวเบาๆ ทุบเบาๆทำโทษตัวเองเหมือนเด็กน้อย ภาพที่เห็นทำให้คนเป็นพี่หลุดหัวเราะกับท่าทางน่าหมันเขี้ยวนั่น ก่อนจะละสายตาห่าง จัดการกับผลงานของน้องชาย

     

                นานสักพักเจ้าของผิวสีน้ำผึ้งก็จัดการทำความสะอาดพื้นบ้านจนเรียบร้อย กายสูงโปร่งเดินกลับมาตรงโซนนั่งเล่นก็เห็นว่าคนผิวขาวยังนั่งเฉยไม่ขยับไปไหน ใบหน้าน่ารักหันขวับมามองเขาตาปริบๆทันที เปิดโอกาสให้คนเป็นพี่ได้แซว

     

                “นึกว่าจะขึ้นไปนอนแล้วซะอีก”  วางแก้วใสบรรจุนมลงบนโต๊ะพลางเลื่อนเข้าไปให้คนอายุน้อยกว่า

     

                “มีคนสั่งว่าห้ามเดิน”

     

                ริมฝีปากอิ่มกระตุกยิ้มนิดๆ กับริมฝีปากแดงอ่อนที่ขยับช่างพูดช่างจา รวมถึงช่างเถียงด้วย ..แววคู่คมจ้องนิ่ง จ้องจนอีกฝ่ายต้องเลิกคิ้วขึ้นถามคล้ายสงสัย หากแต่ใบหน้าขาวๆนั่นก็ยังคงแดงเรื่อไม่จาง แอบเห็นว่ากลีบปากนิ่มช้ำน้อยๆ ลอบมองผลงานตัวเองอย่างย่ามใจก่อนจะเอ่ย

     

                “ไม่ยักรู้ว่าเคยฟังกันด้วย”  กายสูงโปร่งทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาข้างๆกัน หันใบหน้าเข้าหาน้องชายผิวขาว รอยยิ้มบางยังไม่ละไปจากใบหน้าคม คนอ่อนเดือนกว่าเกิดอาการทำตัวไม่ถูกขึ้นมาอีกครายามที่สายตาแบบนั้นเหมือนจะไล้ไปทั่วร่างกาย ราวกับผิวต้องของร้อน จึงกลบเกลื่อนด้วยการยกแก้วนมขึ้นดื่มจนหมดรวดเดียว

     

                “พูดมาก”  เบ้ปากใส่นิดๆอย่างน่ารัก น่าหมันเขี้ยวจนคนเป็นพี่ขยับเข้าใกล้มากขึ้นอย่างกะทันหัน เซฮุนเอนกายผอมเล็กน้อยคล้ายตกใจกับท่าทีของอีกฝ่าย พลันวินาทีต่อมาเปลือกตาบางจำต้องหลับปี๋เพื่อหลีกหนีสัมผัสที่กำลังจะเข้ามาช่วงชิงไปอีกครา  “อ๊ะ!

     

                ทว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพียงก้านนิ้วเรียวแตะเช็ดคราบนมเบาๆตรงมุมปาก เพียงหัวกลมๆที่เอนตามแรงของก้านนิ้วเรียวยาวผลักเบาๆเท่านั้น

     

                “แล้วมาผลักหัวกันทำไมเล่า”

     

                “หมันไส้”  ว่าอย่างนั้นแต่ในอกกลับวูบไหว เต้นรัวอย่างบ้าคลั่งยามได้ทอดมองคนน่ารักแสดงปฏิกิริยา แสดงสีหน้าหลายๆแบบ เหมือนเจ้าตัวกำลังหยอกล้อกับความอดทนของเขาอย่างนั้นแหละ  “ง่วงยังอ่ะ”

     

                “อือ”

     

                “มาดิจะพยุงเดิน”  คนตัวสูงชะงักมือที่จับลำแขนกลมกลึงไปเล็กน้อย เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงยื้อเบาๆจากอีกฝ่าย ใบหน้าคมเข้มหันกลับไปมองน้องชายคนละสายเลือดช้อนเปลือกตามอง ทอดแววหวานใสกระพริบปริบน่าเอ็นดู และราวกับว่าการเคลื่อนไหวของเปลือกตาบางในแต่ละครั้งนั้น เหมือนมันกำลังตัดฉับที่ขั้วหัวใจของเขาเลยจริงๆ และคงไม่ต้องให้สาธยายอะไรให้มากความ เมื่อยามที่ผิวเนื้อเคลือบใสเอ่ยประโยคถัดมา คิมจงอินแทบรั้งเข้ามาฟัดให้หายหมันเขี้ยว

     

                “...ขอขี่หลังได้ไหม”

     

                ถ้าอีกฝ่ายพูดแบบนั้น ถ้าโอเซฮุนจะไม่รังเกียจ จงอินก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องปฏิเสธออกไป เพียงกายสูงโปร่งของคนเป็นพี่ที่หันแผ่นหลังกว้างให้ ความอบอุ่นพลันแล่นวาบไปทั่วร่างกาย ความรู้สึกแปลกๆ อยากปกป้อง อยากทำอะไรให้อีกหลายอย่าง แม้ว่าอีกฝ่ายจะเคยทำร้าย แม้ว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ยามที่ลำแขนขาวพาดโอบรอบคอหลวมๆ เกยคางลงกับลาดไหล่หนา แนบกายเบียดชิด คิมจงอินก็ลืม ลืมไปหมดว่าอีกฝ่ายเคยทำอะไรไว้กับตน

     

                “อุ่นจัง..”  เซฮุนกระชับแขนอีกนิดเมื่อจงอินยืนเต็มความสูงและขยับตำแหน่งมือแบกเขาให้ถนัดมากยิ่งขึ้น คนผิวขาวซุกหน้าลงกับลาดไหล่ อดไม่ได้จะแอบสูดกลิ่นหอมอ่อนๆที่ลอยแตะปลายจมูก  “อย่าให้ใครนะ แผ่นหลังนายเป็นของฉัน”

     

                ไม่ว่าโอเซฮุนจะพูดมันด้วยสีหน้าแบบไหน แต่เพียงแค่การแสดงความเป็นเจ้าของและแรงโอบกอด ก็ทำให้จงอินรู้สึกเหมือนลำคอตีบตัน รู้สึกดีได้อย่างมากมายมหาศาล รู้สึกว่าตัวเองสำคัญ รู้สึกดีมากจนต้องกระพริบเปลือกตาถี่เพื่อไล่หยาดน้ำไร้สีที่ขึ้นมาคลอหน่วย

     

                เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ เบนหน้าเข้าหาอีกฝ่ายที่ซุกกับไหล่เล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยแผ่วเบา...

     

                “อือ ...ดูแลมันด้วยแล้วกัน”

     

                ริมฝีปากแดงอ่อนระบายยิ้มกว้าง ยิ้มที่คิมจงอินไม่ทันได้เห็น หัวใจเต้นรัวและแรงจนน่าอาย หากแต่ความรู้สึกกลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้ว่าตนเองรู้สึกอย่างไรมันหายไป เมื่อเวลานี้ ยามที่แผ่นหลังแนบสนิทเขาเองก็รู้สึกได้ถึงแรงเต้นรัวที่ดังเป็นจังหวะเดียวกัน

     

                เขาคิดถูกแล้วใช่ไหม โอเซฮุนคิดถูกแล้วใช่ไหม ว่าที่เขากำลังเป็นอยู่มันเรียกว่า รัก

     

                รักที่มากกว่าพี่ชาย รักที่อยากอยู่ใกล้ๆ และไม่ต้องการอะไรอีกแล้วต่อจากนี้ เพราะทั้งชีวิตของโอเซฮุนนอกจากทำเพื่อครอบครัว เขาก็ทุ่มเททุกอย่างให้พี่ชายคนละสายเลือดมาตลอด จากนี้เขาคงจะใช้คำว่าโอเซฮุนรักคิมจงอินได้อย่างเต็มปาก

     

                แล้วอีกคนล่ะ รู้สึกยังไง เสียงที่ดังออกมามันเหมือนกันหรือเปล่า

     

              ช่วงก้าวสั้นๆช้าๆของอีกคนผ่านไปเร็วจนโอเซฮุนรู้สึกเสียดาย ประตูห้องนอนที่อยู่ไม่ไกลนั่นหมายถึงเวลาของความสุขหมดลงแล้ว ทว่า...

     

                “อื้อ.. จะพาไปไหน”  เอ่ยท้วงอย่างไม่เข้าใจ เรียวคิ้วสวยเลิกขึ้นคล้ายสงสัยเมื่อทิศทางมันไม่ใช่ห้องนอนที่เขาเพิ่งจะละจากมา และยิ่งพอได้ยินคำตอบ แทนที่จะไข้ข้อสงสัยเซฮุนกลับยิ่งงงเข้าไปอีก

     

                “นายต้องกินยาก่อนนอน เดี๋ยวปวดแผล”

     

                “แล้วมันเกี่ยวกับห้องของนายยังไงล่ะ”

     

                “เกี่ยวดิ”

     

                ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ภายใน เงี่ยหูรอฟังเหตุผลของอีกฝ่ายเงียบๆ กระชับลำแขนที่โอบรอบอีกเล็กน้อย และไม่คิดจริงๆ ว่าคิมจงอินจะใช้มุกนี้เข้าเล่นงานหัวใจของเขา...

     

                “กินเสร็จแล้วจะได้นอนเลยไง”

     

     

    * * * * *

     

     

                “ผมไม่เป็นอะไรครับอาจารย์ แค่แก้วตำนิดหน่อย”  ต้องให้บอกด้วยไหมว่าเป็นคนตั้งใจเหยียบเองเลย ชายหนุ่มผิวขาวสว่าง เจ้าของลักยิ้มมีเสน่ห์และดวงตาเรียวสองชั้นถึงจะเลิกพยุงเขาไปส่งห้องพยาบาลเสียที

     

                ห้องพยาบาลที่ต้องเดินไปไกลพอสมควร ถึงแม้ว่าเขาค่อนข้างจะเจ็บแผลจริงๆ ผลพวงจากเมื่อเช้ารีบวิ่งขึ้นบันไดเพื่อไปเรียนให้ทัน ไม่นึกเหมือนกันว่าที่เหยียบไปมันลึกกว่าที่คิด ผ่านมาสองวันน่าจะค่อยยังชั่วแล้วแท้ๆกลับเลือดไหลออกมาอีกซะได้ แต่ประเด็นคือเขารู้สึกไม่ดีกับสายตานับหลายคู่ที่มองมาเพราะครูแพทย์หนุ่มคนดังกำลังจับแขนประคอง

     

                “ไม่กลัวบาดทะยักหรือไง อย่างน้อยก็ไปทำแผลใหม่เถอะ”  หล่อเหลา ใจดี อบอุ่น เทพบุตรอย่างที่สาวๆให้คำนิยามเอาไว้เลย แต่โอเซฮุนไม่มีเวลามาชื่นชมสิ่งเหล่านี้เท่าไหร่ นักศึกษาผู้หญิงกำลังจะฆ่าเขาด้วยสายตาอยู่แล้ว

     

                อะไรว้า เขาก็ผู้ชายเหมือนอาจารย์อี้ชิงนะ

     

                พอทำอะไรไม่ได้ คนผิวขาวจึงยอมให้อีกฝ่ายพาไปห้องพยาบาลอย่างว่าง่าย ขณะที่กำลังก้าวขาตามอีกฝ่ายอยู่นั้นเอง คนอายุมากกว่าก็เอ่ยขึ้นเรียบๆ

     

                “นั่นพี่ชายที่ชอบมารอรับไม่ใช่เหรอ”

     

                ใบหน้าขาวเบนตามคำพูดของจางอี้ชิงทันที ริมฝีปากแดงอ่อนที่กำลังจะยกยิ้มหุบลงแทบไม่ทัน เมื่อเห็นว่าคิมจงอินไม่ได้เดินคนเดียว และหญิงสาวที่เดินมาด้วยกันก็เป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายกระตุกวูบยามสายตาทอดเห็นลำแขนของจงอินแนบชิดกับกายเล็กๆของจองอึนซล เธอควงแขนอีกฝ่ายเอาไว้หลวมๆ แสดงความเป็นเจ้าของให้คนรอบข้างได้อิจฉา

     

                แน่นอนว่านั่นรวมถึงโอเซฮุนด้วยอีกคน เพราะดูเหมือนว่าคิมจงอินเองก็เต็มใจที่จะทำตัวปล่อยเลย ปล่อยให้หญิงสาวได้ทำตามใจ พลันนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มก็เบนมาสบโดยไม่ทันตั้งตัว แววคู่คมจ้องนิ่งก่อนเซฮุนจะเป็นฝ่ายหันหลังให้

     

                “รีบไปดีกว่าครับ ผมเจ็บแผล”  ก็ไม่รู้ว่าแผลที่ว่านั้นหมายถึงแผลที่เท้าจริงๆหรือเปล่า กายบอบบางถึงได้ก้าวเดินเร็วเหมือนไม่ได้สนใจมันอย่างนั้นแหละ

     

                “ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ เดี๋ยวเลือดออกเยอะ”

     

                ไม่ฟังเสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยบอกเสียด้วยซ้ำ คราวนี้คนเจ็บดันเป็นฝ่ายเดินนำคนจะพาไปห้องพยาบาล เห็นอย่างนั้นจางอี้ชิงที่พอจะเดาเหตุการณ์ได้จึงส่ายหัวไปมาเบาๆ ก่อนจะรั้งกายผอมให้หยุดเดินแล้วก้มลงช้อนร่างอีกฝ่ายขึ้นแนบอก คราวนี้แหละโอเซฮุนถึงกับหน้าเหวอรีบหันกลับไปมองคิมจงอินทันที แล้วก็ทันได้เห็นว่าเจ้าของผิวสีน้ำผึ้งที่กำลังเดินตามมาชะงักไป

     

                “ไม่ตลกนะครับอาจารย์ ปล่อยผมลงเถอะ”

     

                “งั้นผมก็ขอให้คุณอยู่เฉยๆเหมือนกันโอเซฮุน”

     

     

    * * * * *

     

     

                คล้อยหลังของครูแพทย์หนุ่มที่พาเขามาฝากไว้กับอาจารย์ประจำห้องพยาบาล อาการของโอเซฮุนหลังจากทำแผลและกินยาแล้วเรียบร้อยก็คือง่วงนอน หนังสือที่หยิบยืมมาจากหญิงวัยกลางคนในชุดกาวน์ก็ยิ่งเป็นยานอนหลับชั้นดี ทำให้คนน่ารักคล้อยหลับไป

     

                รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีมืออุ่นมาลูบกลุ่มผมนุ่มเบาๆ ไล้วนที่ผิวแก้ม ปัดปอยผมให้อย่างอ่อนโยน เปลือกตาบางค่อยๆขยับปรือเปิดมองคนมาใหม่ แล้วก็ต้องเบิกกว้างเมื่อพบว่าเป็นพี่ชายแก่เดือนของตัวเอง มองนาฬิกาบนผนังแล้วก็ยิ่งตกใจเมื่อจำได้ว่าตัวเองนอนไปช่วงเกือบเที่ยงตื่นมาอีกทีเกือบเย็น แถมวันนี้เขาก็กะจะเซอร์ไพรส์พี่ชายตัวดีด้วย

     

                “นึกว่าจะค้างที่นี่”

     

                “ก็แล้วทำไมไม่ปลุกเล่า”  ใบหน้าหวานงองุ้มเมื่อได้ยินคำพูดกวนๆของพี่ชาย มือขาวยกขึ้นขยี้ตาเบาๆ แอบค่อนขอดอีกคนในใจ ก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงมาเป็นอ้อนๆ หวังว่าจงอินจะใจอ่อนเหมือนเคย  “อยากกลับบ้านแล้ว”

     

                “ก็ลุกดิ”

     

                “เดินไม่ไหว”  และคนเดินไม่ไหวก็กำลังกลั้นยิ้มบางเงยหน้ามองคนที่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มไม่ละหนี แม้ว่าจะเขินตัวเองอยู่มากก็ตามที่หมู่นี้ออกจะอ้อนเก่งและเอาแต่ใจมากขึ้นกว่าเดิมอย่างที่อีกฝ่ายเคยบอก เห็นแล้วจงอินก็อยากใจดี แต่...

     

                “วันนี้อึนซลจะไปกินข้าวที่บ้านด้วย รออยู่ข้างนอก”  ประโยคเพียงประโยคเดียวของคิมจงอินก็เหมือนเป็นคำปฏิเสธกลายๆว่าไม่ได้ ตามใจเขาเหมือนเวลาอยู่กันแค่สองคนไม่ได้ เพียงประโยคเดียวที่ทำให้รอยยิ้มสวยๆจางหาย

     

                ก็รู้ว่าตัวเองเป็นแค่น้อง เป็นแค่คนที่อยู่ดีๆก็เข้ามาแทรกกลาง คำว่ารักยังไม่เคยได้ ไม่มีสิทธิ์จะมาห้ามคนที่เขาเป็นแฟนกัน แต่ในเมื่อจงอินเอาหัวใจของเขาไป จูบเขาไปแล้ว ทำให้เขาหวั่นไหวมากมายขนาดนี้ไปแล้ว ทำไมถึงยังไม่รับผิดชอบ เห็นเขาเป็นแค่น้องชายที่จะอะไรก็ได้หรือยังไง

     

                “ทำไมต้องให้คนอื่นไปด้วย”  คนที่เตี๊ยมกับแม่บ้านในครัวไว้เรียบร้อยแล้วว่าให้ทำอาหารมื้อเย็นที่พิเศษๆแสดงอาการไม่พอใจ และสิ่งพิเศษก็คือของโปรดของคิมจงอินที่โอเซฮุนจดไว้ในรายการให้แม่บ้านหลายอย่าง แต่ดูสิ ทำไมถึงใจร้ายปิดโอกาสของเขาขนาดนี้

     

                “อึนซลไม่ใช่คนอื่น ตอนนายไม่อยู่น้องเขาก็เคยไปที่บ้านหลายครั้ง ฉันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ให้ไป”

     

                “อ้อ อย่างนั้นเหรอ”  คนอ่อนเดือนกว่าพยักหน้ากับตัวเองเบาๆ อย่างยอมรับความจริง ที่ลำคอรู้สึกตีบตัน รู้สึกจุกไปหมด แค่นี้ก็รู้แล้วว่าโอเซฮุนไม่เคยสำคัญกับคิมจงอินมากไปกว่าคนอื่นเลย ..คนผิวขาวหลุบตาลงมองพื้นกระเบื้องสะอาด ก่อนจะลุกขึ้นยืน สะบัดมืออุ่นที่เข้ามาช่วยพยุงออกให้พ้นทาง ก้มหน้าหลบไม่ให้อีกฝ่ายเห็นว่าน้ำไร้สีมันกำลังจะหยดลง

     

                “เซฮุน...”

     

                “อยากกลับบ้านแล้ว”  นอกจากจะไม่ฟัง เจ้าตัวยังก้าวฉับพากายบอบบางเดินเลาะออกไปจากเตียงในห้องพยาบาล โดยมีจงอินเดินตามคอยระวัง คอยกังวลกลัวว่าปากแผลที่ไม่ได้เย็บแต่แรกมันจะเปิดออกอีก

     

                “งั้นก็ค่อยๆเดิน”

     

                “แค่นี้มันไม่เจ็บมากหรอกน่า”  ไม่เท่ากับตอนที่เห็นนายควงคนอื่นหรอก 

     

                “อย่าดื้อได้ไหม”

     

                โอเซฮุนเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายคนละสายเลือดทันทีด้วยความไม่ชอบใจ แววหวานสั่นระริกวูบไหวเมื่อได้ยินอีกฝ่ายว่าอย่างนั้น หากแต่ความกังวลที่ฉายชัดบนใบหน้าคมเข้มมันทำให้เซฮุนเลิกคิดที่จะปัดมือเรียวบนลำแขนออก และยอมเดินไปพร้อมๆกัน

     

                ไม่รู้ทำไม ใบหน้าจิ้มลิ้มที่ยิ้มแย้มรับตอนเดินออกมาจากอาคารสูงสิบชั้นถึงได้บีบหัวใจของโอเซฮุนนัก ยิ้มที่ดูน่ารัก ไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่เขากลับไม่อยากมองมัน และพอจองอึนซลเดินเข้ามาหาพี่ชายของเขา เซฮุนก็เดินเลี่ยงตรงไปยังรถยนต์ เปิดประตูเข้าไปนั่งเบาะหลังทันทีอย่างรู้หน้าที่ รู้ดีว่ามันต้องเป็นแบบนี้ ก่อนจะแอบเหลือบสายตามองคิมจงอินที่เปิดประตูรถให้รุ่นน้องเข้ามานั่ง ม่านกลมดำสบกับแววคู่คมเล็กน้อยก่อนจะเบนหนี

     

                ตลอดระยะทางที่กลับบ้านแม้จะรู้ตัวว่าอีกฝ่ายลอบทอดสายตาผ่านกระจกมองหลังอยู่บ่อยๆ แต่โอเซฮุนไม่อยากเห็นแล้วก็ไม่อยากได้ยินเสียงเล็กๆหวานๆที่เจื้อยแจ้วของคนข้างหน้านั่นด้วย ยิ่งเสียงทุ้มที่ตอบกลับเขายิ่งรีบอยากลงไปจากรถให้เร็วที่สุด แต่ที่ทำได้คือปล่อยตัวเองให้นั่งเงียบๆแล้วทนฟังอย่างเจ็บปวด ปล่อยดวงตาเรียวคู่สวยที่มองผ่านกระจกใสให้เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา และหยดลง

     

                เขาผิดเองที่รักคิมจงอิน เขาผิดเองที่คิดกับอีกฝ่ายเกินเลย หากว่าวันนึงเขาทนไม่ไหวขึ้นมา ก็คงต้องจากไป ไปอยู่คนเดียวเหมือนที่เคยอยู่...

     

                เพราะพี่ชายคนนั้นก็ไม่เคยบอกเลยสักนิดว่าจะเลือกเขา ไม่เคยบอกเลยสักนิดว่ารักโอเซฮุน

     






    - - -

    ขอบคุณคอมเม้นท์ดีๆเหมือนเคย คนเดิมๆที่เม้นดีๆให้กำลังใจกัน ขอบคุณค่ะ

    ขอคำนิยามให้คิมจงอินประกอบเม้นท์พาร์ทนี้ด้วยนะคะ 555 ..แล้วก็ ใครว่าจางอี้ชิงของเค้า(?)เสียๆหายๆตายค่ะ คิลทิ้ง!
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×